電信公司在氣候行動也很重要!
這是我首次看到第一家 AT&T 如此積極的作為,尤其未來電信基礎建設也會受到極端氣候影響,5G 基地台很密,用電量也增加。 我問過台灣幾家電信大廠,你們的碳排的目標是什麼,回答的都不是很清楚⋯⋯
at&t investing 在 สาระศาสตร์ Facebook 的最佳貼文
เคยมีนักข่าวคนหนึ่งถาม วอเรนต์ บัฟเฟต ว่าการลงทุนที่ดีสุดคืออะไร วอเรนต์ บัฟเฟต จึงตอบไปว่า "การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนกับตัวเอง" การทุนในตัวเองที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ การออกกำลัง การกินอาหารดีๆ และการอ่านหนังสือ
"การอ่าน" คืองานอดิเรกอย่างหนึ่งของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เราจึงเห็นบทความที่ผ่านตามามากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมการอ่านของเหล่าคนดังอย่าง Elon Musk, Bill Gates, Mark Zuckerberg และเหล่าบุคคลผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ก็ต่างมีหนังสือในดวงใจ โดยหนังสือในดวงใจของบุคคลเหล่านี้มีหนังสืออะไรบ้างมาดูกันครับ
1. ”The Intelligent Investor: The Definitive Book on Value Investing” by Benjamin Graham
วอเรนต์ บัฟเฟต ได้หยิบหนังสือ The Intelligent Investor อ่านครั้งแรกตอนที่เขาอายุได้ 19 ขวบ จากนั้นหนังสือเล่มนี้ก็เหมือนเป็นการเปิดโลกการลงทุนให้กับหนุ่มน้อย บัฟเฟต จากนั้นเขาก็ยึดถือแนวทางการลงทุนของ Benjamin Graham
เป็นหลัก ตัวของ บัฟเฟต ได้ให้เครดิตกับหนังสือเล่มนี้ว่า "ที่ผมเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะหนังสือเล่มนี้"
2. ”The Design of Everyday Things” by Don Norman
หนังสือเล่มนี้ตือหนังสือเล่มโปรดของ Marissa Mayer อดีต CEO ของบริษัท Yahoo เธอบอกว่าหนังสือเล่มนี้คือหนังสือที่ผสมผสานจิตวิทยาและการออกแบบเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างน่าทึ่ง
ปล. หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนทำงานสายโปรแกรมเมอร์ม ถ้าคนปกติทั่วไปไม่มีความรู้ด้านนี้เลยอ่านแล้วน่าจะงงซักเล็กน้อยถึงปานกลาง
3. “The Catcher in the Rye” by J.D. Salinger
The Catcher in the Rye คือหนังสือนวนิยายที่ Bill Gates อ่านตอนที่เขาอายุ 13 ปี และเป็นหนึ่งในหนังสือเล่มโปรดของเขาอีกหนึ่งเล่ม
หนังสือที่พูดความโดดเดี่ยว การเสแสร้ง หนึ่งในหนังสือ ‘ต้องห้าม’ เมื่อพิมพ์จัดจำหน่ายในครั้งแรก แต่ต่อมากลับกลายเป็นหนึ่งในหนังสือที่ ‘ต้องอ่าน’ สำหรับนักศึกษาในอเมริกา
The Catcher in the Rye หนังสือที่เป็น ‘แรงบันดาลใจ’ ให้แก่หนุ่มสาวมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็น ‘มูลเหตุจูงใจอันผิดๆ’ ให้บางผู้คนกระทำเรื่องที่สร้างความตกตะลึงแก่คนทั้งโลก เช่นที่ Mark David Chapman ลงมือสังหาร John Lenon เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1980
4. “The Brothers Karamazov” by Fyodor Dostoyevsky
นี่คือหนังสือนวนิยายอาชญากรรม แนวสืบสวน สอบสวน เล่มโปรดของ Randall L. Stephenson CEO ของบริษัท AT&T หนังสือของเล่มนี้เป็นวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นหนึ่งของโลก และเป็น 1 ใน 100 สุดยอดวรรณกรรมจากการโหวตของนักเขียนทั่วโลก มีการแปลและตีพิมพ์ในหลายประเทศ ตลอดจนมีการนำมาทำเป็นภาพยนตร์ และเขียนเป็นหนังสือการ์ตูนโดยอาซาโกะ ชิโอมิ นักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่น
5. "The Score Takes Care of Itself: My Philosophy of Leadership" by Bill Walsh, Steve Jamison and Craig Walsh
Drew Houston CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Dropbox ยึดมั่นในปรัชญาการของ Bill Walsh ถึงขนาดเอาปรัชญานี้ไปใช้ตอนที่เริ่มก่อตั้งบริษัท Dropbox
"The Score Takes Care of Itself: My Philosophy of Leadership คือหนังสือของ Bill Walsh คืออดีตโค้ชทีมอเมริกันฟุตบอล 49ers ซึ่งได้วางมือเกษียณไปแล้ว เขาได้เล่าถึงประสบการณ์ของเขา เช่น องค์กรที่ประสบความสำเร็จต่างมีสิ่งที่เรียกว่า “มาตรฐานแห่งความเป็นเลิศ” และมีวิธีในการสร้างสิ่งนี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น เวลาไหนที่ควรต้องใช้มาตรการเด็ดขาดและเวลาไหนที่อาจจะต้องผ่อนปรน หนังสือของ Walsh รวบรวมบทเรียนทั้งหมดเหล่านี้ไว้ภายในเล่มนี้
6. “The Aeneid” by Virgil
The Aeneid คือวรรณกรรมคลาสสิค เป็นหนึ่งในผลงานสำคัญของวรรณกรรมละติน[ แก่นของเรื่องประกอบไปด้วยความขัดแย้ง โดยเริ่มต้นด้วยสงครามกรุงทรอย นำพาให้อีเนียสลี้ภัยไปที่คาร์เธจ ซึ่งการพรากจากราชินีไดโดทำให้พระนางสาปแช่งอีเนียส นำไปสู่ความขัดแย้งของชาวโรมันกับชาวคาร์เธจในเวลาต่อมา
หลายคนอาจจะแปลกใจหนังสือที่ Mark Zuckerberg ชื่นชอบกลับไม่ใช่นิยายแนววิทยาศาสตร์ หรือนิยาย Sci-Fi แต่กลับเป็นวรรณกรรมคลาสสิคแทน โดยตัวของ Mark ได้อธิบายการอ่านของเขาไว้ในปี 2015 ว่า " ความท้าทายของผมสำหรับปี 2015 คือการอ่านหนังสือเล่มใหม่ทุกสัปดาห์โดยเน้นที่การเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมความเชื่อประวัติศาสตร์และเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ... ผมตื่นเต้นกับความท้าทายในการอ่านของผม ผมพบว่าการอ่านหนังสือเป็นการเติมเต็มความรู้ของผมได้เป็นอย่างดี"
7. “Bossypants” by Tina Fey
Sheryl Sandberg ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูเราซักเท่าไหร่ แต่เธอคือหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของ Facebook โดยตัวเธอมีทรัพย์สินถึง 1.53 พันล้านเหรียญ และยังเป็นผู้ก่อตั้ง LeanIn.org ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ให้อำนาจแก่ผู้หญิง และเป็นผู้เขียนหนังสือ Lean In และ Option B
Bossypants เป็นหนังสือตลกเกี่ยวกับอัตชีวประวัติที่เขียนโดยนักแสดงตลกชาวอเมริกัน Tina Fey หนังสือเล่มนี้ติดอันดับรายชื่อหนังสือขายดีของ New York Times และอยู่ฮิตติดชาร์ต เป็นเวลาห้าสัปดาห์หลังจากได้รับการตีพิมพ์เมื่อวันที่พฤศจิกายน 2014 หนังสือเล่มนี้มียอดขายมากกว่า 2.5 ล้านเล่ม
8. “The Road to Character” by David Brooks
Indra Nooyi ซีอีโอของ Pepsi ชื่นชอบหนังสือ The Road to Character เป็นอย่างมาก หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการมุ่งเน้นไปที่คุณค่าที่แท้จริงที่อยู่ข้างในตัวเรา การได้มาซึ่งความมั่งคั่งชื่อเสียงและสถานะนั้นไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของเรา
9. “The Happiness Advantage” by Shawn Achor
The Happiness Advantage คือหนังสือเล่มโปรดของ Melanie Whelan ( นักธุรกิจหญิงชาวอเมริกันซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ บริษัท การลงทุน Summit Partners. )
หนังสือเล่มนี้ได้พูดถึงถึงกลยุทธ์ในการสร้างความสุขซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ เหมาะสำหรับ ใครก็ตามที่สนใจศาสตร์แห่งการมีความสุข ใครก็ตามที่ต้องการมีชีวิตที่เป็นไปทางบวกมากขึ้น และใครก็ตามที่สนใจในการสร้างความสำเร็จให้กับตนเองมากขึ้น
10. “Blink: The Power of Thinking Without Thinking” by Malcolm Gladwell
หนังสือเล่มโปรดของ Marillyn Hewson เธอเป็นนักธุรกิจหญิงชาวอเมริกันปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริหารของ Lockheed Martin บริษัท ผลิตอากาศยานและอวกาศ
หนังสือเล่มนี้ได้พูดถึง การพยายามรวบรวมข้อมูลและคิดอย่างรอบคอบนั้น อาจทำให้คนเรามีมุมมองที่เฉียบคมน้อยลง และจิตไร้สำนึกของคนเรานั้นมีผลต่อการตัดสินใจและการกระทำของเรา มากกว่าที่เราคิดหรือรู้สึกตัว
เราสามารถใช้เวลาเพียง 1-2 วินาทีในการตัดสินใจอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจจะดูไม่น่าเชื่อถือ และไม่มีเหตุผลมาอธิบาย แต่สิ่งนี้เป็นคลังข้อมูลที่มีอยู่ในตัวของเราทุกคน และพิสูจน์ให้เห็นว่า ความคิดชั่วพริบตาที่เกิดขึ้นนั้นมีประโยชน์อย่างไร ทำงานอย่างไร และมีโทษอย่างไร
เป็นยังไงกันบ้างครับกับหนังสือทั้ง 10 เล่มของเหล่าบุคคลผู้ชื่อเสียงในวงการต่างๆ เพื่อนๆ ได้อ่านหนังสือ และมีครอบครองไว้แล้วกันละคนละกี่เล่มคอมเม้นมาบอกกันหน่อยนะครับ
ปล. ข่าวดีคือหนังทั้ง 10 เล่มนี้มีแปลไทยไปแล้วถึง 4 เล่มด้วยกัน ได้แก่
1. Blink: The Power of Thinking Without Thinking by Malcolm Gladwell
2. The Happiness Advantage by Shawn Achor
3. The Catcher in the Rye by J.D. Salinger
4. The Intelligent Investor: The Definitive Book on Value Investing” by Benjamin Graham
งานหนังสือที่กำลังจะถึงนี้ก็อย่าลืมไปสอยมาอ่านกันนะครับ
at&t investing 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
โรนัลด์ รีด ภารโรง ที่มีทรัพย์สิน 200 ล้าน /โดย ลงทุนแมน
โรนัลด์ รีด ชายคนนี้เป็นภารโรงคนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตตามปกติในสังคม ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง
แต่แล้วตอนที่เขาเสียชีวิตลง ทุกคนก็ต้องประหลาดใจ
เมื่อพบว่า รีด มีทรัพย์สินเก็บไว้สูงถึง 200 ล้านบาท
คำถามคือ เขามีเงินเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
นายโรนัลด์ รีด (Ronald Read) เป็นชาวอเมริกัน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1921
โดยครอบครัวอาศัยอยู่ในรัฐเวอร์มอนต์ มีฐานะค่อนข้างยากจน และส่งเขาเรียนได้แค่ชั้นมัธยม
หลังจากปลดประจำการทหาร เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
เขาได้กลับมาทำงานเป็นพนักงานช่างที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในเมืองบ้านเกิด
ผ่านมาถึงปี 1980 เขาเปลี่ยนมาทำงานเป็นภารโรงแบบพาร์ตไทม์ ที่ร้านค้าปลีก JCPenney
โดยมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย และรับผิดชอบงานช่างเทคนิคต่างๆ ภายในร้าน
เขาทำอาชีพนี้อยู่นาน 17 ปี ก่อนเกษียณตัวเองในปี 1997 และกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข
ดูเหมือนว่าชีวิตของผู้ชายธรรมดาคนนี้ จะไม่มีเรื่องราวอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ
จนกระทั่งเขาเสียชีวิตลงในปี 2014 ตอนอายุ 92 ปี
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็ถูกเปิดเผยออกมา
เพราะครอบครัวพบว่า มรดกที่พ่อเหลือเอาไว้นั้น
คือทรัพย์สินที่มีมูลค่าถึง 240 ล้านบาท
ซึ่งตามพินัยกรรม เขาต้องการแบ่งทรัพย์สินเป็นสัดส่วนดังนี้
60 ล้านบาท ยกให้กับครอบครัว
40 ล้านบาท ยกให้กับห้องสมุด Brooks Memorial
140 ล้านบาท ยกให้กับโรงพยาบาล Brattleboro Memorial
เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับคนในท้องถิ่นเป็นอย่างมาก รวมไปถึงครอบครัว
ว่าโรนัลด์ รีด มีทรัพย์สินเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เพราะถ้าดูจากข้อมูลแล้ว เขาน่าจะมีรายได้จากการทำงานน้อยกว่าคนอื่นอยู่พอสมควร
ปัจจุบัน ที่สหรัฐอเมริกา ประชาชนมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 1,440,000 บาทต่อปี
ในขณะที่อาชีพภารโรง มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 910,000 บาทต่อปี
ยิ่งถ้าเป็นฐานเงินเดือนและค่าเงินในอดีตหลายสิบปีก่อน รายได้ของรีดคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ได้ทำให้เงินเก็บดังกล่าว มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ด้วยการนำมันไป “ลงทุน” อย่างสม่ำเสมอ
อันที่จริงแล้ว ทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่รีดถือครองอยู่ ก็คือ หุ้นของ 95 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
แน่นอนว่า รีด ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
แต่ด้วยความสนใจ เขาจึงมักจะศึกษาข้อมูลผ่านหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal อยู่ทุกวัน
รวมทั้งเข้าไปหาความรู้เพิ่มเติมที่ห้องสมุด Brooks Memorial เป็นประจำ
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า เขาใช้เงินลงทุนไปเท่าไหร่
แต่เพื่อนสนิทได้เปิดเผยว่า จากที่รู้จักนิสัยกันมานาน
เขามั่นใจว่า เพื่อนจะแบ่งเงินเดือนสัดส่วน 80% ไปลงทุน
ทั้งนี้หลักการลงทุนของรีด เป็นวิธีง่ายๆ ที่ใครก็สามารถทำได้ และไม่ต้องใช้ปัจจัยทางเทคนิคใดๆ
โดยเขาจะเลือกซื้อเฉพาะหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจเข้าใจง่าย มีมูลค่าตลาดสูง และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมตัวเอง หรือที่นักลงทุนเรียกกันว่า หุ้น Blue-Chip
นอกจากนี้ กิจการจะต้องมีการจ่ายปันผลที่แน่นอน เพราะเขาจะถือหุ้นเอาไว้ระยะยาวหลายปี
ซึ่งรีดได้เข้าลงทุนในบริษัทจากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น
ธุรกิจสินค้าผู้บริโภค เช่น Procter & Gamble, Johnson & Johnson, General Electric
ธุรกิจโทรคมนาคม เช่น AT&T
ธุรกิจการเงิน เช่น J.P. Morgan, Bank of America
ธุรกิจยานยนต์ เช่น General Motors
ธุรกิจพลังงาน เช่น Dow Chemical
และเขาจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี ที่รูปแบบธุรกิจเข้าใจยาก แม้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม ก็มีบางบริษัทที่ทำให้เขาต้องขาดทุน เช่น Lehman Brothers ที่ล้มละลายจนเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติการเงินโลกในปี 2008
แต่เนื่องจากว่า รีดมีการกระจายความเสี่ยง จึงทำให้ผลกระทบอยู่ในวงจำกัด
จะเห็นได้ว่า วิธีการลงทุนนี้ คล้ายกับนักลงทุนชื่อดังอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นอย่างมาก
ซึ่งมันได้ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนของ โรนัลด์ รีด เติบโตขึ้นตามกาลเวลา
จนสุดท้ายมีมูลค่า 240 ล้านบาท ในปี 2014
แต่สาเหตุที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ว่าชายคนนี้เป็นเศรษฐี
ก็เพราะว่าเขายังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือมเดิม
การได้นั่งทานอาหารเช้าที่ร้านโปรดในโรงพยาบาล Brattleboro Memorial ทุกวัน
ขับรถมือสองที่ซื้อมาตั้งแต่อดีต
ใส่เสื้อตัวเดิมที่คุ้นเคย
และอ่านข่าวเกี่ยวกับการลงทุน
สำหรับเขา แค่นั้นก็ถือว่ามีความสุขแล้ว
เรื่องราวนี้อาจทำให้เราได้คิดว่า
มันคงไม่สำคัญว่าเราประกอบอาชีพอะไร หรือมีพื้นฐานความรู้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าตั้งใจศึกษาข้อมูลใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
และยึดมั่นในหลักการอย่างมีวินัย
เราก็มีโอกาสเป็นได้เหมือน โรนัลด์ รีด..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.cnbc.com/2016/08/29/janitor-secretly-amassed-an-8-million-fortune.html
-https://www.fool.com/investing/general/2015/02/15/how-did-a-janitor-amass-8-million-the-same-way-you.aspx
-https://www.salary.com/research/salary/benchmark/janitor-salary
-https://www.thebalancecareers.com/average-salary-information-for-us-workers-2060808