รู้จักเหรียญ Stablecoin เหรียญคงที่ ที่อาจไม่คงที่ /โดย ลงทุนแมน
แม้ว่าปัจจุบันคริปโทเคอร์เรนซีเริ่มถูกยอมรับ จากเหล่านักลงทุนและบริษัทเอกชน
แต่มีหลายคนกังวลว่าสกุลเงินเหล่านี้ยังคงไม่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในชีวิตจริงมากนัก
สาเหตุสำคัญก็เพราะราคาของมันผันผวนรุนแรงเกินไป ถือว่าขาดคุณสมบัติการเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนที่ดี
ยกตัวอย่างเช่น บิตคอยน์ ต้นปีมีราคาที่ 8.8 แสนบาท แต่เคยขึ้นสูงสุดไปถึง 2.1 ล้านบาท
และลงมาต่ำสุดระหว่างปีที่ 9.5 แสนบาท
เห็นได้ว่า ขนาดคริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 ยังมีราคาผันผวนมากขนาดนี้
คริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ ก็จะมีความผันผวนที่สูงไม่แพ้กัน
และด้วยสาเหตุหลักนี้เอง จึงทำให้ Stablecoin เกิดขึ้นมา ซึ่งคนที่สร้างเหรียญประเภทนี้ ต้องการให้มันเป็นเหรียญที่มีมูลค่าค่อนข้างคงที่ โดยส่วนใหญ่แล้วจะอิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่น USDT ที่คนสร้างอยากให้มีราคาเทียบเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐอยู่เสมอ
ด้วยราคาที่ไม่ค่อยผันผวน จึงเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนสาย Conservative ใช้ในแพลตฟอร์ม DeFi หรือเรียกกันว่าการฟาร์ม นอกจากนั้น Stablecoin ยังถือเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่นิยมถือไว้เพื่อพักเงิน ในช่วงที่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีกำลังปรับฐานหรืออยู่ในช่วงขาลง
แต่การถือ Stablecoin นั้นปลอดภัยมากขนาดไหน ?
แล้ว Stablecoin มีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
เปิดบัญชีผ่าน Radars Point ที่ > https://bit.ly/3EEOz9C
╚═══════════╝
เมื่อพูดถึง Stablecoin มือใหม่ส่วนใหญ่คงจะนึกถึงเพียงแค่ USDT และ USDC เท่านั้น
และอาจคิดว่าสกุลแต่ละเหรียญ ไม่มีความแตกต่างกัน เป็นเพียงแค่คริปโทเคอร์เรนซีที่อิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐเพียงอย่างเดียว
แต่รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้ว มีคริปโทเคอร์เรนซีอีกถึง 200 สกุล ที่เป็น Stablecoin เช่นเดียวกัน
และแต่ละสกุลยังมีประเภทและรายละเอียดที่แตกต่างกันด้วย
เริ่มจากสกุลเงินที่ทุกคนคุ้นเคยก่อนเลยคือ USDT
Stablecoin แบบนี้ ถูกเรียกว่า Fiat Backed Stablecoin
หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่ผูกกับเงินตราประเทศต่าง ๆ แบบ 1:1
ตามหลักการ คริปโทเคอร์เรนซีประเภทนี้จะถูกผลิตขึ้น เมื่อเรานำเงิน Fiat อย่างเงินบาทหรือดอลลาร์สหรัฐ ไปล็อกกับตัวกลางที่ทำหน้าที่ผลิตคริปโทเคอร์เรนซีนั้น ๆ ออกมา
เช่น เรานำเงินดอลลาร์สหรัฐไปล็อกไว้กับบริษัท Tether เพื่อสร้าง USDT
หรือหากไปล็อกกับบริษัท Centre ก็จะได้เป็น USDC ออกมานั่นเอง
แม้ว่า Stablecoin นี้จะได้รับความนิยมมากสุด เมื่อเทียบกับประเภทอื่น ๆ
แต่มีข้อน่ากังวลอย่างหนึ่งคือ บริษัทที่สร้างเหรียญพวกนี้ขึ้นมา มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
เพราะต้องไม่ลืมว่า หากบริษัทนำเงินที่ควรจะเก็บกลับไปใช้ทำอย่างอื่น เช่น ปล่อยกู้ต่อ หรือซื้อตราสารหนี้เอกชน นั่นก็ถือว่า Stablecoin ไม่ได้ผูกกับเงินตราประเทศต่าง ๆ แบบ 1:1 แล้ว
อย่าง USDT ที่ออกโดย Tether ก็มีความกังวลด้านความโปร่งใสเกี่ยวกับเงินที่นำมาสำรอง เพราะ
จากข้อมูลที่เปิดเผย ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2021 สินทรัพย์ที่หนุน USDT ประกอบไปด้วย
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 84.9%
สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 4.0%
หุ้นกู้, กองทุน และโลหะมีค่า 7.3%
การลงทุนอื่น ๆ 3.8%
จะเห็นได้ว่าสัดส่วน 15% นั้น ไม่ใช่เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ซึ่งก็อาจแปลได้ว่าบริษัทนำเงินที่หนุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้นเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามด้วยความที่ปัจจุบัน Stablecoin กลุ่มนี้ยังไม่เคยเจอปัญหาการขาดความเชื่อมั่นมาก่อน จึงยังสามารถครองใจนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดได้อยู่
แต่บางคนที่อ่านถึงตรงนี้ คงเอะใจว่า ทำไมคริปโทเคอร์เรนซีพวกนี้ยังอิงกับดอลลาร์สหรัฐอยู่เลย ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกตัวเองบอกว่าสร้างคริปโทเคอร์เรนซีทั้งหลายขึ้นมา เพื่อไม่ต้องพึ่งเงิน Fiat ที่ควบคุมโดยรัฐบาล
นั่นจึงเป็นที่มาของ Stablecoin ประเภทที่สองคือ Crypto Backed Stablecoin
หรือ Stablecoin ที่ค้ำด้วยคริปโทเคอร์เรนซี
คือเดิมทีเราต้องนำเงิน Fiat ไปล็อก เพื่อให้ได้ Stablecoin ออกมา
แต่ด้วย Stablecoin ประเภทนี้สามารถทำได้ด้วยการเอาคริปโทเคอร์เรนซีทั่วไป เช่น BTC, ETH ไปวางค้ำประกัน เพื่อแลกเหรียญแทนได้เลย ไม่จำเป็นต้องพึ่งเงิน Fiat อีกต่อไป
เรียกได้ว่าเป็น Stablecoin ของโลกคริปโทเคอร์เรนซีอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามด้วยความที่ราคาของคริปโทเคอร์เรนซีแต่ละสกุลนั้นมีความผันผวนค่อนข้างสูง
นั่นทำให้เกิดข้อเสียคือ การวางเงินค้ำประกันจำเป็นต้องใช้จำนวนเงินที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินที่จะได้รับ
ตัวอย่างเช่น หากเราอยากได้ Dai ที่เป็น Stablecoin มูลค่ารวม 100 ดอลลาร์สหรัฐ จากโปรเจกต์ MakerDAO เราจะต้องนำคริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ มาวางค้ำประกันที่ 150 ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ใช่วางค้ำประกันที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากัน
ข้อเสียอีกอย่างที่ตามมา จากการใช้คริปโทเคอร์เรนซีวางค้ำประกัน คือ การโดนยึดเงินค้ำประกัน
หากมูลค่าเหรียญที่วางค้ำประกันนั้นต่ำกว่ามูลค่า Stablecoin ที่แลกมา หรือเกณฑ์ที่ระบบกำหนด
ซึ่งถ้าเราไม่อยากโดนยึดเงินค้ำประกัน จะต้องวางเงินค้ำประกันเพิ่มหรืออาจคืนเงินบางส่วนแทนก็ได้
จากข้อมูลนี้จะสังเกตได้ว่า Stablecoin ทุกเหรียญประเภทนี้ถูกค้ำด้วยคริปโทเคอร์เรนซีจริง ส่งผลให้มีความโปร่งใส แต่ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องการวางเงินค้ำประกันที่สูงเกินไป
นั่นทำให้เกิด Stablecoin ประเภทสุดท้ายคือ Algorithmic Stablecoin
หรือ Stablecoin ที่ไม่ได้อิงมูลค่ากับสินทรัพย์ใด ๆ แต่จะควบคุมโดยอัลกอริทึม ด้วยการใช้กลไกเพิ่มและลดเหรียญตามความต้องการใช้งาน เพื่อให้ราคาคงที่
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ อย่าง UST เป็น Algorithmic Stablecoin ของ Terra Blockchain จะไม่ได้เกิดจากเงิน Fiat หรือคริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ ค้ำประกัน แต่เกิดจากการนำ LUNA เหรียญที่ผันผวนเหมือนเหรียญทั่วไป มา Burn หรือทำลายลง เพื่อ Mint หรือผลิต UST ขึ้นมาแทน
ปกติแล้ว LUNA มีราคาเท่าไร UST ที่ผลิตได้ก็จะมีจำนวนเท่านั้น
เช่น หาก LUNA มีราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถผลิต UST ได้ที่ 5 เหรียญ
ซึ่งถ้า LUNA มีราคาเพิ่มขึ้นมาที่ 10 ดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถผลิต UST ได้ที่ 10 เหรียญ
จากกลไกนี้ ทำให้ช่วยสร้างสมดุลราคาของ UST ให้ตรึงไว้ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐไว้ได้
เพราะว่าถ้า UST มีราคาเกินกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ จะมีคนมาทำอาร์บิทราจ ด้วยการ Burn เหรียญ LUNA ทิ้งเพื่อเอา UST มาเทขายในตลาด
ในทางกลับกันหาก UST ราคาต่ำกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ ก็จะมีคน Burn เหรียญ UST เพื่อเอา LUNA กลับคืนมา ซึ่งเป็นการลดจำนวนเหรียญ UST ลง ให้ราคาดีดกลับมาที่เดิม
แต่ Stablecoin กลุ่มนี้มักจะมีปัญหาด้านราคาผันผวน หากแพลตฟอร์มที่ปล่อยเหรียญมีระบบไม่แข็งแกร่งพอ และมีผู้ต้องการใช้งานเหรียญจำนวนมากพร้อม ๆ กัน
จึงเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ Stablecoin ไม่สามารถรักษาความเสถียรของมูลค่าได้ เช่น ราคา UST ก็เคยตกลงไปเหลือ 0.8 ดอลลาร์สหรัฐ จากช่วงที่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีตกอย่างรุนแรง ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
หรือ IRON ที่เป็น Stablecoin ของ Iron Finance แพลตฟอร์ม DeFi เคยเจอเหตุการณ์จากราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเหลือเพียง 0.74 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้เห็นได้ว่า
การบริหารความเสี่ยงที่ดี คงไม่ใช่แค่การถือ Stablecoin เหรียญใดเหรียญหนึ่งเท่านั้น เพราะจะเห็นได้ว่า Stablecoin แต่ละสกุลจะมีจุดอ่อนที่แตกต่างกันไป
การกระจายการถือ Stablecoin ในหลายเหรียญ อาจเป็นทางเลือกที่สามารถลดความเสี่ยงจากการที่เหรียญใดเหรียญหนึ่งประสบปัญหาได้ เพราะเราต้องคิดไว้เสมอว่าเหรียญ Stablecoin ที่คนสร้างคาดหวังให้มันเป็นเหรียญคงที่ แต่ในช่วงเวลาพิเศษ มันก็อาจจะไม่คงที่ได้ เช่นกัน..
╔═══════════╗
เพียงเปิดและผูกบัญชีเทรดหุ้นผ่าน Radars Point และเทรดผ่าน StockRadars ได้ Point ถึง 2 ต่อ
👉🏻 ต่อที่ 1 รับทันที 88 Point! เมื่อเปิดบัญชีเทรดหุ้นผ่าน Radars Point โดยสามารถสมัครออนไลน์ได้ทันที
👉🏻 ต่อที่ 2 รับ Point คืน 7% จากค่าธรรมเนียม เมื่อเทรดผ่าน StockRadars หลังจากผูกบัญชีเรียบร้อยแล้ว
เปิดบัญชีผ่าน Radars Point ที่ > https://bit.ly/3EEOz9C
ผูกบัญชีได้ที่นี่ > https://bit.ly/3nWFJxU
ใครผูกบัญชีหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว สามารถร่วมสนุกรับต่อที่ 2 ดาวน์โหลด
แอปพลิเคชั่นเทรดผ่าน StockRadars ได้เลย! > https://bit.ly/39maZhx
ตั้งแต่วันนี้ - 31 ต.ค. 64
#RadarsPoint #StockRadars #ลงทุนง่ายๆไม่ต้องใช้เงิน #ทำเรื่องหุ้นเป็นเรื่องง่าย
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.coingecko.com/en/coins/iron
-https://coinmarketcap.com/currencies/terrausd/
-https://www.blockdit.com/posts/6086067564a1bf0c3559db1d
-https://cointelegraph.com/altcoins-for-beginners/stablecoins-101-what-are-crypto-stablecoins-and-how-do-they-work
-https://www.efinancethai.com/Fintech/FintechMain.aspx?release=y&name=ft_202104091432
-https://www.investopedia.com/terms/s/stablecoin.asp
-https://en.wikipedia.org/wiki/Dai_(cryptocurrency)
dai crypto 在 Taipei Ethereum Meetup Facebook 的最讚貼文
📜 [專欄新文章] Uniswap v3 Features Explained in Depth
✍️ 田少谷 Shao
📥 歡迎投稿: https://medium.com/taipei-ethereum-meetup #徵技術分享文 #使用心得 #教學文 #medium
Once again the game-changing DEX 🦄 👑
Image source: https://uniswap.org/blog/uniswap-v3/
Outline
0. Intro1. Uniswap & AMM recap2. Ticks 3. Concentrated liquidity4. Range orders: reversible limit orders5. Impacts of v36. Conclusion
0. Intro
The announcement of Uniswap v3 is no doubt one of the most exciting news in the DeFi place recently 🔥🔥🔥
While most have talked about the impact v3 can potentially bring on the market, seldom explain the delicate implementation techniques to realize all those amazing features, such as concentrated liquidity, limit-order-like range orders, etc.
Since I’ve covered Uniswap v1 & v2 (if you happen to know Mandarin, here are v1 & v2), there’s no reason for me to not cover v3 as well ✅
Thus, this article aims to guide readers through Uniswap v3, based on their official whitepaper and examples made on the announcement page. However, one needs not to be an engineer, as not many codes are involved, nor a math major, as the math involved is definitely taught in your high school, to fully understand the following content 😊😊😊
If you really make it through but still don’t get shxt, feedbacks are welcomed! 🙏
There should be another article focusing on the codebase, so stay tuned and let’s get started with some background noise!
1. Uniswap & AMM recap
Before diving in, we have to first recap the uniqueness of Uniswap and compare it to traditional order book exchanges.
Uniswap v1 & v2 are a kind of AMMs (automated market marker) that follow the constant product equation x * y = k, with x & y stand for the amount of two tokens X and Y in a pool and k as a constant.
Comparing to order book exchanges, AMMs, such as the previous versions of Uniswap, offer quite a distinct user experience:
AMMs have pricing functions that offer the price for the two tokens, which make their users always price takers, while users of order book exchanges can be both makers or takers.
Uniswap as well as most AMMs have infinite liquidity¹, while order book exchanges don’t. The liquidity of Uniswap v1 & v2 is provided throughout the price range [0,∞]².
Uniswap as well as most AMMs have price slippage³ and it’s due to the pricing function, while there isn’t always price slippage on order book exchanges as long as an order is fulfilled within one tick.
In an order book, each price (whether in green or red) is a tick. Image source: https://ftx.com/trade/BTC-PERP
¹ though the price gets worse over time; AMM of constant sum such as mStable does not have infinite liquidity
² the range is in fact [-∞,∞], while a price in most cases won’t be negative
³ AMM of constant sum does not have price slippage
2. Tick
The whole innovation of Uniswap v3 starts from ticks.
For those unfamiliar with what is a tick:
Source: https://www.investopedia.com/terms/t/tick.asp
By slicing the price range [0,∞] into numerous granular ticks, trading on v3 is highly similar to trading on order book exchanges, with only three differences:
The price range of each tick is predefined by the system instead of being proposed by users.
Trades that happen within a tick still follows the pricing function of the AMM, while the equation has to be updated once the price crosses the tick.
Orders can be executed with any price within the price range, instead of being fulfilled at the same one price on order book exchanges.
With the tick design, Uniswap v3 possesses most of the merits of both AMM and an order book exchange! 💯💯💯
So, how is the price range of a tick decided?
This question is actually somewhat related to the tick explanation above: the minimum tick size for stocks trading above 1$ is one cent.
The underlying meaning of a tick size traditionally being one cent is that one cent (1% of 1$) is the basis point of price changes between ticks, ex: 1.02 — 1.01 = 0.1.
Uniswap v3 employs a similar idea: compared to the previous/next price, the price change should always be 0.01% = 1 basis point.
However, notice the difference is that in the traditional basis point, the price change is defined with subtraction, while here in Uniswap it’s division.
This is how price ranges of ticks are decided⁴:
Image source: https://uniswap.org/whitepaper-v3.pdf
With the above equation, the tick/price range can be recorded in the index form [i, i+1], instead of some crazy numbers such as 1.0001¹⁰⁰ = 1.0100496621.
As each price is the multiplication of 1.0001 of the previous price, the price change is always 1.0001 — 1 = 0.0001 = 0.01%.
For example, when i=1, p(1) = 1.0001; when i=2, p(2) = 1.00020001.
p(2) / p(1) = 1.00020001 / 1.0001 = 1.0001
See the connection between the traditional basis point 1 cent (=1% of 1$) and Uniswap v3’s basis point 0.01%?
Image source: https://tenor.com/view/coin-master-cool-gif-19748052
But sir, are prices really granular enough? There are many shitcoins with prices less than 0.000001$. Will such prices be covered as well?
Price range: max & min
To know if an extremely small price is covered or not, we have to figure out the max & min price range of v3 by looking into the spec: there is a int24 tick state variable in UniswapV3Pool.sol.
Image source: https://uniswap.org/whitepaper-v3.pdf
The reason for a signed integer int instead of an uint is that negative power represents prices less than 1 but greater than 0.
24 bits can cover the range between 1.0001 ^ (2²³ — 1) and 1.0001 ^ -(2)²³. Even Google cannot calculate such numbers, so allow me to offer smaller values to have a rough idea of the whole price range:
1.0001 ^ (2¹⁸) = 242,214,459,604.341
1.0001 ^ -(2¹⁷) = 0.000002031888943
I think it’s safe to say that with a int24 the range can cover > 99.99% of the prices of all assets in the universe 👌
⁴ For implementation concern, however, a square root is added to both sides of the equation.
How about finding out which tick does a price belong to?
Tick index from price
The answer to this question is rather easy, as we know that p(i) = 1.0001^i, simply takes a log with base 1.0001 on both sides of the equation⁴:
Image source: https://www.codecogs.com/latex/eqneditor.php
Let’s try this out, say we wanna find out the tick index of 1000000.
Image source: https://ncalculators.com/number-conversion/log-logarithm-calculator.htm
Now, 1.0001¹³⁸¹⁶² = 999,998.678087146. Voila!
⁵ This formula is also slightly modified to fit the real implementation usage.
3. Concentrated liquidity
Now that we know how ticks and price ranges are decided, let’s talk about how orders are executed in a tick, what is concentrated liquidity and how it enables v3 to compete with stablecoin-specialized DEXs (decentralized exchange), such as Curve, by improving the capital efficiency.
Concentrated liquidity means LPs (liquidity providers) can provide liquidity to any price range/tick at their wish, which causes the liquidity to be imbalanced in ticks.
As each tick has a different liquidity depth, the corresponding pricing function x * y = k also won’t be the same!
Each tick has its own liquidity depth. Image source: https://uniswap.org/blog/uniswap-v3/
Mmm… examples are always helpful for abstract descriptions 😂
Say the original pricing function is 100(x) * 1000(y) = 100000(k), with the price of X token 1000 / 100 = 10 and we’re now in the price range [9.08, 11.08].
If the liquidity of the price range [11.08, 13.08] is the same as [9.08, 11.08], we don’t have to modify the pricing function if the price goes from 10 to 11.08, which is the boundary between two ticks.
The price of X is 1052.63 / 95 = 11.08 when the equation is 1052.63 * 95 = 100000.
However, if the liquidity of the price range [11.08, 13.08] is two times that of the current range [9.08, 11.08], balances of x and y should be doubled, which makes the equation become 2105.26 * 220 = 400000, which is (1052.63 * 2) * (110 * 2) = (100000 * 2 * 2).
We can observe the following two points from the above example:
Trades always follow the pricing function x * y = k, while once the price crosses the current price range/tick, the liquidity/equation has to be updated.
√(x * y) = √k = L is how we represent the liquidity, as I say the liquidity of x * y = 400000 is two times the liquidity of x * y = 100000, as √(400000 / 100000) = 2.
What’s more, compared to liquidity on v1 & v2 is always spread across [0,∞], liquidity on v3 can be concentrated within certain price ranges and thus results in higher capital efficiency from traders’ swapping fees!
Let’s say if I provide liquidity in the range [1200, 2800], the capital efficiency will then be 4.24x higher than v2 with the range [0,∞] 😮😮😮 There’s a capital efficiency comparison calculator, make sure to try it out!
Image source: https://uniswap.org/blog/uniswap-v3/
It’s worth noticing that the concept of concentrated liquidity was proposed and already implemented by Kyper, prior to Uniswap, which is called Automated Price Reserve in their case.⁵
⁶ Thanks to Yenwen Feng for the information.
4. Range orders: reversible limit orders
As explained in the above section, LPs of v3 can provide liquidity to any price range/tick at their wish. Depending on the current price and the targeted price range, there are three scenarios:
current price < the targeted price range
current price > the targeted price range
current price belongs to the targeted price range
The first two scenarios are called range orders. They have unique characteristics and are essentially fee-earning reversible limit orders, which will be explained later.
The last case is the exact same liquidity providing mechanism as the previous versions: LPs provide liquidity in both tokens of the same value (= amount * price).
There’s also an identical product to the case: grid trading, a very powerful investment tool for a time of consolidation. Dunno what’s grid trading? Check out Binance’s explanation on this, as this topic won’t be covered!
In fact, LPs of Uniswap v1 & v2 are grid trading with a range of [0,∞] and the entry price as the baseline.
Range orders
To understand range orders, we’d have to first revisit how price is discovered on Uniswap with the equation x * y = k, for x & y stand for the amount of two tokens X and Y and k as a constant.
The price of X compared to Y is y / x, which means how many Y one can get for 1 unit of X, and vice versa the price of Y compared to X is x / y.
For the price of X to go up, y has to increase and x decrease.
With this pricing mechanism in mind, it’s example time!
Say an LP plans to place liquidity in the price range [15.625, 17.313], higher than the current price of X 10, when 100(x) * 1000(y) = 100000(k).
The price of X is 1250 / 80 = 15.625 when the equation is 80 * 1250 = 100000.
The price of X is 1315.789 / 76 = 17.313 when the equation is 76 * 1315.789 = 100000.
If now the price of X reaches 15.625, the only way for the price of X to go even higher is to further increase y and decrease x, which means exchanging a certain amount of X for Y.
Thus, to provide liquidity in the range [15.625, 17.313], an LP needs only to prepare 80 — 76 = 4 of X. If the price exceeds 17.313, all 4 X of the LP is swapped into 1315.789 — 1250 = 65.798 Y, and then the LP has nothing more to do with the pool, as his/her liquidity is drained.
What if the price stays in the range? It’s exactly what LPs would love to see, as they can earn swapping fees for all transactions in the range! Also, the balance of X will swing between [76, 80] and the balance of Y between [1250, 1315.789].
This might not be obvious, but the example above shows an interesting insight: if the liquidity of one token is provided, only when the token becomes more valuable will it be exchanged for the less valuable one.
…wut? 🤔
Remember that if 4 X is provided within [15.625, 17.313], only when the price of X goes up from 15.625 to 17.313 is 4 X gradually swapped into Y, the less valuable one!
What if the price of X drops back immediately after reaching 17.313? As X becomes less valuable, others are going to exchange Y for X.
The below image illustrates the scenario of DAI/USDC pair with a price range of [1.001, 1.002] well: the pool is always composed entirely of one token on both sides of the tick, while in the middle 1.001499⁶ is of both tokens.
Image source: https://uniswap.org/blog/uniswap-v3/
Similarly, to provide liquidity in a price range < current price, an LP has to prepare a certain amount of Y for others to exchange Y for X within the range.
To wrap up such an interesting feature, we know that:
Only one token is required for range orders.
Only when the current price is within the range of the range order can LP earn trading fees. This is the main reason why most people believe LPs of v3 have to monitor the price more actively to maximize their income, which also means that LPs of v3 have become arbitrageurs 🤯
I will be discussing more the impacts of v3 in 5. Impacts of v3.
⁷ 1.001499988 = √(1.0001 * 1.0002) is the geometric mean of 1.0001 and 1.0002. The implication is that the geometric mean of two prices is the average execution price within the range of the two prices.
Reversible limit orders
As the example in the last section demonstrates, if there is 4 X in range [15.625, 17.313], the 4 X will be completely converted into 65.798 Y when the price goes over 17.313.
We all know that a price can stay in a wide range such as [10, 11] for quite some time, while it’s unlikely so in a narrow range such as [15.625, 15.626].
Thus, if an LP provides liquidity in [15.625, 15.626], we can expect that once the price of X goes over 15.625 and immediately also 15.626, and does not drop back, all X are then forever converted into Y.
The concept of having a targeted price and the order will be executed after the price is crossed is exactly the concept of limit orders! The only difference is that if the range of a range order is not narrow enough, it’s highly possible that the conversion of tokens will be reverted once the price falls back to the range.
As price ranges follow the equation p(i) = 1.0001 ^ i, the range can be quite narrow and a range order can thus effectively serve as a limit order:
When i = 27490, 1.0001²⁷⁴⁹⁰ = 15.6248.⁸
When i = 27491, 1.0001²⁷⁴⁹¹ = 15.6264.⁸
A range of 0.0016 is not THAT narrow but can certainly satisfy most limit order use cases!
⁸ As mentioned previously in note #4, there is a square root in the equation of the price and index, thus the numbers here are for explantion only.
5. Impacts of v3
Higher capital efficiency, LPs become arbitrageurs… as v3 has made tons of radical changes, I’d like to summarize my personal takes of the impacts of v3:
Higher capital efficiency makes one of the most frequently considered indices in DeFi: TVL, total value locked, becomes less meaningful, as 1$ on Uniswap v3 might have the same effect as 100$ or even 2000$ on v2.
The ease of spot exchanging between spot exchanges used to be a huge advantage of spot markets over derivative markets. As LPs will take up the role of arbitrageurs and arbitraging is more likely to happen on v3 itself other than between DEXs, this gap is narrowed … to what extent? No idea though.
LP strategies and the aggregation of NFT of Uniswap v3 liquidity token are becoming the blue ocean for new DeFi startups: see Visor and Lixir. In fact, this might be the turning point for both DeFi and NFT: the two main reasons of blockchain going mainstream now come to the alignment of interest: solving the $$ problem 😏😏😏
In the right venue, which means a place where transaction fees are low enough, such as Optimism, we might see Algo trading firms coming in to share the market of designing LP strategies on Uniswap v3, as I believe Algo trading is way stronger than on-chain strategies or DAO voting to add liquidity that sort of thing.
After reading this article by Parsec.finance: The Dex to Rule Them All, I cannot help but wonder: maybe there is going to be centralized crypto exchanges adopting v3’s approach. The reason is that since orders of LPs in the same tick are executed pro-rata, the endless front-running speeding-competition issue in the Algo trading world, to some degree, is… solved? 🤔
Anyway, personal opinions can be biased and seriously wrong 🙈 I’m merely throwing out a sprat to catch a whale. Having a different voice? Leave your comment down below!
6. Conclusion
That was kinda tough, isn’t it? Glad you make it through here 🥂🥂🥂
There are actually many more details and also a huge section of Oracle yet to be covered. However, since this article is more about features and targeting normal DeFi users, I’ll leave those to the next one; hope there is one 😅
If you have any doubt or find any mistake, please feel free to reach out to me and I’d try to reply AFAP!
Stay tuned and in the meantime let’s wait and see how Uniswap v3 is again pioneering the innovation of DeFi 🌟
Uniswap v3 Features Explained in Depth was originally published in Taipei Ethereum Meetup on Medium, where people are continuing the conversation by highlighting and responding to this story.
👏 歡迎轉載分享鼓掌
dai crypto 在 無神論者的巴別塔 Facebook 的精選貼文
https://www.patreon.com/posts/jia-mi-huo-bi-ru-47170240
加密貨幣創造被動收入初級篇:由DEFI 鉅頭Yearn被Hack說起
實在非常慶幸響呢單新聞爆咗出黎之後我先開始寫Crypto DEFI嘅初級篇,因為呢個就係一個真實嘅例子,話比大家聽DEFI賺息嘅風險響邊,同埋風險大概有幾多。
好多人話區塊鏈技術最大嘅優勢就係去中心化,問題卻係去中心化只係可以確保智能合約嘅規則難以被修改,卻唔能夠保證成個Project本身唔會被Hack。今次Yearn出事被駭1100萬美金個DAI Vault,響早兩個月我都仲擺咗成三萬蚊美金入去,真係好彩我因為貪心,早排忍唔住拎哂出黎追ETH先避過一劫。
究竟DEFI賺息風險有幾大?今次被hack後係咪以後都唔駛再用Yearn?DEFI仲有乜嘢玩?響內文同大家分享……(點擊連結觀看全文)
dai crypto 在 What is Dai? (DAI crypto stablecoin) - YouTube 的推薦與評價
dai #defi #exodus #exoduswallet # ethereum #makerdao What is Dai ? Dai is a stablecoin which means it's pegged to the value of a fiat currency ... ... <看更多>
dai crypto 在 Maker - GitHub 的推薦與評價
Dai Stablecoin System. Solidity 658 378 ... multicall.js Public. Multicall.js: A JavaScript blockchain state management library for dapps. JavaScript 408 88 ... ... <看更多>