เจ้าของสตาร์ตอัปยูนิคอร์น ใหญ่สุดในโลก คือใคร ? /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงบริษัทเทคโนโลยีในจีน หลายคนคงนึกถึง Alibaba หรือ Tencent
แต่รู้หรือไม่ว่ายังมีอีกบริษัทเทคโนโลยีจากจีนที่กำลังมาแรง
ถึงขนาดที่ก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์ตอัปยูนิคอร์น ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้
บริษัทนั้น ก็คือ “ByteDance” เจ้าของแอปพลิเคชัน TikTok
ที่มีมูลค่าประเมินล่าสุดอยู่ที่ 14.0 ล้านล้านบาท
โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของยูนิคอร์นตัวนี้ คือ “จาง อี้หมิง”
แล้วกว่าจะมาเป็นวันนี้ จาง อี้หมิง และ ByteDance ผ่านอะไรมาบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จาง อี้หมิง เกิดในปี ค.ศ. 1983 ที่เมือง Longyan จังหวัด Fujian ประเทศจีน ปัจจุบันมีอายุ 38 ปี
แม้เขาจะเกิดและเติบโตในครอบครัวธรรมดา ฐานะปานกลาง แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือครอบครัวของจาง ค่อนข้างให้อิสระกับเขา ไม่ได้มีกฎเกณฑ์หรือมีระเบียบเคร่งครัด ต่างจากครอบครัวชาวจีนในสมัยนั้น
นอกจากนี้ ทั้งพ่อและแม่ของจางก็ยังสนับสนุนให้เขาลองผิดลองถูกอยู่เสมอ
เรื่องนี้เอง ก็ได้ทำให้เขาเติบโตมาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์
และมีความกล้าที่จะลองอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2001 เขาได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Nankai ในสาขา Microelectronics
ต่อมาก็ได้เปลี่ยนมาศึกษาในสาขาวิชา Software Engineer
หลังจากจบการศึกษา จางก็ได้เริ่มธุรกิจของตัวเองเป็นครั้งแรก ร่วมกับรุ่นพี่ที่รู้จักกันจากมหาวิทยาลัย
โดยธุรกิจที่เขาก่อตั้งขึ้นนั้น เป็นธุรกิจที่ทำระบบจัดการข้อมูลและการเข้าถึงสำหรับองค์กร
แต่ในตอนนั้นด้วยความที่ยังไม่มีประสบการณ์ จึงทำให้เขาทำผิดพลาดในหลายเรื่อง
เช่น การวางตำแหน่งทางการตลาดที่ไม่ดี สุดท้ายเขาก็ต้องล้มเลิกกิจการไป ภายในระยะเวลาเพียงปีเดียว
ในปี ค.ศ. 2006 เขาได้เข้าทำงานกับสตาร์ตอัป Kuxun ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม ที่ให้บริการสำหรับการจองตั๋ว เช่น เครื่องบิน โรงแรม และรถไฟ คล้าย ๆ กับ Agoda, Booking, Traveloka
ในช่วงที่เขาได้เข้ามาทำงานที่นี่ บริษัทยังถือว่ามีขนาดเล็กและมีพนักงานเพียงไม่กี่คน
เล็กในระดับที่เขา เป็นพนักงาน Software Engineer คนแรกขององค์กร
หลังจากผ่านไปได้เพียง 2 ปี Kuxun ที่ตอนแรกเป็นเพียงสตาร์ตอัปขนาดเล็ก
ก็ได้เติบโตขึ้นกลายเป็นบริษัทที่มีพนักงานกว่า 40 คน
และด้วยความสามารถที่โดดเด่นของจาง ทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคนิค
แต่แน่นอนว่าตำแหน่งหัวหน้าย่อมต้องมีเรื่องการบริหารเข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้วยความที่เขารู้สึกว่าตนเองยังไม่เก่งเรื่องการบริหารและทำได้ไม่ค่อยดี
เขาจึงอยากพัฒนาและต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารมากกว่านี้
เขาจึงมีเป้าหมายว่าต้องการเรียนรู้วิธีการบริหารจากบริษัทระดับโลก
ซึ่งนั่นก็นำไปสู่การเดินทางออกนอกประเทศบ้านเกิดในปี ค.ศ. 2008 เพื่อไปร่วมงานกับ Microsoft
แต่จางก็ทำงานที่นี่ได้ไม่นาน เพราะเขารู้สึกว่าบริษัทแห่งนี้ มีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดเกินไป
หลังจากลองผิดลองถูกและสะสมประสบการณ์มาพอสมควร
เขาก็ได้ตัดสินใจลาออกจาก Microsoft เพื่อกลับไปลองก่อตั้งบริษัทของตนเองอีกครั้ง
ชื่อว่า “99fang” แพลตฟอร์มที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
หลังจากก่อตั้งได้เพียง 6 เดือน 99fang ก็สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานได้
จนแพลตฟอร์มของเขาเติบโตจนมีผู้ใช้งานมากถึง 1.5 ล้านบัญชี
และได้ก้าวขึ้นเป็นแพลตฟอร์มสำหรับอสังหาริมทรัพย์ของจีนอันดับต้น ๆ ในเวลานั้นเลยทีเดียว
ในขณะเดียวกัน เขาเริ่มเห็นว่าผู้คนมีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตบนสมาร์ตโฟนมากขึ้น
ทำให้เขามองว่าการใช้อินเทอร์เน็ตบนสมาร์ตโฟนจะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต
เขาจึงมองไปที่ตลาดที่ใหญ่กว่าตลาดในประเทศจีน นั่นก็คือ “ตลาดโลก”
จาง อี้หมิง ในวัย 29 ปี จึงได้ตัดสินใจจ้างผู้บริหารมารับไม้ต่อในการบริหาร 99fang
เพื่อที่เขาจะได้มาโฟกัสในธุรกิจใหม่ ในตอนนั้นเขาจึงก่อตั้ง “ByteDance” ขึ้นมา
โดยครั้งนี้เขาต้องการสร้าง แพลตฟอร์มโซเชียลที่ขับเคลื่อนด้วย AI เป็นหลัก
แม้จะมีไอเดียที่ดี แต่ในตอนนั้นแทบไม่มีใครเชื่อมั่น และให้เงินสนับสนุนกับเขาเลย
ถึงขนาดว่าในช่วงเริ่มต้น ByteDance ถูกปฏิเสธจาก Venture Capital หรือผู้ให้เงินระดมทุนกว่า 30 ครั้ง
ก็จะมีแต่ Susquehanna International Group ซึ่งเป็นบริษัทด้านการค้าและเทคโนโลยีระดับโลก
ที่ได้ให้เงินสนับสนุนกับจางราว 155 ล้านบาท
หลังจากที่ได้เงินสนับสนุนมา ในปีเดียวกันบริษัท ByteDance ได้เปิดตัว Toutiao ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม
ที่ให้บริการแจ้งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ซึ่งจุดเด่นของ Toutiao คือจะนำเสนอเนื้อหาตามความชอบ
โดยใช้ AI ในการวิเคราะห์ หลังจากเปิดตัวได้ 2 ปีมีผู้ใช้งานสูงถึง 13 ล้านบัญชีต่อวัน
จุดนี้เอง ก็ได้เริ่มทำให้เหล่าบริษัทขนาดใหญ่เริ่มให้ความสนใจและให้เงินสนับสนุน
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SoftBank รวมถึง Sequoia Capital ที่เคยปฏิเสธจางไปในครั้งแรก
ก็ได้กลับมาให้เงินสนับสนุนมากถึง 3,200 ล้านบาทในปี ค.ศ. 2014
ต่อมา จางยังได้สังเกตเห็นว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะดูคลิปวิดีโอสั้นมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
นั่นจึงเป็นไอเดียที่ทำให้ในปี ค.ศ. 2016 ByteDance ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มคลิปวิดีโอสั้นในจีน
ชื่อว่า “Douyin” หรือในเวอร์ชันสากลที่เรารู้จักกันคือ “TikTok” นั่นเอง
TikTok เป็นแพลตฟอร์มสำหรับสร้างและรับชมวิดีโอสั้น ซึ่งจะมีฟีเชอร์เสริมที่สามารถใส่เพลงประกอบได้
โดยในตอนแรกจะมีความยาวของวิดีโอเพียง 15 วินาทีเท่านั้น แต่ในภายหลังได้เพิ่มให้วิดีโอสามารถมีความยาวได้ถึง 3 นาที
และแน่นอนว่า TikTok ก็มีระบบแนะนำวิดีโอที่เราชอบหรืออาจจะสนใจ โดยการใช้ AI
ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัท ซึ่ง TikTok ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
เร็วในระดับที่หลังจากเปิดให้บริการได้เพียง 1 ปี TikTok มียอดผู้ใช้งานทั่วโลกสูงถึง 54 ล้านบัญชี
และเติบโตต่อเนื่อง จนปัจจุบันยอดผู้ใช้งานของ TikTok ได้กลายเป็น 732 ล้านบัญชีทั่วโลก
แล้วที่ผ่านมา ByteDance มีผลประกอบการเป็นอย่างไร ?
ปี 2018 มีรายได้ 230,000 ล้านบาท
ปี 2019 มีรายได้ 650,000 ล้านบาท
ปี 2020 มีรายได้ 1,200,000 ล้านบาท
รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด
และปัจจุบัน ByteDance ได้กลายเป็นบริษัทเนื้อหอม ที่มีแต่ผู้เข้ามาให้เงินระดมทุนมหาศาล
จนล่าสุดบริษัท ถูกประเมินมูลค่าอยู่ที่ 14.0 ล้านล้านบาท
และด้วยมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้นนี้เอง จึงทำให้ตัวเจ้าของอย่างจาง มีมูลค่าทรัพย์สินสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท
ขึ้นแท่นเป็นคนที่รวยที่สุดอันดับ 9 ของจีน และอันดับ 39 ของโลก
แล้วถ้าถามว่าเคล็ดลับความสำเร็จของจาง อี้หมิง คืออะไร ?
เราก็น่าจะนำมาสรุปแบ่งได้เป็น 2 ข้อ นั่นก็คือ
1. เขากล้าที่จะคิดในสิ่งใหม่ ๆ และลงมือทำอย่างจริงจัง
เหมือนตอนที่เขาตัดสินใจจ้างผู้บริหารใหม่มาดูแล “99fang” ทั้ง ๆ ที่บริษัทกำลังไปได้ดี
เพื่อจะมาทำตามความฝัน โดยการก่อตั้ง “ByteDance”
ที่ในตอนแรกแทบไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะทำได้
2. เขายอมรับข้อเสียของตัวเอง เพื่อที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น
เหมือนกับในช่วงที่เขาลาออกจาก Kuxun เพื่อที่จะเข้าไปเรียนรู้การบริหารในบริษัทที่ใหญ่กว่าอย่าง Microsoft และเมื่อกลางปีที่ผ่านมา จาง อี้หมิง เพิ่งประกาศว่าจะลงจากตำแหน่ง CEO ของ ByteDance โดยให้เหตุผลว่า “เขายังคงขาดทักษะบางอย่าง ในการเป็นผู้บริหารที่ดี”
แม้ว่าวันนี้ จาง อี้หมิง จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคนหนึ่ง
แต่เขายังคงถ่อมตน ไม่หลงตัวเอง คอยมองหาข้อผิดพลาดเพื่อที่จะแก้ไขและเรียนรู้อยู่เสมอ
ด้วยแนวคิดนี้ เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม ByteDance ภายใต้การบริหาร
ของจาง อี้หมิง ได้ก้าวขึ้นมาเป็น ยูนิคอร์นที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://en.wikipedia.org/wiki/Zhang_Yiming
-https://www.youtube.com/watch?v=kqxbO067y4g
-https://en.wikipedia.org/wiki/ByteDance
-https://www.businessinsider.com/bytedance-cofounder-zhang-yiming-steps-down-as-ceo-report-2021-5
-https://forbesthailand.com/news/global/zhang-yiming-เจ้าของแอปฮิต-tiktok-บริจาค-10.html
-https://www.forbes.com/profile/zhang-yiming/?sh=686eec81993c
-https://www.businessofapps.com/data/tik-tok-statistics/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Toutiao
-https://en.wikipedia.org/wiki/TikTok
-https://www.longtunman.com/31622
-https://2.flexiple.com/founders/zhang-yiming
-https://asia.nikkei.com/Business/36Kr-KrASIA/TikTok-creator-ByteDance-hits-425bn-valuation-on-gray-market#:~:text=BEIJING%20%2D%2D%20The%20valuation%20of,stakes%20for%20sale%20in%20ByteDance.
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過25萬的網紅iT24Hrs,也在其Youtube影片中提到,เราอยู่ในยุคดิจิทัลที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับ Ai หรือว่าปัญญาประดิษฐ์ ทั้งที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว เพราะว่าทุกวันนี้ Ai อยู่รอบตัวเราแล้ว เราก็ต้องทำความร...
ai engineer คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
กรณีศึกษา Lenovo ทำอย่างไร ให้เป็นผู้นำตลาด PC ของไทย และของโลก
Lenovo Thailand x ลงทุนแมน
ผู้ที่ครองส่วนแบ่งตลาด จำนวนการส่งมอบ PC อันดับ 1 ของโลก ในปี 2020 ที่ผ่านมา
คือ Lenovo ที่ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 23.8%
และสำหรับในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา
Lenovo ก็สามารถครองส่วนแบ่งตลาด PC อันดับ 1 ได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ลงทุนแมนมีโอกาสได้พูดคุยกับ6
คุณวรพจน์ ถาวรวรรณ ผู้จัดการทั่วไป Lenovo ประจำพม่า ลาว กัมพูชา และผู้อำนวยการส่วนธุรกิจคอนซูเมอร์ของ Lenovo ในไทย ถึงเคล็ดลับและกลยุทธ์การทำธุรกิจของ Lenovo
Lenovo ทำอย่างไร ให้เป็น ผู้นำตลาด PC ของไทยและของโลก ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าลองไปเปิดดูผลประกอบการปีที่ผ่านมาของ Lenovo
จะเห็นว่าบริษัททำรายได้รวมเติบโต 20% กำไรสุทธิเติบโต 77%
และถ้าหากมาโฟกัสที่ไตรมาสล่าสุด
Lenovo ทำรายได้เติบโต 48% และกำไรสุทธิเติบโตถึง 512%
ลงทุนแมนถามคุณวรพจน์ด้วยคำถามแรกว่า
การเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กส่วนบุคคลในไทย รวมไปถึงในพม่า ลาว กัมพูชา ที่คุณวรพจน์ เป็นผู้ดูแล เติบโตดีแค่ไหน เมื่อเทียบกับผลประกอบการภาพรวมของ Lenovo ?
คุณวรพจน์ ถาวรวรรณ ตอบด้วยตัวเลขที่บอกเราว่า “เติบโตได้ดีมาก ๆ สอดคล้องกับภาพรวม”
ในส่วน พม่า ลาว กัมพูชา ในส่วน Personal Computer และ Smart Devices (PCSD) ที่คุณวรพจน์ ดูแลนั้น รายได้เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
ส่วนการเติบโตในประเทศไทยในส่วนของคอมพิวเตอร์เพื่อการใช้งานส่วนบุคคลในปีที่ผ่านมานั้นก็สอดคล้องกับการเติบโตของ Lenovo ทั่วโลก
กล่าวสรุปคือ เป็นปีที่ Lenovo มีการเติบโตทั่วโลกรวมถึงในไทย
จากสถิติของ IDC สำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2021 Lenovo ยังครองส่วนแบ่งตลาด จำนวนส่งมอบ PC อันดับ 1 ของโลกที่ 24.3%
คำถามต่อมาคือ กลยุทธ์อะไรที่ทำให้สินค้าของ Lenovo เหนือกว่าแบรนด์อื่น ?
คุณวรพจน์อธิบายว่า Lenovo ใช้กลยุทธ์ที่เข้าใจได้ง่ายแต่ลึกซึ้งนั่นคือ เรารับฟังความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา และเรานำความต้องการของลูกค้ามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์
ซึ่งหากจะพูดในภาษาของการตลาดก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นแบบ “Inclusive Marketing” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดยุคใหม่ล่าสุด หรือ Marketing 5.0
คำว่า Inclusive คือต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงแล้ว ต้องเน้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วม อย่างเช่น ลูกค้าฟีดแบ็กมาว่าอยากให้มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาในสินค้า เราก็นำโจทย์ตรงนั้น มาพัฒนาให้เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ใช้งานได้จริง เพื่อให้มาตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้น
และคำว่า Inclusive ที่ว่านี้ ไม่ได้เจาะจงแค่สนใจใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
แต่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ตามวิสัยทัศน์ที่ Lenovo ตั้งไว้ว่า “Smarter Technology for All”
เรามีทีมที่ดูแลในแต่ละประเทศ ที่คอยรับฟังฟีดแบ็ก และทำความเข้าใจตลาดของแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้ง
อีกทั้งยังเน้นการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ในแต่ละประเทศอย่างเข้มแข็ง ซึ่งทำให้ Lenovo สามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ กลุยุทธ์อีกอย่างที่สำคัญคือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง คือ Lenovo ทุ่มเทและให้ความสำคัญอย่างมาก กับเรื่องการวิจัยพัฒนา (R&D)
ในปีงบประมาณ 2019/2020 Lenovo ลงงบประมาณในส่วน R&D สูงถึง 42,000 ล้านบาท โดยทางบริษัทมี 15 ศูนย์วิจัยพัฒนาทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 3,200 คน ดูแลในส่วนนี้โดยเฉพาะ
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์ในภาพรวม ที่ทำให้ Lenovo ยืนหนึ่งในตลาดนี้ได้
ลงทุนแมนถามต่อว่า ผู้บริโภคยุคนี้มีความต้องการหลากหลายมาก
บางคนต้องการ PC ไปทำงาน บางคนต้องการไปดูหนัง ฟังเพลง บางคนเอาไปเล่นเกม ตรงนี้ Lenovo มีกลยุทธ์ไปจับความต้องการที่แตกต่างเหล่านั้นอย่างไรบ้าง ?
คุณวรพจน์บอกว่า Lenovo นำเทคโนโลยีที่พัฒนา มานำเสนอเป็นสินค้าและบริการที่หลากหลายออกสู่ตลาด ซึ่งก็เพื่อมาจับความต้องการของลูกค้าที่มีหลากหลายในยุคปัจจุบัน
ยกตัวอย่างเช่น
- ซีรีส์ “IdeaPad” ที่นำเสนอออกมาเพื่อเจาะตลาดกลุ่มเริ่มต้น ที่ทั้งใช้ทำงานและใช้งานทั่วไป อย่างเช่น ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุด
- ซีรีส์ “Yoga” ที่ถูกนำเสนอเป็นโน้ตบุ๊กกลุ่มพรีเมียม มีนวัตกรรมล้ำ ๆ เช่น จอที่พับได้องศากว้าง ตอบโจทย์กลุ่มทำงานและกลุ่มใช้งานทั่วไประดับสูง ที่ต้องการความยืดหยุ่น รูปลักษณ์ดีไซน์ที่แสดงออกถึงความเป็นตัวตนของแต่ละบุคคล มีลูกเล่นเยอะ และมีเทคโนโลยีล้ำ ๆ
- โน้ตบุ๊กเกมมิง อย่างซีรีส์ “Legion” ที่เน้นให้ประสบการณ์ในการเล่นเกมสูงสุด มีสเปกการใช้งานที่คุ้มราคา และมีเทคโนโลยีที่ซัปพอร์ตการเล่นเกมให้ลื่นไหลอย่างเต็มที่
- Desktop ตั้งโต๊ะ IdeaCentre สำหรับผู้ที่ต้องการคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ที่สามารถใช้งานได้ร่วมกันทั้งครอบครัว มีดีไซน์ที่สวยงาม ไม่เทอะทะ
โดยนอกจากไลน์ผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมความต้องการที่แตกต่างแล้ว Lenovo ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใส่ไว้ในผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้บริโภค
ยกตัวอย่างเช่น
- เทคโนโลยี Presence Detection with Zero touch Login หรือการสแกนใบหน้าผ่าน Web Camera เพื่อปลดล็อกเครื่อง และล็อกเครื่องอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้เดินออกไปจากบริเวณหน้าจอ
- เทคโนโลยี Lenovo Q-Control ซึ่งใช้ AI มาช่วยเรื่องการจัดการพลังงานให้เหมาะสมกับการใช้งาน
- เทคโนโลยี Privacy Shutter ที่เป็นฝาครอบเพื่อเปิดปิด Web Camera ป้องกันการถูกแอบถ่าย ให้ความเป็นส่วนตัว
และยังมีเทคโนโลยีที่เน้นเรื่องสุขภาพของผู้ใช้ อาทิ
เทคโนโลยี Lenovo Aware ที่ช่วยมอนิเตอร์ท่านั่งให้ถูกตามหลักสรีระ และแจ้งเตือนถ้าเรานั่งผิดท่า หรือนั่งใกล้หน้าจอเกินไป
นอกจากนี้ยังมอนิเตอร์เวลาใช้เครื่อง มอนิเตอร์ความสนใจ
มีเทคโนโลยี Eye Care ที่ช่วยลดแสงสีฟ้าจากหน้าจอ, Noise Cancellation ช่วยลดเสียงรบกวน ซึ่งชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ในปัจจุบัน ตอบโจทย์คุณพ่อคุณแม่ที่ลูก ๆ ต้องเรียนออนไลน์
คำถามต่อมาคือ ตลาด PC ในอนาคตต่อจากนี้ จะยังเติบโตได้ดีอีกไหม ?
คุณวรพจน์มองว่า Lenovo จะยังคงเติบโตได้ดีต่อไปเนื่องจาก PC ได้กลายเป็น Commodity product ซึ่งทุกคนต้องใช้ในชีวิตประจำวันไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทางศูนย์วิจัยของ Lenovo มีการวิเคราะห์และคาดการณ์พฤติกรรมของผู้คนในอีก 3-5 ปีข้างหน้าแล้ว ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วนำผลที่ได้ มาออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่จะนำเสนอในอนาคต
อย่างเช่น เทรนด์การใช้งาน 5G และ Wi-Fi 6 ที่จะมาพร้อมกันกับพฤติกรรมคนที่จะยิ่งใจร้อนขึ้น ต้องการการบริการที่ปัจจุบันทันด่วนมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะฉะนั้นวิธีการนำเสนอสินค้าก็ต้องตอบโจทย์กลุ่มนี้ในอนาคต และต้องมีการพัฒนาบริการหลังการขายให้ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น ไม่ให้ผู้บริโภคต้องรอนานหากเกิดปัญหา
คุณวรพจน์เชื่อว่า Lenovo เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการอะไรอยู่ตลอดเวลา และพัฒนาสินค้า บริการใหม่ ๆ มานำเสนอให้ตรงจุด ซึ่งก็จะทำให้ Lenovo สามารถเติบโตได้ดีต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
คำถามต่อมาคือ Lenovo มีการออกแบบและจัดการบริการหลังการขาย รวมถึงเรื่องรับประกันคุณภาพสินค้าอย่างไรให้ตรงต่อความต้องการของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ?
ประการแรก: Lenovo ในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้งานทั่วไป หรือที่เราเรียกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ นั้นมีการรับประกันที่เราเรียกว่า Premium Care
ซึ่ง Premium Care เป็นบริการหลังการขาย เช่น รับประกันสินค้าอย่างต่ำ 3 ปี เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจในคุณภาพของสินค้า และใช้งานสินค้าได้อย่างอุ่นใจเป็นเวลานาน ๆ โดยเราจะมีช่างเทคนิคผู้มีความรู้คอยเป็นผู้ตอบคำถามถ้าลูกค้าต้องการโทรปรึกษาข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมง และตลอด 7 วัน
ประการที่สอง: Lenovo มีการรับประกันอุบัติเหตุ หรือ Accidental Damage Protection (ADP) ให้ตั้งแต่เครื่องที่ราคาหมื่นต้น ๆ ขึ้นไป
ประการที่สาม: บางรุ่นจะมีบริการ Next Business Day เช่น โทรเข้ามาแจ้งความผิดปกติของเครื่องในเช้าวันจันทร์ จะมีทีมงานเข้าไปดูแลถึงที่อย่างเร็วที่สุดภายในเย็นวันอังคาร
ประการที่สี่: มีซอฟต์แวร์ “Lenovo Vantage” ที่เอาไว้ช่วยประเมินอาการเสียหายเบื้องต้น ซึ่งซอฟต์แวร์ตัวนี้ ช่วยยกระดับการบริการหลังการขายให้ดีขึ้น เพราะจะทำให้ทีมบริการหลังการขายหรือผู้ใช้งานเอง ทราบอาการเบื้องต้นได้ทันทีเมื่อเช็กผ่านซอฟต์แวร์
นอกจากนั้น สำหรับโน้ตบุ๊กเกมมิงอย่างซีรีส์ Legion
Lenovo ก็มีบริการหลังการขาย Legion Ultimate Support
ที่มีคอลเซนเตอร์ที่เป็น Gamer Engineer คอยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง สามารถช่วยแก้ปัญหาการใช้งานเบื้องต้นสำหรับโน้ตบุ๊กเกมมิงได้ทันที ไม่ต้องรับเรื่องไว้แล้วไปประสานงานต่อ
คำถามสุดท้ายคือ Lenovo มีแผนจะทำอะไรใหม่ ๆ ในอนาคตอีกบ้าง ?
ทางคุณวรพจน์และ Lenovo เชื่อว่า อีกไม่เกิน 5 ปี ทุกอย่างจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ ซึ่งจะทำให้ Smart Home กลายเป็นเรื่องพื้นฐานของแต่ละครัวเรือนมากขึ้น และจะเป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต
เรากำลังเข้าสู่ยุค Data Driven Society ซึ่งเมื่อรวมกับพฤติกรรมผู้บริโภคแบบปัจจุบันทันด่วนขึ้น เทคโนโลยีก็ต้องรวดเร็วทันใจ
ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ 5G หรือ Wi-Fi 6 ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่บ้าน
หรือคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก ที่ใช้ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก เพื่อเสริมศักยภาพให้การใช้งานของผู้ใช้ เพราะสังคมทุกวันนี้ข้อมูลมันเยอะกว่าสมัยก่อนมาก และแน่นอนว่าจะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
นั่นจึงเป็นที่มาให้ Lenovo กำลังจะนำเสนอดีไวซ์และโซลูชันเหล่านี้มากขึ้น ในอนาคต
ขณะที่คอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก ก็จะเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน
ซึ่งคนจะเลือกจากความน่าเชื่อถือของแบรนด์ มีเทคโนโลยีที่ครบ และบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์
ในอนาคต Lenovo ตั้งใจจะมีพื้นที่รับฟังลูกค้าที่มากขึ้น
เพื่อฟังความเห็น รับฟีดแบ็กและข้อแนะนำให้เต็มที่
เพราะฟีดแบ็ก ข้อแนะนำ และคำติชม คือสิ่งมีค่าที่สุด ที่บริษัทสามารถนำไปพัฒนาแล้วต่อยอดออกมาเป็นสินค้าและบริการที่ตอบความต้องการของผู้ใช้งานต่อไปได้
เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ข้อมูลขับเคลื่อนโลกและสังคม
ยุคที่คนต้องการคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก ที่มีประสิทธิภาพที่สุดมาใช้
ยุคที่คนต้องการการบริการที่รวดเร็ว ไม่เชื่องช้า
ยุคที่ข้อมูลและทุกสิ่งทุกอย่าง จะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ
ยุคที่ต่อไปเราจะคุ้นชินกับ Smart Home และ Smart Devices
ซึ่งแน่นอนว่า Lenovo ก็มีความพร้อมเต็มที่
ที่จะเดินหน้าพัฒนา และนำเสนอสินค้าและบริการ
ให้มาตอบโจทย์ความต้องการต่าง ๆ เหล่านั้น ในอนาคต..
References
- https://investor.lenovo.com/en/publications/reports.php
- https://www.statista.com/statistics/255283/lenovos-rundd-expenditure/
- https://www.idc.com/getdoc.jsp?containerId=prUS47601721
- บทสัมภาษณ์ คุณวรพจน์ ถาวรวรรณ ผู้จัดการทั่วไป Lenovo ประจำพม่า ลาว กัมพูชา และผู้อำนวยการส่วนธุรกิจคอนซูเมอร์ของ Lenovo ไทย โดยเพจลงทุนแมน
ai engineer คือ 在 Dek Jew Chill Out Facebook 的最佳貼文
เกิดอะไรขึ้นกับ YouTube ช่องเด็ก❓
หรือว่ามาถึงทางตันของสายเด็กบน YouTube แล้ว⁉️
วันนี้ขอมาเขียนยาวๆ อธิบายให้คนที่ได้รับผลกระทบตรงนี้เข้าใจ หรืออาจไม่ได้รับผลกระทบแต่อยากรู้ก็อ่านได้นะคะ 😉
หลายคนคงเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงบน YouTube ตั้งแต่วันที่ 11/11 ที่ผ่านมา "ทุกคน" ที่ Upload clip ขึ้น YouTube จะต้องระบุว่าคลิปของตัวเองนั้นเป็นคลิปที่ "สร้างมาสำหรับเด็ก" รึเปล่า (Made for Kids หรือคน YouTube เรียกย่อๆว่า MFK) ไม่ใช่เฉพาะสายเด็กเท่านั้นที่ต้องระบุ แต่ทุกคน ทุกคลิปต้องระบุ ซึ่งการระบุนั้น สามารถทำได้ในระดับคลิป และ ระดับช่อง คือ
1. ถ้าเรามั่นใจว่าทุกคลิปในช่องเรา เป็น MFK เราระบุที่ระดับช่องได้เลยว่าช่องนี้ MFK นะจ๊ะ แบบนี้ทุกคลิปที่ upload ในช่องนี้ก็จะถูกระบุว่าเป็น MFK โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมานั่งระบุทีละคลิป
2. ถ้าเรามั่นใจว่าทุกคลิปในช่องเราไม่เป็น MFK ทุกคลิปของเราไม่ได้ทำมาเพื่อเด็กดู เราก็สามารถระบุที่ระดับช่องได้เลยเหมือนกัน
3. ช่องเรามีทั้ง 2 แบบ ก็สามารถเลือกระบุเป็นคลิปๆไปได้ ว่าคลิปนี้ MFK คลิปนั้นไม่ MFK
ซึ่งจุดนี้ ถ้าเราไม่ได้ระบุ หรือเรามีคลิปเก่าๆมากมายหลายพันคลิป เราไม่ต้องตามไประบุ เพราะ YouTube จัดการระบุให้เราเสร็จ ด้วย Machine Learning System เค้ามี AI ที่ฉลาดมากๆ ที่จะระบุให้ได้ ซึ่งก็อาจมีข้อผิดพลาดได้บ้าง ถ้า AI ระบุผิด YouTube ก็มีปุ่มให้กดโต้แย้งได้ ซึ่งถึงตอนนี้ก็จะเป็นคนที่เข้ามาดูและพิจารณาให้เรา แต่...ถ้าเราตั้งใจบิดเบือนข้อมูลว่าคลิปเราไม่เป็น MFK ทั้งๆที่มันเป็น คุณก็จะโดนอะไรสักอย่างจาก YouTube ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี Policy ที่แน่ชัดออกมาว่าจะโดนอะไรร้ายแรงแค่ไหน แต่ YouTube บอกว่าจะจัดการคนที่ทำแบบนี้แน่นอนค่ะ 😱
คลิปที่เป็น MFK หรือคลิปที่ "สร้างมาสำหรับเด็ก" (Made for Kids) คืออะไร? ก็แปลตรงตัวเลยว่ามันคือคลิปที่สร้างมาเพื่อให้เด็กดูนั่นเอง เด็กในที่นี้ ก็ยึดตามอเมริกาว่า ต่ำกว่า 13 ขวบก็คือเด็ก
แล้วเราจะรูได้ไงว่าคลิปเราเข้าข่ายนี้มั๊ย ทาง YouTube ก็มีลิสต์มาให้เช็คง่ายๆ ถ้าคลิปคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้ ก็เข้าข่าย MFK
1. เนื้อหาสาระของคลิปเป็นคลิปเพื่อเด็ก เช่น สื่อการสอนของเด็กน้อยก่อนวัยเข้าเรียน
2. คลิปคุณตั้งใจทำมาให้เด็กดู หรือกลุ่มคนดูจริงๆของคุณเป็นเด็ก
3. คลิปคุณมีเด็กมาแสดงในคลิปด้วย
4. คลิปคุณมีตัวการ์ตูน คนดัง หรือของเล่นที่ดึงดูดใจเด็ก เช่น เอลซ่า หางนางเงือก สไลม์ กสุชชี่
5. ภาษาที่ใช้ในคลิปเป็นภาษาที่ใช่สื่อสารกับเด็กโดยเฉพาะ รวมไปถึงการทำเสียงสองให้น่ารักๆ แบบที่เวลาเราคุยกับเด็กน้อยด้วย
6. กิจกรรมในคลิป เป็นกิจกรรมที่ดึงดูดใจเด็ก เช่นการละเล่นต่างๆ เพลงเด็ก เกม หรือกิจกรรมของเด็กน้อยอนุบาล
7. คลิปเพลงเด็ก นิทาน เรื่องราว หรือบทกลอนสำหรับเด็ก
8. อื่นๆ ใดๆ นอกเหนือจากนี้ที่มันชี้ว่าคลิปคุณนั้นเป็นคลิปทำมาให้เด็กดู
จะเกิดอะไรขึ้นกับคลิปหรือช่องที่ถูกระบุว่าเป็น MFK 😢
1. YouTube จะไม่เก็บข้อมูลของผู้ชมคลิปที่เป็น MFK (ปกติ YouTube จะเก็บข้อมูลของผู้ชมคลิปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น location เพศ อายุ หรือความสนใจ)
2. คนดูจะไม่สามารถ comment ใต้คลิปได้
3. โฆษณาประเภท Personalized Ads จะไม่ขึ้นที่คลิป MFK (ข้อนี้สำคัญที่สุดเลยจ้า) 😭😭😭
4. Features หลายอย่างจะหายไป นอกจาก comment แล้ว ก็ยังมี Info Cards และ End Screens ที่จะไม่มีให้ใช้ด้วย
5. และถ้าทั้งช่องถูกระบุว่าเป็นช่อง MFK ช่องนั้นก็จะไม่มี Stories, Community Tab (ชุมชน), กระดิ่งแจ้งเตือน และคนดูจะไม่สามารถกดปุ่ม Save to watch later หรือ เพิ่มลงใน playlist ได้
สาเหตุที่ YouTube ต้องเปลี่ยนนโยบาย และวิธีปฏิบัติครั้งใหญ่ครั้งนี้
ย้อนกลับไปเมื่อราว 2 ปีก่อน มีคนไปแจ้ง FTC (Federal Trade Commission หรือ คณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา) ว่า YouTube นั้นทำ “ผิดกฎหมาย COPPA (Children’s Online Privacy Protection Act) แปลง่ายๆ ว่าเป็นกฎหมายพิทักษ์ความเป็นส่วนตัวของเด็กบนโลกออนไลน์” 🙁
เรื่องก็คือ YouTube นั้นเก็บข้อมูลทุกอย่างบนโลก online ของคนที่เข้ามาดูคลิป YouTube อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น เพศ อายุ สถานที่ดูคลิป ใช้อุปกรณ์อะไรดูคลิป เข้ามาดูคลิปด้วยวิธีการไหน รวมไปถึงความสนใจของคนดูคลิปด้วย
ฉะนั้น YouTube ก็จะมีข้อมูลมหาศาลของคนดูเหล่านี้อยู่ในมือ เวลามีคนมาซื้อโฆษณาใน YouTube ก็จะสามารถยิงตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ เช่น ช่วงที่เราจะไปเที่ยวญี่ปุ่น เราหาข้อมูลต่างๆใน google เกี่ยวกับญี่ปุ่น พอเราเข้า YouTube ดูอะไรก็ตาม เราจะเห็นโฆษณาสายการบินที่มีตั๋วไปญี่ปุ่น หรือโฆษณาการท่องเที่ยวญี่ปุ่น หรือโปรโมชั่น International Roaming เพราะผู้ลงโฆษณาเหล่านั้น ระบุกับ YouTube ให้ยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่กำลังสนใจเรื่องราวท่องเที่ยวญี่ปุ่นแบบเราอยู่นั่นเอง
เด็กก็เหมือนกัน จะโดนเก็บข้อมูลพฤติกรรมความสนใจต่างๆ ถ้าเด็กคลิกดูคลิปบาร์บี้รัวๆ Mattel ก็จะยิงโฆษณามาที่เด็กคนนี้ ซึ่งตามกฎหมายแล้วมันผิด!! คือผิดตั้งแต่เก็บข้อมูลของเด็กแล้ว ข้อนี้ทำให้ YouTube โดนฟ้องและถูกปรับไปแล้วเป็นเงิน $170 ล้าน หรือเป็นเงินไทยราว ห้าพันกว่าล้านบาท!!! นี่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่พวกเราเหล่า Content Creator และ YouTube เอง กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ 😩
เมื่อโดนฟ้องและโดนปรับขนาดนี้ YouTube เองก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง และบอกกับ FTC ว่าชั้นผิดไปแล้ว ชั้นจะปรับปรุงตัวและแก้ไขนะ โดยการ
1. ไม่เก็บข้อมูลเด็กๆที่เข้ามาดูคลิป - แล้ว YouTube จะรู้ได้ไงว่าคนที่มาดูคลิปคนไหนเป็นเด็ก เพราะเด็กใช้ Account พ่อแม่ปู่ย่าตายายเข้ามาดู เด็กต่ำกว่า 13 ไม่มี gmail ไม่สามารถ login เข้ามาดูได้อยู่แล้ว หรือบางคนก็ดูคลิปด้วยการไม่ login ก็มี คำตอบคือ YouTube ใช้วิธีตัดสินจากว่า ถ้าใครดูคลิปที่เป็น MFK ก็ถูกเหมาว่าเป็นเด็กหมด ฉะนั้น YouTube จะไม่เก็บข้อมูลคนดูคลิป MFK ตามที่เล่าไปแล้วตั้งแต่ต้น
2. ตัด Feature ต่างๆในคลิปที่เป็น MFK ออกไปเพื่อปกป้องเด็ก เช่น Comment เพื่อป้องกันข้อความ Cyber Bully ข้อความ Harassment หรืออื่นๆที่ไม่พึงประสงค์สำหรับเด็ก (บางคนถามว่าบาง Feature ที่โดนตัดไปเช่น Info Cards หรือ End Screens ไม่เห็นจะเกี่ยว หรือมีผลเสียอะไร แต่คำตอบของ Engineer ของ YouTube คือมันมีผลเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลคนดูด้วย เลยจำต้องเอาออกไปด้วยจ้า)
3. ที่สำคัญที่สุดคือ จะไม่ยิงโฆษณาเฉพาะเจาะจง หรือ Personalized Ads ไปที่คลิป MFK ซึ่ง Personalized Ads ก็คือโฆษณาที่ระบุกลุ่มเป้าหมายในการยิงโฆษณา เช่น Adidas มาซื้อโฆษณา YouTube แล้วบอกว่าจะยิงโฆษณาไปยังคนดูที่อายุ 18-45 เท่านั้นนะ และเอาพวกที่ชอบเรื่องกีฬาเท่านั้นนะ อาจจะเลือกว่าให้ยิงโฆษณาในประเทศไหน ไม่ยิงในประเทศไหนก็ได้ นี่คือ Personalized Ads แต่ไม่ใช่ว่าคลิป MFK จะไร้ซึ่งโฆษณาเลย จะยังมีโฆษณาเฉพาะที่เป็นโฆษณาแบบ Non Personalized Ads ที่ไม่ระบุอะไรเลยตอนซื้อโฆษณา คือยิงไปที่ไหน ใครก็ได้ ซึ่งมันน้อยยยยมาก โฆษณาส่วนใหญ่บน YouTube นั้นเป็น Personalized Ads จ้า มีคนโน้นคนนี้ประเมิณว่าอาจจะเป็นจำนวน 60-90% ของโฆษณาทั้งหมดบน YouTube ก็ได้ แต่คน YouTube เอง ก็ยังไม่สามารถระบุตัวเลขที่แน่ชัดให้ได้ บอกได้แค่มันเป็น “ส่วนใหญ่” แค่นั่นเอง
ผลกระทบหลักกับช่องเด็ก หรือคลิปเด็กใน YouTube คือ รายได้จากโฆษณาลดลงแบบตกจากฟ้าลงไปในเหวกันเลยทีเดียว😱😱😱 อย่างที่บอกว่าไม่รู้ว่ากี่ % แต่เยอะแน่นอน เราจะรู้ตัวเลขแน่ชัดก็ต่อเมื่อนโยบายนี้เริ่มมีผลหลังวันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
บางคนถามว่าทำไม YouTube ไม่ช่วยช่องเด็กเลย มีทางออกอื่นๆอีกมั๊ย คำตอบคือ YouTube นั้นพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องนี้กันภายในมาเป็นระยะเวลา 2 ปีแล้ว พยายามหาทางออกที่ดีที่สุด จนได้คำตอบออกมาอย่างที่เห็น ขนาดช่องใหญ่ๆมากๆที่อเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Walt Disney, Sesame Street ก็ต้องทำตามนโยบายนี้เพราะมันเป็นกฎหมาย COPPA 😥
ช่องเด็กควรทำยังไง ปรับตัวยังไง เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
1. ปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เป็นเนื้อหาผู้ใหญ่ดู บางช่องดังๆที่อเมริกา อย่าง Ryan’s Toys Review ก็เปลี่ยนเป็น Ryan’s World ปรับเนื้อหาเป็น Lifestyle เป็นท่องเที่ยว พ่อแม่พาลูกเที่ยว อะไรไป ซึ่งบางคลิปก็ยังอาจจะโดน MFK แต่คลิปที่รอดก็มี
2. ทำงานกับ Brand รับงาน Sponsor รับรีวิวสินค้า
3. ขายของ พวกเรามีฐานคนดู ฐานแฟนอยู่แล้ว เรามีช่องทางประชาสัมพันธ์สินค้าของเราอยู่แล้ว
4. กระจายความเสี่ยงไปอยู่ Platform อื่นๆบ้าง
เขียนมายืดยาว ปะป๊าถามว่าใครจะอ่านเนี่ย..แต่ก็คิดว่าน่าจะมีคนอ่านจบ โดยเฉพาะคนที่จะโดนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพราะมันสำคัญมากๆ มันหมายถึงชีวิตที่จะเปลี่ยนไป บ้านที่เพิ่งผ่อน รถที่เพิ่งซื้อ พ่อแม่พี่น้อง ครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนและก้าวข้ามผ่านกันแล้วค่ะ
สู้ๆนะคะทุกคน ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ ปรับเปลี่ยนไป ทุกอย่างมีทางออกเสมอ เป็นกำลังใจให้นะคะ 😉
Helpful Resources:
The Children's Online Privacy Protection Rule (“COPPA”)
https://www.ftc.gov/…/childrens-online-privacy-protection-r…
FTC open comment period (feedback on the COPPA regulation can be filed through Dec. 9, 2019)
https://www.federalregister.gov/…/request-for-public-commen…
YouTube Help: Determining if your content is made for kids
https://support.google.com/youtube/answer/9528076
YouTube Help: Set your channel or video’s audience
https://support.google.com/youtube/answer/9527654
ai engineer คือ 在 iT24Hrs Youtube 的最佳貼文
เราอยู่ในยุคดิจิทัลที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับ Ai หรือว่าปัญญาประดิษฐ์ ทั้งที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว เพราะว่าทุกวันนี้ Ai อยู่รอบตัวเราแล้ว เราก็ต้องทำความรู้จักกับ Ai เพื่อให้เราอยู่ร่วมกับ Ai ได้อย่างมีความสุข แต่พอพูดถึง Ai หลายคนก็ยังสงสัยว่า Ai ก็คือหุ่นยนต์ที่ต้องมีหน้า แขน ขา เหมือนมนุษย์หรือเปล่า แล้วมีอะไรบ้างที่เรียกว่า Ai
ออกอากาศวันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม 2563
ในรายการ Digital Thailand ออกอากาศ ทุกวันเสาร์ ทางช่อง 3 กด 33 เวลา 4.40 น.- 5.05 น.
ติดตามรับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
facebook.com/it24hrs
twitter.com/panraphee
twitter.com/it24hrs
IG: panraphee
ติดต่อโฆษณา it24hrs@it24hrs.com
