“Black Friday” จากสงครามกลางเมือง สู่สงครามการช็อปปิง /โดย ลงทุนแมน
Black Monday เป็นเหตุการณ์ที่ตลาดหุ้น ดัชนีดาวโจนส์ถึง 22% ในวันเดียวจากความผิดพลาดของระบบคอมพิวเตอร์
Black Tuesday เป็นเหตุการณ์ตลาดหุ้นที่วอลล์สตรีตลดลงหนัก จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1929
Black Wednesday เป็นเหตุการณ์วิกฤติค่าเงินปอนด์ที่ธนาคารกลางของอังกฤษถูกโจมตี
ดูเหมือนว่า หากมีคำว่า “Black” นำหน้าวันเมื่อไหร่
มันก็มักจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดีทั้งนั้น
แต่ไม่ใช่สำหรับวันศุกร์ เพราะ Black Friday กลับเป็นวันที่เหล่าชาวอเมริกันหลายคนตั้งตารอคอย
เพราะมันเป็นวันที่เหล่าร้านค้าและห้างทั่วประเทศ พร้อมใจลดราคาสินค้าอย่างกระหน่ำ
ตั้งแต่เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ เกม รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกมากมาย
สูงสุดถึง 80% เป็นประจำทุกปี
แล้ว Black Friday มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นของ Black Friday เริ่มตั้งแต่ปี 1620 หรือราว 400 ปีก่อน เมื่อกลุ่มคนนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ในอังกฤษต้องการอพยพออกจากบ้านของตน เพื่อแสวงหาสถานที่ที่พวกเขาจะสามารถนับถือและเผยแผ่ศาสนาได้อย่างสบายใจ
จุดหมายปลายทางของกลุ่มคนเหล่านี้ก็คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่การเดินทางก็ต้องพบเจออุปสรรคมากมายจากคลื่นลมในท้องทะเล และเมื่อเดินทางมาถึง ก็ดันตรงกับช่วงหน้าหนาวพอดี
ในฤดูนี้ พืชผักทั้งหลายปลูกไม่ขึ้นและยังเจอกับโรคภัยอีกด้วย ส่งผลให้มีผู้รอดชีวิตเหลือเพียง 53 คนจากทั้งหมด 102 คน
แม้ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายมาโดยตลอด แต่เหตุการณ์ก็เริ่มกลับมาดีขึ้น เมื่อคุณ Squanto ชาวอินเดียนแดง ที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้เข้ามาให้ความรู้ในด้านการเกษตร การล่าสัตว์และการเอาตัวรอดจากโรคภัยกับกลุ่มผู้อพยพ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา กลุ่มคนเหล่านี้ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้อพยพก็มีความเชื่อกันว่า พระเจ้าเป็นคนส่งคนอินเดียนแดงมาให้
พวกเขาเลยอยากขอบคุณพระเจ้า ที่ทำให้รอดชีวิตมาได้
จึงจัดงานเฉลิมฉลองร่วมกับคนพื้นเมืองหรือชาวอินเดียนแดง เพื่อเป็นการขอบคุณพระเจ้าและนั่นก็ถือเป็นที่มาของวัน “Thanksgiving” หรือวันขอบคุณพระเจ้า ที่อยู่มายาวนานจนถึงยุคของเรา
แต่ในตอนแรกนั้น วัน Thanksgiving ยังไม่ได้มีการกำหนดวันที่ชัดเจน ส่งผลให้แต่ละรัฐมีการบริหารและจัดวันที่แตกต่างกันไป ในขณะที่ Thanksgiving ในยุคนั้นก็ยังไม่ได้เป็นวันสำคัญเหมือนในยุคปัจจุบัน
จนกระทั่งในปี 1863 ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่เรียกว่า Civil War หรือสงครามกลางเมืองที่ได้สร้างความตึงเครียดแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก
ประธานาธิบดีลินคอล์นจึงได้ประกาศให้วันขอบคุณพระเจ้ากลายเป็นวันหยุดทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ โดยหน่วยงานรัฐบาลจะปิดทำการทั้งในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน เพื่อให้เป็นวันที่ครอบครัวชาวอเมริกันหยุดพักผ่อนและทำกิจกรรมร่วมกัน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลดความตึงเครียดจากสถานการณ์ ณ ขณะนั้น
และด้วยความที่วัน Thanksgiving เป็นวันหยุดยาว
เหล่าผู้คนทั้งหลายที่มาทำงานในเมือง
มักใช้เวลานี้กลับสู่บ้านเดิมของตน
เรื่องดังกล่าวก็ได้ทำให้เหล่าร้านค้าปลีกและห้างสรรพสินค้า
ต้องหาวิธีที่จะสร้างรายได้ในช่วงนี้ จึงได้เกิดเป็นไอเดียมหกรรมลดราคาสินค้า
รวมถึงการขยายเวลาเปิด-ปิดของห้างในวันศุกร์
จนกลายมาเป็นมหกรรมการลดราคา “Black Friday”
หลังจากที่เหล่าผู้ประกอบการนำไอเดียนี้ไปใช้
ก็พบว่าวิธีนี้ดึงดูดกลุ่มนักช็อปได้มหาศาล
เนื่องจากประชาชนบางกลุ่มก็ได้เตรียมเงินสำหรับใช้ช่วงวันหยุดยาวอยู่แล้ว
ถ้าหากถามว่า Black Friday สามารถสร้างกระแสได้ในระดับไหน ?
ก็ต้องบอกว่า Black Friday เกิดมาจากวันหยุดธรรมดา
แต่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นวันที่เต็มไปด้วยสมรภูมิรบนักช็อป
ตามร้านค้าและห้างสรรพสินค้า ที่เข้ามาแย่งซื้อสินค้ากัน
มีผู้คนมากมายมานั่งกางเต็นท์ ต่อคิวรอห้างเปิดหลายชั่วโมง
ซึ่งทันทีที่ห้างเปิด เราก็ต้องทำเวลาแข่งกับคนอื่นในการเลือกสินค้าให้ทัน
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จะวางแผนล่วงหน้ามาก่อนว่าต้องการสินค้าไหนบ้าง
และเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับศึกแย่งชิงสินค้ากันอีกด้วย
เคยมีเหตุการณ์ที่คนเสียชีวิตจากการโดนเหยียบจากฝูงชนที่เข้ามาแย่งซื้อสินค้า
ก็คงจะพอเห็นภาพได้ว่า Black Friday สร้างความคลั่งแก่ผู้คนได้อย่างมาก
โดยในปีที่ผ่านมา
ร้านค้าปลีกรายใหญ่ มียอดขายเพิ่มขึ้น 403% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงเดือนก่อนหน้า
ในขณะที่ ร้านค้าปลีกรายย่อย มียอดขายเพิ่มขึ้น 349% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ในมุมของเศรษฐกิจระดับประเทศ Black Friday ยิ่งมีความสำคัญ
เพราะ 68.5% ของ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศสหรัฐอเมริกา
มาจากการใช้จ่ายในการบริโภคของภาคเอกชน
ทำให้วันนี้กลายเป็นวันที่เหล่าร้านค้าทั้งหลาย
มีกำไรเป็นกอบเป็นกำและมากที่สุดในรอบปี
จึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงใช้ชื่อว่า “Black Friday”
และคำว่า Black ที่แปลว่าดำก็มาจากตัวเลขในทางบัญชี
ที่จะบันทึกตัวเลขที่กำไรเป็นสีดำ ในขณะที่บันทึกขาดทุนเป็นสีแดง
หมายความว่า Black Friday หมายถึง วันศุกร์ที่สร้างกำไร นั่นเอง
ในเวลาต่อมา Black Friday ที่จัดเพียงวันเดียว
ก็ดูจะยังไม่สามารถทำให้เหล่าผู้บริโภคพึงพอใจได้
จึงได้มีการขยายระยะเวลาในการจัดโปรโมชันไปจนถึงวันอาทิตย์
ในขณะที่สหพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติ ก็ได้สังเกตเห็นช่องทางการขายของออนไลน์
ที่เติบโตขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จึงส่งผลให้เกิดวัน Cyber Monday ในเวลาต่อมา
โดย Cyber Monday จะเป็นการขายสินค้าลดราคาหรือจัดโปรโมชัน ผ่านช่องทางออนไลน์
เนื่องจากเป็นวันปกติ ที่ผู้คนเริ่มทำงานกันแล้ว จึงไม่สะดวกมาซื้อสินค้าที่ร้านค้าเอง
ซึ่งก็ส่งผลให้ Cyber Monday กลายเป็นวันที่มียอดขายในตลาดอีคอมเมิร์ซสูงที่สุดเช่นกัน
โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา ที่สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 4 แสนล้านบาท
จากการประสบความสำเร็จของเหล่าร้านค้าและห้างต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา
ก็ส่งผลให้ประเทศอื่นนำโมเดลนี้ไปใช้ต่อ ๆ กัน
เช่น เหล่าผู้ประกอบการชาวแคนาดาที่สร้าง Black Friday
เพื่อเพิ่มยอดขายและจูงใจไม่ให้กลุ่มลูกค้าเดินทางไปซื้อสินค้าที่สหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ยังมีประเทศอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และอีกหลายประเทศ ที่จัดเทศกาลช็อปปิงคล้าย Black Friday
ที่โดดเด่นที่สุดก็น่าจะเป็นวันคนโสด 11.11 ในประเทศจีนที่แจ็ก หม่า ได้คิดค้นขึ้น
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่ว่า วันคนโสด 11.11 ของจีนได้มียอดขายแซงหน้า Black Friday ในสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยในวันคนโสดปีที่ผ่านมา Alibaba ได้มียอดขายสินค้ามากถึง 1.2 ล้านล้านบาทภายในวันเดียว
คิดเป็น 2 เท่าของยอดขายช่องทางอีคอมเมิร์ซในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด ของวัน Thanksgiving, Black Friday และ Cyber Monday รวมกัน เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-www.history.com/topics/thanksgiving/history-of-thanksgiving
-https://www.rd.com/article/history-of-cyber-monday/
-https://www.bloomberg.com/news/photo-essays/2018-11-18/how-black-friday-became-america-s-greediest-holiday
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-11-27/black-friday-gets-busted-by-covid-19-in-sign-of-retail-s-future
-https://abcnews.go.com/Business/black-friday-hits-record-report/story?id=74435965
-https://www.thebalance.com/why-is-it-called-black-friday-3305712
-https://www.ceicdata.com/en/indicator/united-states/private-consumption--of-nominal-gdp
-https://spendmenot.com/blog/black-friday-sales-statistics/
-https://www.practicalecommerce.com/sales-report-2020-thanksgiving-day-black-friday-cyber-monday
-https://www.statista.com/chart/11810/singles-day-vs-cyber-monday-and-black-friday/
facebook private story download 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
นมจากพืชที่ Starbucks เลือกใช้ กำลังจะ IPO /โดย ลงทุนแมน
การเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพืช กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนทำให้ร้านอาหารและร้านกาแฟต่าง ๆ ได้เพิ่มเมนูประเภทนี้เข้าไปเพื่อรองรับลูกค้า
โดย Starbucks ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มีนมจากพืชหลากหลายชนิดให้เลือก สำหรับเมนูกาแฟใส่นม
และเมื่อไม่นานมานี้ Starbucks ได้เพิ่มตัวเลือกนมจากพืชชนิดใหม่เข้าไป
นั่นก็คือ “นมข้าวโอ๊ต” ซึ่งมีเพียงยี่ห้อเดียว ที่ Starbucks เลือกจับมือเป็นพันธมิตร
คือแบรนด์ Oatly ที่ปัจจุบันถูกประเมินมูลค่าบริษัทไว้ราว 3.1 แสนล้านบาท
แล้วนมข้าวโอ๊ตยี่ห้อนี้มีความเป็นมาอย่างไร
ทำไมถึงได้รับความนิยม ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
อาหารที่ทำมาจากพืช เป็นทางเลือกในการบริโภคที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น
เพราะนอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพแล้ว กระบวนการผลิตยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
เมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป
แน่นอนว่าฝั่งผู้ผลิต ก็ต้องคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพืช
ที่สามารถทดแทนเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้
หนึ่งในนั้นก็คือการหาสินค้าเพื่อมาทดแทนผลิตภัณฑ์นม ที่เป็นผลผลิตจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
โดยนมจากพืชในช่วงแรก จะเป็นนมถั่วเหลือง และต่อมาได้มีการพัฒนานมจากพืชชนิดใหม่ ๆ
เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น
ที่โดดเด่นที่สุด ก็คือนมอัลมอนด์ เพราะด้วยกลิ่นที่หอมหวาน และรสสัมผัสที่ละมุนกว่า
ทำให้ในสหรัฐอเมริกา นมอัลมอนด์เป็นเจ้าตลาดนมจากพืช แทนที่นมถั่วเหลืองมาได้ 8 ปีแล้ว
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีนมจากพืชชนิดหนึ่ง
ที่กลายมาเป็นกระแสอย่างรวดเร็ว และยังคงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดนมจากพืชมาอยู่ในอันดับที่ 2 แซงนมถั่วเหลืองได้ นั่นก็คือ “นมข้าวโอ๊ต”
และความนิยมในนมข้าวโอ๊ตนี้ ก็มีที่มาจากแบรนด์หนึ่ง ที่ชื่อว่า “Oatly”
Oatly เป็นแบรนด์จากประเทศสวีเดน ก่อตั้งในปี 1994
โดยนักวิทยาศาสตร์อาหารที่ชื่อว่าคุณ Rickard Öste และคุณ Björn Öste ที่เป็นน้องชาย
จุดเริ่มต้นทั้งหมด มาจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Lund University ในประเทศสวีเดน
ที่ได้คิดค้นเทคโนโลยีที่สามารถสกัดข้าวโอ๊ต ซึ่งมีกากใยสูงมาก ให้กลายเป็นน้ำนมได้
Oatly จึงได้ร่วมจดสิทธิบัตรและพัฒนาต่อยอด จนมาเป็นธุรกิจที่ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม
ทั้งนมสด โยเกิร์ต ครีมสด และไอศกรีม ที่ไม่มีวัตถุดิบจากสัตว์เลย
หรือเรียกได้ว่าเป็นวีแกน 100% และทุกผลิตภัณฑ์
ล้วนทำมาจากน้ำนมข้าวโอ๊ต ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแรกของโลก
นอกจากจุดแข็งที่สำคัญอย่างเทคโนโลยีในการสกัดนมข้าวโอ๊ต และรสชาติของผลิตภัณฑ์ที่ถูกใจคนส่วนใหญ่แล้ว
การตลาดของ Oatly ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยการวางภาพลักษณ์ให้เป็นแบรนด์ที่ดูสนุก บวกกับการสื่อสารที่ใช้ภาษากวนนิด ๆ จึงครองใจกลุ่มลูกค้าหลักอย่างชาว Millennials และ Gen Z ได้เป็นอย่างดี
จนในปี 2017 Oatly ก็ได้เพิ่มความท้าทายให้ตัวเอง ด้วยการเข้าไปบุกตลาดในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ และถือเป็นนมข้าวโอ๊ตยี่ห้อแรก ที่มีขายในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง Oatly ก็ได้นำผลิตภัณฑ์ทุกชนิดเข้ามาขาย ผ่านช่องทางทั้งในร้านค้าและออนไลน์
แต่สิ่งที่ทำให้ Oatly เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ กลับไม่ได้พึ่งพาเพียงกลุ่มลูกค้ารายบุคคล
เพราะ Oatly เลือกขยายตลาดด้วยกลยุทธ์ในการ “โตไปกับร้านกาแฟ”
แม้ว่ามีนมจากพืชมากมายที่ใช้ดื่มเพื่อทดแทนนมจากสัตว์ได้ แต่ในการใช้เพื่อประกอบอาหาร นมจากพืช ยังไม่สามารถทดแทนนมจากสัตว์ได้ดีเท่าไรนัก
ยกตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟ ที่จะมีปัญหาหลักเวลาใช้นมจากพืช คือเมื่อตีฟองนม จะไม่สามารถทำลัตเตอาร์ตได้แบบตอนใช้นมวัว รสชาติและรสสัมผัสที่ได้ก็ไม่เนียนนุ่ม แถมบางครั้งยังมีกลิ่นธัญพืชปนเข้าไปด้วย
Oatly เห็นถึงจุดอ่อนตรงนี้ เลยพัฒนาผลิตภัณฑ์นมข้าวโอ๊ตของตัวเอง ให้สามารถใช้เทลัตเตอาร์ตได้สวยงามพอ ๆ กับใช้นมวัว รวมถึงช่วยส่งเสริมให้รสสัมผัสและรสชาติของกาแฟนมดียิ่งขึ้นไปอีก
จนออกมาเป็นไลน์ผลิตภัณฑ์นมที่ใช้ชื่อว่า “Barista Edition”
ส่วนกลยุทธ์ที่ใช้ในการเข้าไปเจาะตลาด ก็เป็นวิธีที่แสนธรรมดา แต่มีประสิทธิภาพสูง
นั่นคือส่งสินค้าไปให้ร้านกาแฟทดลองใช้ โดยจะเน้นร้านกาแฟที่เป็นคลื่นลูกที่ 3
หรือคือร้านกาแฟที่ใช้เมล็ดคุณภาพสูง ราคาพรีเมียม
ซึ่งกระแสตอบรับจากทั้งบาริสตา รวมถึงลูกค้าของร้านกาแฟ ก็ดีมากทีเดียว
เพราะอย่างในปี 2016 หรือ 1 ปีก่อนที่ Oatly จะเข้ามาเจาะตลาดสหรัฐอเมริกา
เชนร้านกาแฟคลื่นลูกที่ 3 ชื่อดังในสหรัฐอเมริกา อย่าง Intelligentsia
ได้เพิ่มนมข้าวโอ๊ตจาก Oatly เป็นทางเลือกให้ลูกค้าทั้ง 15 สาขาทั่วประเทศ
แต่นั่นถือเป็นความสำเร็จเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า
แน่นอนว่าคือเชนร้านกาแฟพรีเมียมที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Starbucks
แล้วฝันของ Oatly ก็เป็นจริง เพราะเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Starbucks ได้ตกลงเป็นพันธมิตรกับ Oatly โดย Starbucks ได้ให้ทุกสาขาในสหรัฐอเมริกา รวมถึงจีน ใช้นมข้าวโอ๊ตเฉพาะของ Oatly เท่านั้น
และด้วยกระแสความนิยมของ Oatly ก็ได้ดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาร่วมลงทุนด้วย
โดยในปี 2019 สามารถระดมทุนได้ 1,296 ล้านบาท จาก Venture Capital รายหนึ่ง
และในปี 2020 Oatly สามารถระดมทุนได้ 6,260 ล้านบาท
ซึ่งเป็นการลงทุนผ่าน Private Fund ของ Blackstone
ที่มีเหล่าคนดังอย่าง Oprah Winfrey, Natalie Portman, Jay-Z
หรือแม้แต่อดีต CEO ของ Starbucks อย่าง Howard Schultz ก็ได้เข้ามาร่วมลงทุนด้วย
โดยมีการประเมินว่า มูลค่าธุรกิจหลังการระดมทุนรอบนี้อยู่ที่ 62,600 ล้านบาท
และเมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา Oatly ก็ได้ยื่นเอกสาร Filing เพื่อเตรียม IPO เข้าตลาด Nasdaq
โดยมูลค่าหลัง IPO แล้ว ถูกประมาณการไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้นจนสูงถึง 313,000 ล้านบาท
เราลองมาดูงบการเงินของ Oatly ที่เปิดเผยในเอกสาร Filing กัน
ปี 2019 รายได้ 6,385 ล้านบาท ขาดทุน 1,127 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 13,177 ล้านบาท ขาดทุน 1,878 ล้านบาท
แม้จะยังขาดทุนอยู่ แต่รายได้ก็สามารถเติบโตได้เป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ซึ่งทางผู้บริหารมองว่า หากขยายตลาดได้มากขึ้น
บริษัทก็จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิต จนพลิกมามีกำไรได้
ซึ่งสิ่งที่ผู้บริหารคิด ก็ดูมีโอกาสเป็นไปได้สูง ทั้งโอกาสจากการเข้าไปทำตลาดในประเทศใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น
จากที่ในปัจจุบัน Oatly มีขายอยู่ใน 20 ประเทศทั่วโลก
รวมถึงโอกาสในตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ความนิยมในนมข้าวโอ๊ตยังคงเติบโตสูง
อย่างในปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกามียอดขายนมข้าวโอ๊ตทั้งหมด 6,678 ล้านบาท
คิดเป็นการเติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 3.5 เท่า ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในบรรดานมจากพืชทั้งหมด
ในขณะที่เจ้าตลาดเดิมอย่างนมอัลมอนด์และนมถั่วเหลืองที่ตกไปอยู่อันดับ 3 กลับไม่เติบโตเลย
และถ้าถามว่า Oatly มีโอกาสเติบโตไปกับกระแสนมข้าวโอ๊ตได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
คิดว่าคำตอบ คงดูได้จากความแข็งแกร่งของแบรนด์
เพราะชาวอเมริกันหรืออีกหลายประเทศต่อจากนี้
ได้รู้จักกับนมข้าวโอ๊ตเป็นครั้งแรกจาก Oatly
และ Oatly ได้กลายเป็นตัวแทนของนมข้าวโอ๊ตไปเรียบร้อย
จนกลายมาเป็นคำติดปาก ที่คล้ายกับคนไทยเรียกมาม่าแทนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไปแล้วนั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://finance.yahoo.com/news/oatly-reveals-growing-losses-revenue-205927307.html
-https://www.marketwatch.com/story/oatly-backed-by-oprah-and-blackstone-files-for-ipo-11618881002?mod=mw_latestnews
-https://www.cnbc.com/2021/02/23/plant-based-milk-company-oatly-confidentially-files-for-ipo.html
-https://www.fooddive.com/news/oatly-sold-4214m-worldwide-last-year/598696/
-https://www.fooddive.com/news/oat-milk-surges-to-second-most-popular-in-plant-based-dairy/586010/
-https://www.oatly.com/int/about-oatly
-https://www.crunchbase.com/organization/oatly
-https://www.sec.gov/Archives/edgar/data/1843586/000119312521121323/d123209df1.htm
facebook private story download 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
รู้จัก Texas Chicken คู่แข่งใหม่ของ KFC ประเทศไทย /โดย ลงทุนแมน
เมื่อ 3-4 ปีก่อน หากเราอยากจะกินไก่ทอด
แบรนด์แรกที่เรานึกถึงคงเป็น KFC
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หลายคนอาจจะเปลี่ยนใจไปหาคู่แข่งหน้าใหม่ที่เกิดขึ้นอย่าง Bonchon
แต่เรื่องของรสชาติ Bonchon ก็อาจจะไม่ได้จัดว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงของ KFC
อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของแบรนด์ Texas Chicken ก็น่าจะทำให้ KFC ต้องหันมามองว่าแบรนด์นี้คือใคร เจ้าของเป็นใคร
เพราะนอกจาก Texas Chicken จะขยายสาขาอย่างรวดเร็วแล้ว ยังมีดีลมากมาย ที่เราเห็นในแอปพลิเคชันดิลิเวอรีต่างๆ ที่มาแรงไม่แพ้เจ้าตลาดอย่าง KFC เลยทีเดียว
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า Texas Chicken นั้น ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศไทย
แต่มีความเกี่ยวข้องกับ ปตท.
เรื่องราวของ Texas Chicken เป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
หากพูดถึงผู้นำเชนไก่ทอดชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา
KFC มาจาก รัฐเคนทักกี
Popeyes มาจาก รัฐลุยเซียนา
และแน่นอน ว่าไก่ทอด Texas ก็คงหนีไม่พ้นมาจาก รัฐเท็กซัส..
แต่รู้หรือไม่ว่า ความจริงแล้วในสหรัฐอเมริกา ไก่ทอด Texas นั้นมีชื่อว่า Church’s Chicken
โดยตั้งชื่อตามเจ้าของร้านอย่างคุณ George W. Church Sr. นั่นเอง
ต่างกับเชนร้านอื่นๆ ที่ถูกบริหารโดยเจ้าของธุรกิจด้านอาหาร
แต่สำหรับ Church’s Chicken นั้น หลังจากถูกเปลี่ยนมือให้กับบริษัท AFC
Church’s Chicken ก็ถูกขายต่ออีกครั้งให้กับบริษัทที่ชื่อว่า Arcapita
เป็นบริษัท Venture Capital อิสลาม
เรื่องนี้เองทำให้ เมนูของ Church’s Chicken ต้องถูกเปลี่ยนเป็น “ฮาลาล” ที่คนมุสลิมทานได้ทั้งหมด ต่อจากนั้น Church’s Chicken ก็ถูกขายให้กับ บริษัท Private Equity Firm ที่ชื่อว่า Friedman Fleischer & Lowe
แต่ในสหรัฐอเมริกา การแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้ Church’s Chicken ต้องประสบปัญหายอดขายที่ลดลง
กลับมาที่ฝั่งเอเชียกันบ้าง
สำหรับประเทศนอกแถบอเมริกาเหนือ Church’s Chicken จะถูกเรียกอีกชื่อว่า Texas Chicken
ซึ่งในเอเชียเอง ยังมีการขอแฟรนไชส์แบรนด์นี้อยู่ไม่มาก
แต่ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่นำเข้ามาโดย กลุ่ม ปตท. ที่เราคุ้นเคยกันดี
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเห็น ร้านไก่ทอด Texas ตามปั๊ม ปตท. นั่นเอง
และเร็วๆ นี้ กลุ่ม ปตท. ก็กำลังจะนำบริษัทลูก OR เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งบริษัท OR นอกจากจะเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท. แล้ว ก็จะมีธุรกิจไก่ทอด Texas Chicken และร้านอื่นๆ อย่างเช่น ร้านกาแฟ Amazon อยู่ในนี้ด้วย
ตอนที่ Texas Chicken เข้ามาใหม่ๆ หลายคนอาจจะมองว่า คงไม่มีใครที่จะกล้ามาสู้ KFC ได้
แต่หลังจากที่ได้ลอง ก็มีหลายเสียงที่ให้การตอบรับที่ดีกับ Texas Chicken
ซึ่งสิ่งที่หลายคนเห็นตรงกันนั่นก็คือ รสชาติ และความคุ้มค่า
นอกจากนี้จุดเด่นที่สำคัญของ Texas Chicken ก็คือ บิสกิต ที่คู่แข่งอย่าง KFC ไม่มี
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ก็เริ่มทำให้คนที่ได้ลองชิม Texas Chicken เริ่มเห็นข้อแตกต่างที่ซ่อนอยู่
และสิ่งเหล่านี้ก็เริ่มกลายเป็นความเสี่ยงให้กับคู่แข่งอย่าง KFC อยู่ไม่น้อย
ในปี พ.ศ. 2562 ทาง ปตท. ได้ขยายสาขาของ Texas Chicken ไป 45 สาขา ทั่วประเทศ และแน่นอนว่า หลังจากการ IPO ของบริษัท OR เราอาจจะได้เห็นจำนวนสาขาเยอะกว่านี้
เรื่องนี้ก็น่าสนใจว่ากลุ่ม ปตท. มองเห็นอะไรใน Church’s Chicken
ทั้งๆ ที่ยังมีแบรนด์ไก่ทอดอื่นๆ ในโลกนี้ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
และถึงแม้ว่า Church’s Chicken ในต่างประเทศจะดูไม่รุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อน
แต่เรื่องของธุรกิจแฟรนไชส์นั้น คงไม่ได้ตัดสินแค่จากเจ้าของแฟรนไชส์เพียงอย่างเดียว
สิ่งสำคัญของความสำเร็จก็คือผู้ขอแฟรนไชส์ หรือ Franchisee ที่จริงจังกับธุรกิจในประเทศของตนเองมากแค่ไหน
ที่ผ่านมาก็มีหลายธุรกิจที่ไม่ประสบความสำเร็จในประเทศของตัวเอง
แต่มาประสบความสำเร็จในประเทศที่ขอแฟรนไชส์
ซึ่งปัจจัยหลักก็อยู่ที่การบริหารว่าจะทำอย่างไรให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าประเทศนั้นมากที่สุด
และถ้าถามว่า Texas Chicken จะตอบโจทย์ผู้บริโภคคนไทยได้หรือไม่
ก็คงต้องหันไปดูที่เชนร้านกาแฟ Amazon
ถ้าบริษัท OR ขยาย Amazon ให้ได้สาขาเท่านี้
สำหรับ Texas Chicken ก็คงต้องบอกคำเดียวว่า
KFC ประเทศไทย กำลังเจอคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดรายหนึ่ง ในรอบหลายสิบปี..
╔═══════════╗
อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-OR Filing
-https://en.wikipedia.org/wiki/Church%27s_Chicken
-https://www.churchs.com/our-story/
-https://www.facebook.com/TexasChickenThailand/