รัฐจอร์เจีย ประชากร 11 ล้านคน แต่มี GDP มากกว่า ประเทศไทย /โดย ลงทุนแมน
น้ำอัดลม Coca-Cola ที่ครองใจผู้คนทั่วโลก จนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 6.3 ล้านล้านบาท
รู้หรือไม่ว่า น้ำอัดลมนี้มีถิ่นกำเนิดมาจากเมืองแอตแลนตา ในรัฐจอร์เจีย
รัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ที่มีประชากรเพียง 11 ล้านคน
แต่มี GDP มากกว่าประเทศไทยทั้งประเทศ
ปี 2019 ประเทศไทยมี GDP 16.3 ล้านล้านบาท
ส่วนรัฐจอร์เจียมี GDP 18.6 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 9 จากทั้งหมด 50 รัฐของสหรัฐอเมริกา
อะไรที่ทำให้รัฐเล็กๆ อย่างจอร์เจียมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าประเทศไทย?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
รัฐจอร์เจียมีพื้นที่ประมาณ 153,909 ตารางกิโลเมตร ใกล้เคียงกับภาคอีสานของประเทศไทย
มีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐ คือ แอตแลนตา ที่มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน
ที่มาของชื่อรัฐจอร์เจีย มาจากพระนามของพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งอังกฤษ เมื่อมีชาวอังกฤษมาตั้งถิ่นฐานเป็นครั้งแรกราวปี ค.ศ. 1730
ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก
และอยู่ในทำเลสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างรัฐทางตอนเหนือ เช่น รัฐนิวยอร์ก เพนซิลเวเนีย
เซาท์แคโรไลนา กับทางตอนใต้เช่น รัฐฟลอริดา
และเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติก กับรัฐตอนใน เช่น รัฐเทนเนสซี และรัฐแอละแบมา
รัฐจอร์เจียจึงเติบโตขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากมีความพร้อมในด้านการขนส่งทั้งทางอากาศ ทางเรือ และทางบก
ทางอากาศมีเมืองแอตแลนตา เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยมีท่าอากาศยาน Hartsfield-Jackson Atlanta International Airport
ที่ได้ชื่อว่าเป็นท่าอากาศยานที่มีความหนาแน่นมากที่สุดในโลก
โดยในปี 2019 มีผู้โดยสารใช้บริการที่สนามบินแห่งนี้กว่า 100 ล้านคน
สนามบินแห่งนี้ยังมีโกดังสินค้าที่สามารถรองรับความจุได้มากถึง 120,000 ตารางเมตร
และยังให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศกว่า 650,000 ตันต่อปี
ส่วนการขนส่งทางเรือ รัฐจอร์เจียมีท่าเรือน้ำลึก 2 แห่ง
คือท่าเรือในเมือง Savannah และ Brunswick
โดยเฉพาะท่าเรือเมือง Savannah เป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของสหรัฐอเมริกา
มีการจัดส่งตู้คอนเทนเนอร์อย่างน้อย 4.35 ล้านตู้ และมีคลังสินค้าที่มีเนื้อที่กว่า 270,000 ตารางเมตร
ส่วนท่าเรือ Brunswick ที่เน้นการนำเข้าและส่งออกอุตสาหกรรมหนัก เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนประกอบ
นอกจากเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศและทางเรือแล้ว
จอร์เจียยังถือว่าเป็นรัฐที่มีระบบการขนส่งทางรางรถไฟที่มากที่สุดรัฐหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
โดยมีการขนส่งสินค้าผ่านทางรางรถไฟถึง 200 ล้านตันต่อปี
ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมขนส่ง
รัฐจอร์เจียจึงเป็นที่ตั้งของบริษัท และโรงงานมากมาย
รัฐจอร์เจียสามารถส่งออกไปต่างประเทศรวมเป็นมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท
โดยมีอุตสาหกรรมหลักคืออากาศยาน, การเกษตร, รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์
ในส่วนของอุตสาหกรรมอากาศยาน
มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอากาศยานกว่า 800 แห่งตั้งอยู่ในรัฐแห่งนี้
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผลิตเครื่องบินและชิ้นส่วน, บริษัทวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการบิน,
บริษัทสายการบิน และบริษัทขนส่งทางอากาศ
นอกเหนือจากนั้น ที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และพัฒนาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบิน
จากการจัดอันดับจาก US News มหาวิทยาลัย Georgia Institute of Technology ติด 5 อันดับแรกเกี่ยวกับสาขาวิศวกรรมการบิน และอวกาศในสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากมีการลงทุนวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบินกว่า 4,600 ล้านบาท
ส่งผลให้สามารถผลิตบุคลากรที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ
และยังมีงานวิจัยมากมายที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอากาศยาน
ด้วยเหตุนี้เอง จอร์เจียจึงเป็นรัฐที่ดึงดูดบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอากาศยานให้มาเปิดโรงงานและสำนักงานที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Boeing, Lockheed Martin, Delta Air Lines และอื่นๆ
ส่งผลให้มีการจ้างงานในอุตสาหกรรมอากาศยานในรัฐจอร์เจียถึง 100,000 คน
ในปี 2019 จอร์เจียสามารถส่งออกเครื่องบินพลเรือนเป็นมูลค่า 2.6 แสนล้านบาท
อุตสาหกรรมที่รองลงมาก็คือการเกษตร
เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ทางใต้ ซึ่งมีความอบอุ่นมากกว่า มีฤดูการเก็บเกี่ยวที่ยาวนานกว่ารัฐทางตอนเหนือ รัฐจอร์เจียจึงมีพื้นที่เพาะปลูกการเกษตรราว 36,000 ตารางกิโลเมตร
ส่งให้รัฐจอร์เจียสามารถสร้างผลผลิตทางการเกษตรเป็นมูลค่ากว่า 1.3 แสนล้านบาท
ซึ่งผลผลิตที่สำคัญได้แก่ เนื้อไก่, ถั่ว และ บลูเบอร์รี
อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่สำคัญก็คือ ยานยนต์และชิ้นส่วนประกอบ
ด้วยความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างเช่น การขนส่งทางบกและทางเรือ
ส่งผลให้โรงงานผลิตรถยนต์ในรัฐใกล้เคียงอย่าง รัฐแอละแบมา, รัฐเซาท์แคโรไลนา และ รัฐเทนเนสซี ต้องมาใช้บริการท่าเรือน้ำลึกในรัฐจอร์เจีย โดยมูลค่าการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนอยู่ที่ 9.6 หมื่นล้านบาท
จอร์เจียจึงเป็นที่ตั้งของสำนักงาน, โรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน ไม่ว่าจะเป็น Porsche, Mercedes-Benz และ KIA
จอร์เจียถือเป็นรัฐที่เอื้ออำนวยต่อการเริ่มต้นทำธุรกิจมากที่สุดรัฐหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐของจอร์เจียมีนโยบายสนับสนุนธุรกิจเพื่อที่จะดึงดูดให้บริษัทและโรงงานก่อตั้งที่นี่
ปกติแล้ว บริษัทในสหรัฐฯ จะมีการเสียภาษีนิติบุคคล 2 ระดับ คือให้รัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นอัตราเดียวกัน และให้รัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งอัตรานี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ
รัฐจอร์เจียมีอัตราการเก็บภาษีนิติบุคคลอยู่ที่ 5.75% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่ารัฐใหญ่อื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นรัฐแคลิฟอร์เนียที่เป็นศูนย์กลางแห่งเทคโนโลยี
มีการเก็บภาษีนิติบุคคลสูงถึง 8.84%
รัฐมิชิแกนที่เป็นศูนย์กลางแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์
มีการเก็บภาษีนิติบุคคล 6.00%
ที่น่าสนใจคือ บริษัทและโรงงานที่จดทะเบียนในรัฐจอร์เจีย
จะเสียภาษีนิติบุคคล โดยคำนวณจากรายได้ของการขายสินค้าและบริการภายในรัฐจอร์เจียเท่านั้น
ในปี 2020 นิตยสารฟอร์จูน จัดอันดับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก 500 บริษัท โดยมีถึง 18 บริษัทที่ตั้งอยู่ในจอร์เจีย
บริษัทระดับโลกซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในรัฐจอร์เจียที่คนไทยคุ้นเคย เช่น
The Home Depot บริษัทค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน มูลค่าบริษัท 8.9 ล้านล้านบาท
Coca-Cola บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำอัดลม ซึ่งถือกำเนิดในเมืองแอตแลนตา
มีมูลค่าบริษัท 6.3 ล้านล้านบาท
UPS บริษัทขนส่งสินค้าครบวงจร มูลค่า 4.1 ล้านล้านบาท
Delta Air Lines บริษัทสายการบิน มูลค่า 0.7 ล้านล้านบาท
ด้วยมูลค่า GDP ของรัฐจอร์เจียที่ 18.6 ล้านล้านบาท
ถ้ารัฐจอร์เจียเป็นประเทศ จะมีมูลค่า GDP ใหญ่เป็นอันดับที่ 21 ของโลก
ใหญ่กว่าประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีประชากรมากกว่ารัฐจอร์เจียหลายเท่า
เรื่องนี้ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ..
ทำเลของรัฐจอร์เจียดีมากก็จริง แต่สิ่งสำคัญก็คือ “การพัฒนาโครงสร้าง”
เพราะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการคมนาคมขนส่งให้ครอบคลุม
จึงดึงดูดให้รัฐแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่ง สร้างงานและสร้างรายได้มหาศาล
เมื่อรวมกับการมอบแรงจูงใจเพื่อดึงดูดบริษัทต่างๆ มาก่อตั้งในรัฐ
ถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ ที่ทำให้รัฐที่มีประชากรน้อยกว่าไทยเกือบ 7 เท่า
แต่สามารถมีขนาดเศรษฐกิจมากกว่าไทย และหลายประเทศในโลกได้
หันกลับมามองที่ประเทศไทย ด้วยทำเลที่ตั้งที่ดี สามารถเชื่อมโยงระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้ไม่ยากเย็น
หากพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ดี
GDP ของเราก็อาจจะเติบโตมาเท่ากับรัฐจอร์เจีย ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.statista.com/statistics/248023/us-gross-domestic-product-gdp-by-state/
-https://www.pwc.com/us/en/industries/industrial-products/library/aerospace-manufacturing-attractiveness-rankings.html
-https://www.georgia.org/sites/default/files/2020-02/annual_trade_report.pdf
-https://www.georgia.org/industries/aerospace
-https://www.usnews.com/best-graduate-schools/top-engineering-schools/aerospace-rankings
-https://www.statista.com/statistics/226464/passenger-traffic-at-atlanta-airport/#:~:text=In%202019%2C%20Hartsfield%2DJackson%20Atlanta,it%20the%20world's%20busiest%20airport.&text=As%20one%20of%20the%20busiest,Hartsfield%2DJackson%20Atlanta%20International%20Airport.
-https://www.porttechnology.org/news/top-5-ports-in-the-usa/
-https://www.georgia.org/competitive-advantages/incentives/tax-credits
-https://taxfoundation.org/2020-sales-taxes/
-https://www.georgia.org/industries/automotive
-https://www.georgia.org/industries/logistics-supply-chain
-https://fortune.com/fortune500/2020/search/?hqstate=GA
-https://data.worldbank.org/?locations=CN-TH-US
同時也有4部Youtube影片,追蹤數超過0的網紅CarDebuts,也在其Youtube影片中提到,เปิดตัวในไทย ราคา Volvo XC40 Recharge Pure Electric 2021 วอลโว่ เอ็กซ์ซี40 รีชาร์จ รถยนต์ไฟฟ้า ชาร์จเพียงครั้งเดียว แล่นไปได้ไกล 400 กิโลเมตร THE NEW...
automotive คือ 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最讚貼文
10 อันดับรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก มาจากประเทศอะไรบ้าง?
.
กว่าเกือบ 60 ปีที่โลกได้ถือกำเนิดสุดยอดม้าเหล็ก “รถไฟความเร็วสูง” ระบบคมนาคมที่ช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางของผู้คนให้สั้นลง ประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนการเดินทาง โดยประเทศแรกที่เริ่มพัฒนาคือ ญี่ปุ่น จนในปัจจุบันประเทศทั่วโลกต่างเร่งพัฒนาและผลิตรถไฟความเร็วสูงในบ้านของตนเอง แต่ประเทศไหนกัน! ที่สามารถพัฒนารถไฟความเร็วสูง ให้วิ่งได้เร็วที่สุด วันนี้จะพาไปดู 10 อันดับรถไฟความเร็วสูงที่เร็วที่สุดในโลก จะมีอะไรบ้าง? และมาจากประเทศใดบ้าง? ไปดูกัน!
.
1.Shanghai Maglev จากประเทศจีน
ความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 431 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (267 ไมล์ต่อชั่วโมง)
เป็นรถไฟแม่เหล็กลอยความเร็วสูงขบวนแรกที่วิ่งให้บริการเชิงพาณิชย์ด้วยความเร็วสูงสุด และเร็วที่สุดในโลกด้วย ซึ่งเคยทดสอบได้ความเร็วสูงสุดถึง 501 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (311 ไมล์ต่อชั่วโมง) ให้บริการอยู่ในตัวเมืองรอบนอกเซี่ยงไฮ้ เชื่อมต่อระหว่างสนามบินนานาชาติชางไห่ ผู่ตง มายังสถานีหล่งหยาง โดยใช้ระยะเวลาเพียง 8 นาที ลักษณะเด่น คือ เป็นรถไฟความเร็วสูงพลังแม่เหล็ก ไม่มีล้อ ไม่มีเบรก ไม่มีระบบส่งกำลัง และถูกยกให้ลอย โดยใช้กลไกสนามแม่เหล็กยกให้สูงขึ้นจากรางประมาณ 1-10 มิลลิเมตรแล้วแต่จังหวะการวิ่ง
.
2. Fuxing Hao CR400AF/BF จากประเทศจีน
ความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (249 ไมล์ต่อชั่วโมง)
เป็นรถไฟความเร็วสูงทางไกลที่เร็วที่สุดในโลก โดยให้บริการเชื่อมต่อระหว่างเมืองใหญ่ภายในประเทศจีน สามารถจุคนได้ถึง 500 กว่าคน แบ่งห้องโดยสารออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ Business Class, First Class และ Second Class ซึ่งรถไฟรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ประเทศไทยให้ความสนใจและวางแผนว่าอาจจะนำมาใช้ในเส้นทาง กรุงเทพฯ-โคราช
.
3. Harmony CRH 380A จากประเทศจีน
ความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 380 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (236 ไมล์ต่อชั่วโมง)
นับเป็นรถไฟล้อเลื่อนที่วิ่งได้เร็วเป็นอันดับสองของโลก ทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 486.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในการวิ่งทดสอบแบบไม่มีผู้โดยสาร สามารถจุคนได้ประมาณ 494 คน ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทเอกชนของจีน ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทเอกชนเยอรมนีและญี่ปุ่น ตัวรถผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ออกแบบส่วนหัวให้ลดแรงกดอากาศพลศาสตร์ขณะวิ่ง จุดเด่นคือ ไร้การสั่นสะเทือนระหว่างขับเคลื่อน มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โคมไฟอ่านหนังสือ ปลั๊กไฟ โทรทัศน์ จอ LED พร้อมมีบาร์และเลานจ์ให้บริการด้วย
.
4. Shinkansen H5 and E5 จากประเทศญี่ปุ่น
ความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (224 ไมล์ต่อชั่วโมง)
หนึ่งในรถไฟความเร็วสูงที่คนไทยรู้จัก ให้บริการมาเป็นเวลานานกว่า 50 ปี เป็นรถไฟหัวกระสุนรุ่นล่าสุดที่เร็วที่สุด มีระบบลดเสียงรบกวนดีเยี่ยม เบาะนั่งทั้งหมดจะหันหน้าไปข้างหน้า มีทั้งแบบจองและไม่จอง รวมถึงมี JR Pass บัตรโดยสารสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางในญี่ปุ่นแบบไม่จำกัดครั้ง ซึ่งทำให้การเดินทางประหยัดมาก มีศูนย์กลางอยู่กรุงโตเกียว และทอดยาวไปยังทางเหนือของซัปโปโร ไปจนถึงทางตอนใต้ของนางาซากิ มีเส้นทางให้บริการกว่า 9 เส้นทาง ไม่เพียงเท่านั้นจะมีแผนที่จะเริ่มดำเนินการอีก 4 เส้นทางภายในปี 2566 นี้
.
5. AGV Italo จากประเทศอิตาลี
ความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (223.6 ไมล์ต่อชั่วโมง)
มีอีกชื่อว่า “Ferrari of the track” รถไฟสีแดงพลัมในสังกัดของ Ferrari ถือเป็นรถไฟความเร็วสูงที่เร็วที่สุดในยุโรป จุคนได้ประมาณ 245-460 คน ให้บริการบนเส้นทางระหว่างกรุงโรมกับเมืองเนเปิลส์ ระยะทาง 225 กิโลเมตร ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง โครงสร้างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสามารถนำไปรีไซเคิลได้ 98% มีที่นั่ง 3 ชั้น มีโทรทัศน์ระบบถ่ายทอดสดและอินเทอร์เน็ตไร้สาย (Wi-Fi) ให้บริการด้วย
.
6. Talgo 350 จากประเทศสเปน
ความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (217 ไมล์ต่อชั่วโมง)
มีชื่อเล่นอีกอย่างว่า “Pato” ภาษาสเปนแปลว่า เป็ด เนื่องจากด้านหน้ามีลักษณะโดดเด่นคล้ายปากเป็ด เปิดตัวครั้งแรกที่สเปน แต่พัฒนาโดยบริษัทเอกชนเยอรมัน เดิมมีชื่อว่า “AVE Class 102” จุคนได้ประมาณ 318-365 คน แบ่งห้องโดยสารออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ ห้องโดยสารชั้น 1 ห้องโดยสารร้านอาหาร และห้องโดยสารชั้นประหยัด แต่ละห้อง แต่ละที่นั่งมีโคมไฟอ่านหนังสือ และที่ชาร์จแล็ปท็อปและโทรศัพท์มือถือ
.
7. Haramain Western Railway จากประเทศซาอุดีอาระเบีย
ความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (217 ไมล์ต่อชั่วโมง)
ให้บริการในเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาอิสลามในประเทศซาอุดีอาระเบีย ระหว่างกรุงเมกกะห์ และเมืองเมดินะห์ ช่วยลดเวลาการเดินทางเหลือไม่เกิน 2 ชั่วโมง ประกอบด้วยรถไฟทั้งหมด 35 ขบวน แต่ละขบวนรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 400 คน และคาดว่าแต่ละขบวนจะสามารถขนส่งผู้โดยสารได้ประมาณ 60 ล้านคนต่อปี
.
8. Deutsche Bahn ICE จากประเทศเยอรมนี
ความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (205 ไมล์ต่อชั่วโมง)
ให้บริการในเส้นทางที่เชื่อมต่อจากเบอร์ลิน ไปยังมิวนิก ฮัมบูร์ก สตุ๊ตการ์ต และเมืองสำคัญอื่น ๆ ของเยอรมนี รวมถึงสามารถนั่งไปออสเตรีย บรัสเซลส์ อัมสเตอร์ดัม และสถานที่อื่นๆ นอกเยอรมนีได้อีกด้วย สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 450 ที่นั่ง ทำงานบนแนวคิดรถพลังงาน เป็นนวัตกรรมใหม่มีเพลาขับเคลื่อนมากถึง 24 เพลา ทำให้รถใช้พลังงานน้อยลงถึง 30%
.
9. Korail KTX จากประเทศเกาหลีใต้
ความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (205 ไมล์ต่อชั่วโมง)
อีกหนึ่งรถไฟความเร็วสูงที่หลายคนน่ารู้จักกันดี ให้บริการสถานีหลักที่กรุงโซล เชื่อมต่อไปยังเมืองอื่นๆ ภายในประเทศเกาหลีใต้ และสิ้นสุดเส้นทางทิศใต้ที่เมืองปูซาน รถไฟเป็นการอัปเดตจาก KTX-I รุ่นก่อนหน้า ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้รับการออกแบบและสร้างในเกาหลีใต้ และนับว่าเป็นรูปแบบการเดินทางที่ได้รับความนิยมจากคนเกาหลีอย่างมาก
.
10. Eurostar E320 จากประเทศอังกฤษ
ความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (200 ไมล์ต่อชั่วโมง)
หรืออีกชื่อคือ “British Rail Class 374” ตกแต่งภายในโดย Pininfarina สไตลิสต์ยานยนต์ชื่อดังชาวอิตาลี สามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 900 ที่นั่ง เพิ่มขึ้น 20 ที่นั่งจาก Eurostar e300 รุ่นก่อน สามารถเดินทางระยะทาง 305 ไมล์ ได้ภายใน 2 ชั่วโมง 16 นาที ด้วยความเร็วสูงสุด 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ความพิเศษคือ การลอดอุโมงค์ Euro Tunnel อุโมงค์ใต้ทะเลที่เชื่อมต่อระหว่างเกาะอังกฤษและยุโรปตะวันตก ได้แก่ ฝรั่งเศส เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์
.
จากทั้ง 10 อันดับข้างต้น จะเห็นว่า จีน สามารถครองอันดับรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกได้ถึง 3 อันดับแรก แม้ไม่ได้เป็นประเทศแรกที่ให้กำเนิดรถไฟความเร็วสูง แต่ก็นับว่าจีนสามารถก้าวกระโดดจากการเป็น ผู้เรียนรู้ มาสู่ ผู้สร้าง และที่สำคัญกำลังจะกลายเป็นผู้นำของโลกด้านเทคโนโลยีการขนส่ง “รถไฟความเร็วสูง” อย่างเต็มตัว ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งจีนและประเทศอื่นๆ ต่างกำลังเร่งพัฒนาให้รถไฟความเร็วสูงในประเทศของตนเองสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงสุดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 400 เป็น 500 และ 600 ไม่แน่ในอนาคตเราอาจได้เห็นรถไฟความเร็วสูงที่เร็วเทียบเท่าเครื่องบินก็ได้
.
สำหรับรถไฟความเร็วสูงของไทย ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนานั้น จากแผนงานของภาครัฐ คาดว่าเส้นทางแรก กรุงเทพฯ-หนองคาย จะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2568
หรืออีก 4 ปีข้างหน้านี้ เราทุกคนจะได้ยลโฉมและได้ใช้บริการรถไฟความเร็วสูงของไทยครั้งแรกหลังจากที่รอคอยกันมานาน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในระบบขนส่งและคมนาคมที่จะช่วยอำนวยความสะดวก ลดเวลาการเดินทางให้คนไทยได้มากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ก็ไปได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะทุกที่ก็อยู่แค่หน้าปากซอยเท่านั้น!
.
ที่มา : https://www.beautifullife.info/automotive-design/top-10-fastest-trains-in-the-world/
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS #อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#รถไฟความเร็วสูง #HighSpeedRail #HSR
#ระบบขนส่ง #การขนส่ง #การคมนาคม
automotive คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
Brandon Smith คนธรรมดาที่กลายเป็นเศรษฐี จากการลงทุนใน Tesla /โดย ลงทุนแมน
ในวันนี้ Tesla เป็นบริษัทรถยนต์ ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
ที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 23 ล้านล้านบาท
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของมูลค่าบริษัท Tesla ในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากจะส่งผลให้ Elon Musk กลายเป็นคนรวยที่สุดในโลก แซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง เจฟฟ์ เบโซส ได้แล้ว
ยังทำให้นักลงทุนอีกหลายคน ร่ำรวยมากขึ้นตามไปด้วย
ในวันนี้ เราลองมาดูตัวอย่าง
ของคนที่เอาเงินไปลงทุนในหุ้น Tesla
จนทำให้จากคนธรรมดา กลายเป็น เศรษฐีใน 3 ปี
เขาคนนั้นชื่อว่า “Brandon Smith”
เรื่องนี้เป็นอย่างไร? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Brandon Smith เป็นชายที่อาศัยอยู่ที่เมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ในสหรัฐอเมริกา
โดยเขามีอาชีพเป็นวิดีโอโปรดิวเซอร์
ที่มีหน้าที่หลัก คือ ดูแลและจัดการทุกกระบวนการการผลิตวิดีโอ
โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มให้ความสนใจในบริษัท Tesla เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ชมวิดีโอบนช่อง YouTube ที่มีชื่อช่องว่า HyperChange
ซึ่งในวิดีโอนั้น มีการอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท Tesla ทั้งการผลิต การส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า และพัฒนาการของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา
วิดีโอนั้นเอง ที่ถือว่าเป็นก้าวแรกทำให้ Brandon Smith เกิดความสนใจ และอยากทำความรู้จักบริษัท Tesla ให้มากขึ้น
เขาเริ่มมองหากลุ่มคนที่มีความสนใจในบริษัท Tesla
เพื่อมาแลกเปลี่ยนพูดคุยเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
ซึ่งหลังจากที่เขาได้นั่งพูดคุยกับกลุ่มเหล่านั้น
ก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า Tesla จะเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
และเขาก็มั่นใจอย่างมากด้วยว่า
“พวกเราเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโตของ Tesla เท่านั้น”
ในปี 2017 เขาเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นครั้งแรก
ซึ่งหุ้น Tesla ก็คือเป้าหมายหลักของเขา
โดยเริ่มแรก เขานำเงินที่เก็บสะสมจากการทำงานจำนวน 300,000 บาท มาซื้อหุ้น Tesla
จากนั้นมา เมื่อเขาได้รับเงินจากการทำงาน
ก็จะแบ่งส่วนหนึ่ง ไปลงทุนในหุ้น Tesla ทุกเดือน
ซึ่งเขาทำแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่หุ้น Tesla ก็ค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน..
เราลองมาดูข้อมูลธุรกิจของ Tesla กันคร่าวๆ
ปัจจุบัน Tesla คือ ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
รวมทั้งยังมีรายได้อื่นจากการขายแบตเตอรี่ แผงโซลาร์เซลล์
โดยสัดส่วนรายได้ของ Tesla ในปี 2019 นั้นมาจาก
- รายได้การจำหน่ายรถพลังงานไฟฟ้า 81%
- รายได้อื่น 19%
และในปัจจุบัน Tesla มีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกอยู่ที่ 16.2%
มากเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
ผลประกอบการของ Tesla ในช่วงที่ผ่านมา
ปี 2017 รายได้ 353,000 ล้านบาท ขาดทุน 58,800 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 644,000 ล้านบาท ขาดทุน 29,200 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 737,000 ล้านบาท ขาดทุน 25,800 ล้านบาท
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2019 เป็นต้นมา
Tesla รายงานผลกำไรที่เป็นบวกติดต่อกันมาแล้ว 5 ไตรมาส
ซึ่งก็จะทำให้ ปี 2020 Tesla มีกำไรสุทธิทั้งปี เป็นปีแรก..
นอกจากนั้น ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ก็เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
ปี 2018 ยอดส่งมอบ 245,240 คัน
ปี 2019 ยอดส่งมอบ 367,500 คัน
ปี 2020 ยอดส่งมอบ 499,550 คัน
เมื่อตลาดมองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของ Tesla
บวกกับกระแสการเปลี่ยนผ่านของยานยนต์สู่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า
ก็เลยทำให้ในตอนนี้ มูลค่าบริษัทของ Tesla
พุ่งทะยานไปสูงกว่า 23 ล้านล้านบาท
ซึ่งเป็นการซื้อขายกันที่ P/E สูงกว่า 1,600 เท่าเลยทีเดียว
กลับมาที่เรื่องของ คุณ Brandon Smith..
เขาได้เปิดเผยกับ Bloomberg Wealth ว่า
เงินที่เขาแบ่งไปลงทุนกับ Tesla ตั้งแต่ปี 2017
รวมคร่าวๆ แล้วประมาณ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ
หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2.7 ล้านบาท
และเขาไม่เคยขายหุ้นที่เขาซื้อออกไปเลย
จนมาวันนี้ มูลค่าหุ้น Tesla ที่เขาถืออยู่นั้น
มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงกว่า 30 ล้านบาทไปแล้ว
และทำให้เขาได้ฉายาว่า “Teslanaires”
หรือก็คือ คำที่ใช้เรียกนักลงทุน ที่ร่ำรวยจากการลงทุนในหุ้น Tesla นั่นเอง
และนี่ก็คือเรื่องราวของ Brandon Smith
คนธรรมดา ที่กลายเป็นเศรษฐี จากการถือหุ้น Tesla
ซึ่งตัวเขาเองก็ได้บอกในการให้สัมภาษณ์ว่า
“ไม่ได้คิดฝันเหมือนกันว่า จะเกิดเรื่องราวนี้ขึ้นกับตัวเอง”..
หมายเหตุ: บทความนี้ ไม่มีเจตนาชี้นำให้ซื้อ หรือขาย หุ้นของบริษัทนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://finance.yahoo.com/quote/TSLA/financials?p=TSLA
-https://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=1703
-https://www.reddit.com/r/wallstreetbets/comments/kfnfpz/this_32yearold_put_everything_he_had_in_tesla_and/
-https://twitter.com/business/status/1340382426783166470?lang=en
-https://companiesmarketcap.com/automakers/largest-automakers-by-market-cap/
-https://ir.tesla.com/
-https://www.mckinsey.com/industries/automotive-and-assembly/our-insights/mckinsey-electric-vehicle-index-europe-cushions-a-global-plunge-in-ev-sales
-https://www.annualreports.com/HostedData/AnnualReports/PDF/NASDAQ_TSLA_2019.pdf
-https://businessquant.com/tesla-inc-revenue-by-region
automotive คือ 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文
เปิดตัวในไทย ราคา Volvo XC40 Recharge Pure Electric 2021 วอลโว่ เอ็กซ์ซี40 รีชาร์จ รถยนต์ไฟฟ้า ชาร์จเพียงครั้งเดียว แล่นไปได้ไกล 400 กิโลเมตร
THE NEW VOLVO XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC - Make a Powerful Statement
The New Volvo XC40 Recharge Pure Electric สุดยอดเอสยูวีพลังไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบจากวอลโว่ พร้อมประกาศความยิ่งใหญ่ในทุกเส้นทางด้วยสมรรถนะที่เป็นเลิศและความเหนือชั้นทั้งการออกแบบ ประสิทธิภาพการขับขี่ เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย และการเชื่อมต่อออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่นจากทุกแห่งบนโลก ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่สามารถอัดประจุไฟได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางและใส่ใจต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรของโลกอย่างยั่งยืน
ขุมพลังแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพื่อสมรรถนะการขับขี่ระดับพรีเมียม
THE NEW VOLVO XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 78 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่สามารถพาคุณโลดแล่นได้ไกลกว่า 400 กิโลเมตรเมื่อชาร์จเต็ม (ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP) โดยเครื่องชาร์จไฟฟ้าที่บ้านแบบมาตรฐาน (Wallbox EV Changer) ขนาด 11 กิโลวัตต์ จะใช้เวลาชาร์จไฟจาก 0-100% ประมาณ 6-8 ชั่วโมง และสามารถชาร์จไฟได้ 80% ในเวลาเพียง 40 นาทีเท่านั้น ผู้ขับขี่ยังสามารถตั้งเวลาชาร์จไฟรถยนต์ได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชั่น Volvo on Call
ปรากฏการณ์ใหม่แห่งดีไซน์ยานยนต์ไฟฟ้า
ด้วยการทลายข้อจำกัดของรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม ๆ ทำให้ THE NEW VOLVO XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC นำเสนอดีไซน์ใหม่ที่หรูหราทันสมัยในทุกมุมมอง เริ่มตั้งแต่ส่วนตะแกรงหน้าซึ่งไม่ต้องใช้เพื่อระบายความร้อน ได้ถูกออกแบบใหม่ให้เป็นฝาครอบแบบยูนิบอดี้ติดโลโก้วอลโว่อย่างชัดเจน มอบภาพลักษณ์แนวร่วมสมัยที่สวยโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ส่วนพื้นที่ใต้ฝากระโปรงหน้าซึ่งไม่ต้องติดตั้งเครื่องยนต์เชื้อเพลิง ถูกเปลี่ยนเป็นช่องเก็บสัมภาระสไตล์ใหม่ในชื่อ “ฟรังก์ (Front Trunk)” ซึ่งเพิ่มพื้นที่เก็บของได้มากขึ้นอีก 31 ลิตร ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ได้อย่างลงตัว และด้วยเครื่องยนต์แบตเตอรี่ที่ไม่ปล่อยไอเสียเลยแม้แต่น้อย จึงสามารถตัดส่วนท่อไอเสียออกได้ทั้งหมด เหลือไว้เฉพาะฟอร์มรถยนต์ที่สวยงามหมดจดอย่างแท้จริง THE NEW VOLVO XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC ยังมาพร้อมดีไซน์หลังคาใหม่ในโทนสีดำสุดเท่ สอดรับกับดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่และการตกแต่งรายละเอียดอย่างประณีต เสริมความโฉบเฉี่ยวด้วยล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์สีดำเงา 5 ก้านแบบ Black Diamond Cut รวมถึงฟีเจอร์ประตูท้ายระบบไฟฟ้าที่จะมอบความสะดวกสบายในการใช้งานทุกวันของคุณ พร้อมด้วยฟีเจอร์อื่นๆอีกมากมาย
การตกแต่งห้องภายในโดยสารเน้นโทนสีดำชาร์โคลเพื่อมอบภาพลักษณ์ที่หรูหรา ทันสมัย แฝงกลิ่นอายแนวสปอร์ต เสริมด้วยรายละเอียดการตกแต่งที่ประณีตภูมิฐาน อาทิ คันเกียร์หุ้มหนัง Nappa Leather สีดำเนื้อละเอียดตัดกับตะเข็บสีขาวอย่างสวยงาม เบาะนั่งและส่วนตกแต่งภายในทั้งหมดถูกหุ้มด้วยหนังสีดำชาร์โคลและเก็บรายละเอียดด้วยอลูมิเนียมเพื่อเน้นความเฉียบเนี๊ยบในทุกมุมมอง
THE NEW VOLVO XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC นำเสนอ 6 โทนสีที่สื่อถึงไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างทั้ง Denim Blue Metallic, Black Stone, Crystal White Pearl, Fusion Red Metallic, Thunder Grey Metallic, Glacier Silver Metallic และสีใหม่ล่าสุด Sage Green Metallic
เทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ที่สะดวกสบายขั้นสุด
THE NEW VOLVO XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC มาพร้อมเทคโนโลยีการแสดงผลแบบกราฟิกใหม่ล่าสุด ผู้ขับสามารถเลือกเลย์เอาต์หน้าจอได้ทั้งแบบ Calm Mode, Nevi Mode และ Car Centric Mode ซึ่งแสดงทั้งข้อมูลสถานะเครื่องยนต์ ระดับแบตเตอรี่ การประจุไฟ ตลอดจนข้อมูลระหว่างการขับขี่ทั้งหมดซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนโดยไม่เสียสมาธิในการควบคุมรถ
นับเป็นครั้งแรกที่วอลโว่ได้ร่วมมือกับ Google ในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นบนระบบปฏิบัติการ Android Automotive OS เพื่อให้ผู้ขับมีความคุ้นเคยและสามารถใช้งานแอปต่าง ๆ ได้ไม่ต่างจากบนสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็น Google Maps, Google Assistant และระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่านคำว่า “Hey Google” เพื่อใช้ควบคุมแอปเพื่อความบันเทิงต่าง ๆ อย่าง Sportify และแอปจาก Third party อื่น ๆ บน Google Plays ได้อย่างง่ายดาย
ครบครันด้วยฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยระดับเวิลด์คลาส
วอลโว่ตระหนักว่าการปกป้องที่ดีที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในเบื้องต้น THE NEW VOLVO XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC จึงติดตั้งชุดระบบช่วยขับขี่ขั้นสูงเต็มรูปแบบ อาทิ Driver Assist with Pilot Assist (ระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ) และ Adaptive Cruise Control (ระบบควบคุมความเร็วแปรผันเพื่อรักษาระยะห่าง), Collision Avoidance (ระบบเลี่ยงการชนและหยุดรถอัตโนมัติ) ซึ่งทำงานได้แม้ขับขี่ด้วยความเร็วสูง, 360 Camera (ระบบกล้องรอบทิศทางช่วยในการจอดรถ), Blind Spot Information System : BLIS (ระบบแจ้งเตือนเมื่อมียานพาหนะอยู่ในมุมอับของสายตา), LED active bending headlights with active high beam ด้วยไฟหน้าแบบ LED หักเหตามพวงมาลัย พร้อมระบบไฟสูงอัตโนมัติ ,Cross Traffic Alert with Auto Brake (ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลังออกจากที่จอด พร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถอัตโนมัติ), Lane Keeping Aid (ระบบแจ้งเตือนด้วยแรงสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถวิ่งออกนอกช่องทางเดินรถ) และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อมอบความอุ่นใจและความปลอดภัยระดับสูงสุดแก่คุณบนทุกเส้นทาง โดย THE NEW VOLVO XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC สนนราคาเปิดตัวที่ 2.59 ล้านบาท
automotive คือ 在 CarDebuts Youtube 的最讚貼文
Nissan เตรียมแผนแก้วิกฤติบริษัท ด้วยการลดขนาดองค์กร พร้อมปรับลดยอดขายลง ถึง 1 ล้านคัน ส่งผลให้ Nissan อาจจะกลายเป็นค่ายรถยนต์ ที่มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก และดูเหมือนว่า อาการจะหนักกว่าที่หลายคนคาด เมื่อบริษัท ต้องมาเจอวิกฤตโรคระบาดโควิด19 ที่ไม่เพียงทำให้ Nissan ยากลำบากมากขึ้นกว่าเดิม แต่วิกฤตครั้งนี้ ยังทำให้ค่ายรถยนต์อื่นๆ ก็ประสบปัญหา อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Nissan จะลดยอดขายต่อปี ลงถึง 1 ล้านคัน ซึ่งเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างบริษัท ที่จะมีการประกาศออกมา ในเดือนพฤษภาคมนี้ นั่นหมายความว่า Nissan จะมีเป้ายอดขาย เหลือเพียงปีละ 5 ล้านคันเท่านั้น จากเดิมที่ 6 ล้านคัน ตามที่อดีต CEO ฮิโรโตะ ซาอิกาว่า ได้เคยประกาศเอาไว้ และต่ำกว่าที่อดีต CEO ผู้อื้อฉาว Carlos Ghosn ได้เคยตั้งเป้า ไว้ที่ 8 ล้านคันต่อปี
แผนการปรับโครงสร้างบริษัทนี้ จะถูกนำไปปฏิบัติ จนถึงเดือนมีนาคมปี 2023 ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์ว่า Nissan อาจจะต้องปิดโรงงาน 3-4 แห่งด้วยกัน ส่งผลให้มีการปลดพนักงงานออก จำนวนหลายพันคน ซึ่งก็เป็นไปตามแผนงาน ที่ได้เคยประกาศไปแล้วว่า จะมีการลดจำนวนคนงาน ให้ได้ถึงร้อยละ 10
สิ่งที่ยากลำบากสำหรับ Nissan ในขณะนี้ ก็คือ การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส ที่อาจจะทำให้เป้ายอดขาย 5 ล้านคันต่อปี ยากที่จะบรรลุได้ ซึ่งสื่อยานยนต์ชื่อดังอย่าง Automotive news Europe เปิดเผยว่า Nissan ต้องการเครดิตไลน์ มูลค่าสูงถึง 4,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 150,000 ล้านบาท ในการแก้ไขปัญหาต่างๆของบริษัท ซึ่งก่อนหน้านี้ สำนักข่าว Nikkei ของญี่ปุ่น ได้รายงานว่า Nissan กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา กับสถาบันการเงินต่างๆ คือ Mizuho Financial ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นอีก 2 แห่ง และธนาคารเพื่อการพัฒนาของญี่ปุ่น เพื่อให้เข้ามาช่วยฟื้นฟู สถานการณ์ที่เป็นอยู่
automotive คือ 在 CarDebuts Youtube 的最讚貼文
Mitsubishi เตรียมเปิดตัว SUV PHEV ขนาดเล็ก ในปี 2020 พร้อมๆกับ All-New Outlander PHEV 2021
หากแผนงานเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทยจะได้สัมผัสสมาชิกใหม่ของ Mitsubishi ในปลายปี 2020 มันคือ Outlander PHEV โฉมใหม่ ที่ไม่เพียงน่าสนใจ ด้วยการเป็นรถไฮบริดแบบเสียบปลั๊กเท่านั้น แต่ยังเป็นรถที่มีการผลิตขึ้นในเมืองไทยอีกด้วย ซึ่ง Outlander PHEV ยังเป็นรถยนต์รุ่นที่ขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของบริษัท อย่างน้อยในยุโรป มันก็คือ รถ PHEV ที่มียอดขายสูงที่สุด นั่นทำให้ Mitsubishi เดินหน้าต่อ ด้วยการเตรียมเปิดตัวรถ SUV PHEV อีกหนึ่งรุ่น ที่มีขนาดเล็กกว่า ในปลายปี 2020 เช่นกัน จากการเปิดเผยของเว็บไซต์ Automotive News Europe ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ของ Bernard Loire CEO ของ Mitsubishi Motors Europe
รถ SUV PHEV ขนาดเล็กรุ่นนี้ จะได้รับการเปิดตัว ในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับ All-New Outlander PHEV คือ ในปลายปี 2020 ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบาย การผลิตรถยนต์ ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนที่สะอาดขึ้น อย่างรถไฮบริด PHEV และ EV ของบริษัท ซึ่ง Mitsubishi เริ่มทยอยยุติสายการผลิต รถเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นต่างๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยอดขายของรถยนต์ดีเซล ก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุโรป