นมจากพืชที่ Starbucks เลือกใช้ กำลังจะ IPO /โดย ลงทุนแมน
การเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพืช กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนทำให้ร้านอาหารและร้านกาแฟต่าง ๆ ได้เพิ่มเมนูประเภทนี้เข้าไปเพื่อรองรับลูกค้า
โดย Starbucks ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มีนมจากพืชหลากหลายชนิดให้เลือก สำหรับเมนูกาแฟใส่นม
และเมื่อไม่นานมานี้ Starbucks ได้เพิ่มตัวเลือกนมจากพืชชนิดใหม่เข้าไป
นั่นก็คือ “นมข้าวโอ๊ต” ซึ่งมีเพียงยี่ห้อเดียว ที่ Starbucks เลือกจับมือเป็นพันธมิตร
คือแบรนด์ Oatly ที่ปัจจุบันถูกประเมินมูลค่าบริษัทไว้ราว 3.1 แสนล้านบาท
แล้วนมข้าวโอ๊ตยี่ห้อนี้มีความเป็นมาอย่างไร
ทำไมถึงได้รับความนิยม ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
อาหารที่ทำมาจากพืช เป็นทางเลือกในการบริโภคที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น
เพราะนอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพแล้ว กระบวนการผลิตยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
เมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป
แน่นอนว่าฝั่งผู้ผลิต ก็ต้องคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพืช
ที่สามารถทดแทนเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้
หนึ่งในนั้นก็คือการหาสินค้าเพื่อมาทดแทนผลิตภัณฑ์นม ที่เป็นผลผลิตจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
โดยนมจากพืชในช่วงแรก จะเป็นนมถั่วเหลือง และต่อมาได้มีการพัฒนานมจากพืชชนิดใหม่ ๆ
เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น
ที่โดดเด่นที่สุด ก็คือนมอัลมอนด์ เพราะด้วยกลิ่นที่หอมหวาน และรสสัมผัสที่ละมุนกว่า
ทำให้ในสหรัฐอเมริกา นมอัลมอนด์เป็นเจ้าตลาดนมจากพืช แทนที่นมถั่วเหลืองมาได้ 8 ปีแล้ว
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีนมจากพืชชนิดหนึ่ง
ที่กลายมาเป็นกระแสอย่างรวดเร็ว และยังคงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดนมจากพืชมาอยู่ในอันดับที่ 2 แซงนมถั่วเหลืองได้ นั่นก็คือ “นมข้าวโอ๊ต”
และความนิยมในนมข้าวโอ๊ตนี้ ก็มีที่มาจากแบรนด์หนึ่ง ที่ชื่อว่า “Oatly”
Oatly เป็นแบรนด์จากประเทศสวีเดน ก่อตั้งในปี 1994
โดยนักวิทยาศาสตร์อาหารที่ชื่อว่าคุณ Rickard Öste และคุณ Björn Öste ที่เป็นน้องชาย
จุดเริ่มต้นทั้งหมด มาจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Lund University ในประเทศสวีเดน
ที่ได้คิดค้นเทคโนโลยีที่สามารถสกัดข้าวโอ๊ต ซึ่งมีกากใยสูงมาก ให้กลายเป็นน้ำนมได้
Oatly จึงได้ร่วมจดสิทธิบัตรและพัฒนาต่อยอด จนมาเป็นธุรกิจที่ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม
ทั้งนมสด โยเกิร์ต ครีมสด และไอศกรีม ที่ไม่มีวัตถุดิบจากสัตว์เลย
หรือเรียกได้ว่าเป็นวีแกน 100% และทุกผลิตภัณฑ์
ล้วนทำมาจากน้ำนมข้าวโอ๊ต ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแรกของโลก
นอกจากจุดแข็งที่สำคัญอย่างเทคโนโลยีในการสกัดนมข้าวโอ๊ต และรสชาติของผลิตภัณฑ์ที่ถูกใจคนส่วนใหญ่แล้ว
การตลาดของ Oatly ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยการวางภาพลักษณ์ให้เป็นแบรนด์ที่ดูสนุก บวกกับการสื่อสารที่ใช้ภาษากวนนิด ๆ จึงครองใจกลุ่มลูกค้าหลักอย่างชาว Millennials และ Gen Z ได้เป็นอย่างดี
จนในปี 2017 Oatly ก็ได้เพิ่มความท้าทายให้ตัวเอง ด้วยการเข้าไปบุกตลาดในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ และถือเป็นนมข้าวโอ๊ตยี่ห้อแรก ที่มีขายในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง Oatly ก็ได้นำผลิตภัณฑ์ทุกชนิดเข้ามาขาย ผ่านช่องทางทั้งในร้านค้าและออนไลน์
แต่สิ่งที่ทำให้ Oatly เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ กลับไม่ได้พึ่งพาเพียงกลุ่มลูกค้ารายบุคคล
เพราะ Oatly เลือกขยายตลาดด้วยกลยุทธ์ในการ “โตไปกับร้านกาแฟ”
แม้ว่ามีนมจากพืชมากมายที่ใช้ดื่มเพื่อทดแทนนมจากสัตว์ได้ แต่ในการใช้เพื่อประกอบอาหาร นมจากพืช ยังไม่สามารถทดแทนนมจากสัตว์ได้ดีเท่าไรนัก
ยกตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟ ที่จะมีปัญหาหลักเวลาใช้นมจากพืช คือเมื่อตีฟองนม จะไม่สามารถทำลัตเตอาร์ตได้แบบตอนใช้นมวัว รสชาติและรสสัมผัสที่ได้ก็ไม่เนียนนุ่ม แถมบางครั้งยังมีกลิ่นธัญพืชปนเข้าไปด้วย
Oatly เห็นถึงจุดอ่อนตรงนี้ เลยพัฒนาผลิตภัณฑ์นมข้าวโอ๊ตของตัวเอง ให้สามารถใช้เทลัตเตอาร์ตได้สวยงามพอ ๆ กับใช้นมวัว รวมถึงช่วยส่งเสริมให้รสสัมผัสและรสชาติของกาแฟนมดียิ่งขึ้นไปอีก
จนออกมาเป็นไลน์ผลิตภัณฑ์นมที่ใช้ชื่อว่า “Barista Edition”
ส่วนกลยุทธ์ที่ใช้ในการเข้าไปเจาะตลาด ก็เป็นวิธีที่แสนธรรมดา แต่มีประสิทธิภาพสูง
นั่นคือส่งสินค้าไปให้ร้านกาแฟทดลองใช้ โดยจะเน้นร้านกาแฟที่เป็นคลื่นลูกที่ 3
หรือคือร้านกาแฟที่ใช้เมล็ดคุณภาพสูง ราคาพรีเมียม
ซึ่งกระแสตอบรับจากทั้งบาริสตา รวมถึงลูกค้าของร้านกาแฟ ก็ดีมากทีเดียว
เพราะอย่างในปี 2016 หรือ 1 ปีก่อนที่ Oatly จะเข้ามาเจาะตลาดสหรัฐอเมริกา
เชนร้านกาแฟคลื่นลูกที่ 3 ชื่อดังในสหรัฐอเมริกา อย่าง Intelligentsia
ได้เพิ่มนมข้าวโอ๊ตจาก Oatly เป็นทางเลือกให้ลูกค้าทั้ง 15 สาขาทั่วประเทศ
แต่นั่นถือเป็นความสำเร็จเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า
แน่นอนว่าคือเชนร้านกาแฟพรีเมียมที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Starbucks
แล้วฝันของ Oatly ก็เป็นจริง เพราะเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Starbucks ได้ตกลงเป็นพันธมิตรกับ Oatly โดย Starbucks ได้ให้ทุกสาขาในสหรัฐอเมริกา รวมถึงจีน ใช้นมข้าวโอ๊ตเฉพาะของ Oatly เท่านั้น
และด้วยกระแสความนิยมของ Oatly ก็ได้ดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาร่วมลงทุนด้วย
โดยในปี 2019 สามารถระดมทุนได้ 1,296 ล้านบาท จาก Venture Capital รายหนึ่ง
และในปี 2020 Oatly สามารถระดมทุนได้ 6,260 ล้านบาท
ซึ่งเป็นการลงทุนผ่าน Private Fund ของ Blackstone
ที่มีเหล่าคนดังอย่าง Oprah Winfrey, Natalie Portman, Jay-Z
หรือแม้แต่อดีต CEO ของ Starbucks อย่าง Howard Schultz ก็ได้เข้ามาร่วมลงทุนด้วย
โดยมีการประเมินว่า มูลค่าธุรกิจหลังการระดมทุนรอบนี้อยู่ที่ 62,600 ล้านบาท
และเมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา Oatly ก็ได้ยื่นเอกสาร Filing เพื่อเตรียม IPO เข้าตลาด Nasdaq
โดยมูลค่าหลัง IPO แล้ว ถูกประมาณการไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้นจนสูงถึง 313,000 ล้านบาท
เราลองมาดูงบการเงินของ Oatly ที่เปิดเผยในเอกสาร Filing กัน
ปี 2019 รายได้ 6,385 ล้านบาท ขาดทุน 1,127 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 13,177 ล้านบาท ขาดทุน 1,878 ล้านบาท
แม้จะยังขาดทุนอยู่ แต่รายได้ก็สามารถเติบโตได้เป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ซึ่งทางผู้บริหารมองว่า หากขยายตลาดได้มากขึ้น
บริษัทก็จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิต จนพลิกมามีกำไรได้
ซึ่งสิ่งที่ผู้บริหารคิด ก็ดูมีโอกาสเป็นไปได้สูง ทั้งโอกาสจากการเข้าไปทำตลาดในประเทศใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น
จากที่ในปัจจุบัน Oatly มีขายอยู่ใน 20 ประเทศทั่วโลก
รวมถึงโอกาสในตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ความนิยมในนมข้าวโอ๊ตยังคงเติบโตสูง
อย่างในปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกามียอดขายนมข้าวโอ๊ตทั้งหมด 6,678 ล้านบาท
คิดเป็นการเติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 3.5 เท่า ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในบรรดานมจากพืชทั้งหมด
ในขณะที่เจ้าตลาดเดิมอย่างนมอัลมอนด์และนมถั่วเหลืองที่ตกไปอยู่อันดับ 3 กลับไม่เติบโตเลย
และถ้าถามว่า Oatly มีโอกาสเติบโตไปกับกระแสนมข้าวโอ๊ตได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
คิดว่าคำตอบ คงดูได้จากความแข็งแกร่งของแบรนด์
เพราะชาวอเมริกันหรืออีกหลายประเทศต่อจากนี้
ได้รู้จักกับนมข้าวโอ๊ตเป็นครั้งแรกจาก Oatly
และ Oatly ได้กลายเป็นตัวแทนของนมข้าวโอ๊ตไปเรียบร้อย
จนกลายมาเป็นคำติดปาก ที่คล้ายกับคนไทยเรียกมาม่าแทนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไปแล้วนั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://finance.yahoo.com/news/oatly-reveals-growing-losses-revenue-205927307.html
-https://www.marketwatch.com/story/oatly-backed-by-oprah-and-blackstone-files-for-ipo-11618881002?mod=mw_latestnews
-https://www.cnbc.com/2021/02/23/plant-based-milk-company-oatly-confidentially-files-for-ipo.html
-https://www.fooddive.com/news/oatly-sold-4214m-worldwide-last-year/598696/
-https://www.fooddive.com/news/oat-milk-surges-to-second-most-popular-in-plant-based-dairy/586010/
-https://www.oatly.com/int/about-oatly
-https://www.crunchbase.com/organization/oatly
-https://www.sec.gov/Archives/edgar/data/1843586/000119312521121323/d123209df1.htm
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
blackstone nasdaq 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
Bumble แอปคู่แข่ง Tinder ที่ให้ผู้หญิง เป็นฝ่ายเลือกก่อน /โดย ลงทุนแมน
“ฉันอยากมีเบอร์โทรฯ ของผู้ชายไว้ แต่ไม่อยากให้พวกเขามีเบอร์โทรฯ ของฉันเลย”
“ถ้าผู้หญิงเป็นฝ่ายเลือกได้ว่า จะติดต่อไปเพื่อเริ่มต้นความสัมพันธ์หรือไม่ มันก็คงจะดี”
นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวของคุณ Whitney Wolfe Herd
ผู้ก่อตั้งแอปพลิเคชันหาคู่ ชื่อว่า “Bumble”
ซึ่งกำลังก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญของ Tinder
ไอเดียดังกล่าว ถูกนำมาพัฒนาให้เป็นแอปหาคู่ที่น่าสนใจอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
คุณ Whitney Wolfe Herd เป็นนักธุรกิจหญิง สัญชาติอเมริกัน
เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1989 และปัจจุบันมีอายุ 31 ปี
จริงๆ แล้ว เธอเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง และผู้บริหารฝ่ายการตลาดของ “Tinder” แพลตฟอร์มหาคู่ชื่อดังแห่งยุค
แต่คุณ Wolfe Herd กลับต้องเผชิญปัญหาการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน ทำให้เธอตัดสินใจลาออกและฟ้องร้องบริษัท ซึ่งสุดท้าย Tinder ตกลงจ่ายค่ายอมคดีความเป็นเงิน 30 ล้านบาท ให้กับเธอ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คุณ Wolfe Herd สร้างแพลตฟอร์มสำหรับหาคู่ ที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิงเป็นหลัก
โดยเธอลองนึกถึงมุมมองของตัวเอง ที่ไม่ได้อยากให้ผู้ชายมีเบอร์โทรฯ ติดต่อหรือโทรหาเธอเวลาไหนก็ได้ แต่ถ้าเธออยากคุยเมื่อไร ก็จะเป็นฝ่ายโทรไปหาผู้ชายเอง
ซึ่งต่อมา เธอมีโอกาสนำเสนอไอเดียนี้ให้กับคุณ Andrey Andreev นักธุรกิจชาวรัสเซีย เจ้าของแอปหาคู่ ที่ชื่อว่า Badoo ที่ค่อนข้างโด่งดังในยุโรป โดยทั้งคู่รู้จักกัน สมัยคุณ Wolfe Herd ทำงานอยู่ที่ Tinder
ปรากฏว่าคุณ Andreev ชอบแนวคิดธุรกิจหาคู่ที่ให้สิทธิ์ผู้หญิงได้เลือกตัดสินใจก่อนเป็นอย่างมาก เขาจึงให้เงินทุน 300 ล้านบาท เพื่อให้คุณ Wolfe Herd นำไปก่อตั้งบริษัทเพื่อพัฒนาแอปพลิเคชัน โดยเขาจะถือหุ้น 79% ขณะที่คุณ Wolfe Herd เป็นซีอีโอ และถือหุ้นอีก 20%
แล้วแอปพลิเคชันหาคู่ “Bumble” ก็ถือกำเนิดขึ้น จากเงินทุนก้อนนั้น..
แอป Bumble เปิดให้บริการครั้งแรก เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2014
หลังจากคุณ Wolfe Herd ลาออกจาก Tinder ไม่ถึง 1 ปี
แล้วแอปหาคู่ Bumble มีรูปแบบการใช้งานอย่างไร?
บริการทั่วไปของ Bumble จะมีลักษณะคล้ายกับ Tinder หรือแอปหาคู่อื่นๆ
เมื่อเราสไลด์หน้าจอไปเจอคนที่ถูกใจ ก็ให้ปัดขวาเก็บไว้ แต่ถ้าไม่ถูกใจ ก็ปัดซ้ายทิ้งไป
ซึ่งถ้าฝั่งตรงข้ามสนใจเราเช่นกัน ก็จะถือว่าจับคู่สำเร็จ หรือเรียกว่า Match
แต่ข้อแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นคือ
เมื่อเกิดการ Match แล้ว จะมีเพียงฝ่ายหญิงเท่านั้นที่สามารถเริ่มต้นส่งข้อความติดต่อไปก่อนได้
ส่วนฝ่ายชายทำได้แค่ “รอ” เท่านั้น
และถ้าภายใน 24 ชั่วโมง ไม่มีการพูดคุยเกิดขึ้น การ Match ก็จะถูกยกเลิกทันที ราวกับซินเดอเรลล่าที่พวกเขาเพิ่งตกหลุมรัก ได้หายตัวไปแล้ว
ฟีเจอร์นี้ ทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่า Bumble ค่อนข้างปลอดภัยกว่าแอปอื่นๆ รวมทั้งผู้ชายเองก็ผ่อนคลายความกดดันลง เมื่อรู้ว่าผู้หญิงเปิดโอกาส ส่งผลให้ทั้งคู่พูดคุยกันได้อย่างสบายใจมากขึ้น
นอกจากนั้น Bumble ยังมีบริการรองรับความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ
เช่น หากคู่ที่ Match เป็นเพศเดียวกัน ใครจะทักไปก่อนก็ได้
หรือโหมด BFF ไว้สำหรับหาเพื่อนที่มีความสนใจเหมือนกัน
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า Bumble มีคนใช้งานเยอะแค่ไหน?
บริษัทใช้โมเดลธุรกิจแบบ Freemium
คือ เปิดให้บริการพื้นฐานฟรี แต่ถ้าสมัครสมาชิก ราคาประมาณ 300 บาทต่อเดือน ก็จะมีฟีเจอร์พิเศษเพิ่มเติม เช่น ขยายเวลา Match ได้นานกว่า 24 ชั่วโมง
ปัจจุบัน Bumble มียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไปแล้วมากกว่า 100 ล้านครั้ง
โดยมีผู้ใช้งานประจำ 12.3 ล้านบัญชีต่อเดือน ซึ่งเป็นสมาชิกแบบจ่ายเงิน 1.2 ล้านบัญชี
ถ้านับแค่ในประเทศสหรัฐอเมริกา Bumble จะเป็นแอปหาคู่ที่ได้รับความนิยมอันดับ 2 ของตลาด
โดยมีชาวอเมริกันใช้งานแอป 5 ล้านบัญชีต่อเดือน เป็นรองแค่ Tinder ที่มีผู้ใช้งาน 7.8 ล้านบัญชีต่อเดือน
ด้วยการเติบโตที่น่าสนใจนี้ จึงทำให้ The Blackstone Group บริษัทการเงินสัญชาติอเมริกัน เข้ามาซื้อหุ้นจากคุณ Andreev ผู้ที่ถือหุ้นอยู่กว่า 79% ของบริษัทเจ้าของแอป Bumble
โดยที่ คุณ Andreev ตกลงขาย เพราะมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการเหยียดเพศในที่ทำงาน ซึ่งตรงข้ามกับภาพลักษณ์ที่บริษัทสร้างมาตั้งแต่ต้น
จากนั้น ก็ได้มีการปรับโครงสร้างบริษัทใหม่เป็น Bumble Group ที่ดูแลทั้งแพลตฟอร์ม Bumble และ Badoo รวมถึงให้คุณ Wolfe Herd ดำรงตำแหน่งซีอีโอ ที่ดูแลภาพรวมทั้งหมด
ผลประกอบการของบริษัท Bumble Group
ปี 2018 รายได้ 10,788 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 14,646 ล้านบาท
และ 9 เดือนของปี 2020 รายได้ 12,480 ล้านบาท
โดยล่าสุด Blackstone บริษัทจัดการการลงทุนในสหรัฐอเมริกา ได้ประเมินมูลค่าธุรกิจของ Bumble Group ไว้อยู่ที่ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 90,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสตาร์ตอัปในระดับยูนิคอร์น
และล่าสุด Bumble Group ก็กำลังเตรียมจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ แล้ว ซึ่งนักวิเคราะห์ก็คาดการณ์ว่า มูลค่าบริษัทอาจเพิ่มขึ้นสูงถึง 180,000-240,000 ล้านบาท
หากเปรียบเทียบกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Bumble Group จะมีขนาดใหญ่พอๆ กับ ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
หรือ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เลยทีเดียว
เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่า
ในอุตสาหกรรมที่ผลิตภัณฑ์มีลักษณะคล้ายกัน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทอยู่รอด หรือยึดครองส่วนแบ่งตลาดได้
คือ การสร้างจุดขาย ให้ตอบโจทย์ความต้องการ หรือ “Pain point” ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
เหมือนในกรณีของธุรกิจแพลตฟอร์มหาคู่
ที่มาตอบโจทย์ความต้องการความปลอดภัยของผู้หญิงในการเล่นแอปหาคู่
จนได้รับความนิยมมากขึ้นในที่สุด
เมื่อก่อน คนส่วนใหญ่ อาจจะรู้จักแต่ Tinder และนึกชื่อแอปอื่นไม่ออก
แต่ต่อไป ถ้าถามผู้หญิงว่า เล่นแอปหาคู่อะไรกัน
เราอาจเริ่มได้ยินพวกเธอตอบว่า “ฉันเล่นแอป Bumble อยู่” ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.forbes.com/sites/angelauyeung/2021/01/15/bumble-the-online-dating-app-where-women-make-the-first-move-files-to-go-public/?sh=420919e84b13
-https://www.forbes.com/sites/clareoconnor/2017/11/14/billion-dollar-bumble-how-whitney-wolfe-herd-built-americas-fastest-growing-dating-app/?sh=d7fc3b7248b3
-https://en.wikipedia.org/wiki/Bumble_(app)
-https://www.datingsitesreviews.com/staticpages/index.php?page=Tinder-Statistics-Facts-History
-https://www.statista.com/statistics/826778/most-popular-dating-apps-by-audience-size-usa/