รู้จัก เคไลฟี ผู้เป็นประธานสโมสรปารีส และ beIN /โดย ลงทุนแมน
พอพูดชื่อ “นาสเซอร์ อัล เคไลฟี” หลายคนอาจสงสัยว่าเขาคือใคร ?
แต่คนที่เคยดูฟุตบอลน่าจะเคยได้ยินชื่อนี้บ้าง
เพราะเขาเป็นประธานสโมสรฟุตบอล ประธานสโมสร ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (Paris Saint-Germain) ที่ล่าสุดเพิ่งกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของ ลิโอเนล เมสซิ
แต่กว่าจะมาเป็นวันนี้ของ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี
ชีวิตของเขานั้นไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เด็ก
และยังเคยเล่นเทนนิสเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
จนได้เป็นนักเทนนิสทีมชาติอีกด้วย
แล้ว อัล เคไลฟี ทำอย่างไร จนก้าวมาเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในวงการกีฬา
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
นาสเซอร์ อัล เคไลฟี (Nasser Al-Khelaifi) เป็นชาวกาตาร์
เกิดในปี 1973 อัล เคไลฟี เกิดในครอบครัวที่ทำประมงหาเลี้ยงชีพเป็นหลัก
แม้จะไม่ได้เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ อัล เคไลฟี ก็มุ่งมั่นเล่าเรียน จนจบปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์จาก Qatar University และปริญญาโทด้านพาณิชย์นาวีจาก University of Piraeus
อีกจุดเด่นของ อัล เคไลฟี นอกเหนือจากการศึกษาคือ การเล่นกีฬา โดยเฉพาะเทนนิส ซึ่งกลายเป็นจุดสำคัญของความสำเร็จในชีวิตเขา ในเวลาต่อมา
อัล เคไลฟี เคยได้ดีในการเล่นเทนนิส ถึงขนาดก้าวไปเป็นนักเทนนิสระดับอาชีพ และเป็นตัวแทนทีมชาติกาตาร์ ลงแข่งขันทัวร์นาเมนต์ Davis Cup ซึ่งเป็นการแข่งขันรายการใหญ่ในระดับนานาชาติ
พออายุเริ่มมากขึ้น เขาก็เลิกเล่นในสนาม และมาดำรงตำแหน่งประธานสหพันธ์เทนนิสกาตาร์ในช่วงปี 2008-2011
นอกจากนั้น เขายังได้รับเลือกเป็น รองประธานสหพันธ์เทนนิสเอเชีย (Asian Tennis Federation) แห่งเอเชียตะวันตกอีกด้วย
ด้วยความสนใจ และประสบการณ์ที่คลุกคลีในวงการกีฬาของเขา
ทำให้ อัล เคไลฟี สามารถนำมันมาต่อยอดในการทำธุรกิจด้วยในเวลาต่อมา
จุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญของเขาเกิดขึ้นในปี 2011 เมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานของ Qatar Sports Investments หรือ QSi ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมกีฬาและนันทนาการ ทั้งในประเทศการ์ตาและต่างประเทศ
โดย QSi นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Qatar Investment Authority ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของกาตาร์ ที่ปัจจุบัน มีทรัพย์สินภายใต้กองทุนมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท
ในปีเดียวกับที่ อัล เคไลฟี เข้ามาบริหาร QSi ทางกองทุนก็เข้าไปลงทุนซื้อหุ้นของ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (Paris Saint-Germain) สโมสรฟุตบอลอาชีพชั้นนำในฝรั่งเศส
ในเวลานั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ของปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง คือ Colony Capital, Morgan Stanley และ Butler Capital Partners ซึ่งทั้ง 3 บริษัทนั้นเป็นบริษัทจัดการลงทุน โดย 2 รายแรกนั้นเป็นของสหรัฐอเมริกา ส่วนรายหลังนั้นเป็นของฝรั่งเศส
โดยบริษัทจัดการลงทุนกลุ่มดังกล่าว ประกาศที่จะขายสโมสรให้แก่นักลงทุนที่สนใจ เพื่อเข้ามาช่วยทำให้ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เป็นสโมสรฟุตบอลชั้นนำ
และก็เป็น QSi ที่ได้เข้ามาซื้อหุ้นต่อจากนักลงทุนกลุ่มเดิม โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 4,300 ล้านบาท
ต้องยอมรับว่า นับตั้งแต่ที่ อัล เคไลฟี เข้ามาบริหารปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ทำให้สโมสรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากขึ้น ทั้งในและนอกสนาม
โดยเฉพาะในเรื่องการตลาดและการโปรโมตสโมสร ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนออกมาจากสถิติยอดขายเสื้อฟุตบอลของปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วงที่ผ่านมา
ในปี 2011 เคยขายเสื้อฟุตบอลได้เพียงราว ๆ 250,000 ตัว
ในปี 2019 สโมสรขายเสื้อได้กว่า 1,000,000 ตัว
เขายังถือเป็นส่วนสำคัญในการพยายามเซ็นสัญญานักฟุตบอลชื่อดังระดับโลกหลายคน ให้มาเล่นให้สโมสรอีกด้วย โดยล่าสุดก็คือ ลิโอเนล เมสซิ อดีตกองหน้าชื่อดังจากบาร์เซโลนา
สำหรับหลายคนที่อาจจะไม่ได้ติดตามโลกฟุตบอล ก็อาจจะยังมีคำถามว่า สโมสรปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง แห่งนี้มีความน่าสนใจอย่างไร
ลองมาดูสถิติที่น่าสนใจ ของปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่ อัล เคไลฟี เป็นผู้บริหาร
- เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลก ซึ่งในฤดูกาล 2019-2020 มีรายได้ประมาณ 21,000 ล้านบาท
- เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก จากการจัดอันดับของ Forbes โดยมีมูลค่ากว่า 84,000 ล้านบาท
- เป็นสโมสรฟุตบอลที่ทำสถิติซื้อผู้เล่นแพงที่สุดในโลก คือ เนย์มาร์ กองหน้าทีมชาติบราซิล จากบาร์เซโลนา ด้วยมูลค่าประมาณ 8,700 ล้านบาท ในปี 2017
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ไม่เพียงแต่บริหารสโมสรฟุตบอลเท่านั้น อัล เคไลฟี ยังเป็นประธาน และซีอีโอของ beIN Media Group
โดย beIN Media Group คือ ช่องรายการบันเทิงและกีฬาทางโทรทัศน์ ที่ออกอากาศในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และเอเชีย จำนวนทั้งหมด 43 ประเทศ
beIN Media Group ยังเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลรายการสำคัญ ๆ ในปัจจุบัน อย่างเช่น ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฟุตบอลโลก 2022 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024
เป้าหมายของ อัล เคไลฟี คือ ต้องการที่จะสร้าง beIN Media Group ให้กลายเป็นสื่อที่ดังในด้านบันเทิงและกีฬาระดับโลก
และแน่นอนว่า อีกเป้าหมายสำคัญของเขา
ก็คือสร้างปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก
จากเรื่องราวชีวิตของ อัล เคไลฟี จะเห็นว่า
แม้ว่า อัล เคไลฟี ไม่ได้เกิดมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง
แต่เขาสามารถเอาจุดเด่น ความสนใจ และประสบการณ์ในด้านกีฬา
มาต่อยอดในการบริหารธุรกิจสื่อ บริหารทีมฟุตบอล ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างดี..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.beinmediagroup.com/
-https://www.forbes.com/teams/paris-saint-germain/?sh=79bf9d4f51f4
-https://en.wikipedia.org/wiki/Nasser_Al-Khelaifi
-https://en.wikipedia.org/wiki/Paris_Saint-Germain_F.C._ownership_and_finances
-https://en.wikipedia.org/wiki/Qatar_Sports_Investments
-https://en.calameo.com/read/005694409c40bbd67d588
-https://en.wikipedia.org/wiki/Al_Jazeera_Media_Network
-https://www.beinsports.com/th/%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81-1/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/nasser-al-khelaifi-named-as-most-influentia-6/1468678
-https://en.wikipedia.org/wiki/Paris_Saint-Germain_F.C.
-https://en.wikipedia.org/wiki/2022_FIFA_World_Cup_broadcasting_rights
-https://www.premierleague.com/news/2184867
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「morgan stanley wiki」的推薦目錄:
morgan stanley wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
นิวยอร์ก ศูนย์กลางระบาดล่าสุด /โดย ลงทุนแมน
เกือบ 50% ของผู้ป่วย COVID-19 ในสหรัฐอเมริกา มาจากรัฐนิวยอร์ก
ซึ่งขณะนี้มีผู้ป่วยมากกว่า 60,000 คนแล้ว
แซงหน้าพื้นที่ที่พบการระบาดแห่งแรกๆ อย่างรัฐวอชิงตัน และรัฐแคลิฟอร์เนียทางชายฝั่งตะวันตกของประเทศ
จริงอยู่ที่รัฐนิวยอร์ก เป็นที่ตั้งของ “เมืองนิวยอร์ก” ศูนย์กลางการเงินของสหรัฐอเมริกาและของโลก
และเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทระดับโลก
จึงมีการเดินทางของผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก
ปัจจัยนี้ทำให้เป็นจุดเสี่ยงสำคัญของการแพร่ระบาดของโรค
แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
ต้องย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ประมาณปลายศตวรรษที่ 19
หากถามว่า ผู้คนส่วนใหญ่ในรัฐนิวยอร์กเป็นลูกหลานของผู้อพยพชาวยุโรปชาติใดมากที่สุด?
คำตอบไม่ใช่ชาวอังกฤษ ชาวดัตช์ ชาวไอริช หรือชาวเยอรมัน
เพราะประเทศในยุโรปที่บรรพบุรุษของประชากรในรัฐนิวยอร์กอพยพมามากที่สุด
ก็คือ “อิตาลี”
ความสัมพันธ์นี้น่าสนใจอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
รัฐนิวยอร์ก ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันมีประชากรราว 19.5 ล้านคน เมืองหลวงของรัฐเป็นเมืองเล็กๆ ชื่อ ออลบานี
แต่เมืองใหญ่ที่สุดคือ เมืองนิวยอร์ก มีประชากร 8.4 ล้านคน
ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาด้วย
แรกเริ่มเดิมที ชาวดัตช์เป็นผู้บุกเบิกดินแดนแถบนี้ ซึ่งถูกเรียกโดยรวมๆ ว่า “นิว นีเดอร์แลนด์”
โดยชาวดัตช์ได้ซื้อเมืองที่อยู่บนเกาะปากแม่น้ำมาจากชาวพื้นเมือง และตั้งชื่อว่า นิวอัมสเตอร์ดัม
ต่อมา เมื่ออังกฤษก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ ก็ได้ยึดเมืองนิวอัมสเตอร์ดัมมาจากชาวดัตช์ และเปลี่ยนชื่อเมืองนี้เป็น “นิวยอร์ก”
จนเมื่อมีการก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776
หลังจากนั้น มีชาวยุโรปมากมายอพยพเพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศแห่งนี้
แต่คลื่นผู้อพยพจากยุโรปที่มาตั้งรกรากในรัฐนิวยอร์กมากที่สุด มาจากอิตาลี
ประเทศอิตาลีเริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ. 1861 โดยรวมนครรัฐต่างๆ บนคาบสมุทรอิตาลีเข้าไว้ด้วยกัน
ในช่วงเวลานั้น ยุโรปเริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว
รัฐทางภาคเหนือของอิตาลี ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่อย่าง มิลานและตูริน
ร่ำรวยจากการเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ต่อเรือ สิ่งทอ และผลิตอาหาร
ในขณะที่รัฐทางภาคใต้ ยังคงเป็นเขตเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่จึงยังคงมีฐานะยากจน
ความเหลื่อมล้ำนี้ ทำให้ในช่วงปี ค.ศ. 1890 - ค.ศ. 1910 ชาวอิตาลีจำนวนกว่า 5 ล้านคน โดยเฉพาะจากทางภาคใต้ ตัดสินใจอพยพหนีความแร้นแค้นมายังทวีปอเมริกา
ทั้งในอเมริกาใต้ เช่น อาร์เจนตินาและบราซิล
ส่วนในสหรัฐอเมริกา ชาวอิตาลีอพยพมาตั้งรกรากในรัฐนิวยอร์กมากที่สุด
มีจำนวนถึง 2.3 ล้านคน
ส่วนใหญ่คนเหล่านี้เข้ามาเป็นแรงงานก่อสร้างในเมืองนิวยอร์ก ย่านที่มีชาวอิตาลีอาศัยอยู่มากที่สุดในเมือง คือ Little Italy
ต่อมาแรงงานเหล่านี้ก็ค่อยๆ เติบโตจนกลายเป็นพ่อค้า นักธุรกิจ บ้างก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
แม้แต่ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กคนปัจจุบัน Andrew Cuomo
และนายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ก Bill de Blasio ก็ล้วนสืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพชาวอิตาลี
อุปนิสัยที่โดดเด่นของชาวอิตาลี ก็คือการคงความสัมพันธ์เครือญาติอย่างแน่นแฟ้น
ถึงแม้จะมาเป็นผู้อพยพในทวีปใหม่ ก็ยังคงไปมาหาสู่
ให้ความช่วยเหลือญาติในบ้านเกิดอยู่เสมอ
ปัจจุบัน ลูกหลานชาวอิตาลีในรัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 13.6% ของประชากร
จึงยังคงมีความสัมพันธ์กับเครือญาติในอิตาลีอย่างเหนียวแน่น
จากข้อมูลการท่องเที่ยวของอิตาลี ในปี 2018
ชาวต่างชาติที่ไปเยือนอิตาลีมากที่สุด
หากไม่นับอันดับ 1 คือชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศใกล้เคียง
อันดับ 2 จะเป็นชาวอเมริกัน เป็นจำนวนถึงปีละ 5.6 ล้านคน
โดยเส้นทางบินตรงที่หนาแน่นที่สุด ที่เชื่อมระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิตาลี
คือจากสนามบิน John F. Kennedy ในเมืองนิวยอร์ก
กับสนามบิน Milan Malpensa ในมิลาน
ในปี 2018 มีผู้โดยสารเดินทางด้วยเส้นทางนี้ถึงวันละ 2,200 คน
และนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติ!
เมื่อเกิดการระบาดอย่างหนักของโควิด-19 ในอิตาลี ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่รัฐลอมบาร์ดี ทางตอนเหนือของประเทศ โดยเฉพาะในเขตเมืองมิลานและปริมณฑล
การระบาดเริ่มต้นประมาณวันที่ 23 กุมภาพันธ์ และเริ่มบานปลาย
จนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องประกาศระงับการเดินทางจากยุโรปมายังสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 30 วัน ในวันที่ 13 มีนาคม
ซึ่งก็สายเกินไปแล้ว การระบาดใหญ่ในมิลานได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น 20 วันแล้ว..
ขณะนี้จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในรัฐนิวยอร์ก ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ว่าการรัฐได้มีการออกประกาศให้ประชาชนอยู่บ้านให้มากที่สุด และมีการสั่งปิดสถานที่ กิจการ ร้านค้าหลายแห่ง เพื่อลดการรวมตัวของผู้คน
รัฐนิวยอร์กมีขนาดเศรษฐกิจกว่า 55 ล้านล้านบาท เกือบเท่าประเทศอิตาลีทั้งประเทศ
และมีสัดส่วนเป็น 10% ของ GDP ประเทศสหรัฐอเมริกา
ทั้งยังเป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลก
เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่บริษัทระดับโลก
ทั้งภาคการเงินอย่าง Citigroup, Morgan Stanley,
สำนักข่าว Bloomberg, บริษัทยา Pfizer ฯลฯ
เป็นที่น่าคิดว่า เศรษฐกิจของรัฐนิวยอร์กกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก
และจะลุกลามสู่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา บานปลายไปทั่วโลก
ด้วยสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็นที่ชื่อ โควิด-19
จากอู่ฮั่น สู่มิลาน
ตอนนี้ ศูนย์กลางการระบาดแห่งใหม่
ได้ย้ายมาสู่เมืองนิวยอร์ก
เมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของโลก เรียบร้อยแล้ว..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี, ลงทุนแมน
-https://www.worldometers.info/coronavirus/country/us/
-https://www.theguardian.com/us-news/2015/feb/24/new-wave-migrants-diverse-italian-american-communities
-https://macaulay.cuny.edu/seminars/reichl10/content/italian-american-economic-rise/index.html
-https://en.wikipedia.org/wiki/Milan_Malpensa_Airport
morgan stanley wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
เผื่อใครยังไม่ได้อ่าน ล่าสุดบทความนี้ได้ทำสถิติ เป็นหนึ่งในบทความลงทุนแมน ที่มีคนอ่านมากสุดในปีนี้
ท้อแท้ สิ้นหวัง แตกหัก ฮ่องกง / โดย ลงทุนแมน
ทุกคนในฮ่องกงเวลานี้ ต่างจมอยู่กับความสิ้นหวัง..
ภาพบ้านเมืองที่พัฒนาแล้ว มีตึกสูงเรียงกัน
เปลี่ยนเป็นภาพผู้คนโกรธเคือง พร้อมทำลายสิ่งขวางกั้น
มองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ที่จะนำไปสู่ความสงบ
รู้หรือไม่ว่า ในตอนนี้ ฮ่องกง ได้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย
คำว่า เศรษฐกิจถดถอย (Recession) แปลว่า
GDP หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาสติดต่อกัน
ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย และเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี
ในวันที่ทุกอย่างรุมเร้า
ในวันที่มองไม่เห็นทางออก
จุดเริ่มต้นของสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร
แล้วจุดสุดท้ายจะเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
┏━━━━━━━━━━━━┓
บทความนี้ โพสต์ล่วงหน้าใน
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
ฮ่องกงเคยเป็นเมืองที่เป็นผู้นำของภูมิภาคเอเชียในทุกๆ ด้าน
ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว หรือแม้แต่ด้านบันเทิง
มังกรหยก หลิวเต๋อหัว เฉินหลง ถ้าย้อนกลับไป 20 ปีก่อน เราคนไทยน่าจะรู้จักกันทุกคนไม่แพ้ K-POP หรือ ดาราฮอลลีวูด ในสมัยนี้
จุดหมายการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของคนไทย
ถ้าถามคนสมัยก่อนว่า เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรก
เราจะไปที่ไหน?
คำตอบแรกคือ “ฮ่องกง”
แต่ในวันนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป
จนรู้ตัวอีกที
ฮ่องกงในวันนี้ อาจไม่ได้เป็นฮ่องกงคนเดิมที่เรารู้จัก
ฮ่องกงในวันนี้ มองไปทางไหนก็ไม่สดใสเหมือนเดิม
ฮ่องกงในวันนี้ เริ่มไม่ได้เป็นผู้นำเอเชียในทุกด้านเหมือนวันก่อน
แล้วที่ผ่านมาคนฮ่องกงเจออะไร
คนฮ่องกงเก่งน้อยลง
หรือ คนประเทศอื่นเก่งมากขึ้น
หรือ มันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ที่ทำให้ฮ่องกงเดินทางมาถึงจุดนี้
จุดที่ทุกอย่างพร้อมจะพังทลายลง
เรามาหาความจริงกัน
ฮ่องกง คือเมืองที่มีตึกระฟ้ามากที่สุดในโลก มี 1,300 ตึก ที่สูงมากกว่า 100 เมตร (100 เมตรคือประมาณ 30 ชั้น)
ฮ่องกง คือเมืองที่มีคนรวย 2 คน ติดอันดับรวยที่สุดในโลก 25 คนแรก โดยธุรกิจหลักของพวกเขาคือ อสังหาริมทรัพย์
ฮ่องกง คือเมืองที่มีราคาบ้านเพิ่ม 2 เท่าภายใน 5 ปี
และแพงอันดับ 2 ของโลก รองจากโมนาโก
ห้องขนาด 30 ตารางเมตรในฮ่องกง มีราคา 50 ล้านบาท
ด้วยราคาขนาดนี้สามารถซื้อบ้านหรูในประเทศไทยได้
ที่ผ่านมา ฮ่องกงดูเป็นที่สุดในโลกในทุกด้าน
แต่การเป็นที่สุด
ย่อมแลกมาด้วยสิ่งที่ทำให้ ฮ่องกง เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความแตกต่างระหว่างคนรวย กับ คนชั้นกลางมากที่สุดในโลก
ซึ่งสิ่งนั้นเรียกว่า ความเหลื่อมล้ำ..
จริงๆ แล้วความเหลื่อมล้ำเป็นแค่เชื้อเพลิงที่สะสม ถ้าไม่มีใครมาจุดไฟมันก็คงไม่เกิดอะไร
เชื้อเพลิงมันก็กองกันอยู่อย่างนั้น
แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง มีคนมาจุดชนวน ทุกอย่างก็จะกลายเป็นไฟ ลุกโชติช่วงแบบไม่ดับลงง่ายๆ
เหมือนภาพที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
และชนวนที่สำคัญก็คือ ประเด็นการส่งผู้ร้ายข้ามแดน..
ใครจะไปคิดว่า ตัวจุดชนวนนี้คือ เรื่องฆาตกรรมของคนเพียงคนเดียว ที่เกิดขึ้นบนเกาะไต้หวัน..
ย้อนกลับไป 9 เดือนที่แล้ว
เดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 เมื่อคู่รักฮ่องกงคู่หนึ่งเดินทางไปเที่ยวไต้หวัน
แต่ฝ่ายชายกลับฆ่าฝ่ายหญิงที่ไต้หวัน และ เดินทางกลับมาที่ฮ่องกงโดยที่ไม่มีใครจับได้
ต่อมาผู้ชายถูกจับตัวได้ที่ฮ่องกง แต่ตำรวจฮ่องกงไม่สามารถตั้งข้อหาได้ เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไต้หวัน
ขณะที่ทั้งฮ่องกงและไต้หวัน ไม่มีสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน จึงไม่สามารถส่งตัวคนผิดไปดำเนินคดีที่ไต้หวัน
พอเรื่องเป็นแบบนี้ คณะผู้บริหารฮ่องกงจึงเสนอร่างกฎหมายเพื่อที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังไต้หวัน
แต่เรื่องนี้กลับกลายใหญ่โตขึ้น เพราะร่างกฎหมายนี้ ดันรวมไปถึงการส่งตัวผู้ทำผิดไปประเทศจีนด้วย
ซึ่งประเด็นนี้ทำให้ชาวฮ่องกงไม่พอใจ และออกมาชุมนุมประท้วงนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ทางคณะผู้บริหารฮ่องกงเองได้ยกเลิกสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปแล้ว แต่หลังจากนั้น ข้อเรียกร้องยกระดับเป็นการให้ แคร์รี หล่ำ ผู้ว่าฮ่องกง ลาออก เลยไปจนถึงการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย
แม้ว่าปัจจุบันฮ่องกงมีสิทธิในการปกครองตนเองอย่างอิสระ ซึ่งสามารถดำเนินนโยบายทางการเมือง เศรษฐกิจ และกฎหมายได้โดยตนเอง
แต่ในอนาคต ปี 2047 หรืออีก 28 ปี ข้างหน้า ฮ่องกงมีกำหนดส่งอำนาจการปกครองคืนให้จีน
ผู้คนที่ออกมาชุมนุมมีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยหนุ่มสาว มาจากบุคคลหลากวิชาชีพ ตั้งแต่ นักศึกษา ครู นักกฎหมาย ไปจนถึงพนักงานในสายการบิน ซึ่งการประท้วงได้ยกระดับไปถึงการปิดสนามบิน การกีดขวางขนส่งมวลชน ไปจนถึงการทำลายร้านค้า อาคาร และทำร้ายผู้ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม
ส่วนผู้ที่ต่อต้านการชุมนุมก็มีเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุที่มากกว่า หรือเป็นนักธุรกิจ
ย้อนดูประวัติศาสตร์ฮ่องกง
ค.ศ. 1898 สงครามฝิ่นเป็นจุดเริ่มของเรื่องราวทั้งหมด
อังกฤษได้ครอบครองฮ่องกงจากจีนแบบเสรีนิยมเป็นเวลา 99 ปี ด้วยนโยบายการค้าเสรีทำให้ฮ่องกงกลายเป็นเมืองท่า ศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเงินของโลก
ค.ศ. 1997 หรืออีก 99 ปีถัดมา อังกฤษได้ส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับจีน
รัฐบาลปักกิ่งได้ตกลงให้ปกครองฮ่องกงด้วยนโยบาย หนึ่งประเทศ สองระบบ ไปอีก 50 ปี เพื่อให้เศรษฐกิจ ธุรกิจ ดำเนินไปเหมือนเดิม ยกเว้นเรื่องการทหารและการต่างประเทศ ที่รัฐบาลปักกิ่งเป็นผู้ดูแล
เรามาดูความจริงที่เกิดขึ้นกัน
คนฮ่องกง 3.5 ล้านคนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ไม่ได้ออกเสียงเลือกตั้งผู้บริหารเขตฮ่องกง
โดยที่ผ่านมา ผู้บริหารเขตฮ่องกงมาจากการเลือกโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 1,200 คน ซึ่งถูกเลือกมาจากกลุ่มคนจำนวนน้อยที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นผู้แทนของนักธุรกิจและรัฐบาลปักกิ่ง และการแต่งตั้งผู้บริหารเขตฮ่องกงก็ต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลปักกิ่ง
ปัจจุบัน ฮ่องกงเป็นตลาดทุนอันดับ 3 ของโลก มีมูลค่าตลาดรวมกันทั้งหมด 170 ล้านล้านบาท หรือใหญ่กว่าตลาดหลักทรัพย์ไทย 10 เท่า
แต่ภายใต้เศรษฐกิจที่ดูดี ราคาอสังหาริมทรัพย์ นโยบายที่ดินและสวัสดิการบ้านของรัฐบาลฮ่องกง เอื้อต่อนักธุรกิจ ทำให้ราคาที่พักสูงเกินที่คนฮ่องกงทั้งระดับล่างและระดับกลางจะซื้อได้ และนั่นทำให้คนฮ่องกงทั่วไปรู้สึกว่าตัวเขาเองใช้ชีวิตอยู่ลำบากในเมืองที่เขาเกิดมา
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีโอกาสจะลืมตาอ้าปากเป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ผู้ประท้วงส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว
หนึ่งประเทศ สองระบบ หรือทุนนิยมที่ฮ่องกงอยากได้ กลับกลายเป็นสิ่งที่เชิดชูคนรวย และทำร้ายคนชั้นกลางในฮ่องกง
ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ ราคาบ้านที่สูงเกินเอื้อม
ไปจนถึงความกลัวว่าจะถูกรัฐบาลริดรอนเสรีภาพที่เคยมี
เมื่อมองไปทางไหนก็รู้สึกท้อแท้ และ สิ้นหวัง
หนทางเดียวที่มีอยู่ของคนฮ่องกง ก็คือการชุมนุม การประท้วง จนกว่าทุกอย่างจะมีการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยขอให้มีการเลือกตั้งแบบ 1 คนต่อ 1 เสียง (Universal Suffrage)
แต่ยิ่งประท้วงมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการทำร้ายเศรษฐกิจของตัวเองมากขึ้นทุกที
ทั้งภาคการเงิน การท่องเที่ยว
ฮ่องกงกำลังจะสูญเสียอะไรไปบ้าง?
นอกจากการที่ฮ่องกงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเป็นทางการแล้ว
Morgan Stanley คาดการณ์ว่า GDP ของฮ่องกงในปี 2019 จะหดตัว 0.8%
การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2019
ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 7%
ซึ่งเป็นการหดตัวมากที่สุดในรอบ 10 ปี
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนสิงหาคมลดลง 34% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ถึงแม้ว่าตอนนี้ฮ่องกงยังครองตำแหน่งศูนย์กลางการเงินอันดับ 1 ของเอเชีย
แต่ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ตำแหน่งนี้กำลังถูกสั่นคลอนโดยสิงคโปร์ คู่แข่งที่ตามมาติดๆ ในอันดับ 2 และเซี่ยงไฮ้ซึ่งอยู่ในอันดับ 3
Goldman Sachs คาดการณ์ว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองของฮ่องกง
นักลงทุนอาจหอบเงินกว่า 120,000 ล้านบาท หนีไปลงทุนที่สิงคโปร์
ส่วน Bloomberg คาดการณ์ว่า มูลค่าหุ้นที่เข้ามาระดมทุนของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ มีแนวโน้มจะแซงหน้าตลาดหุ้นฮ่องกงในปีนี้
ยังไม่รวมห้างร้านหลายแห่งที่ต้องปิดตัวลง เพราะไม่สามารถขนส่งสินค้าเข้ามาในร้านได้
โรงแรมที่ซบเซาลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง
ระบบขนส่งมวลชนที่เป็นอัมพาตจากการกีดขวางการจราจร
การประท้วงที่เพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นการก่อการร้าย
ทั้งขว้างปาก้อนอิฐ ก่อสิ่งกีดขวางการจราจร
ทำร้ายผู้คนที่ไม่เห็นด้วย เผาทำลายอาคารสถานที่ต่างๆ
แต่อย่างไรก็ตาม
ฮ่องกงซึ่งไม่มีทั้งกองกำลังทหารและอาวุธเป็นของตัวเอง
ยิ่งการประท้วงเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเท่าไหร่
ก็ยิ่งเพิ่มความชอบธรรมให้รัฐบาลฮ่องกงขอรับการสนับสนุนกองกำลังทหารจากจีนแผ่นดินใหญ่ โดยที่ความขัดแย้งระหว่างฮ่องกงและจีน ถือเป็นกิจการภายใน ซึ่งต่างชาติก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซง
นั่นหมายความว่า ในทางกฎหมาย “การแยกประเทศ” ของชาวฮ่องกง คือสิ่งที่เป็นไปได้ยากมาก..
แต่จนถึงวันนี้ จุดยืนของรัฐบาลจีนต่อการประท้วง ก็คือการปล่อยให้คนฮ่องกงแก้ปัญหานี้กันเอง
ฮ่องกงซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีความสำคัญ เป็นประตูสู่การลงทุนของจีนแผ่นดินใหญ่
ปี 1997 ฮ่องกงมีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็น 18.4% ของ GDP ประเทศจีน
ปี 2018 ฮ่องกงมีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็น 2.7% ของ GDP ประเทศจีน
ในวันนี้ เมืองใหญ่ต่างๆ ของจีน ต่างพัฒนาเศรษฐกิจจนมีขนาด GDP แซงหน้าฮ่องกงไปแล้ว
ทั้ง เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เซินเจิ้น ส่วนกว่างโจว และเทียนจิน กำลังจะแซงหน้าในเร็วๆ นี้
ความสำคัญในทางเศรษฐกิจของฮ่องกงต่อประเทศจีน กำลังลดระดับลงเรื่อยๆ
น่าคิดว่า ยิ่งการประท้วงในฮ่องกงยืดเยื้อเท่าไหร่ สุดท้ายผู้ที่ได้รับความเสียหายก็คือคนฮ่องกงเอง
ในปี ค.ศ. 2047 หรืออีก 28 ปี ข้างหน้า เมื่อครบ 50 ปีของการปกครองแบบหนึ่งประเทศ สองระบบ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
- ฮ่องกงจะเป็นส่วนหนึ่งของ มณฑลกวางตุ้ง หนึ่งใน 23 มณฑลของจีน
- ดอลลาร์ฮ่องกง พาสปอร์ตฮ่องกง จะเป็นอดีต
- คนฮ่องกง 7.5 ล้านคน จะรวมเป็นส่วนหนึ่งของคนจีน 1,400 ล้านคน
แน่นอนว่าคนฮ่องกงที่ประท้วงไม่อยากให้เป็นแบบนั้น และไม่ว่าการประท้วงที่ยาวนานครั้งนี้จะมีจุดจบเช่นไร เรื่องนี้ทำให้นึกถึงสิ่งที่ เรย์ ดาลิโอ ผู้เขียนหนังสือ Principles ได้กล่าวไว้เมื่อไม่นานมานี้ว่า
“โลกกำลังบ้าคลั่ง และ ระบบกำลังพัง”
ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองเป็นผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันที่ใหญ่สุดในโลก และคุ้นเคยกับโลกทุนนิยม
แต่เขาบอกว่า ระบบทุนนิยม แบบเดิมซึ่งเราเชื่อกันว่า จะเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมากในที่สุด
อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป..
เพราะระบบกำลังให้รางวัลกับคนรวย และทิ้งห่างคนส่วนใหญ่ไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนที่เหลือไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ระบบนี้จะไม่เสถียร ระบบนี้จะพังลงในที่สุด
และโลกนี้กำลังดำเนินเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเวลาอันใกล้
หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าทุนนิยมมันจะพังได้อย่างไร ในเมื่อเราคุ้นเคยกันมานาน
แต่ดูเหมือนว่ามันอาจได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งของโลกที่ชื่อว่า ฮ่องกง..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.chinadailyhk.com/articl…/…/81/1572262453599.html
-https://www.bloomberg.com/…/singapore-shanghai-threaten-hon…
-https://www.zyen.com/media/documents/GFCI_26_Report_v1.0.pdf
-https://www.reuters.com/…/explainer-how-important-is-hong-k…
-https://www.cnbc.com/…/hong-kong-is-building-an-80-billion-…
-https://www.censtatd.gov.hk/…/…/gender/demographic/index.jsp
-https://www.heritage.org/index/
-https://www.scmp.com/…/how-hong-kong-can-put-end-protest-ch…
-https://www.chinadailyhk.com/…/2…/102/126/1551884339370.html
-https://www.statista.com/…/hong-kong-high-net-worth-indivi…/
-https://www.isranews.org/…/79389-universal-suffragehk79389.…
-https://www.nytimes.com/…/asia/hong-kong-protests-democracy…
-https://www.bloomberg.com/…/hong-kong-overtakes-japan-as-wo…
-https://en.wikipedia.org/…/2019_Hong_Kong_anti-extradition_…
-https://www.bloomberg.com/…/2019-hong-kong-protests-econo…/…
-https://th.investing.com/indices/hang-sen-40
-https://en.wikipedia.org/wiki/Economy_of_Hong_Kong
-https://en.wikipedia.org/wiki/Tourism_in_Hong_Kong
-https://www.ceicdata.com/…/indica…/hong-kong/tourism-revenue
-https://nypost.com/…/alibaba-ipo-plan-at-risk-amid-massive…/
-https://tradingeconomics.com/hong-kong/gdp-growth-annual
-https://www.scmp.com/…/hong-kongs-gdp-slows-05-cent-first-q…
-https://edition.cnn.com/…/hong-kong-economy-stim…/index.html
-https://www.linkedin.com/…/world-has-gone-mad-system-broken…