MINI แบรนด์รถเล็ก ที่ยิ่งใหญ่ /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงรถยนต์ “MINI” เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงรถคันเล็ก ที่มีความคลาสสิกอยู่ในตัว
แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว รถยนต์ MINI เป็นรถยนต์สัญชาติอังกฤษ
ที่มีจุดประสงค์ คือการผลิตขึ้นให้เป็นรถยนต์ราคาถูกเพื่อแก้ปัญหาน้ำมันราคาแพง
แล้วเรื่องราวของรถเล็กที่ตั้งใจให้เป็นรถยนต์ราคาถูกนี้ น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นของ MINI ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1957 ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ช่วงนั้นเป็นช่วงเดียวกันกับตอนที่ประเทศอียิปต์ยึดคลองสุเอซ
คลองสุเอซ ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางการขนส่งที่สำคัญมากที่สุดในโลก
เมื่อถูกยึดและถูกปิดกั้นเส้นทาง การขนส่งน้ำมันจึงหยุดชะงักจนดันให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น
เรื่องดังกล่าวส่งผลให้รถที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้น้ำมันปริมาณมาก ได้รับความนิยมลดลง
ในช่วงนั้น บริษัท British Motor Corporation หรือ BMC ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ในประเทศอังกฤษ ที่เกิดจากการควบรวมของบริษัท Austin Motor Company กับ Morris Motors
เกิดความคิดที่จะผลิตรถยนต์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ขึ้นมา
โดยรถยนต์ที่ว่านั้น ต้องเป็นรถยนต์ที่มีขนาดเล็กและใช้น้ำมันน้อย
แต่ก็ต้องสามารถรับผู้โดยสารได้ 4 คน และที่สำคัญคือราคาต้องไม่แพง
บริษัท BMC จึงได้ทดลองผลิตรถเล็กขึ้นมาโดยมี เซอร์อเล็ก อิสซิโกนิส
วิศวกรและนักออกแบบรถของ BMC มาเป็นผู้รับผิดชอบหลักในโครงการนี้
จนในที่สุด “MINI” คันแรกก็สามารถออกสู่ตลาดได้ในปี 1959
หลังจากเปิดตัวได้ไม่นาน ด้วยรูปร่างของ MINI ที่เล็กกะทัดรัดแต่สามารถจุคนได้ถึง 4 คน
บวกกับการออกแบบที่สวยงาม ดูคลาสสิก ที่สำคัญมีราคาเพียง 496 ปอนด์
ซึ่งถือเป็นราคาที่คนทั่วไปสามารถเอื้อมถึงได้
ทั้งหมดนี้ก็ได้ทำให้ MINI สามารถขายได้ถึง 116,000 คัน ในระยะเวลาเพียงปีเดียว
สำหรับชื่อของ MINI นั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้ถูกเรียกแบบนี้มาตั้งแต่แรก
เดิมที MINI ถูกเรียกว่า “Austin Seven” กับ “Morris Mini” มาก่อน
เนื่องจากในช่วงแรกยังคงทำการตลาดภายใต้แบรนด์
Austin Motor Company กับ Morris Motors
แต่ในภายหลัง ก็ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ “MINI” ในปี 1969
แล้วถ้าถามว่า อะไรกันที่ทำให้ MINI เป็นที่รู้จักและยอมรับกัน ?
เราก็สามารถแบ่งก้าวกระโดดของ MINI จาก 2 เหตุการณ์ด้วยกัน
เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในปี 1961
John Cooper นักแข่งรถในตำนาน
ซึ่งเขาเองเป็นเพื่อนสนิทของ เซอร์อเล็ก อิสซิโกนิส
เห็นว่าจริง ๆ แล้ว MINI เป็นรถที่สามารถยึดเกาะถนนได้ดี
เขาจึงได้ลองนำรถ MINI มาปรับแต่งเครื่องยนต์ให้แรงขึ้น
หลังจากที่ John Cooper ได้ทำการปรับแต่งเสร็จ
เขาได้ตั้งชื่อให้รถที่เขานำมาปรับแต่งว่า “MINI Cooper”
และนั่นจึงเป็นที่มาของรถรุ่น MINI Cooper ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนั่นเอง
จนในปี 1964 ถือเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนรู้จักและยอมรับในรถ MINI Cooper มากขึ้น
จากการที่ “Paddy Hopkirk” นักแข่งรถวิบาก สามารถนำรถ MINI Cooper เอาชนะการแข่งขัน
ในรายการ Monte Carlo Rally ซึ่งเป็นรายการแข่งรถวิบากในประเทศโมนาโก
โดยมีจุดประสงค์ในการแข่งคือต้องการเห็นนวัตกรรมใหม่ ๆ สำหรับรถยนต์ที่พัฒนาขึ้นในแต่ละปี
อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 1968
เมื่อ Paramount บริษัทผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ได้นำ MINI Cooper
มาใช้ประกอบการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Italian Job”
ซึ่งเป็นภาพยนตร์เล่าเรื่องราวการปล้นทองคำครั้งใหญ่
โดยมีฉากที่ใช้รถ MINI Cooper 3 คัน สามารถขับหนีตำรวจ
ที่ใช้รถ Alfa Romeo ซึ่งเป็นรถสปอร์ตที่โด่งดังในช่วงนั้น
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ยอดขายรถ MINI เพิ่มขึ้นมากถึง 318,000 คันในปี 1971
โดยตลอดระยะเวลา 40 ปี นับตั้งแต่สามารถขายรถ MINI คันแรกได้ในปี 1959
ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย
ปี 1966 บริษัท BMC ทำการควบรวมบริษัท Jaguar Cars
หลังจากทำการควบรวม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น British Motor Holdings Limited หรือ BMH
ปี 1968 บริษัท BMH ทำการควบรวมบริษัท Leyland Motor Corporation
ซึ่งในเวลานั้นมีบริษัทลูกเป็น Triumph Motor และ The Rover Company
หลังจากการควบรวมได้ทำการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น British Leyland Motor Corporation หรือ BLMC
ในเวลานั้น BLMC ถือเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษเลยทีเดียว โดยมีแบรนด์ที่เราน่าจะคุ้นเคยกันดี เช่น Triumph, MG, Rover รวมไปถึง MINI ด้วย
ปี 1975 ได้ทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น British Leyland
ปี 1986 British Leyland ได้ทำการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของบริษัท โดยมีการขายบริษัทย่อยที่ไม่ทำกำไรออกไป และได้ทำการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น Rover Group
ปี 1994 BMW บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมัน ได้ทำการเข้าซื้อ Rover Group ด้วยมูลค่า 800 ล้านปอนด์
แต่เนื่องจากแนวทางในการทำงานที่ต่างกันและกำลังเป็นช่วงขาลงของ Rover
ทำให้ BMW ต้องอัดฉีดเงินเข้าไปจำนวนมากถึง 1,000 ล้านปอนด์
จนในที่สุด BMW จึงตัดสินใจขายธุรกิจส่วนใหญ่ของ Rover Group ออกไปในปี 2000
อ่านมาถึงตรงนี้ เราคงเห็นแล้วว่าตลอด 40 ปีที่ผ่านมา
มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเลยทีเดียว
ทั้งการควบรวม เปลี่ยนชื่ออยู่หลายครั้ง รวมถึงการขายบริษัทย่อยออกไป
แม้ BMW ได้ขายธุรกิจส่วนใหญ่ของ Rover Group ออกไป
แต่มีรถยนต์อยู่แบรนด์หนึ่ง ที่ทาง BMW ยังคงเก็บไว้นั่นคือ MINI นั่นเอง
แล้วปัจจุบัน MINI ภายใต้บริษัทแม่ BMW เป็นอย่างไรบ้าง ?
ปี 2018 ขายได้ 364,101 คัน
ปี 2019 ขายได้ 347,465 คัน
ปี 2020 ขายได้ 292,582 คัน
ถึงแม้ 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนรถที่สามารถขายได้ของ MINI จะลดลงอย่างต่อเนื่อง
แต่หากเราลองไปดู ยอดขายของรถยนต์ทั่วโลกจะพบว่ามีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกัน
ปี 2018 ปริมาณรถยนต์ที่ขายได้ 92 ล้านคัน
ปี 2019 ปริมาณรถยนต์ที่ขายได้ 88 ล้านคัน
ปี 2020 ปริมาณรถยนต์ที่ขายได้ 73 ล้านคัน
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2018
ในขณะที่ในปี 2020 ทั่วโลกยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 จึงทำให้ยอดขายรถยนต์ ตกลงไปอีก
อีกสาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนผ่านระหว่างการใช้รถที่ใช้น้ำมัน ไปเป็นรถที่ใช้ไฟฟ้า ซึ่งก็มีบางประเทศเริ่มออกนโยบายให้เห็นกันชัดเจนแล้ว เช่น นโยบายของสหรัฐอเมริกาที่จะเปลี่ยน รถยนต์ของรัฐให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด
ซึ่งปัจจุบันทาง MINI เอง สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้แล้วเช่นกัน
และก็เพิ่งทำการเปิดตัวไปเมื่อปี 2020 ชื่อรุ่น “MINI Cooper SE”
ซึ่งเป็นเรื่องน่าติดตามต่อไปว่า MINI คันเล็กคันนี้
จะปรับตัวกับความท้าทายในครั้งนี้อย่างไร
ปิดท้ายด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ
รถ MINI รุ่น Paddy Hopkirk Edition ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษ ที่ตั้งชื่อตาม Paddy Hopkirk
นักแข่งรถที่สามารถนำรถ MINI Cooper เอาชนะการแข่งขัน Monte Carlo Rally ในปี 1964
โดยหมายเลข 37 ที่ติดอยู่กับตัวรถ คือหมายเลขรถ MINI ที่เขาสามารถเอาชนะในวันนั้นได้ นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-http://cminicooper.blogspot.com/p/blog-page.html
-https://en.wikipedia.org/wiki/Rover_Group
-https://www.longtunman.com/8870
-https://en.wikipedia.org/wiki/British_Leyland
-https://en.wikipedia.org/wiki/British_Motor_Corporation
-https://en.wikipedia.org/wiki/Austin_Motor_Company
-https://en.wikipedia.org/wiki/Morris_Motors
-https://www.britannica.com/topic/British-Leyland-Motor-Corporation-Ltd
-https://www.miniusa.com/why-mini/why-mini/over-60-years-of-motoring.html
-https://en.wikipedia.org/wiki/The_Italian_Job
-https://www.carolenash.com/news/classic-car-news/detail/mini-eras-the-1970s
-https://www.marketingoops.com/reports/fast-fact-reports/20-mini-car-facts/
-https://askanydifference.com/difference-between-mini-cooper-and-mini-one/
-https://www.unlockmen.com/mini-cooper-3-door-f56-5-door-f55/
-https://www.statista.com/statistics/267245/worldwide-sales-volume-of-mini-automobiles-since-2006/
-https://www.autostation.com/car/mini-electric-2020-launch-in-thailand
-https://www.best-selling-cars.com/brands/2020-full-year-global-bmw-mini-and-rolls-royce-sales-worldwide/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Monte_Carlo_Rally
-https://en.wikipedia.org/wiki/Paddy_Hopkirk
-https://www.forbes.com/sites/neilwinton/2019/10/03/uschina-tariff-war-will-lose-auto-industry-sales-worth-770-billion-report/?sh=4e0ed85f25e4
-https://www.iea.org/data-and-statistics/charts/global-car-sales-by-key-markets-2005-2020
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過11萬的網紅ลงทุนแมน,也在其Youtube影片中提到,มุมมองครูใหญ่ โรงเรียนอินเตอร์ Denla British School ลงทุนแมน ลงทุนในความรู้ การลงทุนในความรู้ไม่มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรกด Subscribe @ลงทุนแมน ...
british podcast spotify 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
สรุปเรื่อง จักรวรรดิอังกฤษ เครือจักรภพ ฉบับสมบูรณ์ /โดย ลงทุนแมน
ภาษาอังกฤษก้าวขึ้นมาเป็นภาษาสากลของโลก
ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ภาษาที่มีคนใช้เป็นภาษาแม่มากที่สุด
โดยหนึ่งในเบื้องหลังที่สำคัญที่สุด ก็คือ “จักรวรรดิอังกฤษ”
จากประเทศเกาะเล็ก ๆ สุดขอบทวีปยุโรป เติบโตขึ้นจนสามารถครอบครองดินแดน
และสร้างอาณานิคมไว้ทั่วทุกมุมโลก จนได้ฉายาว่า จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน
ในยุครุ่งเรืองที่สุด จักรวรรดิอังกฤษครอบครองพื้นที่มหาศาลถึง 1 ใน 4 ของโลก
ซึ่งนับเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ..
แล้วถ้าอำนาจของจักรวรรดิอังกฤษยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้จะใหญ่ขนาดไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ก่อนอื่น มาฟังความเป็นมาของจักรวรรดิแห่งนี้กันสักนิด..
ดินแดนอังกฤษตั้งอยู่ในหมู่เกาะที่อยู่ริมสุดด้านตะวันตกของทวีปยุโรป
โดยมีช่องแคบกั้นระหว่างหมู่เกาะแห่งนี้กับผืนแผ่นดินใหญ่
การเป็นเกาะโดดเดี่ยวที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับใคร ถึงแม้จะมีข้อเสียในเรื่องการเดินทางค้าขาย
แต่กลับมีข้อดีอย่างมาก เพราะในระหว่างที่ดินแดนอื่น ๆ ในยุโรปที่มีพรมแดนติดต่อกัน
เกิดความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามนับครั้งไม่ถ้วน
ความเป็นเกาะ ที่เป็นเหมือนป้อมปราการตามธรรมชาติ ทำให้อังกฤษมีความได้เปรียบในการตั้งรับเมื่อมีศึกสงคราม และเมื่อมีความสูญเสียน้อย ก็มีทรัพยากรที่จะพัฒนาองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะ “การเดินเรือ”
ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่กลางทะเลเหนือ และมหาสมุทรแอตแลนติกที่มีลมแรง ทำให้ชาวอังกฤษค่อย ๆ พัฒนาองค์ความรู้ด้านการเดินเรือ ทั้งเพื่อการประมง การติดต่อค้าขายกับประเทศต่าง ๆ และเพื่อการป้องกันประเทศ
สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นรากฐานสำคัญ ที่ทำให้อังกฤษสามารถพัฒนากองเรือรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจทางกองทัพเรือของยุโรป
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 สเปนกับโปรตุเกสได้นำหน้าอังกฤษในเรื่องของการสำรวจดินแดนนอกทวีปยุโรป เป็นช่วงที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือรับจ้างของจักรวรรดิสเปน
ได้เดินทางมาถึงทวีปใหม่ แต่คิดว่าดินแดนตรงนี้คือทวีปเอเชีย
พอเรื่องเป็นแบบนี้จึงทำให้พระเจ้าเฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษ ได้แต่งตั้ง จอห์น แคบอต
นักสำรวจชาวอิตาลี ให้เดินทางออกสำรวจเส้นทางไปยังเอเชียเช่นเดียวกันกับสเปน
โดยเดินเรือไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก
จอห์น แคบอต ได้เดินทางถึงทวีปใหม่ ซึ่งก็คือแคนาดาในปัจจุบัน
แต่เขาเข้าใจผิดว่าดินแดนแคนาดานี้คือทวีปเอเชียเช่นเดียวกันกับคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
แต่พออเมริโก เวสปุชชี นักสำรวจชาวอิตาลี ได้เดินทางตามเส้นทางเดินเรือของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มายังทวีปเอเชียอีกครั้ง เขาก็ได้พบกับความจริงว่า แผ่นดินตรงนี้ไม่ใช่ทวีปเอเชียแต่อย่างใด แต่เป็นดินแดนแห่งใหม่ จึงทำให้เขาตั้งชื่อทวีปนี้ว่า “อเมริกา” ตามชื่อของเขา..
หลังจากนั้น ชาติมหาอำนาจจากตะวันตกต่างก็ยกกองเรือมายังทวีปอเมริกา
และเริ่มที่จะตั้งอาณานิคมของตัวเองในทวีปใหม่แห่งนี้
จักรวรรดิอังกฤษภายใต้การปกครองของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ก็ได้ตั้งอาณานิคมของตน
ในฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาตอนเหนือ ตั้งแต่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17
ด้วยความที่ดินแดนใหม่ในทวีปอเมริกา มีหลายประเทศในยุโรปพยายามจะเข้าไปยึดครอง
จึงทำให้เกิดการสู้รบกันบ่อยครั้งเพื่อที่จะแย่งชิงดินแดนและทรัพยากรธรรมชาติ
แต่เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุด กลับกลายเป็นการสู้รบระหว่างประชาชนในอาณานิคม กับเจ้าอาณานิคมเอง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 18 ระหว่างจักรวรรดิอังกฤษ กับดินแดนในอาณานิคมบริติชอเมริกาที่ต้องการประกาศเอกราช
ผลของสงครามทำให้จักรวรรดิอังกฤษเป็นฝ่ายแพ้ และทำให้บริติชอเมริกาได้รับเอกราชในปี 1776 เกิดเป็นประเทศใหม่ที่ชื่อว่า “สหรัฐอเมริกา”
ถ้าเราคิดว่าจักรวรรดิอังกฤษต้องอ่อนแอลงเพราะสูญเสียดินแดนในอเมริกา เรื่องราวทั้งหมดจะไม่ใช่แบบนั้น
จากการที่ต้องสูญเสียบริติชอเมริกา จุดนี้เองได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการล่าอาณานิคมในดินแดนอื่นของจักรวรรดิอังกฤษอย่างเต็มตัว
ด้วยความที่จักรวรรดิอังกฤษมีกองเรือที่สามารถเดินทางรอบโลกได้แล้ว จึงทำให้พวกเขาออกเดินทางเพื่อล่าอาณานิคมแห่งใหม่เรื่อยมา
ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย, แอฟริกา, อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จนถึงในช่วงปี 1920 ซึ่งเป็นช่วงที่จักรวรรดิอังกฤษมีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด
มากถึงขนาดที่ในสมัยนั้นจักรวรรดิอังกฤษสามารถครอบครองพื้นที่ได้มากกว่า 30 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งคิดเป็นพื้นที่เกือบ 1 ใน 4 ของพื้นที่ทั่วโลก
มากกว่าพื้นที่ของสหภาพโซเวียตที่เพิ่งก่อตั้งในปี 1917 ที่มีพื้นที่ประมาณ 22 ล้านตารางกิโลเมตร จึงทำให้จักรวรรดิอังกฤษในช่วงนั้นมีพื้นที่ในการปกครองมากที่สุดในโลก..
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงปี 1920 ดินแดนที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิอังกฤษทั้งหมดรวมกันแล้ว
จะมีจำนวนประชากรมากถึง 440 ล้านคน ซึ่งมากกว่าสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น
ที่มีประชากร 110 ล้านคน ถึง 4 เท่า
อังกฤษในฐานะประเทศเจ้าอาณานิคมจะเข้าไปวางรากฐานให้ประเทศอาณานิคมมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการเมือง, การศึกษา, โครงสร้างพื้นฐาน, ศาสนา และเศรษฐกิจ
จึงทำให้ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษบางส่วนสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาต่อยอด จนพัฒนาเศรษฐกิจของตัวเองจนเจริญก้าวหน้าได้ เช่น ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, แคนาดา หรือสิงคโปร์
เรื่องราวก็ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
ที่แต่ละประเทศต่างได้รับความเสียหายมากมายในช่วงสงคราม
ด้วยความที่อังกฤษเป็นคู่ขัดแย้งหลักในมหาสงครามทั้ง 2 ครั้ง
จึงทำให้ประเทศในอาณานิคมต้องมีความเกี่ยวข้องกับสงครามในที่สุด
โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศในอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษในภูมิภาคเอเชีย ได้ถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นเข้าครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นอาณานิคมช่องแคบ, บริติชมาลายา, ฮ่องกง หรือพม่า ส่งผลให้จักรวรรดิอังกฤษเริ่มเสียอำนาจในการปกครองประเทศอาณานิคมดังกล่าว
ถึงแม้ว่าผลสรุปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 จักรวรรดิอังกฤษจะเป็นผู้ชนะสงคราม
แต่มหาสงครามทั้ง 2 ครั้ง ก็ทำให้จักรวรรดิอังกฤษได้รับความเสียหายมากมายนับไม่ถ้วน
จุดจบของสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอง ที่ทำให้ศูนย์กลางของชาติมหาอำนาจได้ถูกเปลี่ยนมือจากจักรวรรดิอังกฤษไปสู่สหรัฐอเมริกา
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ได้มีการเคลื่อนไหวของประชาชนในชาติอาณานิคมมากมายทั่วโลกเพื่อที่จะเรียกร้องเอกราชจากประเทศเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษ, เบลเยียม, ฝรั่งเศส, สเปน, โปรตุเกส และเนเธอร์แลนด์
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้จักรวรรดิอังกฤษเริ่มกระบวนการการปลดปล่อยอาณานิคมและได้ก่อตั้ง The Commonwealth of Nations หรือ เครือจักรภพแห่งประชาชาติ โดยไม่ได้บังคับอดีตประเทศในอาณานิคมว่าต้องเข้าเป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติแต่อย่างใด
ประเทศที่เป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติจะไม่มีข้อผูกพันใด ๆ กับสหราชอาณาจักร
โดยจุดมุ่งหมายของการก่อตั้งเครือจักรภพแห่งประชาชาตินี้คือ การให้ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องของการค้าระหว่างประเทศ, หลักประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชน, การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ, ความเท่าเทียมทางเพศ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกเครือจักรภพแห่งประชาชาติอยู่ 54 ประเทศทั่วโลกในทุกทวีป
เช่น มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินเดีย, ปากีสถาน, แอฟริกาใต้ และอีก 49 ประเทศทั่วโลก
และในประเทศสมาชิก 54 ประเทศนี้ มี 16 ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกันกับสหราชอาณาจักร ซึ่งก็คือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ได้แก่ ออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์, ปาปัวนิวกินี, จาเมกา และอีก 10 ประเทศ ซึ่งไม่รวมสหราชอาณาจักร
คำถามที่น่าสนใจก็คือ
สมมติถ้าเครือจักรภพแห่งประชาชาติเป็นประเทศเดียวกัน ซึ่งทุกรัฐและทุกดินแดนจะถูกปกครองโดยอังกฤษ ประเทศนี้มันจะใหญ่แค่ไหน ?
คำตอบก็คือ ประเทศ เครือจักรภพแห่งประชาชาติ จะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
โดยจะมีพื้นที่รวมกันกว่า 29 ล้านตารางกิโลเมตร
มากกว่ารัสเซียที่มีพื้นที่ 17 ล้านตารางกิโลเมตร เกือบ 2 เท่า
ขนาดพื้นที่ของเครือจักรภพแห่งประชาชาติน้อยกว่าในช่วงที่เป็นจักรวรรดิอังกฤษ
ก็เพราะว่ามีบางประเทศที่เคยเป็นดินแดนในอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ แต่พอได้เอกราชแล้วก็ไม่ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติ เช่น เมียนมาและอียิปต์
นอกเหนือจากขนาดพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล มีดินแดนตั้งอยู่ในทุกทวีปแล้ว
ประเทศนี้จะมีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม
ด้วยประชากรกว่า 2,400 ล้านคน จะทำให้มีประชากรมากที่สุดในโลก มากกว่าประเทศจีนที่มีประชากร 1,400 ล้านคน และยังมีวัยแรงงานที่พร้อมจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศอย่างมหาศาล
นอกเหนือจากแรงงานแล้ว ประเทศแห่งนี้จะกลายเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรน้ำมันที่มีในแคนาดา ไนจีเรีย และมาเลเซีย
ที่จะทำให้ประเทศนี้มีปริมาณน้ำมันดิบสำรองมากกว่า 200 ล้านบาร์เรล
ซึ่งจะทำให้ประเทศนี้มีน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากเวเนซุเอลาและซาอุดีอาระเบีย
แต่ถ้าใครคิดว่าประเทศนี้จะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก คำตอบจะไม่เป็นอย่างนั้น
เพราะเครือจักรภพแห่งประชาชาติจะมีขนาด GDP โดยประมาณอยู่ที่ 351 ล้านล้านบาท
ซึ่งเป็นขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาที่ 668 ล้านล้านบาท และจีนที่ 447 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่การสมมติเท่านั้น
เนื่องจากยุคล่าอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษได้สิ้นสุดลงแล้ว
ถ้าจะให้ถือว่าเป็นอย่างทางการจริง ๆ
ก็สิ้นสุดนับตั้งแต่อังกฤษได้คืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีนในปี 1997
การสิ้นสุดลงของจักรวรรดิอังกฤษ ส่งผลให้ประเทศในอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ มีความเป็นประเทศเท่าเทียมกัน กับเจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักรทุกประการ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.historic-uk.com/HistoryUK/HistoryofBritain/Timeline-Of-The-British-Empire/
-https://praenapa.wordpress.com
-https://www.worldometers.info/world-population/population-by-country/
-https://www.bbc.com/thai/international-43796090
-https://thecommonwealth.org/about-us/charter
-https://www.eia.gov/international/data/world/petroleum-and-other-liquids/
british podcast spotify 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
โอวัลติน และ ชา ทไวนิงส์ มีเจ้าของเดียวกัน คนนั้นคือใคร ? /ลงทุนแมน
“ดื่มโอวัลติน คุณค่าดีดี เพื่อทุกวันของชีวิต”
“ทไวนิงส์ ชาอังกฤษ ที่คัดสรรและปรุงชาจากใบชาคุณภาพสูงชั้นเลิศจากทั่วโลก เพื่อให้คุณ”
ทั้ง 2 แบรนด์นี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางประวัติความเป็นมา ผลิตภัณฑ์ หรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เลยแม้แต่น้อย แต่รู้ไหมว่า สิ่งที่ทั้ง 2 แบรนด์มีเหมือนกัน นั่นคือ ตอนนี้มี “เจ้าของ” เป็นบริษัทเดียวกัน
แล้วทำไมถึงมีเจ้าของ เป็นบริษัทเดียวกัน เรื่องราวนี้มีที่มาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ก่อนอื่นเลย ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทั้งโอวัลตินและทไวนิงส์
แต่เดิมเป็นบริษัทที่มีต้นกำเนิด อยู่คนละยุคสมัยกัน
เริ่มต้นกันที่ แบรนด์ชาอังกฤษ “ทไวนิงส์ (Twinings)” ถือว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ชาที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศอังกฤษ มีอายุมากกว่า 300 ปี
บริษัท ทไวนิงส์ ก่อตั้งโดย คุณโธมัส ทไวนิงส์ ที่มีประสบการณ์ในการนำเข้าใบชา จากประเทศจีนสู่ประเทศอังกฤษ ต่อมาเขาได้ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจร้านนำเข้า ผสมใบชา และคั่วกาแฟ เป็นของตัวเอง ภายใต้ชื่อของ TOM'S COFFEE HOUSE ในปี ค.ศ. 1706
และหลังจากที่คุณโธมัสเสียชีวิตไป ลูกหลานของตระกูลทไวนิงส์ ก็ได้สานต่อในเรื่องของการนำเข้า-ส่งออกใบชา รวมถึงการนำผลิตภัณฑ์ชา ไปมอบให้กับราชวงศ์ของอังกฤษ
ซึ่งต่อมา ธุรกิจได้พัฒนาจนกลายเป็น บริษัทผลิตชา ทไวนิงส์
ที่มีโลโกเป็นตรารับรอง พระราชทานจากพระนางเจ้าวิกตอเรีย
ส่วนแบรนด์เครื่องดื่มมอลต์สกัดเข้มข้น “โอวัลติน (Ovaltine)”
มีต้นกำเนิดมาจากกรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1904
ซึ่งว่ากันว่า เป็นเครื่องดื่มมอลต์สกัดจากข้าวบาร์เลย์ ที่ดัดแปลงมาจากสูตรของ คุณจอร์จ วานเดอร์ นักเคมีชาวสวิส ที่คิดค้นสูตรเครื่องดื่มสารอาหาร “Ovo-Maltine” ซึ่งมาจากส่วนผสมหลัก ได้แก่ มอลต์ (Malt) และ ไข่ (Ovum)
สุดท้ายแล้ว เรื่องราวที่แตกต่างกันของทั้ง 2 แบรนด์ ก็ได้มาบรรจบกัน
ภายใต้การเข้าซื้อกิจการ โดยบริษัท Associated British Foods
แล้วบริษัท Associated British Foods คือใคร ?
บริษัท Associated British Foods เดิมชื่อว่า “Allied Bakeries Limited” ก่อตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ.1935 โดยคุณการ์ฟิลด์ เวสตัน ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
คุณการ์ฟิลด์ มีความตั้งใจที่จะสร้างบริษัทที่เน้นการลงทุน แบบเข้าซื้อกิจการเกี่ยวกับร้านขนมปัง
จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านมาถึงปี ค.ศ. 1960 บริษัท Allied Bakeries Limited มีการเข้าซื้อกิจการร้านอบขนมปัง มากกว่า 10 บริษัท และสามารถบริหารจนประสบความสำเร็จได้
จากนั้น Allied Bakeries Limited ต้องการขยายการเข้าซื้อกิจการ ไปยังธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
จึงได้เริ่มเข้าซื้อบริษัทน้ำตาลอังกฤษ บริษัทผลิตไข่ไก่ ฟาร์มไข่ไก่
พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Associated British Foods” ในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ Associated British Foods ยังต้องการเป็นผู้ครอบครองธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งแต่ต้นน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ
ซึ่งธุรกิจปลายน้ำอย่าง บริษัทจัดจำหน่ายและห้างสรรพสินค้า ก็ได้ถูก Associated British Foods กว้านซื้อไปหลายบริษัทแล้ว
Associated British Foods จึงขาดแต่ บริษัทต้นน้ำอย่างผู้ผลิต
Associated British Foods เลยสร้างบริษัทที่ทำการวิจัยเอนไซม์และจุลินทรีย์ เพื่อการแปรรูปอาหาร
รวมถึงการเข้าซื้อแผนกวิจัยเอนไซม์และจุลินทรีย์ ของบริษัทยาชื่อดังจากสวิตเซอร์แลนด์ อย่าง “Novartis”
ซึ่ง Novartis แต่เดิมเป็นผู้พัฒนาสูตรเครื่องดื่มมอลต์สกัดของบริษัท “โอวัลติน” อยู่แล้ว จึงทำให้ Associated British Foods ประกาศเข้าซื้อบริษัท โอวัลติน ในปี ค.ศ. 2002
(หมายเหตุ: สำหรับโอวัลติน ที่มีการจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา จะดำเนินงานภายใต้บริษัท Nestlé)
แต่เท่านั้นยังไม่พอ
Associated British Foods ยังต้องการที่จะเพิ่มความหลากหลายของแบรนด์
เพื่อทำให้พอร์ตสินค้าของบริษัท สามารถเข้าไปอยู่ในทุก ๆ ครัวเรือนได้
เลยทำให้ในปี ค.ศ. 2010
บริษัทได้เข้าซื้อธุรกิจใบชายอดนิยม ที่มีประวัติยาวนานอย่าง ทไวนิงส์
ทั้งนี้ Associated British Foods ไม่ได้มีเพียงแค่แบรนด์โอวัลตินและทไวนิงส์
แต่บริษัทยังมีแบรนด์ในเครือ อีกกว่า 26 แบรนด์ อาทิ
น้ำมันประกอบอาหารตรา Mazola หรือขนมปังยี่ห้อ Sunblest
และยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า ที่โด่งดังในอังกฤษ อย่าง “Primark” อีกด้วย
เพียงแต่สินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ที่ว่ามานี้
จะเน้นการทำตลาดในประเทศแถบยุโรป ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา
จึงทำให้เราที่อยู่ในประเทศไทย อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตากันสักเท่าไร
แล้วผลประกอบการของ Associated British Foods ที่ผ่านมา เป็นอย่างไร
ปี 2018 รายได้รวม 680,904 ล้านบาท กำไร 59,932 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้รวม 689,634 ล้านบาท กำไร 61,372 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้รวม 606,834 ล้านบาท กำไร 39,894 ล้านบาท
ปีล่าสุด ที่รายได้และกำไรลดลง เป็นเพราะผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19
แต่ด้วยกลยุทธ์ของบริษัท ที่เน้นความหลากหลายของสินค้า ด้วยราคาที่จับต้องได้
เพื่อต้องการจะเข้าไปมีส่วนร่วม ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค
ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ของบริษัท จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ขายได้เรื่อย ๆ
ทำให้ยอดขายของบริษัท ไม่ได้รับผลกระทบหนักเหมือนธุรกิจอื่น ๆ
สำหรับประเทศไทย
Associated British Foods ได้เข้ามาเริ่มเปิดกิจการ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987
โดยจัดตั้งบริษัท เอบี ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ โอวัลตินและทไวนิงส์ เป็นหลัก
บริษัท เอบี ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ปี 2018 รายได้รวม 9,479 ล้านบาท กำไร 2,036 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้รวม 9,518 ล้านบาท กำไร 2,031 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้รวม 8,242 ล้านบาท กำไร 1,697 ล้านบาท
ปัจจุบัน Associated British Foods มีมูลค่าบริษัทกว่า 794,000 ล้านบาท
ซึ่งถ้าสมมติ บริษัทเข้ามาจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Associated British Foods ก็จะใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ
เป็นรองเพียงบริษัท ปตท. และ ท่าอากาศยานไทย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://twiningsmoment.com/thailand/
-https://www.abf.co.uk/
-https://www.abf.co.uk/documents/pdfs/2020/ar2020/ar2020.pdf
-https://ovaltine.co.th/about
british podcast spotify 在 ลงทุนแมน Youtube 的最佳解答
มุมมองครูใหญ่ โรงเรียนอินเตอร์ Denla British School
ลงทุนแมน ลงทุนในความรู้
การลงทุนในความรู้ไม่มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรกด Subscribe @ลงทุนแมน
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website -https://www.longtunman.com/
Blockdit - https://www.blockdit.com/longtunman
Facebook - http://facebook.com/longtunman
Twitter - http://twitter.com/longtunman
Instagram - http://instagram.com/longtunman
Line - http://page.line.me/longtunman
YouTube - https://www.youtube.com/longtunman
Spotify - http://open.spotify.com/show/4jz0qVn1...
Soundcloud - http://soundcloud.com/longtunman
Apple Podcasts - http://podcasts.apple.com/th/podcast/...
Clubhouse - @longtunman
#ลงทุนแมน #ห้องประชุมลงทุนแมน #ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง #BREAKTHROUGH #THEBRIEFCASE #longtunman #ลงทุนแมนORIGINALS #ลงทุนเกิร์ลTALK #ลงทุนเกิร์ล