#เล่าจีน ตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์ผู้ลงมาปัดเป่าทุกข์โศกขจัดโรคระบาดลนโลกมนุษย์ ต้นกำเนิดการบูชาเทพเจ้ากระต่ายในวันไหว้พระจันทร์
.
เมื่อถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับเทศกาลนี้ คือ "ตำนานเทพเจ้ากระต่าย" ซึ่งทำให้อ้ายจงนึกถึงเมื่อช่วงปี 2018 หรือ 3 ปีก่อน ได้รับเชิญไปทำกิจกรรมของสื่อหลักของจีน CRI (ในเครือ China Media Group) โดยได้ไปเยี่ยมชม Beijing Yuetan Inheritance Club ที่จัดแสดงผลงานทางศิลปะวัฒนธรรมของจีน
.
ครั้งนั้นอ้ายจงได้ฟังบรรยาย "ตุ๊กตาเทพเจ้ากระต่ายปักกิ่ง" ตุ๊กตาและของเด็กเล่นคู่บ้านคู่เมืองปักกิ่งมาตั้งแต่อดีต อ้ายจงได้ระบายสีตุ๊กตาเทพเจ้ากระต่ายด้วย แต่ก็อย่างในรูปครับ ผลงานนี่เด็กอยุบาลเห็นแล้วยิ้มเลย เฮ้ยยย เพื่อนกันนี่นา (ฝีมือเด็กน้อยมากๆ) มีลงข่าวในสื่อจีนด้วยนะครับ ดีนะ ไม่มีรูปผลงานเต็มๆของอ้ายจงไปลง ไม่งั้นต้องขอปี๊บหนึ่งใบ ><
กล่าวถึงตุ๊กตาเทพเจ้ากระต่าย หลายคนคงจะสงสัยว่า "ทำไมถึงต้องเป็นเทพเจ้ากระต่าย?" เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร มามา อ้ายจงจะเหลา เอ้ย เล่าให้กระจ่าง
.
มีเรื่องเล่ากันว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งในอดีตนานแสนนาน ที่เมืองปักกิ่งเกิดโรคระบาดอย่างหนัก เมื่อเทพธิดาฉางเอ๋อบนดวงจันทร์มองลงมา ก็เกิดความสงสารเป็นอย่างมาก จึงส่งกระต่ายหยกที่อยู่ข้างกายตนลงมารักษาชาวบ้าน โดยกระต่ายหยกแปลงกายเป็นหญิงสาวที่มารักษาชาวบ้านจนหายจากโรคจนหมดทุกคน (บางครั้งก็เห็นเป็นชายบ้าง หญิงบ้าง) ชาวบ้านจึงตอบแทนด้วยสิ่งของต่างๆ
.
แต่กระต่ายหยกที่แปลงกายเป็นคน ก็ปฏิเสธไปและขอเพียงชุดเสื้อผ้าเพื่อเอาไว้สวมใส่เท่านั้น ทำให้ชาวบ้านเห็นกระต่ายหยกในร่างคนที่แตกต่างไป
.
เมื่อแก้ไขโรคระบาดเสร็จแล้ว กระต่ายหยกตัวนั้นก็ลอยกลับสู่ดวงจันทร์ ท่ามกลางความซาบซึ้งใจของชาวบ้าน ทุกคนจึงพากันยกย่องให้เป็นเทพเจ้า และปั้นตุ๊กตาเทพเจ้ากระต่ายเพื่อบูชาและระลึกถึง โดยคนจีนเรียกเทพเจ้ากระต่ายว่า 兔儿爷
.
มีหลักฐานที่ชี้ถึงตำนานนี้ว่า ชาวจีนเริ่มปั้นตุ๊กตาเทพเจ้ากระต่ายและนำของมาบูชาพระจันทร์ตั้งแต่ราวราชวงศ์หมิง ซึ่งเมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 วันไหว้พระจันทร์ ชาวบ้านจะนำของมากราบไหว้บูชา พร้อมปั้นตุ๊กตาเทพเจ้ากระต่าย ที่อยู่ในชุดแต่งกายและขี่สัตว์ต่างๆ แต่ที่เห็นบ่อยสุดคือ ขี่เสือ
#อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน #เทพเจ้ากระต่าย #兔儿爷 #ไหว้พระจันทร์ #中秋节
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
inheritance คือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
กฎหมายของชาวโรมัน : รากฐานระบบกฎหมายซิวิลลอว์
หมายเหตุ เรื่องนี้เคยลงเผยแพร่มาแล้ว ครั้งหนึ่ง ในปี 2558
กฎหมายของชาวโรมัน (Roman Law) ที่มีอิทธิพลต่อกฎหมายปัจจุบันและมักนำมากล่าวกันอยู่สมอได้แก่ กฎหมายสิบสองโต๊ะ (The Twelve Tables) และประมวลกฎหมายจัสเตียน (The Justinian Code)
1.1 กฎหมายสิบสองโต๊ะ
กฎหมายสิบสองโต๊ะ อาณาจักรโรมัน ได้ถูกก่อตั้งขึ้น เมื่อปี 753 ก่อนคริสต์ศักราช และได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญทางอารยธรรมของทวีปยุโรปในระยะต่อมาในส่วนที่เกี่ยวกับความเจริญทางด้านกฎหมายนั้น ก็ได้มีวิวัฒนาการอย่างกว้างขวางและสอดคล้องกับรูปการปกครองของอาณาจักรโรมันในขณะนั้น เช่นบทบัญญัติแห่งกฎมายที่ตราขึ้นโดย Comitia Centuriata เรียกว่า “lex” ส่วนกฎหมายที่บัญญัติโดย Concilium Plebis เรียกว่า “Plebiscitum” แต่ในบางกรณีการใช้ถ้อยคำอาจเปลี่ยนไป เช่นเรียกว่า “lege” เป็นต้น
บทบัญญัติของกฎหมายในรูปต่างๆ ดังกล่าวแล้ว มีความสำคัญต่อวิวัฒนาการของกฎหมายโรมันในยุคแรกพอสมควร แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งมีความสำคัญและรู้จักกันอย่างกว้างขวางได้แก่กฎหมายสิบสองโต๊ะ เพราะได้จัดทำขึ้นโดยการรวบรวมกฎหมายที่ใช้อยู่ให้รวมเข้าเป็นหมวดหมู่ในรูปของประมวลตั้งแต่ปี450 ก่อนคริสต์ศักราชและกล่าวไว้ว่ากฎหมายสิบสองโต๊ะนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายโรมันที่แท้จริงและทำให้กฎหมายลายลักษณ์อักษรเริ่มมีคุณค่าเหนือกว่าจารีตประเพณีซึ่งยังคงมีความสำคัญอยู่มากในสมัยก่อน เหตุที่มีการจัดทำกฎหมายสิบสองโต๊ะขึ้น เนื่องมาจากสมัยนั้นการบัญญัติกฎหมายและการใช้กฎหมายตกอยู่ในมือของพวกคนชั้นสูง ที่เรียกว่าพวก Patricians แต่เนื่องด้วยพวกชนชั้นสูงนี้เป็นเพียงชนกลุ่มน้อย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้อยู่ก่อนหน้านั้นเป็นที่รับรู้กันในหมู่ชนกลุ่มน้อยเท่านั้น แต่ชนชั้นกลางหรือพวก Plebeians ซึ่งเป้นชนกลุ่มใหญ่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงบทบัญญัติปห่งกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นเลย ดังนั้นพวก Plebeians จึงขอร้องให้มีการจัดทำกฎหมายขึ้นใหม่ที่มีลักษณะแน่นอน มีหลักฐานเพื่อสามารถเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปรับรู้และปฏิบัติตาม
ดังนั้นในปี 452 ก่อนคริสต์ศักราช จึงมีการส่งผู้แทน 3คน ไปยังประเทศกรีซ เพื่อศึกษากฎหมายของ Solon ที่เรียกว่า “Solon’s Code of Laws ซึ่งมีชื่อเสียงมากในขณะนั้นเพื่อเป็นแบบอย่างในการจัดทำกฎหมายโรมัน ภายหลังที่คณะผู้แทนคณะนี้ได้เดินทางกลับถึงกรุงโรม ได้มีการแต่งตั้งบุคคลคณะหนึ่งจำนวนสิบคน ซึ่งประกอบด้วยพวก Patricians เป็นผู้จัดทำกฎหมายขึ้น โดยการจารึกไว้บนบรอนซ์จำนวน 10 โต๊ะ
ในปี 451 ก่อนคริสต์ศักราช และได้รับการรับรองโดยสภา Senate และ Comitia Centuriata ในระยะต่อมา
ในปี 450 ก่อนคริสต์ศักราช ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอีกคณะหนึ่ง จำนวน 3 คน ซึ่งเลือกจากพวก Plebeians ให้ทำหน้าที่จัดทำกฎหมายเพิ่มเติมอีก 2 โต๊ะ เมื่อรวมกับที่ได้จัดทำไว้แล้ว 10 โต๊ะ จึงมีจำนวนทั้งสิ้น 12 โต๊ะ และรู้จักกันอย่างแพร่หลายในนามของกฎหมายสิบสองโต๊ะ (The Twelve Tables หรือ Lex Xll Tabularum)
เป็นที่น่าเสียดายที่กฎหมายทั้งสิบสองโต๊ะได้ถูกทำลายในปี 390 ก่อนคริสต์ศักราช อันเนื่องมาจากชาวโรมถูกชาวโกล( Gauls) รุกราน และโรมเองถูกเผาโดยผู้รุกรานนี้ ทำให้กฎหมายสิบสองโต๊ะถูกเผาทำลายไปด้วย และม่เป็นที่เชื่อได้อย่างแน่นอนว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายสิบสองโต๊ะที่ศึกษาอยู่ในภายหลังจะถูกต้องหรือไม่
เมื่อพิจารณาถึงสาระสำคัญของกฎหมายสิบสองโต๊ะปรากฏตามหลักฐานที่ได้บัญญัติขึ้นจะพบว่ามีสาระสำคัญดังนี้
โต๊ะที่ 1,2และ 3 ได้แก่ วิธีพิจารณาความแพ่งและการบังคับคดี (Civil Procedure and Excution)
โต๊ะที่ 4 ได้แก่ อำนาจอิสระของบิดา (Patria Potestas)
โต๊ะที่ 5,6,7 ได้แก่ อำนาจปกครอง มรดก ทรัพย์สิน (Guardianship,Inheritance and Property)
โต๊ะที่ 8 ได้แก่ การลงโทษทางอาญา (Crimes)
โต๊ะที่ 9 ได้แก่ กฎหมายมหาชน (Public Law)
โต๊ะที่ 10 ได้แก่ กฎหมายศักดิ์ (Sacred Law)
โต๊ะที่ 11,12 ได้แก่ กฎหมายเพิ่มเติม (Suplementary Laws)
1.2 ประมวลกฎหมายจัสติเนียน
หลังจากได้มีการจัดทำกฎหมายสิบสองโต๊ะ ของชาวโรมันก่อน 753 ปี คริสต์ศักราช และได้ถูกพวกชาวโกลได้เผาทำลายไปในยุคต่อมาได้ทำมีการจัดทำกฎหมายขึ้นอีกหลายฉบับ เช่น Edictum โย Savius Julianus ในปี ค.ศ. 130 Codex Gregorianus โดย Gregorianus ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 3 Codex Theodosianus โดย Emperor ในปี ค.ศ. 435 กฎหมายฉบับนี้มี 16 บรรพ มีทั้งเรื่อง กฎหมายเอกชน (Private Law) กฎหมายมหาชน (Public Law) กฎหมายอาญา (Criminal Law) กฎหมายเทศบาล (Municipal) กฎหมายทหาร (Military) และกฎหมายศาสนา (Ecclesiastical Law) แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่มีความสำคัญและเป็นแบบอย่างแก่กฎหมายของภาคพื้นยุโรปใน คริสต์ศตวรรษที่ 12-13 คือ ประมวลกฎหมายจัสติเนียน (The Justinian Code) จัดทำโดย Emperor Justinian ในประมาณปี ค.ศ. 528-529 และมีชื่อเรียกในภายหลังว่า “Copus Juris Civilis” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายแม้กระทั่งในปัจจุบัน เพราะการจัดทำและรวบรวมกฎหมายขึ้นในรูป Code ของจัสติเนียน จึงทำให้กฎหมายโรมันมีความแน่นอนและมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้สามารถยึดถือเป็นแบบอย่าง รวมทั้งนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวางและทำให้กฎหมายที่ใช้อยู่ดั้งเดิมในยุคเก่าหมดสิ้นความหมายลงไปด้วย
ความเป็นมาของ“Copus Juris Civilis” ในปี คศ.528 จัสติเนียนได้มีความประสงค์ให้คนในอาณาจักรโรมัน พูดภาษาเดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกันและใช้กฎหมายเดียวกัน จึงได้แต่งตั้งกรรมการคณะหนึ่งจำนวน 10 คน นำโดย Tribonian ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นเป็นประธานให้มีหน้าที่รวบรวมและจัดทำกฎหมายขึ้นใหม่ จนในที่สุดสามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ในปี ค.ศ. 529 .ในปี ค.ศ. 530 จัสติเนียนได้มอบให้ Tribonian จัดทำกฎหมายขึ้นใหม่อีกครั้งให้มีลักษณะกว้างขวางสามารถใช้บังคับทั่วๆไป มีคณะกรรมการจำนวน 16 คน คณะกรรมการชุดนี้ใช้เวลา 3 ปี ได้จัดทำกฎหมายขึ้น 2,000 บรรพ (book) ขนาด -3,000,000 บรรทัด แต่ในที่สุดถูกตัดทอนลงเหลือ 150,000 บรรทัดและได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายในปี ค.ศ. 533
วิเคราะห์อิทธิพลของกฎหมายโรมันในยุโรปและประเทศอื่นๆทั่วโลก
เมื่อพิจารณาศึกษาถึงบรรดาประเทศต่างๆ ในยุโรปจะมีกฎหมายของตนเองใช้อยู่แล้วก็ตาม แต่กฎหมายของประเทศเหล่านั้นก็ไม่ใช่เป็นกฎหมายประจำชาติที่สามารถนำไปใช้บังคับได้ทั้งประเทศ กล่าวคือ ยังคงเป็นกฎหมายจารีตประเพณีหรือกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ใช้บังคับได้เฉพาะถิ่นนั้นๆ เท่านั้น ดังนั้นกฎหมายโรมันจึงเป็นประโยชน์แก่ประเทศต่างๆเหลานี้มาก เพื่อนำไปอุดช่องโหว่ หรือขจัดข้อขัดแย้งระหว่างกฎหมายท้องถิ่นต่างๆ รวมทั้งนำไปเป็นแบบอย่างในการบัญญัติกฎหมายต่อไปด้วย
แต่การยอมรับกฎหมายโรมันไปใช้เป็นไปในลักษณะที่แตกต่างกัน กล่าวคือในยุโรปภาคใต้ได้แก่ อิตาลี สเปน และภาคใต้ของฝรั่งเศส ได้รับกฎหมายโรมันไปใช้โดยไม่มีปัญหามากมายนัก เพราะเป็นประเทศที่ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรอยู่แล้ว แต่ในยุโรปตอนเหนือ การยอมรับกฎหมายโรมันเป็นไปอย่างช้าๆ เพราะประเทศเหล่านี้ต่างมีจารีตประเพณีของตนเองอยู่แล้ว เช่น เยอรมัน และเนเธอร์แลนด์ แต่ในที่สุดก็ได้รับอิทธิพลของกฎหมายโรมันไปใช้ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่สิบห้า และการยอมรับนี้เป็นไปโดยสมบูรณ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เช่นเดียวกับภาคเหนือของฝรั่งเศส
ในระยะต่อมาเมื่อประเทศต่างๆ ได้จัดทำกฎหมายของตนขึ้นตามแบบใหม่ ประมวลกฎหมายเหล่านี้ต่างก็รับเอาอิทธิพลของกฎหมายโรมันเป็นหลัก หรือเป็นแนวทางในการจัดทำกฎหมายประจำชาติ เช่น ในการจัดทำกฎหมายบาวาเรีย (Bavaria) ในปี ค.ศ.๑๗๕๖และประมวลกฎหมายปรัสเซีย (Prussia) ในปี ค.ศ. ๑๗๙๔ แต่ประมวลกฎหมายที่มีความสำคัญอย่างยิ่งได้แก่ประมวลกฎหมายนโปเลียน ในปี ค.ศ. 1804 เพราะประมวลกฎหมายฉบับนี้ได้มีอิทธิพลในประเทศต่างๆมาก เช่น ฮอลันดา สเปน อิตาลี เบลเยี่ยม หลุยเซียนา ควิเบก อียิปต์ และประเทศต่างๆในอเมริกาใต้ ซึ่งเหมือนกับว่ากฎหมายโรมันได้แผ่อิทธิพลเข้าไปในประเทศต่างๆ เหล่านี้ด้วย
สำหรับประเทศเยอรมนี แม้ว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากประมวลกฎหมายนโปเลียนอย่างมากก็จริง ในฐานะต้นสกุลกฎหมาย โรมาโน-เยอรมานิค แต่เนื่องด้วยอิทธิพลของ Savigny (1779-1861) นักนิติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของประเทศเยอรมนี จึงไม่ได้ยอมรับเอาประมวลกฎหมายนโปเลียนไปใช้เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว แต่ได้ศึกษากฎหมายโรมันอย่างกว้างขวาง ในที่สุดได้มีการจัดทำประมวลกฎหมายเยอรมันขึ้นในปี ค.ศ. 1900 ซึ่งกล่าวได้ว่าประมวลกฎหมายฉบับนี้ได้รับอิทธิพลของกฎหมายโรมันมากกว่าประมวลกฎหมายฝรั่งเศส และในที่สุดประมวลกฎหมายเยอรมันได้ถูกใช้เป็นแบบอย่างในการจัดทำประมวลกฎหมายของญี่ปุ่น และบราซิล รวมทั้งมีอิทธิพลต่อประมวลกฎหมายของสวิสด้วย
inheritance คือ 在 Parn Thanaporn Facebook 的最讚貼文
Bualoyteamwork
Bualoy News : ปาน ธนพร นำทีมศิลปินอาสา รวมพลังสร้างเพลงธรรม “สืบดินคู่ฟ้า”
....
เปิดตัว คีตธรรมเพลง “สืบดินคู่ฟ้า” โดยกลุ่มศิลปินและจิตอาสาบัวลอย วัดปทุมวนาราม เพื่อน้อมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่พสกนิกรทุกคน ภายหลังการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวไทยให้ยืนหยัดขึ้นเพื่อสืบสานปณิธาน พ่อหลวงของชาวไทย “ปาน”ธนพร แวกประยูร ศิลปินผู้ถ่ายทอดบทเพลง ชวนคนไทยตื่นขึ้นจากความเศร้า และก้าวเดินต่อไปโดยมี “พ่อหลวง”อยู่ในดวงใจ พร้อมสืบสานพระราชปณิธานทำความดีเพื่อแผ่นดินไทย
.
ทั้งนี้จากการเปิดเผยของ พระปกรณ์วินณ์ ฐิตวํโส เลขานุการโครงการปทุมมามหาสิกขาลัย วัดปทุมวนาราม กล่าวว่า กลุ่มศิลปินและจิตอาสาบัวลอย ในโครงการปทุมมามหาสิกขาลัย วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ร่วมใจกันสร้างสรรค์คีตธรรมเพลง “สืบดินคู่ฟ้า” (The Inheritance of King's Virtue) เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ แห่งองค์อัครศิลปิน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเพื่อมอบเป็นขวัญกำลังใจให้แก่พสกนิกรไทยทุกคน ประพันธ์คีตธรรมโดย ฐิตวํโสภิกขุ วัดปทุมวนาราม ทำนองโดย เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์ เรียบเรียงโดย เจษฎา สุขทรามร ขับร้องคีตธรรม ปาน ธนพร แวกประยูร สำหรับเนื้อร้องนั้น ผู้ประพันธ์ ได้ถ่ายทอดความรู้สึกของพสกนิกรที่มีต่อเหตุการณ์ในคืนแห่งการสวรรคต พร้อมทั้งอัญเชิญชื่อ บทเพลงพระราชนิพนธ์ รวม ๑๖ องค์ มาเรียงร้อยเป็นบทเพลง และโดยเฉพาะท่อนจำของเพลงนั้น ได้รับ แรงบันดาลใจจากพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้า ณ ศาลาดุสิตาลัย สวนจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตเมื่อวันจันทร์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๘ โดยพระองค์ทรงมีพระราชปรารภถึงเหตุการณ์สิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยพระราชทานข้อคิดสำคัญหากเผชิญกับความพลัดพรากว่าทุกสิ่งเป็นของธรรมดา
.
ด้าน ปาน ธนพร แวกประยูร ผู้ขับร้องเพลง “สืบดินคู่ฟ้า” กล่าวว่า บทเพลงนี้กลุ่มศิลปินและ จิตอาสากลุ่มบัวลอย จัดทำขึ้นเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ และเป็นบทเพลงส่งเสด็จ สู่สวรรคาลัย ทั้งเป็นการให้กำลังใจให้กับคนไทยทุกคนต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทรงเป็นพระราชาผู้ทรงธรรม ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำทรงสอน มีความเป็นธรรมะอยู่ในทุกเรื่อง ทรงสอนธรรมะให้กับคนไทยผ่านพระราชกรณียกิจต่างๆ และการจากลาของพระองค์ก็มีธรรมะซ่อนอยู่ ดังนั้นบทเพลง “สืบดินคู่ฟ้า”นี้ จึงเป็นการถ่ายทอดธรรมะของพระองค์ในเรื่องการจากลาเป็นของธรรมดา ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานไว้เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๘ เกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จย่า รวมถึงการนำชื่อบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์มาเรียงร้อยเป็นบทเพลง จำนวน ๑๖ องค์ มาร้อยเรียงเป็นบทคีตธรรมและนำมาถ่ายทอดในครั้งนี้
.
ศิลปินจิตอาสา กล่าวฝากถึงผู้ฟังบทเพลง “สืบดินคู่ฟ้า” ด้วยว่า “สิ่งที่ยากสำหรับการถ่ายทอดเพลงนี้ของปาน คือ การวางใจในการร้อง เป็นการพยายามทำความเข้าใจกับการสูญเสีย เราทุกคนรู้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่มาก แต่เราต้องเข้าใจให้ได้ พระองค์ทรงสอนธรรมะเราอยู่ตลอดเวลา จากการทรงงานของพระองค์ตลอดชีวิต นั่นคือธรรมของท่าน รอยพระบาทที่พระองค์ทรงเดินในแต่ละก้าวไปทั่วประเทศ เป็นรอยธรรมทั้งหมด เราคือลูกหลานที่จะน้อมนำคำสอนของพระองค์ เราควรจะเข้มแข็งและตื่นขึ้นมาจากความเศร้าเพื่อที่เราจะได้เดินต่อ โดยมีพระองค์ท่านอยู่ในใจ เวลาจะทำอะไรก็ให้นึกถึงพระองค์ ถ้าเรารักท่าน มีท่านในหัวใจจริงๆ เราจะไม่อยากทำอะไรที่ไม่ดีต่างๆ ซึ่งนอกจากจะมีคีตธรรมให้ฟังแล้ว กลุ่มจิตอาสายังได้รับความอุปถัมภ์จากศิลปินอื่นๆ มาร่วมกันหลอมรวมพลังถ่ายทอดความรู้สึกผ่านทางมิวสิกวิดีโอประกอบคีตธรรม “สืบดินคู่ฟ้า” กันอีกด้วย อาทิ ต่าย เพ็ญพักตร์, กิ๊ก มยุริญ, หมู พิมพ์ผกา, ธงธง มกจ๊ก, อายส์ กมลเนตร, รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น และ กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา ซึ่งสามารถรับฟังและรับชมมิวสิกวิดีโอกันได้แล้วในช่องทางของ ยูทิวบ์ (Youtube)”
.
พระปกรณ์วินณ์ กล่าวตอนท้ายว่า นอกจากคีตธรรม “สืบดินคู่ฟ้า” จะรับฟังและรับชมได้ในยูทิวบ์แล้วนั้น ทางโครงการปทุมมามหาสิกขาลัย วัดปทุมวนาราม ยังได้รวบรวมผลงานคีตธรรมที่ทางโครงการปทุมมามหาสิกขาลัยได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในหลากหลายวาระ โดยจัดทำเป็นอัลบั้มคีตธรรมชื่อชุด “สืบดินคู่ฟ้า”เพื่อมอบให้กับสำนักปฏิบัติธรรมและสถานศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศได้ใช้เป็นสื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมสานรอยพระราชปณิธานอย่างแท้จริง สำหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจคีตธรรม “สืบดินคู่ฟ้า” สามารถดาวน์โหลดได้หลากหลายช่องทาง อาทิ iTunes , Apple Music, Spotify, Google Play, KKBox ,TIDAL, Deezer, Amazon.com ในเร็วๆ นี้ โดยรายได้จากการดาวน์โหลดทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ ไม่หักค่าใช้จ่าย จะนำเข้าสมทบกองทุนพระภิกษุสามเณรและแม่ชี อาพาธและเจ็บป่วยวัดปทุมวนาราม เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศล
.
ส่วนผู้สนใจอัลบั้มคีตธรรม “สืบดินคู่ฟ้า” สามารถร่วมสนับสนุนได้ที่ร้านสวัสดิการวัดปทุมวนาราม ในราคาชุดละ ๑๙๙ บาท โดยรายได้จากการสนับสนุนจะเข้าร่วมสมทบกิจกรรมจิตอาสาสานต่อพระราชปณิธานในโครงการ ปทุมมามหาสิกขาลัย วัดปทุมวนาราม เริ่มจำหน่ายหรือสั่งจองได้ที่ร้านสวัสดิการ วัดปทุมวนาราม ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ นี้ สามารถติดตามทุกความเคลื่อนไหวและร่วมสนับสนุนกิจกรรมของเหล่าศิลปินและจิตอาสาของโครงการปทุมมามหาสิกขาลัยฯ ได้ที่แฟนเพจ วัดปทุมวนาราม และแฟนเพจ bualoyteamwork
.
.
ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ พระปกรณ์วินณ์ ฐิตวํโส
ประชาสัมพันธ์ วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร
และเลขานุการโครงการปทุมมามหาสิกขาลัย
โทร.080-536-6996
.
และติดตามทุกความเคลื่อนไหวของโครงการปทุมมามหาสิกขาลัย
ได้ที่ www.facebook.com/bualoyteamwork
..........
Admin : ธรรมดา รายงาน