ทำไม สิงคโปร์ จึงเป็นประเทศแห่ง บริการทางการเงิน ? /โดย ลงทุนแมน
ประเทศเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้มีประชากรเพียงราว ๆ 5.7 ล้านคน
แต่สามารถส่งออกบริการด้านการเงินมากเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย
คิดเป็นมูลค่าถึง 1,210,000 ล้านบาท ในปี 2019
จากการจัดอันดับเมืองศูนย์กลางการเงินโลกของ Long Finance ประจำปี 2021
สิงคโปร์คือศูนย์กลางการเงินอันดับ 5
เป็นรองเพียงนิวยอร์ก กรุงลอนดอน และเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นมหานครหลักของประเทศมหาอำนาจ
กับฮ่องกง ที่เป็นเมืองเชื่อมต่อธุรกิจระหว่างโลกกับจีนแผ่นดินใหญ่
สำหรับประเทศเกาะเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตั้งในปี 1965 และแทบไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลย
แม้แต่น้ำจืดก็ยังขาดแคลนจนต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
แต่สามารถเติบโตจนแซงหน้ามหานครในหลายประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า
และก้าวขึ้นมาอยู่ระดับแถวหน้าของโลกได้ภายในเวลาไม่ถึง 50 ปี..
ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ มีเส้นทางเป็นอย่างไร ?
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สิงคโปร์ จึงเป็นประเทศแห่ง บริการทางการเงิน ?
ถึงแม้ประเทศจะมีขนาดเล็ก ไม่ค่อยเหมาะสมกับการเพาะปลูก และแทบไม่มีทรัพยากรอะไรเลย
แต่เกาะสิงคโปร์ยังมีความโชคดีอยู่ประการหนึ่ง คือ
“ทำเลที่ตั้งที่อยู่ปลายสุดของคาบสมุทรมลายู”
ทำเลนี้เป็นจุดสำคัญของเส้นทางเดินเรือ ที่เชื่อมต่อระหว่างเอเชียตะวันออก กับอินเดียและยุโรป
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 อังกฤษรวบรวมดินแดนแถบนี้และเรียกว่า “อาณานิคมช่องแคบ”
สิงคโปร์จึงถูกวางให้เป็นเมืองท่าสำคัญของบริษัท บริติช อีสต์ อินเดีย ซึ่งเป็นบริษัทที่เดินเรือทำการค้าขายระหว่างยุโรป กับอินเดียและโลกตะวันออก
ต่อมาเมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เกิดอุตสาหกรรมอาหารกระป๋องที่ได้รับความนิยมสูงในยุโรป แร่ธาตุที่จะนำมาทำกระป๋องก็คือ ดีบุก ซึ่งพบมากแถบคาบสมุทรมลายู เมืองท่าสิงคโปร์จึงถูกพัฒนาให้เป็นตลาดค้าดีบุกที่สำคัญของโลก
นอกจากดีบุกแล้ว การนำยางพาราเข้ามาปลูกในแถบมลายูในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ก็ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางของตลาดประมูลยางพาราอีกหนึ่งตำแหน่ง
การเป็นทั้งเมืองท่า เป็นศูนย์กลางการค้าดีบุกและยางพารา ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศในสิงคโปร์คึกคัก ดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาเปิดกิจการธนาคาร
ธนาคารต่างชาติแห่งแรกที่เข้ามาเปิดทำการในสิงคโปร์ คือ The Union Bank of Calcutta
เปิดในปี 1840 มีการจัดตั้งสกุลเงินประจำอาณานิคมช่องแคบ คือ Straits Dollar ในปี 1845
ส่วนธนาคารแห่งแรกที่ก่อตั้งในสิงคโปร์ ก่อตั้งโดยชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพมาจากกวางตุ้ง
ชื่อว่า Kwong Yik Bank ในปี 1903 และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยธนาคารอีกหลายแห่ง
แต่ก็มีธนาคารมากมายที่ล้มหายตายจาก หรือถูกควบรวมกับธนาคารอื่น ๆ
ส่วนธนาคารที่ยังดำเนินการมาจนถึงปัจจุบันก็คือ
OCBC หรือ Oversea-Chinese Banking Corporation Limited ซึ่งเกิดจากการควบรวมธนาคารของชาวจีนฮกเกี้ยน 3 แห่ง ในปี 1932
และอีกธนาคารหนึ่งก็คือ UOB หรือ United Overseas Bank ซึ่งก่อตั้งโดยชาวมาเลย์เชื้อสายจีนในปี 1935
แต่ท่ามกลางการวางรากฐานด้านการเงินการธนาคารของสิงคโปร์
การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองท่าแห่งนี้ต้องหยุดชะงักลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะถูกยึดครองโดยกองทัพญี่ปุ่น
เมื่อหลังจบสงคราม อาณานิคมช่องแคบได้รับเอกราชจากอังกฤษ และสิงคโปร์ก็ได้ขอรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย ในปี 1963
แต่ด้วยปัญหาความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ และอุดมการณ์ทางการเมือง
ท้ายที่สุดสิงคโปร์จึงแยกตัวออกจากมาเลเซีย และก่อตั้งประเทศในปี 1965
พร้อมกับตั้งสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ของตัวเองในอีก 2 ปีถัดมา
สิงคโปร์ถือกำเนิดประเทศด้วยการไม่มีทรัพยากรอะไรเลย
และเต็มไปด้วยแรงงานชาวจีนที่หลั่งไหลมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในช่วงหลังสงครามโลก
ลี กวน ยู (Lee Kuan Yew) นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องสวัสดิภาพความเป็นอยู่ รวมไปถึงการสร้างทักษะให้กับแรงงาน ต่อยอดจากการเป็นเมืองท่าค้าขาย
มีการจัดตั้ง Housing and Development Board เพื่อดูแลในเรื่องที่พักอาศัย
และสร้างนิคมอุตสาหกรรมในเขต Jurong ทางตะวันตกของเกาะ
เพื่อสร้างงานในภาคอุตสาหกรรม
โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ทั้ง 2 โครงการ ต้องใช้เงินลงทุนสูง รัฐบาลสิงคโปร์จึงลงทุนเองบางส่วนในโครงการเหล่านี้ และได้ตั้ง The Development Bank of Singapore Limited หรือ ธนาคาร DBS ในปี 1968 เพื่อรองรับเงินทุน กระตุ้นให้เงินทุนหมุนเวียน และโครงการพัฒนาดำเนินไปอย่างราบรื่น
เมื่อผู้คนมีที่อยู่อาศัย มีงานทำ และค่อย ๆ หลุดพ้นจากความยากจนแล้ว รัฐบาลก็ต้องวางแผนต่อเนื่องเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ประการแรก: พัฒนาการศึกษา
เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรอย่างสิงคโปร์ ก็คือ “ทรัพยากรมนุษย์”
รัฐบาลสิงคโปร์จึงให้ความสำคัญต่อนโยบายการศึกษาอย่างสูงสุด โดยมีการปฏิรูปคุณภาพของระบบ และมาตรฐานการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง
เริ่มจากการมีบุคลากรครูคุณภาพสูง โดยครูทุกคนต้องจบการศึกษาในด้านที่เกี่ยวข้อง หลังจบการศึกษาต้องเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีพครูจากสถาบันการศึกษาแห่งชาติสิงคโปร์ (National Institute of Education หรือ NIE) เป็นเวลา 1 ปี เมื่อปฏิบัติหน้าที่ครูแล้วต้องได้รับการประเมิน และพัฒนาในทุก ๆ ปี
และด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติและภาษาของผู้คนในสิงคโปร์ ที่มีทั้งชาวจีน ชาวมาเลย์ ชาวทมิฬ ซึ่งแต่ละเชื้อชาติต่างก็มีการใช้ภาษาเป็นของตัวเองแตกต่างกันไป
สิ่งที่จะหลอมรวมให้คนทุกเชื้อชาติสามารถอยู่ร่วมกันก็คือ
“ชาวสิงคโปร์ทุกคนจะต้องสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้”
นำมาสู่ระบบการเรียนการสอนสองภาษา ที่มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ส่วนภาษาที่สองก็เป็นภาษาของแต่ละเชื้อชาติ
รัฐบาลสิงคโปร์ยังได้สร้างทางเลือกในการศึกษาระดับมัธยมให้กับประชาชน โดยแบ่งเป็น
หลักสูตรมัธยมศึกษาเชิงวิชาการ สำหรับนักเรียนที่มุ่งเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
และหลักสูตรมัธยมศึกษาโพลีเทคนิค สำหรับนักเรียนที่มุ่งเรียนต่อในสายอาชีวะ
ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ก็ผลักดันมาตรฐานในการเรียนสายอาชีวะให้มีคุณภาพสูง
เพราะมองว่านักเรียนแต่ละคนมีความถนัดทางวิชาการไม่เท่ากัน และสายอาชีวะสามารถผลิตบุคลากรเพื่อป้อนตลาดแรงงานในทันที
โดยหนึ่งในสายวิชาชีพ ที่รัฐบาลผลักดันตั้งแต่การก่อตั้งวิทยาลัยอาชีวะแห่งแรก ๆ ก็คือ “นักบัญชี”
สำหรับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย มีการจัดตั้ง National University of Singapore (NUS) ที่เกิดจากการควบรวมมหาวิทยาลัย 2 แห่งในปี 1980 และเริ่มพัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ โดยจัดตั้ง NUS Entrepreneurship Centre ในปี 1988
ซึ่งในปีการศึกษา 2022 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย
จากการจัดอันดับโดย QS
ต่อมาในปี 1981 มีการจัดตั้ง Nanyang Technological University (NTU)
ซึ่งก็กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของทวีปเอเชีย
โดยมี Nanyang Business School เป็นสถาบันด้านบริหารธุรกิจอันดับ 1 ของสิงคโปร์
เมื่อสร้างแรงงานที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะในภาคบริหารธุรกิจและการเงิน รวมไปถึงด้านกฎหมาย และแรงงานส่วนใหญ่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี
ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้สิงคโปร์มีความเป็นเมืองนานาชาติ และมีข้อได้เปรียบดึงดูดบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน บริษัทด้านบัญชี และกฎหมาย ให้เลือกมาตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคในสิงคโปร์
รัฐบาลได้จัดตั้ง ธนาคารกลางแห่งสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore หรือ MAS) ในปี 1971 เพื่อควบคุมสถาบันการเงิน และบริหารจัดการนโยบายทางการเงิน
ด้วยความที่สิงคโปร์เป็นประเทศขนาดเล็กและเป็นเมืองท่าค้าขาย และพึ่งพาการค้าจากต่างประเทศสูงมาก สิงคโปร์จึงอาศัยกลไก “อัตราแลกเปลี่ยน” เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงิน ภายใต้การบริหารจัดการของ MAS
ประการที่ 2: ปฏิรูประบบราชการ
เมื่อวางแผนระบบการศึกษาเพื่อสร้างแรงงานที่มีคุณภาพแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพัฒนาเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติก็คือ “ความโปร่งใส”
ในช่วงหลังการแยกตัวเป็นเอกราช
สิงคโปร์เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการคอร์รัปชันสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
รัฐบาลภายใต้การนำของนายก ลี กวน ยู ได้ย้ายสำนักสืบสวนการทุจริตคอร์รัปชัน (Corrupt Practices Investigation Bureau หรือ CPIB)
ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1952 มาอยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี
และทำการปฏิรูปกฎหมายป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชัน ให้ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ
ทั้งการตัดสินลงโทษผู้ต้องหาโดยไม่ต้องมีหลักฐานชัดเจน แค่มีพฤติกรรมโน้มเอียงไปในทางไม่ซื่อสัตย์ก็สามารถตัดสินได้ หากผู้ต้องหาถูกตัดสินว่าผิดจริง ก็จะได้รับโทษอย่างรุนแรง
นอกจากโทษทางกฎหมายแล้ว ยังต้องชดใช้ค่าเสียหายเท่ากับจำนวนเงินที่ทำการทุจริตด้วย
หลังจากตัวบทกฎหมาย และกระบวนการลงโทษเริ่มเข้าที่เข้าทาง
ขั้นต่อมา คือการเพิ่มผลตอบแทนให้ข้าราชการ โดยเริ่มในปี 1989
เพื่อจูงใจให้คนเก่งเข้ารับราชการ และลดการรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐ
รัฐบาลสิงคโปร์ใช้เวลาต่อสู้กับการคอร์รัปชันมาเป็นเวลากว่า 50 ปี
จนสิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่มีดัชนีความโปร่งใส (Corruption Perceptions Index)
สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก ในปี 2020
เมื่อประเทศมีความโปร่งใส ก็ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ในขณะที่รัฐบาลก็มีเงินมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ทั้งการคมนาคมขนส่ง ไปจนถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
รัฐบาลสิงคโปร์ยังได้ก่อตั้ง คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development Board หรือ EDB) เพื่อวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจน
จากเมืองท่าปลอดภาษี ในช่วงทศวรรษ 1970s สิงคโปร์ต่อยอดมาสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี ในทศวรรษ 1980s
และในช่วงทศวรรษ 1990s ประเทศแห่งนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นศูนย์กลางบริการทางการเงินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประการที่ 3: พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
รัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดตั้ง The Smart Nation and Digital Government Group หรือ SNDGG รับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลงบริการต่าง ๆ ของภาครัฐสู่ระบบดิจิทัล เพื่อเก็บข้อมูล และประยุกต์ใช้ในการวางแผนพัฒนาประเทศ ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์มี Big Data โดยเฉพาะข้อมูลทางการเงิน
รัฐบาลจึงสามารถตรวจสอบเส้นทางทางการเงินได้ ป้องกันการฟอกเงิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองทำให้สิงคโปร์ได้รับความน่าเชื่อถือ สามารถเป็นศูนย์กลางทางการเงิน
รัฐบาลยังต่อยอดและให้การสนับสนุนเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ FinTech โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้สิงคโปร์เป็น The FinTech Nation
ทั้งการเปิดให้บริษัท FinTech จากทั่วโลก ขอใบอนุญาต Digital Banking ได้เต็มรูปแบบ
ไม่ปิดกั้นเฉพาะองค์กรในสิงคโปร์ และให้การสนับสนุนนวัตกรรมทางการเงินหลายรูปแบบ
ทั้งระบบชำระเงิน, บล็อกเชน ไปจนถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
ในขณะที่ธนาคารกลางสิงคโปร์ ก็เป็นผู้ริเริ่มจัดงาน Singapore FinTech Festival ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2016 และจัดขึ้นติดต่อกันมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งถือว่าเป็นมหกรรม FinTech ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ปัจจุบัน ธนาคารสิงคโปร์ที่ใหญ่ที่สุด 3 แห่ง คือ DBS, OCBC และ UOB
ล้วนเป็น 3 ธนาคารที่ใหญ่อันดับต้น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน มีผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลาย ทั้งประกันภัย ผลิตภัณฑ์การลงทุนต่าง ๆ ไปจนถึงสกุลเงินดิจิทัล
ภาคบริการการเงินคิดเป็นสัดส่วนราว 7.4% ของการส่งออกสินค้าและบริการของสิงคโปร์ ซึ่งบริการขั้นสูงเหล่านี้ มีส่วนสำคัญที่ผลักดัน GDP ต่อหัวของชาวสิงคโปร์ให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ในปี 1965 ที่ก่อตั้งประเทศ ชาวสิงคโปร์เคยมี GDP ต่อหัวน้อยกว่า เจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักร ประเทศแห่งนวัตกรรมอย่างเยอรมนี หรือประเทศมหาอำนาจในเอเชียอย่างญี่ปุ่น
แต่ในปี 2020 GDP ต่อหัวชาวสิงคโปร์แซงหน้าประเทศเหล่านี้ทั้งหมด และมากเป็นเกือบ 1.5 เท่า ของอดีตเจ้าอาณานิคม..
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากการวางแผนระยะยาว
ทั้งการเตรียมทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมสำหรับงานบริการ
การพัฒนาประเทศให้โปร่งใสและมีความน่าเชื่อถือในระดับสากล
รวมไปถึงการช่วยเหลือของภาครัฐในทุก ๆ ด้าน
จากเมืองท่าศูนย์กลางการค้า สิงคโปร์ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาค และกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีทางการเงินแห่งศตวรรษที่ 21
เรื่องราวของประเทศเกาะมหัศจรรย์แห่งนี้ บอกให้เรารู้ว่า
เมื่อเริ่มเป็นศูนย์กลางอะไรสักอย่าง และสั่งสมประสบการณ์จนมากพอแล้ว
ก็จะง่ายในการดึงดูดสิ่งใหม่ ๆ และกลายเป็นศูนย์กลางด้านอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
และในวันนี้ สิงคโปร์กำลังเตรียมพร้อมทุกอย่าง
สำหรับการเป็นศูนย์กลางอีกหลายด้าน ที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกอนาคต..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-http://prp.trf.or.th/download/2538/
-https://atlas.cid.harvard.edu/explore?country=undefined&product=404&year=2019&productClass=HS&target=Product&partner=undefined&startYear=undefined
-https://remembersingapore.org/2011/10/07/money-never-sleeps-a-brief-history-of-banking-in-sg/
-https://lkyspp.nus.edu.sg/docs/default-source/case-studies/entry-1516-singapores_transformation_into_a_global_financial_hub.pdf
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.PCAP.CD?locations=SG-GB-JP-DE
-https://www.moneyandbanking.co.th/article/news/dbs-cryptocurrency-trading-130964?fbclid=IwAR2VVHEH9_n29fpyXSQ6EgSGDm63Lhm3aQF0aj7I8LIQ_B2wgjIXSazIVxU
同時也有12部Youtube影片,追蹤數超過1萬的網紅Wenwen Stokes,也在其Youtube影片中提到,Hey guys! Hope you're all well. I had a lot of fun playing in my wardrobe filming this video. I got together all my new in summer clothes and styled s...
case brief 在 Beast Runners 跑山獸 Facebook 的精選貼文
Dear CLOUD ULTRA 2021participants,
親愛參加Cloud Ultra 2021的朋友們,您們好
我們想要公佈更多關於Cloud Ultra,但現在看起來仍然不確定,有很多的因素限制CU的未來。
CU是與台中教育大學跟原民局聯盟合作計畫-結合部落市集與跑山活動,主要幫忙我們協調與各公部門單位(如林務局東勢林管處,台中市警察分局,和平區公所,台中市運動局及大安溪流域6大部落頭目里長及協會..等。)
當然我們希望這場活動最後是延期而不是取消,因為我們花了將近一年時間,心力,溝通及成本籌備這場活動,為了想要專心在這場也取消貓空跟叢林野跑,但最後因為疫情臨時取消,對我們非常的心力交瘁。
但現在是非常時期,一定要支持國家防疫工作。
以下是簡單說明可能會發生的情況:
1] 延期到9月11或18日(由於天氣和 Covid 可能不是最佳選擇,但對於聯盟合作計畫是最適合的時間。)
2] 延期到2021年10月(聯盟合作計畫期限已經到,我們需要再找更多資源協助。)
3] 延期到2022年三月/四月(如果沒有再其他的活動,我們公司可能無法在經濟上繼續維持。)
4] 取消(在我們報名規章裡,在活動14天前取消是沒有退費,然而我們仍然在最後一刻快速地取消一些項目,省下20%預算,所以我們可以分別地退款給58公里台幣750元,跟73公里台幣1250元。款項可以直接退費到帳戶或是轉換成優惠卷。)
如果要求部分退款的人數較多,我們將無法承擔費用並取消活動。可以轉換參加名額給另一個人。只有在疫情非常樂觀情況才會開始再報名活動( 不提供T-shirt)
請保持安全,希望台灣跟世界會更好,恢復正常的生活。
Petr & Eva
We would like to announce more about Cloud Ultra but the situation still looks uncertain. There are many factors which are limiting held CU in the future. CU is part of a cooperative project with National Taichung University of Education and the Aboriginal Bureau Alliance with the aim to combine tribal fairs and mountain activities. They mainly help us coordinate with various public units (such as Forestry Bureau Dongshi, Taichung City Police, Heping District government office, Taichung City Sports Bureau, and the leaders of the 6 tribes and association in the Daanxi river,... etc.)
We hope this event will be postponed instead of cancelled, because we have spent almost a year of preparation for this event with big effort, communication and financial cost. Due to difficulty and effort requirements, we decided not to hold other events in spring of 2021 (Run Through The Jungle and Ultra Maokong) and focus fully on this unique event. Unfortunately, we had to cancel the event two days prior to its original date of 15th May 2021, due to the acceleration of spreading Covid-19 in Taiwan (it showed it was the best decision). It was very exhausting for us. But in this emergency period everyone must follow and support epidemic prevention measurements.
Below are possible scenarios with brief explanation:
1] postpone to 11th or 18th September 2021 (it is not optimal for event due weather and Covid, but preferred term for project)
2] postpone to October 2021 (village project is over, we may find more resources to support)
3] postpone to March/April 2022 (our company may not sustain financially if we cannot held another event)
4] cancelation (since it was canceled 14 days before the event there are officially no refunds, however we were able to quickly cancel many items and save 20% of budget, which is 750NTD or 1250NTD for 58km and 73km, respectively. This can be refund to account or in form of voucher in case of cancelation)
If there will be many requests for partial refund, we will not be able to bear the cost and will cancel the event. Transfer spot to another person is possible. Registering for the event will be possible only at a very optimistic pandemic level (T-shirts are not available.)
Keep safe and looking for better future in Taiwan and rest of world
Petr & Eva
case brief 在 江魔的魔界(Kong Keen Yung 江健勇) Facebook 的最佳貼文
這是前些日子爆出已經被加拿大法院接理對藏傳佛教噶舉派法王的訟訴。(加拿大法院鏈接在此:https://www.bccourts.ca/jdb-txt/sc/21/09/2021BCSC0939cor1.htm?fbclid=IwAR2FLZlzmUIGTBaTuKPVchEqqngcE3Qy6G_C0TWNWVKa2ksbIYkVJVMQ8f8)
這位法王的桃色事件,我是幾年前才聽到。但,藏傳佛教的高層有這些性醜聞,我已經聽了幾十年。我以前的一位前女友也被一些堪布藉故上她的家摟抱過,也有一些活佛跟她表白。(這不只是她,其他地方我也聽過不少)
這是一個藏傳佛教裡面系統式的問題。
很多時候發生這種事情,信徒和教主往往都是說女方得不到寵而報仇,或者說她們也精神病,或者說她們撒謊。
我不排除有這種可能性,但,多過一位,甚至多位出來指證的時候,我是傾向於相信『沒有那麼巧這麼多有精神病的女人要撒謊來報仇』。
大寶法王的桃色事件,最先吹哨的是一位台灣的在家信徒,第二位是香港的女出家人,現在加拿大又多一位公開舉報上法庭。
對大寶法王信徒來說,這一次的比較麻煩,因為是有孩子的。(關於有孩子的,我早在法王的桃色事件曝光時,就有聽聞)
如果法庭勒令要驗證DNA,這對法王和他的信徒來說,會很尷尬和矛盾,因為做或不做,都死。
你若問我,我覺得『人數是有力量的』,同時我也覺得之後有更多的人站出來,是不出奇的。
我也藉此呼籲各方佛教徒,如果你們真的愛佛教,先別說批判,但如鴕鳥般不討論這些爭議,你是間接害了佛教。
(下面是我從加拿大法院鏈接拷貝下來的內容,當中有很多細節。)
Table of Contents
INTRODUCTION
BACKGROUND
ANALYSIS
A. The Spousal Support Claim in this Case
B. The Test to Amend Pleadings
C. Pleadings in Family Law Cases
D. The Legal Concept of a Marriage-Like Relationship
E. Is There a Reasonable Claim of a Marriage-Like Relationship?
F. Delay / Prejudice
CONCLUSION
INTRODUCTION
[1] The claimant applies to amend her notice of family claim to seek spousal support. At issue is whether the claimant’s allegations give rise to a reasonable claim she lived with the respondent in a marriage-like relationship, so as to give rise to a potential entitlement to spousal support under the Family Law Act, S.B.C. 2011, c. 25 (“FLA”).
[2] The facts alleged by the claimant do not fit within a traditional concept of marriage. The claimant does not allege that she and the respondent ever lived together. Indeed, she has only met the respondent in person four times: twice very briefly in a public setting; a third time in private, when she alleges the respondent sexually assaulted her; and a fourth and final occasion, when she informed the respondent she was pregnant with his child.
[3] The claimant’s case is that what began as a non-consensual sexual encounter evolved into a loving and affectionate relationship. That relationship occurred almost entirely over private text messages. The parties rarely spoke on the telephone, and never saw one another during the relationship, even over video. The claimant says they could not be together because the respondent is forbidden by his station and religious beliefs from intimate relationships or marriage. Nonetheless, she alleges, they formed a marriage-like relationship that lasted from January 2018 to January 2019.
[4] The respondent denies any romantic relationship with the claimant. While he acknowledges providing emotional and financial support to the claimant, he says it was for the benefit of the child the claimant told him was his daughter.
[5] The claimant’s proposed amendment raises a novel question: can a secret relationship that began on-line and never moved into the physical world be like a marriage? In my view, that question should be answered by a trial judge after hearing all of the evidence. The alleged facts give rise to a reasonable claim the claimant lived with the respondent in a marriage-like relationship. Accordingly, I grant the claimant leave to amend her notice of family claim.
BACKGROUND
[6] It should be emphasized that this is an application to amend pleadings only. The allegations by the claimant are presumed to be true for the purposes of this application. Those allegations have not been tested in a court of law.
[7] The respondent, Ogyen Trinley Dorje, is a high lama of the Karma Kagyu School of Tibetan Buddhism. He has been recognized and enthroned as His Holiness, the 17th Gyalwang Karmapa. Without meaning any disrespect, I will refer to him as Mr. Dorje in these reasons for judgment.
[8] Mr. Dorje leads a monastic and nomadic lifestyle. His true home is Tibet, but he currently resides in India. He receives followers from around the world at the Gyuto Monetary in India. He also travels the world teaching Tibetan Buddhist Dharma and hosting pujas, ceremonies at which Buddhists express their gratitude and devotion to the Buddha.
[9] The claimant, Vikki Hui Xin Han, is a former nun of Tibetan Buddhism. Ms. Han first encountered Mr. Dorje briefly at a large puja in 2014. The experience of the puja convinced Ms. Han she wanted to become a Buddhist nun. She met briefly with Mr. Dorje, in accordance with Kagyu traditions, to obtain his approval to become a nun.
[10] In October 2016, Ms. Han began a three-year, three-month meditation retreat at a monastery in New York State. Her objective was to learn the practices and teachings of the Kagyu Lineage. Mr. Dorje was present at the retreat twice during the time Ms. Han was at the monastery.
[11] Ms. Han alleges that on October 14, 2017, Mr. Dorje sexually assaulted her in her room at the monastery. She alleges that she became pregnant from the assault.
[12] After she learned that she was pregnant, Ms. Han requested a private audience with Mr. Dorje. In November 2017, in the presence of his bodyguards, Ms. Han informed Mr. Dorje she was pregnant with his child. Mr. Dorje initially denied responsibility; however, he provided Ms. Han with his email address and a cellphone number, and, according to Ms. Han, said he would “prepare some money” for her.
[13] Ms. Han abandoned her plan to become a nun, left the retreat and returned to Canada. She never saw Mr. Dorje again.
[14] After Ms. Han returned to Canada, she and Mr. Dorje began a regular communication over an instant messaging app called Line. They also exchanged emails and occasionally spoke on the telephone.
[15] The parties appear to have expressed care and affection for one another in these communications. I say “appear to” because it is difficult to fully understand the meaning and intentions of another person from brief text messages, especially those originally written in a different language. The parties wrote in a private shorthand, sharing jokes, emojis, cartoon portraits and “hugs” or “kisses”. Ms. Han was the more expressive of the two, writing more frequently and in longer messages. Mr. Dorje generally participated in response to questions or prompting from Ms. Han, sometimes in single word messages.
[16] Ms. Han deposes that she believed Mr. Dorje was in love with her and that, by January 2018, she and Mr. Dorje were living in a “conjugal relationship”.
[17] During their communications, Ms. Han expressed concern that her child would be “illegitimate”. She appears to have asked Mr. Dorje to marry her, and he appears to have responded that he was “not ready”.
[18] Throughout 2018, Mr. Dorje transferred funds in various denominations to Ms. Han through various third parties. Ms. Han deposes that these funds were:
a) $50,000 CDN to deliver the child and for postpartum care she was to receive at a facility in Seattle;
b) $300,000 CDN for the first year of the child’s life;
c) $20,000 USD for a wedding ring, because Ms. Han wrote “Even if we cannot get married, you must buy me a wedding ring”;
d) $400,000 USD to purchase a home for the mother and child.
[19] On June 19, 2018, Ms. Han gave birth to a daughter in Richmond, B.C.
[20] On September 17, 2018, Mr. Dorje wrote, ”Taking care of her and you are my duty for life”.
[21] Ms. Han’s expectation was that the parties would live together in the future. She says they planned to live together. Those plans evolved over time. Initially they involved purchasing a property in Toronto, so that Mr. Dorje could visit when he was in New York. They also discussed purchasing property in Calgary or renting a home in Vancouver for that purpose. Ms. Han eventually purchased a condominium in Richmond using funds provided by Mr. Dorje.
[22] Ms. Han deposes that the parties made plans for Mr. Dorje to visit her and meet the child in Richmond. In October 2018, however, Mr. Dorje wrote that he needed to “disappear” to Europe. He wrote:
I will definitely find a way to meet her
And you
Remember to take care of yourself if something happens
[23] The final plan the parties discussed, according to Ms. Han, was that Mr. Dorje would sponsor Ms. Han and the child to immigrate to the United States and live at the Kagyu retreat centre in New York State.
[24] In January 2019, Ms. Han lost contact with Mr. Dorje.
[25] Ms. Han commenced this family law case on July 17, 2019, seeking child support, a declaration of parentage and a parentage test. She did not seek spousal support.
[26] Ms. Han first proposed a claim for spousal support in October 2020 after a change in her counsel. Following an exchange of correspondence concerning an application for leave to amend the notice of family claim, Ms. Han’s counsel wrote that Ms. Han would not be advancing a spousal support claim. On March 16, 2020, counsel reversed course, and advised that Ms. Han had instructed him to proceed with the application.
[27] When this application came on before me, the trial was set to commence on June 7, 2021. The parties were still in the process of discoveries and obtaining translations for hundreds of pages of documents in Chinese characters.
[28] At a trial management conference on May 6, 2021, noting the parties were not ready to proceed, Madam Justice Walkem adjourned the trial to April 11, 2022.
ANALYSIS
A. The Spousal Support Claim in this Case
[29] To claim spousal support in this case, Ms. Han must plead that she lived with Mr. Dorje in a marriage-like relationship. This is because only “spouses” are entitled to spousal support, and s. 3 of the Family Law Act defines a spouse as a person who is married or has lived with another person in a marriage-like relationship:
3 (1) A person is a spouse for the purposes of this Act if the person
(a) is married to another person, or
(b) has lived with another person in a marriage-like relationship, and
(i) has done so for a continuous period of at least 2 years, or
(ii) except in Parts 5 [Property Division] and 6 [Pension Division], has a child with the other person.
[30] Because she alleges she has a child with Mr. Dorje, Ms. Han need not allege that the relationship endured for a continuous period of two years to claim spousal support; but she must allege that she lived in a marriage-like relationship with him at some point in time. Accordingly, she must amend the notice of family claim.
B. The Test to Amend Pleadings
[31] Given that the notice of trial has been served, Ms. Han requires leave of the court to amend the notice of family claim: Supreme Court Family Rule 8-1(1)(b)(i).
[32] A person seeking to amend a notice of family claim must show that there is a reasonable cause of action. This is a low threshold. What the applicant needs to establish is that, if the facts pleaded are proven at trial, they would support a reasonable claim. The applicant’s allegations of fact are assumed to be true for the purposes of this analysis. Cantelon v. Wall, 2015 BCSC 813, at para. 7-8.
[33] The applicant’s delay, the reasons for the delay, and the prejudice to the responding party are also relevant factors. The ultimate consideration is whether it would be just and convenient to allow the amendment. Cantelon, at para. 6, citing Teal Cedar Products Ltd. v. Dale Intermediaries Ltd. et al (1986), 19 B.C.L.R. (3d) 282.
C. Pleadings in Family Law Cases
[34] Supreme Court Family Rules 3-1(1) and 4-1(1) require that a claim to spousal support be pleaded in a notice of family claim in Form F3. Section 2 of Form F3, “Spousal relationship history”, requires a spousal support claimant to check the boxes that apply to them, according to whether they are or have been married or are or have been in a marriage-like relationship. Where a claimant alleges a marriage-like relationship, Form F3 requires that they provide the date on which they began to live together with the respondent in a marriage-like relationship and, where applicable, the date on which they separated. Form F3 does not require a statement of the factual basis for the claim of spousal support.
[35] In this case, Ms. Han seeks to amend the notice of family claim to allege that she and Mr. Dorje began to live in a marriage-like relationship in or around January 2018, and separated in or around January 2019.
[36] An allegation that a person lived with a claimant in a marriage-like relationship is a conclusion of law, not an allegation of fact. Unlike the rules governing pleadings in civil actions, however, the Supreme Court Family Rules do not expressly require family law claimants to plead the material facts in support of conclusions of law.
[37] In other words, there is no express requirement in the Supreme Court Family Rules that Ms. Han plead the facts on which she relies for the allegation she and Mr. Dorje lived in a marriage-like relationship.
[38] Rule 4-6 authorizes a party to demand particulars, and then apply to the court for an order for further and better particulars, of a matter stated in a pleading. However, unless and until she is granted leave and files the proposed amended notice of family claim, Ms. Han’s allegation of a marriage-like relationship is not a matter stated in a pleading.
[39] Ms. Han filed an affidavit in support of her application to amend the notice of family claim. Normally, evidence would not be required or admissible on an application to amend a pleading. However, in the unusual circumstances of this case, the parties agreed I may look to Ms. Han’s affidavit and exhibits for the facts she pleads in support of the allegation of a marriage-like relationship.
[40] Because this is an application to amend - and Ms. Han’s allegations of fact are presumed to be true - I have not considered Mr. Dorje’s responding affidavit.
[41] Relying on affidavit evidence for an application to amend pleadings is less than ideal. It tends to merge and confuse the material facts with the evidence that would be relied on to prove those facts. In a number of places in her affidavit, for example, Ms. Han describes her feelings, impressions and understandings. A person’s hopes and intentions are not normally material facts unless they are mutual or reasonably held. The facts on which Ms. Han alleges she and Mr. Dorje formed a marriage-like relationship are more important for the present purposes than her belief they entered into a conjugal union.
[42] Somewhat unusually, in this case, almost all of the parties’ relevant communications were in writing. This makes it somewhat easier to separate the facts from the evidence; however, as stated above, it is difficult to understand the intentions and actions of a person from brief text messages.
[43] In my view, it would be a good practice for applicants who seek to amend their pleadings in family law cases to provide opposing counsel and the court with a schedule of the material facts on which they rely for the proposed amendment.
D. The Legal Concept of a Marriage-Like Relationship
[44] As Mr. Justice Myers observed in Mother 1 v. Solus Trust Company, 2019 BCSC 200, the concept of a marriage-like relationship is elastic and difficult to define. This elasticity is illustrated by the following passage from Yakiwchuk v. Oaks, 2003 SKQB 124, quoted by Myers J. at para. 133 of Mother 1:
[10] Spousal relationships are many and varied. Individuals in spousal relationships, whether they are married or not, structure their relationships differently. In some relationships there is a complete blending of finances and property - in others, spouses keep their property and finances totally separate and in still others one spouse may totally control those aspects of the relationship with the other spouse having little or no knowledge or input. For some couples, sexual relations are very important - for others, that aspect may take a back seat to companionship. Some spouses do not share the same bed. There may be a variety of reasons for this such as health or personal choice. Some people are affectionate and demonstrative. They show their feelings for their “spouse” by holding hands, touching and kissing in public. Other individuals are not demonstrative and do not engage in public displays of affection. Some “spouses” do everything together - others do nothing together. Some “spouses” vacation together and some spend their holidays apart. Some “spouses” have children - others do not. It is this variation in the way human beings structure their relationships that make the determination of when a “spousal relationship” exists difficult to determine. With married couples, the relationship is easy to establish. The marriage ceremony is a public declaration of their commitment and intent. Relationships outside marriage are much more difficult to ascertain. Rarely is there any type of “public” declaration of intent. Often people begin cohabiting with little forethought or planning. Their motivation is often nothing more than wanting to “be together”. Some individuals have chosen to enter relationships outside marriage because they did not want the legal obligations imposed by that status. Some individuals have simply given no thought as to how their relationship would operate. Often the date when the cohabitation actually began is blurred because people “ease into” situations, spending more and more time together. Agreements between people verifying when their relationship began and how it will operate often do not exist.
[45] In Mother 1, Mr. Justice Myers referred to a list of 22 factors grouped into seven categories, from Maldowich v. Penttinen, (1980), 17 R.F.L. (2d) 376 (Ont. Dist. Ct.), that have frequently been cited in this and other courts for the purpose of determining whether a relationship was marriage-like, at para. 134 of Mother 1:
1. Shelter:
(a) Did the parties live under the same roof?
(b) What were the sleeping arrangements?
(c) Did anyone else occupy or share the available accommodation?
2. Sexual and Personal Behaviour:
(a) Did the parties have sexual relations? If not, why not?
(b) Did they maintain an attitude of fidelity to each other?
(c) What were their feelings toward each other?
(d) Did they communicate on a personal level?
(e) Did they eat their meals together?
(f) What, if anything, did they do to assist each other with problems or during illness?
(g) Did they buy gifts for each other on special occasions?
3. Services:
What was the conduct and habit of the parties in relation to:
(a) preparation of meals;
(b) washing and mending clothes;
(c) shopping;
(d) household maintenance; and
(e) any other domestic services?
4. Social:
(a) Did they participate together or separately in neighbourhood and community activities?
(b) What was the relationship and conduct of each of them toward members of their respective families and how did such families behave towards the parties?
5. Societal:
What was the attitude and conduct of the community toward each of them and as a couple?
6. Support (economic):
(a) What were the financial arrangements between the parties regarding the provision of or contribution toward the necessaries of life (food, clothing, shelter, recreation, etc.)?
(b) What were the arrangements concerning the acquisition and ownership of property?
(c) Was there any special financial arrangement between them which both agreed would be determinant of their overall relationship?
7. Children:
What was the attitude and conduct of the parties concerning children?
[46] In Austin v. Goerz, 2007 BCCA 586, the Court of Appeal cautioned against a “checklist approach”; rather, a court should "holistically" examine all the relevant factors. Cases like Molodowich provide helpful indicators of the sorts of behaviour that society associates with a marital relationship, the Court of Appeal said; however, “the presence or absence of any particular factor cannot be determinative of whether a relationship is marriage-like” (para. 58).
[47] In Weber v. Leclerc, 2015 BCCA 492, the Court of Appeal again affirmed that there is no checklist of characteristics that will be found in all marriages and then concluded with respect to evidence of intentions:
[23] The parties’ intentions – particularly the expectation that the relationship will be of lengthy, indeterminate duration – may be of importance in determining whether a relationship is “marriage-like”. While the court will consider the evidence expressly describing the parties’ intentions during the relationship, it will also test that evidence by considering whether the objective evidence is consonant with those intentions.
[24] The question of whether a relationship is “marriage-like” will also typically depend on more than just their intentions. Objective evidence of the parties’ lifestyle and interactions will also provide direct guidance on the question of whether the relationship was “marriage-like”.
[48] Significantly for this case, the courts have looked to mutual intent in order to find a marriage-like relationship. See, for example, L.E. v. D.J., 2011 BCSC 671 and Buell v. Unger, 2011 BCSC 35; Davey Estate v. Gruyaert, 2005 CarswellBC 3456 at 13 and 35.
[49] In Mother 1, Myers J. concluded his analysis of the law with the following learned comment:
[143] Having canvassed the law relating to the nature of a marriage-like relationship, I will digress to point out the problematic nature of the concept. It may be apparent from the above that determining whether a marriage-like relationship exists sometimes seems like sand running through one's fingers. Simply put, a marriage-like relationship is akin to a marriage without the formality of a marriage. But as the cases mentioned above have noted, people treat their marriages differently and have different conceptions of what marriage entails.
[50] In short, the determination of whether the parties in this case lived in a marriage-like relationship is a fact-specific inquiry that a trial judge would need to make on a “holistic” basis, having regard to all of the evidence. While the trial judge may consider the various factors listed in the authorities, those factors would not be treated as a checklist and no single factor or category of factors would be treated as being decisive.
E. Is There a Reasonable Claim of a Marriage-Like Relationship?
[51] In this case, many of the Molodowich factors are missing:
a) The parties never lived under the same roof. They never slept together. They were never in the same place at the same time during the relationship. The last time they saw each other in person was in November 2017, before the relationship began.
b) The parties never had consensual sex. They did not hug, kiss or hold hands. With the exception of the alleged sexual assault, they never touched one another physically.
c) The parties expressed care and affection for one another, but they rarely shared personal information or interest in their lives outside of their direct topic of communication. They did not write about their families, their friends, their religious beliefs or their work.
d) They expressed concern and support for one another when the other felt unwell or experienced health issues, but they did not provide any care or assistance during illness or other problems.
e) They did not assist one another with domestic chores.
f) They did not share their relationship with their peers or their community. There is no allegation, for example, that Mr. Dorje told his fellow monks or any of his followers about the relationship. There is no allegation that Ms. Han told her friends or any co-workers. Indeed, there is no allegation that anyone, with the exception of Ms. Han’s mother, knew about the relationship. Although Mr. Dorje gave Ms. Han’s mother a gift, he never met the mother and he never spoke to her.
g) They did not intend to have a child together. The child was conceived as a result of a sexual assault. While Mr. Dorje expressed interest in “meeting” the child, he never followed up. He currently has no relationship with the child. There is no allegation he has sought access or parenting arrangements.
[52] The only Molodowich factor of any real relevance in this case is economic support. Mr. Dorje provided the funds with which Ms. Han purchased a condominium. Mr. Dorje initially wrote that he wanted to buy a property with the money, but, he wrote, “It’s the same thing if you buy [it]”.
[53] Mr. Dorje also provided a significant amount of money for Ms. Han’s postpartum care and the child’s first year of life.
[54] This financial support may have been primarily for the benefit of the child. Even the condominium, Ms. Han wrote, was primarily for the benefit of the child.
[55] However, in my view, a trial judge may attach a broader significance to the financial support from Mr. Dorje than child support alone. A trial judge may find that the money Mr. Dorje provided to Ms. Han at her request was an expression of his commitment to her in circumstances in which he could not commit physically. The money and the gifts may be seen by the trial judge to have been a form of down payment by Mr. Dorje on a promise of continued emotional and financial support for Ms. Han, or, in Mr. Dorje’s own words, “Taking care of her and you are my duty for life” (emphasis added).
[56] On the other hand, I find it difficult to attach any particular significance to the fact that Mr. Dorje agreed to provide funds for Ms. Han to purchase a wedding ring. It appears to me that Ms. Han demanded that Mr. Dorje buy her a wedding ring, not that the ring had any mutual meaning to the parties as a marriage symbol. But it is relevant, in my view, that Mr. Dorje provided $20,000 USD to Ms. Han for something she wanted that was of no benefit to the child.
[57] Further, Ms. Han alleges that the parties intended to live together. At a minimum, a trial judge may find that the discussions about where Ms. Han and the child would live reflected a mutual intention of the parties to see one another and spend time together when they could.
[58] Mr. Dorje argues that an intention to live together at some point in the future is not sufficient to show that an existing relationship was marriage-like. He argues that the question of whether the relationship was marriage-like requires more than just intentions, citing Weber, supra.
[59] In my view, the documentary evidence referred to above provides some objective evidence in this case that the parties progressed beyond mere intentions. As stated, the parties appear to have expressed genuine care and affection for one another. They appear to have discussed marriage, trust, honesty, finances, mutual obligations and acquiring family property. These are not matters one would expect Mr. Dorje to discuss with a friend or a follower, or even with the mother of his child, without a marriage-like element of the relationship.
[60] A trial judge may find on the facts alleged by Ms. Han that the parties loved one another and would have lived together, but were unable to do so because of Mr. Dorje’s religious duties and nomadic lifestyle.
[61] The question I raised in the introduction to these reasons is whether a relationship that began on-line and never moved into the physical world can be marriage-like.
[62] Notably, the definition of a spouse in the Family Law Act does not require that the parties live together, only that they live with another person in a marriage-like relationship.
[63] In Connor Estate, 2017 BCSC 978, Mr. Justice Kent found that a couple that maintained two entirely separate households and never lived under the same roof formed a marriage-like relationship. (Connor Estate was decided under the intestacy provisions of the Wills, Estates and Succession Act, S.B.C. 2009, c. 13 ("WESA"), but courts have relied on cases decided under WESA and the FLA interchangeably for their definitions of a spouse.) Mr. Justice Kent found:
[50] The evidence is overwhelming and I find as a fact that Mr. Chambers and Ms. Connor loved and cared deeply about each other, and that they had a loving and intimate relationship for over 20 years that was far more than mere friendship or even so-called "friendship with benefits". I accept Mr. Chambers' evidence that he would have liked to share a home with Ms. Connor after the separation from his wife, but was unable to do so because of Ms. Connor's hoarding illness. The evidence amply supports, and I find as a fact, that Mr. Chambers and Ms. Connor loved each other, were faithful to each other, communicated with each other almost every day when they were not together, considered themselves to be (and presented themselves to be) "husband and wife" and were accepted by all who knew them as a couple.
[64] Connor Estate may be distinguishable from this case because Mr. Chambers and Ms. Connor were physically intimate for over 20 years, and presented themselves to the world as a married couple.
[65] Other decisions in which a marriage-like relationship has been found to exist despite the parties not living together have involved circumstances in which the couple lived under the same roof at previous points in the relationship, and the issue was whether they continued to be spouses after they took up separate residences: in Thompson v. Floyd, 2001 BCCA 78, the parties had lived together for a period of at least 11 years; in Roach v. Dutra, 2010 BCCA 264, the parties had lived together for approximately three years.
[66] However, as Mr. Justice Kent noted in Connor Estate:
[48] … [W]hile much guidance might be found in this case law, the simple fact is that no two cases are identical (and indeed they usually vary widely) and it is the assessment of evidence as a whole in this particular case which matters.
[67] Mr. Justice Kent concluded:
[53] Like human beings themselves, marriage-like relationships can come in many and various shapes. In this particular case, I have no doubt that such a relationship existed …
[68] As stated, Ms. Han’s claim is novel. It may even be weak. Almost all of the traditional factors are missing. The fact that Ms. Han and Mr. Dorje never lived under the same roof, never shared a bed and never even spent time together in person will militate against a finding they lived with one another in a marriage-like relationship. However, the traditional factors are not a mandatory check-list that confines the “elastic” concept of a marriage-like relationship. And if the COVID pandemic has taught us nothing else, it is that real relationships can form, blossom and end in virtual worlds.
[69] In my view, the merits of Ms. Han’s claim should be decided on the evidence. Subject to an overriding prejudice to Mr. Dorje, she should have leave to amend the notice of family claim. However, she should also provide meaningful particulars of the alleged marriage-like relationship.
F. Delay / Prejudice
[70] Ms. Han filed her notice of family claim on July 17, 2019. She brought this application to amend approximately one year and nine months after she filed the pleading, just over two months before the original trial date.
[71] Ms. Han’s delay was made all that more remarkable by her change in position from January 19, 2021, when she confirmed, through counsel, that she was not seeking spousal support in this case.
[72] Ms. Han gave notice of her intention to proceed with this application to Mr. Dorje on March 16, 2021. By the time the application was heard, the parties had conducted examinations for discovery without covering the issues that would arise from a claim of spousal support.
[73] Also, in April, Ms. Han produced additional documents, primarily text messages, that may be relevant to her claim of spousal support, but were undecipherable to counsel for Mr. Dorje, who does not read Mandarin.
[74] This application proceeded largely on documents selected and translated by counsel for Ms. Han. I was informed that Mandarin translations of the full materials would take 150 days.
[75] Understandably in the circumstances, Mr. Dorje argued that an amendment two months before trial would be neither just nor convenient. He argued that he would be prejudiced by an adjournment so as to allow Ms. Han to advance a late claim of spousal support.
[76] The circumstances changed on May 6, 2021, when Madam Justice Walkem adjourned the trial to July 2022 and reset it for 25 days. Madam Justice Walkem noted that most of the witnesses live internationally and require translators. She also noted that paternity may be in issue, and Mr. Dorje may amend his pleadings to raise that issue. It seems clear that, altogether apart from the potential spousal support claim, the parties were not ready to proceed to trial on June 7, 2021.
[77] In my view, any remaining prejudice to Mr. Dorje is outweighed by the importance of having all of the issues between the parties decided on their merits.
[78] Ms. Han’s delay and changes of position on spousal support may be a matter to de addressed in a future order of costs; but they are not grounds on which to deny her leave to amend the notice of family claim.
CONCLUSION
[79] Ms. Han is granted leave to amend her notice of family claim in the form attached as Appendix A to the notice of application to include a claim for spousal support.
[80] Within 21 days, or such other deadline as the parties may agree, Ms. Han must provide particulars of the marriage-like relationship alleged in the amended notice of family claim.
[81] Ms. Han is entitled to costs of this application in the cause of the spousal support claim.
“Master Elwood”
case brief 在 Wenwen Stokes Youtube 的最讚貼文
Hey guys!
Hope you're all well. I had a lot of fun playing in my wardrobe filming this video. I got together all my new in summer clothes and styled some outfits i plan on wearing. I've fallen behind on my filming/editing, so some of these outfits i've already worn out and you may have seen on my instagram which is @wenwenstokes in case you're interested in checking it out.
A disclaimer... The items shared in this video were not all hauled in one go, these are items i got sent to my flat in London while i was away in Hanoi / things i bought when we came back which was just over a month ago,
New in Items mentioned;
Dior denim jacket; not available online
Dior denim shorts; not available online
Dior oblique bralette; https://bit.ly/3wEeCcu
Dior oblique matching brief; https://bit.ly/3zHwJA2
Dior paisley bralette; not available online (possibly on sale in boutique)
Dior lime shoes; https://bit.ly/2SKH6CA
Louis Vuitton silver sneakers (mens); https://bit.ly/35FpPO0
"Chanel" style croc charms from etsy; (i ordered from two sellers)
https://etsy.me/2TM4mQT
https://etsy.me/3zHyzkq
Loewe yellow sneakers; https://bit.ly/2SM8DDQ
Gucci Donald Duck sneakers; https://bit.ly/3zCCmj3
Louis Vuitton sandals; https://bit.ly/3gEdm3s
Fendi Colibri heels; https://bit.ly/3gF8Amf
Fendi nano baguette; https://bit.ly/3vKbtXn
Dior lime poncho; https://bit.ly/3xFg0vL
Louis Vuitton sporty top; https://bit.ly/3gKjVAo
Louis Vuitton monogram jogging pants; https://bit.ly/3vRsGhP
Zara terry top; https://go.zara/2UaWlFi
Zara terry shorts; https://go.zara/3qjdFE7
Loewe moon denim jacket; https://bit.ly/3cW1eIP
Loewe elephant basket bag; https://bit.ly/3qjZ8bq
Chanel pink boob tube; https://bit.ly/3xxxl9I
Chanel denim top; https://bit.ly/3zDUGZg
Chanel flap coin purse with chain; https://bit.ly/3gHsAEZ
Chanel mini coco handle; (can only find the navy one online) https://bit.ly/35FoOFG
Versace Tresor de la mer shorts; (some of the collection is on sale, not these shorts unfortunately) https://bit.ly/3qao9Wr
Versace Tresor de la mer body; (some of the collection is on sale, not this body unfortunately) https://bit.ly/3xycx1R
Bicester village website; (designer outlet) https://bit.ly/35CYSL1
case brief 在 [email protected] Youtube 的最佳貼文
周邊神經病變
FindDoc Facebook : https://www.facebook.com/FindDoc
FindDoc WeChat : 快徳健康香港 FindDoc
FindDoc Instagram:@finddochk
(一)周邊神經病變(peripheral neuropathy)的病因、症狀?
(二)如何分辨背痛和坐骨神經痛?
(三)甚麼是腕管綜合症?
(四)如忽視神經痛楚,會有甚麼嚴重後果?
(五)如何紓緩/治療神經痛楚?
(六)神經問題與缺乏維他命有關?
(本短片作健康教育之用,並不可取代任何醫療診斷或治療。治療成效因人而異,如有疑問,請向專業醫療人士諮詢。)
參考資料:
1. Hsieh, S.C. (1998). Brief Introduction to Peripheral Neuropathy. Medicine Today 25(11) 883-887
2. Martyn, C. N., & Hughes, R. A. (1997). Epidemiology of peripheral neuropathy. Journal of neurology, neurosurgery, and psychiatry, 62(4), 310–318. https://doi.org/10.1136/jnnp.62.4.310 Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1074084/?page=1
3. Sindrup, S.H., Otto, M., Finnerup, N.B. and Jensen, T.S. (2005), Antidepressants in the Treatment of Neuropathic Pain. Basic & Clinical Pharmacology & Toxicology, 96: 399-409. doi:10.1111/j.1742-7843.2005.pto_96696601.x Retrieved from https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/j.1742-7843.2005.pto_96696601.x
4. Ekabe, C. J., Kehbila, J., Abanda, M. H., Kadia, B. M., Sama, C. B., & Monekosso, G. L. (2017). Vitamin B12 deficiency neuropathy; a rare diagnosis in young adults: a case report. BMC research notes, 10(1), 72. https://doi.org/10.1186/s13104-017-2393-3 Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5273828/
5. Shibuya, K., Misawa, S., Nasu, S., Sekiguchi, Y., Beppu, M., Iwai, Y., Mitsuma, S., Isose, S., Arimura, K., Kaji, R., Kuwabara, S. (2014). Safety and efficacy of intravenous ultra-high dose methylcobalamin treatment for peripheral neuropathy: a phase I/II open label clinical trial. Internal Medicine, 53(17), 1927-1931. https://doi.org/10.2169/internalmedicine.53.1951 Retrieved from https://www.jstage.jst.go.jp/article/internalmedicine/53/17/53_53.1951/_article
資料來源:https://www.FindDoc.com
查詢醫生資訊:
https://www.finddoc.com/
case brief 在 Linora Low Youtube 的精選貼文
Subscribe to my channel : http://youtube.com/linoralow
Training and Nutrition Around The Menstrual Cycle with Ben Siong
A really informative chat with fitness and health expert Ben Siong. For all my sisters, who have always questioned bout why they have irregular periods, why they bloat, why they have painful periods, what's the possible cause for bleeding more than two weeks here's a video that will help explain those questions!
The human body is very complicated and my dear sisters, ours is even more complicated cause we have a thing called the period. Ben is one of the few coaches who takes the time to not only understand the physiology of the body but also the mind which is incredibly crucial. I do hope you take away valueable information from this video, because Ben's had shared a lot of his expertise during this 1 hour. :)
Questions Timestamps:
1:50 We hear a lot from old folks that women shouldn’t lift lower body higher than stomach for optimal reproductive system. Truth or myth?
8:25 Should we train during period?
10:15 Pre period - what to eat to avoid bloating (if ur vegan or vegetarian) so u still have the energy to lift weights?
15:16 What exercises to do pre period so that during menses it’s less painful?
16:55 Why do some cycles end quicker for instance as quick as 4 days? Should she consult the gynae?
21:00 My Personal encounter of bleeding 4 months straight, what would have been the response for excessive bleeding?
24:00 Brief chat on understanding PCOS and PCO
29:27 In a paper "Preliminary Evidence for a Window of Increased Vulnerability to Sustain a Concussion in Females: A Brief Report" the author states that declining or low levels of estrogen and progesterone (specifically in the late luteal phase and first two days of menstruation) can reduce neuroprotection and blunt recovery time from traumatic brain injury symptoms (i.e. concussions). Would those decreased levels of hormones, and reduced neuroprotection also impact CNS recovery? And would female athletes have to then avoid highly taxing sessions/peaking periods during this time frame?
37:11 I've read that lower back pain during menstruation is caused by the uterus swelling which can create pressure on the uterosacral ligaments and lead to pain in the lower back and pelvis. Is this accurate? If so should females generally avoid deadlifts/front squats/lower back intensive exercises during this period? Should they be left out entirely, or replaced by something else?
38:21 Besides the supplementation of magnesium and iron, are there other ways we should change the way we eat around our cycles?
39:48 Personally, I do workout during this period of time & it does make me feel better.
However, I realised that if I perform very high intensity workout on the first two days of my period, I tend to have lesser flow for the month. I feel completely well & healthy but I’m not sure if that’s something I should be worried about
41:53: I have irregular period, in that case what type of training and nutrition I should opt for coach?
***Find Ben here:***
Website: http://www.trainasp.com
Facebook: https://www.facebook.com/benjamin.sio...
Instagram: http://instagram.com/benperformancecoach
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UC0J3...
***Learn his subjects here:***
Website: http://www.learn-asp.com
For special rate to my audience USE code: LINORA
You can find me here
Website: http://www.linoralow.com
Facebook:http://facebook.com/linoralow
Instagram: http://instagram.com/linoralow
Twitter: @http://twitter.com/linoralow
Tiktok: linoralow