กรณีศึกษา ทำไมคนญี่ปุ่น ชอบถือเงินสด มากกว่าลงทุนในหุ้น /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1878 หรือเมื่อ 143 ปีที่แล้ว และมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากกว่า 2,000 บริษัท ในปัจจุบัน
และรู้หรือไม่ว่า ต้นปี 2021 มูลค่าของตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นสูงกว่า 190 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
หลายคนอาจคิดว่า คนญี่ปุ่นคงชอบลงทุนในหุ้น มากกว่าสินทรัพย์อื่น
แต่ความจริงแล้ว กลับไม่เป็นเช่นนั้น..
แล้วคนญี่ปุ่นเมื่อมีเงินแล้ว พวกเขาเอาไปเก็บไว้ที่ไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เราลองมาเทียบกันดูก่อนว่า ส่วนใหญ่แล้วคนญี่ปุ่นชอบถือครองสินทรัพย์อะไร และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
ข้อมูลจากธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุว่า ในปี 2018 ครัวเรือนญี่ปุ่น ถือครองสินทรัพย์มูลค่ารวมกันกว่า 558 ล้านล้านบาท
โดยจำนวนนี้ ถ้าแบ่งตามสัดส่วนจะเป็น
- เงินสดและบัญชีเงินฝาก 52%
- ประกันและบำนาญ 28%
- หุ้นและกองทุนรวม 15%
- อื่น ๆ 5%
ที่น่าสนใจคือ เมื่อเทียบกับคนยุโรปและคนอเมริกัน ที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม ต่อมูลค่าสินทรัพย์ถือครอง เท่ากับ 28% และ 31% ตามลำดับ
จึงแสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นไม่ค่อยสนใจการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวมมากนัก และยังชอบถือครองเงินสด ด้วยการฝากเงินไว้ในธนาคารจำนวนมากอีกด้วย
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในญี่ปุ่นนั้น อยู่ในระดับที่ต่ำมาต่อเนื่องหลายปี แม้กระทั่งในปัจจุบันก็อยู่ที่ประมาณ 0%
คำถามสำคัญก็คือ ทำไมคนญี่ปุ่น ยังเลือกที่จะฝากเงินกับธนาคารจำนวนมาก แทนที่จะนำเงินไปลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ?
เหตุผลที่อธิบายเรื่องนี้ สามารถสรุปออกมาได้ 3 ประเด็น คือ
1. ประสบการณ์ที่เลวร้ายจากเหตุการณ์ฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น
หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 ญี่ปุ่นก็เริ่มเข้าสู่ระยะของการฟื้นฟูประเทศ ช่วงหลังจากนั้นเป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็เติบโตแบบก้าวกระโดด
ในช่วงปี 1961-1971 เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยกว่า 9% ต่อปี และเติบโตมาอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา จนถึงในช่วงทศวรรษ 1980
ในตอนนั้น ผลกำไรของบริษัทในญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท และธนาคารหลายแห่งมีการปล่อยกู้ให้แก่บริษัทจำนวนมาก
การเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ทั้งบริษัทและผู้คนในญี่ปุ่นต่างร่ำรวย จนเกิดการเข้าไปเก็งกำไรราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์
ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ดัชนี Nikkei ที่สะท้อนตลาดหุ้นญี่ปุ่น พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง จนเกือบแตะ 40,000 จุด ในปี 1989 จากระดับประมาณ 8,000 จุดในปี 1982
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.5% ในปี 1989 มาอยู่ที่ 6% ในปี 1990 เพื่อเพิ่มต้นทุนการกู้ยืม ไม่ให้เกิดการกู้ไปเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่าง ๆ
จนสุดท้าย เมื่อแรงเก็งกำไรเริ่มอ่อนลง ก็ถึงคราวฟองสบู่ลูกใหญ่ระเบิดออก
ราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ และราคาอสังหาริมทรัพย์ ก็เริ่มปรับตัวลดลง และลดลงเรื่อย ๆ จนหลายคนเจ็บตัวอย่างหนักจากการลงทุน
วิกฤติฟองสบู่ครั้งใหญ่ในครั้งนั้น ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังจากนั้นมาหลายสิบปีแทบจะหยุดอยู่กับที่ และเป็นแบบนี้มาแล้วราว 3 ทศวรรษ
ซึ่งนี่เองเป็นหนึ่งเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมาก รู้สึกขยาดกับการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้น รวมทั้งยังปลูกฝังความคิดนี้มายังรุ่นลูกรุ่นหลานต่อ ๆ มา จนถึงตอนนี้
2. ภาวะเงินเฟ้อฝืด
ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ส่งผลโดยตรงต่อภาคครัวเรือน
รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของคนญี่ปุ่นนั้นลดลง จากการที่หลายคนต้องตกงาน ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลโดยตรงต่อการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
ข้อมูลจาก Statista ระบุว่า ในช่วงปี 1990-2020
ญี่ปุ่นประสบกับภาวะเงินฝืด (เงินเฟ้อติดลบ) ทั้งหมด 14 ปี
ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะเงินฝืด นั่นหมายความว่า ราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มที่จะลดลง
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ชาวญี่ปุ่นจึงเกิดแรงจูงใจในการถือเงินสด มากกว่าที่จะนำเงินออกไปใช้จ่าย หรือชะลอการใช้จ่ายออกไปก่อน เพราะพวกเขาเชื่อว่า ในอนาคตเงินจำนวนเท่าเดิมนั้นจะสามารถซื้อสินค้าและบริการได้มากกว่าในปัจจุบัน และนำเอาเงินไปฝากกับธนาคารไว้ก่อนนั่นเอง
3. ความรู้ ความเข้าใจด้านการเงิน ของคนญี่ปุ่น
หลายคนคงแปลกใจถ้าบอกว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น มีคนจำนวนไม่น้อยที่ขาดความรู้ด้านการเงิน
ซึ่งเรื่องนี้ มีผลการสำรวจของธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุว่า ประชาชนชาวญี่ปุ่นนั้นมีความรู้ด้านการเงินน้อยกว่าประชาชนในประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนี
การขาดความรู้ความเข้าใจทางด้านการเงิน ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมาก กลัวการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง และชอบในการเก็บเงินออมด้วยการฝากธนาคารที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
นอกจากนี้ โรงเรียนในญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องการลงทุนเท่าที่ควร โดยศาสตราจารย์ Nobuyoshi Yamori ที่สอนสาขาวิชาเศรษฐกิจและธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยโกเบ ระบุว่า
“โรงเรียนส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น ใช้เวลาสอนเรื่องการเงินการลงทุนให้นักเรียนน้อยมาก ขณะที่ครูที่มาสอนวิชาดังกล่าวก็ไม่ได้รับการฝึกอบรม หรือมีความรู้ ความเข้าใจ ในด้านการเงินการลงทุนที่ดีมากนัก”
จึงทำให้เด็กญี่ปุ่นจำนวนมากขาดความรู้ด้านการเงิน ซึ่งส่งผลให้เมื่อทำงานมีรายได้แล้ว พวกเขาเลือกที่จะฝากเงินกับธนาคาร มากกว่านำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ โดยเฉพาะหุ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะเข้าใจว่าทำไมที่ผ่านมา คนญี่ปุ่นจำนวนมากตัดสินใจถือเงินสด หรือฝากเงินไว้กับธนาคารอย่างมากและไม่ค่อยชอบการลงทุนในหุ้นมากนัก ทั้ง ๆ ที่ญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่มีตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่าปัจจุบัน เงินเยนของญี่ปุ่น เป็นสกุลเงินที่ถูกใช้ซื้อขายบิตคอยน์มากที่สุดอันดับที่ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่เงินดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเราอาจบอกได้ว่า แม้คนญี่ปุ่นจำนวนมาก จะไม่ชอบสินทรัพย์เสี่ยงสูง และนิยมฝากเงินไว้ในธนาคาร
แต่ในทางกลับกันก็มีคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ที่หันมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง อย่างบิตคอยน์
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.stat.go.jp/english/data/handbook/pdf/2020all.pdf
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=JP
-https://en.wikipedia.org/wiki/Tokyo_Stock_Exchange
-https://www.statista.com/statistics/710680/global-stock-markets-by-country/
-https://tradingeconomics.com/japan/deposit-interest-rate
-https://en.wikipedia.org/wiki/Demographics_of_Japan
-https://data.worldbank.org/country/JP
-https://en.wikipedia.org/wiki/Lost_Decades
-https://www.statista.com/statistics/270095/inflation-rate-in-japan/
-https://www.fsa.go.jp/frtc/kenkyu/event/20150305/s3_2.pdf
-https://www.investopedia.com/tech/top-fiat-currencies-used-trade-bitcoin/
-https://globalriskinsights.com/2021/06/japans-cryptocurrency-market-set-to-bloom-or-wither/
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過5萬的網紅Human & Tech by May,也在其Youtube影片中提到,** แก้ไขและเพิ่มเติมนะคะ ** ขอบคุณมากนะคะที่ทักมา คำว่าเงินเฟ้อ แปลว่าของแพงค่ะ (แปลว่าราคาของสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง) โดยมีสาเหตุคือ - ปัจจัย...
inflation คือ 在 Facebook 的精選貼文
Warren Buffett says these businesses do the best during periods of high inflation
ปู่ Warren Buffett ชี้! ธุรกิจไหนสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้!!
By Nicolas Vega
จากรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ไปจนถึงของชำ อัตราเงินเฟ้อทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น ดัชนีราคาผู้บริโภค(เงินเฟ้อ) เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเดือนที่แล้ว จากเมื่อเดือนกรกฎาคม 2020 ตรงกับ จุดสูงสุดตั้งแต่ปี 2008
แม้ว่า นักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินบางคน กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่อัตราเงินเฟ้อแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยง
แต่เมื่อเป็นเรื่องของการลงทุน Warren Buffett ซีอีโอของ Berkshire Hathaway กล่าวว่า มีบางธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าธุรกิจอื่นๆ
ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2015 ของ Berkshire Hathaway บัฟเฟตต์ถูกถามถึงการถือครองหุ้นของบริษัทใดที่พร้อมจะเติบโตได้ดีที่สุดในช่วงที่เงินเฟ้อสูง
คำตอบของบัฟเฟตต์: ธุรกิจที่ดีที่สุดที่ควรเป็นเจ้าของ คือ ธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนซ้ำอย่างต่อเนื่อง เพราะมันมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมูลค่าของเงินดอลลาร์ลดลง
“ธุรกิจที่ดีที่สุดในช่วงเงินเฟ้อ คือ ธุรกิจที่คุณซื้อเพียงครั้งเดียว จากนั้นคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อไป” บัฟเฟตต์กล่าวเสริมว่า “ธุรกิจใดก็ตาม ที่มีการลงทุนจำนวนมากมักจะเป็นธุรกิจที่ไม่ดี อัตราเงินเฟ้อและมักจะเป็นธุรกิจที่ไม่ดีโดยทั่วไป”
ธุรกิจอย่างสาธารณูปโภคหรือทางรถไฟ “กินเงินมากขึ้นเรื่อยๆ” และไม่ได้กำไร เขาชอบที่จะเป็นเจ้าของบริษัทที่ผู้คนมีความเกี่ยวข้อง
แต่ “แบรนด์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ควรเป็นเจ้าของในช่วงเงินเฟ้อ” บัฟเฟตต์กล่าว สำหรับเขา ซึ่งรวมถึงแบรนด์อย่าง See’s Candy โดยเขาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี 1972
แน่นอน นักลงทุนรายวันส่วนใหญ่ ไม่สามารถซื้อธุรกิจทั้งหมดได้ แต่พวกเขาสามารถซื้อหุ้นในบริษัทที่พวกเขาชอบได้ การเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของ “ธุรกิจที่ยอดเยี่ยม” นั้นมีประโยชน์ เพราะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมูลค่าของเงินดอลลาร์ ผลิตภัณฑ์ของธุรกิจจะยังคงเป็นที่ต้องการ
บัฟเฟตต์ยังกล่าวอีกว่า การเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลาที่เงินเฟ้อนั้นสะดวกเป็นพิเศษ เนื่องจากการซื้อเป็น “ค่าใช้จ่ายครั้งเดียว” สำหรับนักลงทุน และมีประโยชน์เพิ่มเติมในการขายต่อ
“ถ้าคุณมีบางสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น มันมักจะถูกตั้งราคาในแง่ของมูลค่าทดแทนเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น คุณจะได้รับผลตอบแทนจากเงินเฟ้อ” บัฟเฟตต์ กล่าว
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ ไม่ใช่การเลือกหุ้นตัวเดียวที่พวกเขาเชื่อว่าจะทำผลงานได้ดี แต่ควรลงทุนในกองทุน index ต้นทุนต่ำแทน ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่ามาก
สำหรับผู้ที่มองหาการออมเพื่อการเกษียณ กองทุนดัชนีที่หลากหลายนั้น “สมเหตุสมผลที่สุด” บัฟเฟตต์ กล่าว
สำหรับนักลงทุนที่ สนใจ ข้อมูลการลงทุนเชิงลึก
จากบทวิเคราะห์ระดับโลก รวมหลักแสนต่อปี
สามารถ สมัครเข้าดูได้ที่ห้องเรียนวงในครับ
สนใจ คอมเม้นใต้บทความได้เลย
--------------------------------
แอดปลา
inflation คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
ทำไม ตลาดรถมือสอง ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ในสหรัฐอเมริกา /โดย ลงทุนแมน
อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา เป็นข้อมูลสำคัญทางเศรษฐกิจ ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง
เพราะเป็นข้อมูลสำคัญตัวหนึ่ง ที่ช่วยให้ประเมินได้ว่า
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินโลก มีแนวโน้มจะปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยได้เร็วมากน้อยแค่ไหน
และรู้ไหมว่าตอนนี้ หนึ่งปัจจัยที่กำลังส่งผลให้เงินเฟ้อขึ้นในสหรัฐอเมริกา คือ “ตลาดรถมือสอง”
ทำไม ตลาดรถมือสอง ถึงกำลังทำให้เงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ซึ่งหลายครั้งพอพูดถึงการที่ราคาสินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้น หลายคนคงรู้สึกว่า ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
แต่จริง ๆ แล้วทฤษฎีเศรษฐศาสตร์บอกเอาไว้ว่า
“เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ และอ่อน ๆ เช่น ประมาณ 2% ต่อปี ถือว่าส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว”
ที่เป็นแบบนี้ก็เนื่องจาก ราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จะช่วยสร้างแรงจูงใจต่อผู้ผลิต ให้ลงทุนผลิตสินค้ามาขายมากขึ้น เกิดการจ้างงานมากขึ้น ซึ่งก็ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
อย่างไรก็ตาม หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นรุนแรงและรวดเร็วเกินไป ก็จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจได้เหมือนกัน เช่น
- อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) จะน้อยลงกว่าที่คาดไว้มาก เพราะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงนั้น คำนวณจาก อัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ (Nominal Interest Rate) หักด้วย อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate)
ดังนั้น ถ้าอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงมาก จนทำให้อัตราผลตอบแทนสุทธิติดลบ อาจทำให้ประชาชนนำเงินไปเก็งกำไรในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอื่น ๆ เพื่อหาผลตอบแทนที่ชนะอัตราเงินเฟ้อ จนอาจนำไปสู่ฟองสบู่สินทรัพย์อื่นตามมาได้
- ต้นทุนราคาสินค้าแพงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าต่าง ๆ สูงขึ้นตามไปด้วย จนอาจทำให้เจ้าของธุรกิจบางรายที่มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ตัดสินใจชะลอการผลิตไปก่อน และลดการจ้างงานลง
- อำนาจซื้อของผู้บริโภคลดลง เงินจำนวนเท่าเดิม ซื้อสินค้าได้จำนวนน้อยลง
ทีนี้เรามาดูการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา ในช่วง 3 เดือนล่าสุด เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
เมษายน ปี 2021 อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 4.2%
พฤษภาคม ปี 2021 อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 5.0%
มิถุนายน ปี 2021 อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 5.4%
อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนนั้น
นับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 ทั้งยังสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดไว้
ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่ออกมาแบบนี้
ทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลว่า Fed อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อชะลอความร้อนแรงของเงินเฟ้อเร็วกว่าที่คาดกันไว้
ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลด้านลบต่อหลายธุรกิจในตลาดหุ้น และกระทบต่อหลายคน หลายบริษัท ที่ยังไม่ค่อยฟื้นตัวและยังต้องพึ่งการกู้ยืมเงินมาพยุงตัวเอง
ที่น่าสนใจในตอนนี้ก็คือ หนึ่งในสินค้าที่มีความต้องการสูงขึ้นในสหรัฐอเมริกา จนสร้างความประหลาดใจให้นักลงทุนทั่วไปก็คือ “รถยนต์มือสอง”
โดย United States Department of Labor รายงานว่า
อัตราเงินเฟ้อของเดือนมิถุนายนที่ 5.4% นั้น น้ำหนักกว่า 1 ใน 3 ของการปรับขึ้น เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคารถยนต์มือสองและรถบรรทุกในสหรัฐอเมริกา
เฉพาะเดือนมิถุนายน ปี 2021 ราคาเฉลี่ยของรถยนต์มือสองเพิ่มขึ้นกว่า 10.5% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งตัวเลขนี้นับเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 1953 หรือเมื่อ 68 ปีที่แล้ว
คำถามคือ แล้วทำไมความต้องการ รถยนต์มือสองในสหรัฐอเมริกาจึงเพิ่มสูงขึ้น ?
ประการที่ 1: ด้าน Demand หรือความต้องการซื้อรถยนต์มือสองที่เพิ่มขึ้นมาก
การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมาก หลีกเลี่ยงการใช้บริการขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถไฟฟ้า เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัส
และเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาฟื้นตัว มีการเปิดเมืองมากขึ้น ชาวอเมริกันที่เริ่มกลับไปทำงานที่ออฟฟิศและยังมีกำลังซื้อ ก็หันมาสนใจรถยนต์มือสองเอาไว้ใช้เดินทางไปทำงาน
ประการที่ 2: ด้าน Supply หรือทางฝ่ายผู้ผลิต กำลังเจอปัญหาหลายอย่าง
ปัญหาที่บริษัทผลิตรถยนต์หลายแห่งเจอคือ หลายโรงงานผลิตก่อนหน้านี้อยู่ในพื้นที่ล็อกดาวน์ ทำให้ต้องปิดโรงงานชั่วคราว ส่งผลให้กำลังการผลิตลดลง
และอีกประเด็นสำคัญระดับโลกคือ การขาดแคลนชิปประมวลผล ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของรถยนต์ ทำให้บริษัทผลิตรถยนต์หลายแห่ง ไม่สามารถผลิตรถยนต์ได้ตามแผน
เรื่องเหล่านี้ ทำให้ชาวอเมริกันหลายคน หันไปหารถยนต์มือสองที่ราคาถูกกว่าแทน
และเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น ก็ทำให้ราคารถยนต์มือสองเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
ถึงแม้ว่า Fed จะออกมาบอกว่า ภาวะเงินเฟ้อสูงในช่วงนี้จะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว
ซึ่งเกิดจากการที่เศรษฐกิจนั้นฟื้นตัวได้ดี ราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้น ความต้องการสินค้าและบริการหลายอย่างพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตและจัดหาได้ทัน
แต่ก็ต้องยอมรับว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป ความต้องการรถยนต์มือสองในสหรัฐอเมริกา ดูจะกำลังกลายเป็นข้อมูลสำคัญ ที่นักลงทุนหลายคนจับตามองมากขึ้น
เพราะถ้าบริษัทรถยนต์หลายแห่งยังเจอปัญหา โดยเฉพาะเรื่องขาดแคลนชิปอยู่แบบนี้
ราคารถยนต์รุ่นใหม่ ก็ต้องปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน
เมื่อบวกกับ ความต้องการของรถยนต์มือสองที่กำลังเพิ่มขึ้นด้วย ราคารถยนต์มือสองที่เพิ่มสูงตามความต้องการ ก็ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา เพิ่มสูงขึ้นไปอีก
และท้ายที่สุดแล้ว Fed ก็ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นกว่าที่หลายคนคิด ซึ่งก็จะทำให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลก มีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่มขึ้นเร็ว ตามไปด้วย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://tradingeconomics.com/united-states/inflation-cpi
-https://www.usatoday.com/story/money/cars/2021/03/26/used-car-prices-chip-shortages-semiconductors/6970252002/
-https://mobilityforesights.com/product/used-car-market-in-us/
-https://www.reuters.com/business/finance/us-consumer-prices-surge-june-2021-07-13/
-https://edition.cnn.com/2021/07/08/business/car-prices-inflation/index.html
-https://www.cbsnews.com/news/us-inflation-rate-rising-car-prices-cpi/
inflation คือ 在 Human & Tech by May Youtube 的最讚貼文
** แก้ไขและเพิ่มเติมนะคะ **
ขอบคุณมากนะคะที่ทักมา
คำว่าเงินเฟ้อ แปลว่าของแพงค่ะ (แปลว่าราคาของสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง)
โดยมีสาเหตุคือ
- ปัจจัยขึ้นราคา เช่น น้ำมัน ค่าแรง
- ความต้องการสินค้ามากขึ้น หรือ ผลิตน้อยลง คือ คนต้องการมากกว่าคนขาย
- ปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ของแพงขึ้น เช่น ภาษี หรือบริษัทต้องการกำไร
การพิมพ์เงินไม่ได้มีนิยามโดยตรงอะไรเกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อที่แปลว่าราคาของแพงขึ้นเรื่อยๆค่ะ
แต่การพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบ ทำให้เกิดเงินเฟ้อทุกครั้งไปค่ะ เป็นผลทางอ้อมนะคะ
ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยทักและเตือนกันนะคะ
-----------------------
เคยอ่านข่าวเศรษฐศาสตร์แล้วเหมือนจะเข้าใจแต่จริงๆแล้วงง ไม่รู้เรื่องบ้างไหมคะ ขึ้นดอกเบี้ย ลดดอกเบี้ยทำไมจะตื่นเต้นกันนักหนา แล้วอยู่ๆบาทแข็งขึ้นมานี่ใครทำ ??
เมย์ต้องขอบคุณเพื่อนๆที่ส่งคำถามเข้ามาพูดคุยกันอยู่เสมอทั้งในไลน์และเฟสบุ๊คเลยนะคะ เลยทำให้เข้าใจว่า อ๋อ ยังไม่มีใครทำคลิปที่อธิบายศัพท์พวกนี้มากเท่าไหร่เลยแฮะ
เมย์พยายามจะใช้คำที่บ้านๆ เพื่อให้เข้าใจและ"เก็ตฟีลลิ่ง" ของคำได้มากขึ้นนะคะ
------------------------------------------
มาดูวิดีโอกันที่ https://goo.gl/EZvcyV
มาคุยกันต่อที่เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/HumanAndTechByMay/
และ กรุ๊ป https://www.facebook.com/groups/319013512295700/
Add LINE เพื่อรับสาระความรู้ฟรี ที่ช่อง Human and Tech
https://line.me/R/ti/p/%40fgk4074r
