Primer (2004) | สำหรับคนอยากได้หนัง time travel แบบ hard sci-fi
สารภาพตรง ๆ เลยว่าตัวผมเองก็ใช่ว่าจะดู Primer แล้วแตกฉานในทุก timeline คู่ขนาน ยิ่งถ้าใครได้เห็น timeline chart ของหนังคงจะต้องทึ่งว่าเอ็งทำได้ซับซ้อนอะไรขนาดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะยืนยันได้คือมันเป็นหนังที่ไม่จำเป็นต้องดูรู้เรื่องทุกอย่างก็สามารถสนุกไปกับมันได้ นี่ดูจบผมก็ไปนั่งอ่าน faq ใน imdb ที่เขามาอธิบายกันยืดยาวเพื่อจะได้เข้าใจหนังมากขึ้น จึงสรุปสั้น ๆ ว่ามันเป็นหนังท่องเวลาที่ทำออกมาตอบโจทย์กลุ่มโหยหาหนัง hard sci-fi ชนิดที่ว่าต้องมานั่งคิดเป็นสิบตลบ
หนังเล่าเรื่องของวิศวกรสองคนที่บังเอิญตรวจสอบความผิดพลาดของสิ่งประดิษฐ์แล้วพบว่ามันทำให้เกิดการย้อนเวลา พวกเขาจึงเริ่มทดลองกับตัวเองเพื่อหาประโยชน์จากการท่องเวลา
ชอบตอนที่ตัวละครค้นพบว่าสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองทำให้เกิดการย้อนเวลา มันเกิดจากความช่างสังเกตและตั้งข้อสันนิษฐานอันเป็นพื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์/นักประดิษฐ์จริง ๆ คือตุ๊กตาล้มลุกที่ถูกทดลองในกล่องเป็นพันรอบมันเกิดมีเชื้อราสะสม พอเอาไปตรวจก็พบว่าการสะสมขนาดนี้มันต้องใช้เวลาถึง 5 ปี เขาจึงตั้งข้อสังเกตว่ามันอาจจะมีผลข้างเคียงที่ทำให้วัตถุเกิดการย้อนเวลาในทุก ๆ ครั้งที่ทำการทดลอง
อีกประการที่ชอบคือทุกการย้อนเวลามันจะเกิดโลกคู่ขนานขึ้น (ดู timeline chart ให้เห็นความซับซ้อน http://unrealitymag.bcmediagroup.netdna-cdn.com/…/primer-ch…) จะเห็นว่าตัวละครนำทั้งสองตัวมันปรากฎหลากหลายตัวตนในหนัง ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือพอ A1 B1 เข้าเครื่องย้อนเวลาเนี่ย พอออกมาหนังก็อาจจะเล่าของ A1 B2 ก็เป็นได้ หรือบางทีอาจจะครอสเป็น A2 B3 อะไรอย่างนั้นเลย ซึ่งมันยิ่งสร้างความโคตรงงงวยให้คนดู ขนาดอ่านชาร์ทยังมึนตึ้บเลย
แล้วทีนี้จะเห็นว่ามันจะมีบาง timeline ที่ไม่ปรากฎในหนัง ซึ่งหนังก็เปิดช่องให้ A หรือ B จากบางช่วงเวลาไปก่อวีรกรรมอะไรบางอย่างจนทำให้โลกของพวกเขามีตัวละครเพิ่มขึ้น ซึ่งข้อดีคือหนังไม่ได้อธิบายตรง ๆ ว่าทำไมถึงมีบุคคลที่ 3 ร่วมย้อนเวลาได้ เป็นการเปิดช่องให้คนดูจินตนาการถึงความน่าจะเป็นของเหตุการณ์เว้นว่างระหว่าง timeline ที่ไม่ได้กล่าวถึง อย่างไรก็ตามผู้กำกับก็ยังใจดีมาอธิบายเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ใน DVD commentary
กล่าวโดยสรุปแล้วผมเองก็ไม่ได้ดูแล้วเข้าใจไปเสียทั้งหมด แต่ด้วยความที่มันยาวแค่ 77 นาที และบรรยากาศโทนหนังมันก็ดูจริงจังมากจนเราไม่รู้จะจับผิดอะไร มีแต่จะต้องคิดตามให้ทันเท่านั้น จึงยังรู้สึกว่าเป็นการดูที่สนุก แต่ละเซอไพรส์ที่ปรากฎก็ชวนเหวอพอสมควร เป็นหนังที่คิดว่าคงต้องอ่านและดูซ้ำอีกหลายรอบจึงจะเข้าใจสมบูรณ์
Director: Shane Carruth (ผกก. Upstream Color)
writer: Shane Carruth
Genre: sci-fi, drama
7/10
Search