กรณีศึกษา ธุรกิจจัดอันดับเครดิต ที่ครองตลาดโดย 3 ราย /โดย ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึงตลาดที่มีผู้แข่งขันน้อยรายในวงการการเงินโลก
หลายคนคงนึกถึง Big 4 แห่งวงการตรวจสอบบัญชี
ที่มี Deloitte, PwC, EY และ KPMG เป็นรายใหญ่ในตลาด
แต่รู้หรือไม่ว่า มีอีกตลาดที่ถูกครองโดยบริษัทเพียง 3 ราย
นั่นก็คือ ตลาด “จัดอันดับเครดิต”
3 บริษัท ที่ว่านี้คือบริษัทอะไรบ้าง
แล้วอะไรที่ทำให้ 3 บริษัทนี้ ยึดพื้นที่ในตลาดจัดอันดับเครดิตได้เกือบทั้งหมด?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
พบกับ หนังสือ ลงทุนแมน 13.0 ที่อัดแน่นไปด้วยกรณีศึกษาและมุมมองธุรกิจที่น่าสนใจ
พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
บริษัทจัดอันดับเครดิต หรือ Credit Rating Agencies (CRAs)
บริษัทเหล่านี้ทำหน้าที่จัดอันดับความสามารถในการชำระหนี้คืน ของตราสาร หรือผู้ออกตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ เช่น หุ้นกู้, พันธบัตรรัฐบาล
การจัดอันดับ จะออกมาในรูปแบบของ “เรตติ้ง” ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้ ของผู้ออกตราสารทางการเงินนั้นๆ
โดยเรตติ้งจะเริ่มตั้งแต่ระดับสูงสุดที่ AAA คือ ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระน้อยที่สุด
ไปจนถึง D คือ มีโอกาสสูงในการผิดนัดชำระ
(แต่ละบริษัท อาจมีการแบ่งระดับเรตติ้งแตกต่างกัน)
นอกจากการให้เรตติ้งกับตราสารทางการเงิน
บริษัทเหล่านี้ ยังสามารถให้เรตติ้งกับรัฐบาลประเทศต่างๆ
เพื่อสะท้อนความสามารถในการชำระหนี้คืนของประเทศนั้นๆ ด้วย
คำถามต่อมาคือ แล้วบริษัทจัดอันดับเครดิตเหล่านี้ ทำรายได้อย่างไร?
รายได้หลักๆ ของธุรกิจนี้มาจาก
1. รายได้จากการ “เก็บค่าธรรมเนียมในการประเมินเครดิต” จากผู้ออกตราสารทางการเงิน
2. รายได้จากการ “ขายข้อมูลเครดิต” ที่ได้จากการรับประเมิน และข่าวสารต่างๆ ให้กับนักลงทุนหรือผู้ที่ต้องการข้อมูล ผ่านบริการอย่างเช่น ระบบสมาชิก (Subscription)
ที่น่าสนใจคือ ส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 95% ของตลาดจัดอันดับเครดิต ถูกครอบครองโดยบริษัทเพียง 3 ราย เท่านั้น
บริษัท 3 รายที่ว่า นั่นก็คือ
1. S&P Global Ratings
2. Moody’s Investors Service
3. Fitch Ratings
โดย S&P Global Ratings และ Moody’s Investors Service ครองส่วนแบ่งในตลาดนี้รวมกันประมาณ 80% และ Fitch Ratings ครองสัดส่วนอีก 15% ส่วนที่เหลืออีก 5% เป็นบริษัทอื่นๆ
ตลาดที่มีบริษัทใหญ่ๆ เพียงไม่กี่รายครองส่วนแบ่งเกือบทั้งตลาดแบบนี้ เราเรียกว่า “ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly)”
ซึ่งจุดเด่นอย่างหนึ่งของตลาดผู้ขายน้อยราย
คือบริษัทไม่กี่รายที่เป็นผู้ครองตลาด
สามารถสร้างสิ่งที่ทำให้บริษัทรายอื่นเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดได้ยาก
สิ่งนี้เรียกว่า “Barrier to Entry”
และ Barrier to Entry ของตลาดประเมินเครดิตนี้ ก็คือ “ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ”
แล้วบริษัทเหล่านี้สร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขึ้นมาอย่างไร?
ถ้าลองมาดูปีที่บริษัทเหล่านี้เริ่มทำธุรกิจ
- Standard and Poor’s มีจุดเริ่มต้นในปี 1860 หรือเมื่อ 160 ปีที่แล้ว
- Moody’s มีจุดเริ่มต้นในปี 1909 หรือเมื่อ 111 ปีที่แล้ว
- Fitch มีจุดเริ่มต้นในปี 1914 หรือเมื่อ 106 ปีที่แล้ว
จะเห็นว่า ทั้ง 3 บริษัท มีประสบการณ์มากกว่า 100 ปี
ซึ่งเราก็อาจสรุปได้ว่า ระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือให้กับทั้ง 3 บริษัท
ตรงนี้เองที่เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้บริษัทจัดอันดับเครดิตที่เพิ่งก่อตั้งรายอื่นเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งได้ยาก
เพราะบริษัทที่จะมาใช้บริการในการประเมินเครดิต ก็จะเลือกใช้ 3 บริษัทนี้เป็นอันดับแรกๆ
แต่อีกมุมหนึ่ง การที่ 3 บริษัทนี้มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือสูง มันก็มีประเด็นในด้านลบเกิดขึ้นเหมือนกัน
หลายครั้งที่บริษัทเหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าให้เรตติ้งสูงเกินควรกับลูกค้าบางรายเพื่อแลกกับผลประโยชน์ เพราะไม่ว่าบริษัทไหน ก็อยากได้เรตติ้งที่ดีจากบริษัทจัดอันดับเครดิตชั้นนำกันทั้งนั้น
ถ้าใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Big Short
ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเกิดวิกฤติสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ หรือวิกฤติซับไพรม์ในสหรัฐฯ ในช่วงปี 2008
จะเห็นว่าบางช่วงในภาพยนตร์ พยายามนำเสนอว่าบริษัทจัดอันดับเครดิตเหล่านี้ ให้เรตติ้งกับตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อบ้านหนุนหลังในระดับที่สูงจนเกินไป และนำมาซึ่งปรากฏการณ์ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ แตกในที่สุด
พอเป็นแบบนี้ หลายๆ ประเทศจึงมีการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาดูแลการดำเนินงานของบริษัทจัดอันดับเครดิต ให้รัดกุมมากขึ้น
อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา หลังจากเกิดวิกฤติซับไพรม์ ก็มีการปฏิรูปกฎหมายสำหรับควบคุม และตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทจัดอันดับเครดิตให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เช่น กำหนดให้บริษัทจัดอันดับเครดิตต้องเปิดเผยขั้นตอนและวิธีการของการประเมินเครดิตอย่างละเอียดให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีประเด็นในแง่ลบหลายครั้ง
แต่บริษัทจัดอันดับเครดิตรายใหญ่ทั้ง 3 เจ้านี้ ก็ยังครองตลาดนี้ได้เกือบ 100% ในปัจจุบัน
สรุปแล้ว ที่บริษัทจัดอันดับเครดิตทั้ง 3 แห่งสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดนี้ได้
สาเหตุหลักมาจากชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ ที่สร้างขึ้นจากการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน
จนทำให้ไม่ว่าใครๆ ก็อยากได้การจัดอันดับเครดิตจาก 3 บริษัทนี้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง
และเรื่องที่น่าสนใจของธุรกิจประเภทนี้คือ
ตราบใดที่สินทรัพย์ทางการเงินยังคงต้องการการรับรองความน่าเชื่อถือ
บริษัทจัดอันดับเครดิตเหล่านี้ ก็คงจะทำรายได้ต่อไปได้อีกเรื่อยๆ นั่นเอง..
╔═══════════╗
พบกับ หนังสือ ลงทุนแมน 13.0 ที่อัดแน่นไปด้วยกรณีศึกษาและมุมมองธุรกิจที่น่าสนใจ
พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.investopedia.com/articles/bonds/09/history-credit-rating-agencies.asp
-https://en.wikipedia.org/wiki/Credit_rating_agency
-https://www.fitchratings.com/
-S&P Global 2019 Annual Report.
-Moody’s 2019 Annual Report.
「pwc annual report」的推薦目錄:
pwc annual report 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
รู้จัก EY หนึ่งใน Big 4 ผู้ตรวจสอบบัญชีโลก / โดย ลงทุนแมน
“EY” หนึ่งในสี่บริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ของโลก
ที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า “Big 4”
รู้ไหมว่า กว่าจะมาเป็นบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีที่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้
EY มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาเป็นร้อยปี
จุดเริ่มต้นและความเป็นมาของผู้ตรวจสอบบัญชีรายนี้เป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 (ประมาณปี ค.ศ. 1840-1850)
เป็นช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษกำลังเฟื่องฟู
จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1780
บริษัทใหญ่ในประเทศอังกฤษถือกำเนิดขึ้นมากมาย
ซึ่งบริษัทเหล่านั้นต้องการนักบัญชี และที่ปรึกษาทางด้านการเงิน
เพื่อมาตรวจสอบการทำบัญชี และให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจ
ในปี ค.ศ. 1849 จุดเริ่มต้นของ EY ถือกำเนิดขึ้น..
นักบัญชีกลุ่มหนึ่งก่อตั้งบริษัทชื่อว่า Harding & Pullein ขึ้นในประเทศอังกฤษ
ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Whinney Smith & Whinney
ตามชื่อของ Frederick Whinney นักบัญชีที่มีชื่อเสียงของบริษัท
หลังจากนั้นไม่นาน ประเทศในยุโรปอื่นๆ และสหรัฐอเมริกาก็มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมตามประเทศอังกฤษ
ทำให้ในสหรัฐฯ ต้องการนักบัญชี และที่ปรึกษาในการทำธุรกิจมากขึ้นเช่นกัน
ในปี ค.ศ. 1903 Alwin และ Theodore พี่น้องนักบัญชีตระกูล Ernst
ร่วมกันก่อตั้งบริษัทตรวจสอบบัญชีชื่อว่า Ernst & Ernst ในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งภายหลัง Ernst & Ernst ก็ไปควบรวมกับ Whinney Smith & Whinney บริษัทตรวจสอบบัญชีมากประสบการณ์จากฝั่งอังกฤษ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Ernst & Whinney
ช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในปี ค.ศ. 1906
Arthur Young ชาวสกอตแลนด์ ก็ได้ตั้งสำนักงานตรวจสอบบัญชีชื่อ Arthur Young & Co. ในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ทั้ง Ernst & Whinney และ Arthur Young & Co.
ต่างก็เป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีที่โด่งดังและมีชื่อเสียง
และเป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 และ 5 ของโลกในช่วงปลายทศวรรษ 1980
ในที่สุด ในปี ค.ศ. 1989
Ernst & Whinney และ Arthur Young & Co. ก็รวมเป็นบริษัทเดียวกัน
แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า “Ernst & Young” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า EY ในทุกวันนี้
EY ได้ประโยชน์จากการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก
ทำให้ความต้องการนักตรวจสอบบัญชีและที่ปรึกษาทางธุรกิจเพิ่มขึ้นทั่วโลกเช่นกัน
ดังนั้นบริษัทตรวจสอบบัญชีที่มีชื่อเสียงรวมถึง EY ต่างพากันขยายสำนักงานไปทั่วโลก และเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน EY คือหนึ่งใน Big 4
หรือบริษัทตรวจสอบบัญชีที่ใหญ่สุด 4 รายแรกของโลก
โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
และมีพนักงานทั่วโลก กว่า 280,000 คน
เมื่อเทียบรายได้ปี 2019 กับบริษัทตรวจสอบบัญชียักษ์ใหญ่อีกสามแห่ง
Deloitte รายได้ 1.43 ล้านล้านบาท
PricewaterhouseCoopers (PwC) รายได้ 1.31 ล้านล้านบาท
Ernst & Young (EY) รายได้ 1.12 ล้านล้านบาท
KPMG รายได้ 0.92 ล้านล้านบาท
โดยที่รายได้ทุก 100 บาท ของ EY มาจาก
บริการให้ความเชื่อมั่นและตรวจสอบความถูกต้อง 35 บาท
การให้คำปรึกษาทางธุรกิจ 28 บาท
การวางแผนภาษี 26 บาท
การให้คำปรึกษาอื่นๆ 11 บาท
หลายคนอาจจะสงสัยว่า EY มีใครเป็นลูกค้าบ้าง
ลงทุนแมนลองเปิดดูรายงานประจำปีของหลายบริษัทก็พบว่า
Apple, Facebook, Amazon, McDonald’s ใช้บริการตรวจสอบบัญชีของ EY
ส่วนลูกค้าของ EY ในประเทศไทยที่เป็นบริษัทใหญ่ๆ ก็มีมากมาย
เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โฮมโปร, บีทีเอส กรุ๊ป, ดีแทค
โดยรายได้จากการตรวจสอบบัญชีของ EY ในประเทศไทย ในปี 2019
บริษัท สำนักงาน อีวาย จำกัด
รายได้ 2,179 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 250 ล้านบาท
และทั้งหมดนี้ ก็คือเรื่องราวของ EY
บริษัทตรวจสอบบัญชีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
ซึ่งน่าจะทำให้หลายคนหายสงสัยว่า
EY ย่อมาจากอะไร..
╔═══════════╗
อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.ey.com/cn/en/about-us/our-people-and-culture/our-history
-https://www.ey.com/en_gl/news/2019/09/ey-reports-record-global-revenues-of-us-36-4b-in-2019
-https://www.accountingin.com/accounting-historians-journal/volume-11-number-2/accountancy-and-the-british-economy-the-evolution-of-ernst-whinney-1840-1980/
-https://big4accountingfirms.com/big-4-accounting-firms-ranking/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Ernst_%26_Young
-เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
-Apple, Inc, Facebook, Inc, Amazon.com, Inc, McDonald’s Corporation Annual Report 2019.
-รายงานประจำปี 2019 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชัน จำกัด (มหาชน)