กรณีศึกษา “การยกธงขาว” ของห้างโตคิว ในประเทศไทย /โดย ลงทุนแมน
ช่วงนี้เราคงได้เห็นหลายธุรกิจพยายามดิ้นรน
และประคองตัวให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้
อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายธุรกิจ ที่ตอนนี้ต้องตัดสินใจยุติกิจการลง
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ห้างสรรพสินค้า “โตคิว”
ห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่นแห่งนี้
เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย กว่า 35 ปี
แต่วันนี้ โตคิว กำลังจะต้องลาประเทศไทยไปแล้ว
โตคิวคือใคร และน่าสนใจอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ห้างโตคิว (TOKYU) เป็นห้างสรรพสินค้าในเครือ โตคิว กรุ๊ป
ซึ่ง โตคิว กรุ๊ป คือบริษัทที่ทำธุรกิจหลากหลาย
อย่างเช่น พัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในโตเกียว, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และธุรกิจค้าปลีก
โตคิว กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 หรือเมื่อ 110 ปีที่แล้ว
โดยปัจจุบัน โตคิว กรุ๊ป จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวในประเทศญี่ปุ่น และมีมูลค่าบริษัทประมาณ 230,000 ล้านบาท
ห้างโตคิว ได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งปี พ.ศ. 2528 โดยเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง ซึ่งถ้านับถึงวันนี้ห้างสรรพสินค้าโตคิวในไทย มีอายุกว่า 35 ปี
ขณะที่ปัจจุบัน ห้างโตคิว ได้เช่าพื้นที่ของมาบุญครองเซ็นเตอร์ ทั้งหมด 4 ชั้น
และเช่าพื้นที่มากถึง 12,000 ตารางเมตร ซึ่งสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของบรรดาผู้เช่าทั้งหมดของมาบุญครองเซ็นเตอร์
ช่วงแรกที่ห้างโตคิวเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย
การแข่งขันในสมัยนั้นยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับปัจจุบัน
ทั้งจำนวนห้างสรรพสินค้าที่ยังมีไม่มาก
และการซื้อของออนไลน์ที่ยังไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนในปัจจุบัน
นอกจากนั้นแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา
ห้างโตคิว ก็ได้ผ่านวิกฤติต่างๆ ในประเทศไทยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ปี พ.ศ. 2540 วิกฤติต้มยำกุ้งที่มีศูนย์กลางของวิกฤติคือประเทศไทย
ปี พ.ศ. 2546 การระบาดของเชื้อไวรัส SARS
ปี พ.ศ. 2547 การระบาดของโรคไข้หวัดนก
ปี พ.ศ. 2549-2550 เหตุการณ์รัฐประหาร โดยคณะปฏิรูปการปกครอง
ปี พ.ศ. 2556-2557 วิกฤติการเมืองไทย และเหตุการณ์ “Shutdown Bangkok” ซึ่งกระทบต่อพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของห้างโตคิว
จะเห็นว่าในอดีตที่ผ่านมา ห้างโตคิวแห่งนี้ ก็เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมาตลอด แต่อย่างไรก็ตาม โตคิว ก็ยังคงผ่านวิกฤติเหล่านั้นมาได้
นอกจากนั้นแล้ว ห้างโตคิว ยังเคยขยับขยายไปเปิดสาขาที่สอง ที่ พาราไดซ์ พาร์ค บนถนนศรีนครินทร์ ในปี พ.ศ. 2558
แต่เนื่องด้วยสาขาที่ พาราไดซ์ พาร์ค ประสบผลขาดทุนต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน จึงทำให้ต้องยุติกิจการลงใน ปี พ.ศ. 2562 หลังจากเปิดไปได้เพียง 4 ปีเท่านั้น
ขณะที่ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยพร้อมทั้งรายได้ของประชากรไทยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้คนจำนวนมากมีกำลังใช้จ่ายมากขึ้น
เรื่องนี้ ตามมาด้วยการขยายตัวของธุรกิจศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า ที่เปิดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมาเป็นคู่แข่งสำคัญของโตคิว
วันนี้สิ่งที่เราเห็น ไม่เพียงแต่การแข่งขันภายในธุรกิจห้างสรรพสินค้าเท่านั้น
แต่ธุรกิจนี้ยังมีคู่แข่งทางอ้อม ที่สามารถแย่งจำนวนคนที่จะเดินทางมาห้างสรรพสินค้าไปได้
เช่น ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ (Hypermarket), ร้านค้าปลีกเฉพาะอย่าง (Specialty stores), คอมมิวนิตีมอลล์, ร้านขายสินค้าปลอดภาษีอากร (Duty-free) และ Outlet ที่ขายของลดราคา
เราจึงสังเกตได้ว่า ช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าเหล่านี้ กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดมากขึ้นทุกที
แต่คู่แข่งที่ดูจะน่ากลัวที่สุดในวันนี้ของบรรดาธุรกิจศูนย์การค้า คือ แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ หรือที่เราเรียกว่า “อีคอมเมิร์ซ”
รู้ไหมว่า มูลค่ารวมของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย เติบจาก 2 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2557 มาอยู่ที่ 4 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นการเติบโตถึงเท่าตัว ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น
ซึ่งเรื่องนี้ ก็ยิ่งส่งผลให้คนเดินทางไปศูนย์การค้าน้อยลงกว่าเดิม และทำให้รายได้ของห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง รวมถึง ห้างโตคิว ลดลงเรื่อยๆ
เมื่อรายได้ที่เข้ามามีน้อยลง แต่ค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) อย่างเช่น ค่าเช่าพื้นที่ห้าง หรือค่าจ้างพนักงานประจำ ไม่ได้ลดลงตาม
ก็ตามมาด้วยผลขาดทุนต่อเนื่องของบริษัท
ผลประกอบการ บริษัท กรุงเทพ-โตคิว สรรพสินค้า จำกัด
ปี พ.ศ. 2560 รายได้ 1,291 ล้านบาท ขาดทุน 288 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2561 รายได้ 1,238 ล้านบาท ขาดทุน 90 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2562 รายได้ 1,141 ล้านบาท ขาดทุน 194 ล้านบาท
และยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้น
เมื่อปีนี้เกิดการระบาดของโควิด 19 ทั่วโลก
จนประเทศไทย ต้องปิดประเทศไม่ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้
ห้างโตคิว ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ
ซึ่งเป็นโลเคชันยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ก็ได้รับผลกระทบหนักตามไปด้วย
ด้วยปัญหาขาดทุนสะสมหลายปี
บวกกับโรคระบาดที่กำลังทำให้นักท่องเที่ยวไม่เดินทางมาเหมือนเดิม และยังอาจส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปซื้อของออนไลน์ มากกว่าการออกมาเดินห้าง
ล่าสุด ห้างโตคิว ก็ต้องยอมยกธงขาว
เตรียมยุติกิจการในประเทศไทย ภายในเดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2564
ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้ไม่นาน Isetan ห้างสัญชาติญี่ปุ่นอีกราย ก็เพิ่งอำลาประเทศไทยไปเช่นกัน
การปิดตัวลงของห้างโตคิว อาจกำลังส่งสัญญาณเตือนธุรกิจห้างสรรพสินค้ารายอื่นๆ
ว่าวันนี้ ธุรกิจห้างสรรพสินค้าในวันข้างหน้า อาจไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยเห็นในอดีตอีกแล้ว
เพราะถ้าห้างสรรพสินค้า
ไม่สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดึงดูดใจให้คนเดินทางมาได้
ก็คงเป็นเรื่องยาก ที่จะเดินต่อไปในวันข้างหน้า..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://asia.nikkei.com/Business/Retail/Bangkok-s-Tokyu-store-to-close-in-latest-exit-by-Japanese-retailer
-https://en.wikipedia.org/wiki/Tokyu_Corporation
-https://en.wikipedia.org/wiki/2013%E2%80%932014_Thai_political_crisis
-https://etdadq.etda.or.th/node/11
-แบบฟอร์ม 56-1 ปี 2562, บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「retailer คือ」的推薦目錄:
- 關於retailer คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於retailer คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於retailer คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於retailer คือ 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
- 關於retailer คือ 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
- 關於retailer คือ 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
- 關於retailer คือ 在 MT Clinic ห้างอยู่ได้ คนขายต้องอยู่รอด - สำหรับสินค้า FMCG หากยึด ... 的評價
retailer คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
กรณีศึกษา GU ร้านเสื้อผ้าราคาถูก ในเครือ UNIQLO / โดย ลงทุนแมน
ถ้าเราคิดว่า UNIQLO ขายเสื้อผ้าในราคาที่รับได้แล้ว
รู้หรือไม่ว่าในต่างประเทศ UNIQLO ยังมีร้านในเครือ
ที่ขายเสื้อผ้าราคาถูกกว่า UNIQLO เสียอีก
ในช่วงที่ผ่านมา ร้านขายเสื้อผ้าราคาถูก แบบ Fast Fashion หลายแห่ง กำลังประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็น..
H&M ที่มีกำไรลดลงกว่า 20%
FOREVER 21 ที่กำลังจะล้มละลาย
แต่มีอยู่รายหนึ่งที่ยอดขายกลับยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งสวนทางกับคู่แข่ง
นั่นคือร้านที่ชื่อว่า “GU” ซึ่งอยู่ในเครือของ UNIQLO
เรื่องราวของแบรนด์นี้เป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
GU คือร้านขายสินค้าแฟชั่น จากประเทศญี่ปุ่น
ก่อตั้งขึ้นในปี 1973 หรือเมื่อ 46 ปีที่แล้ว
โดยอยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัท Fast Retailing ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ชั้นนำอย่าง UNIQLO
สำหรับชื่อร้าน GU (อ่านว่า จี-ยู) นั้นมาจากคำในภาษาญี่ปุ่น ที่แปลว่า อิสระ
ซึ่งนี่ถือเป็นแนวทางในการทำธุรกิจ ที่ต้องการช่วยให้ผู้บริโภค เป็นอิสระจากเสื้อผ้าราคาแพง
ทำให้ร้านมีกลยุทธ์การขาย ที่แตกต่างจาก UNIQLO อย่างชัดเจน
UNIQLO จะออกแบบเสื้อผ้า โดยเน้นด้านนวัตกรรมและคุณภาพที่ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า
ในทางตรงกันข้าม GU จะเน้นขายเสื้อผ้าแบบ Fast Fashion ตามแนวโน้มของตลาด ให้กับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น ในราคาที่ต่ำกว่า UNIQLO 30-50%
ซึ่งขณะนี้ ผลการดำเนินงานของ GU ก็กำลังขยายตัวต่อเนื่อง และเป็นส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตให้กับบริษัทแม่
ปี 2018
รายได้ 59,000 ล้านบาท
กำไรจากการดำเนินงาน 3,300 ล้านบาท
ปี 2019 (บริษัทปิดบัญชีรอบปีในเดือนสิงหาคม)
รายได้ 67,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%
กำไรจากการดำเนินงาน 7,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139%
ทำให้ปัจจุบันรายได้และกำไรของ GU คิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 10 ของบริษัท Fast Retailing
สาเหตุที่ร้านนี้ ยังคงดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดี สวนทางกับบริษัท Fast Fashion รายอื่นๆ
อาจเป็นเพราะ GU ได้มีการนำแนวทางของ UNIQLO มาประยุกต์ใช้ด้วย
นอกจากจะขายเสื้อผ้าที่อิงตามเทรนด์ตลาดแล้ว GU ได้พยายามแบ่งสัดส่วน มาขายสินค้าเอกลักษณ์ของร้านที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยด้วย เหมือนกับที่ UNIQLO มีเสื้อผ้า HEATTECH และ AIRism
โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมของ GU คือ กางเกงยีนส์ ในราคา 990 เยน หรือประมาณ 300 บาท
รวมทั้งการที่ Fast Retailing เป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีเครือข่ายกระบวนการผลิตแบบครบวงจร ทำให้ร้านได้ประโยชน์ในแง่ของต้นทุนต่อหน่วย และยังสามารถนำเสนอสินค้าออกมาสู่ตลาดได้เร็วกว่าคนอื่น
ด้วยเหตุนี้ GU จึงกำลังมองหาโอกาสขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ โดยจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 50 แห่งในภูมิภาคเอเชีย จากเดิมที่มีสาขาอยู่ในญี่ปุ่น 422 แห่ง
ซึ่งร้านจะปรับสไตล์สินค้าให้เข้ากับความชื่นชอบของผู้บริโภคท้องถิ่น เนื่องจากในแต่ละประเทศเป้าหมาย มีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนกว่าญี่ปุ่น
และ GU ยังถือเป็นหนึ่งในร้านที่นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกในการชอปปิงให้กับลูกค้า เช่น การติดตั้งเครื่องอัตโนมัติ สำหรับให้ชำระเงินด้วยตนเองได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ร้าน Fast Fashion รายอื่นๆ กำลังลำบาก
คือ การที่ผู้บริโภคในตลาดต้องการสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม
มากกว่าสินค้าราคาถูกแต่ใช้งานได้ไม่กี่ครั้งก็ต้องโละทิ้ง
ดังนั้นในระยะยาว “การรักษาคุณภาพ” คงเป็นความท้าทายที่ GU จะต้องเผชิญหน้าและรับมือต่อไป
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า
ถึงแม้ว่าภาพใหญ่ของอุตสาหกรรม จะมีแนวโน้มชะลอตัวลง จนผู้เล่นในตลาดเริ่มล้มหายตายจาก
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเป็นอย่างนั้นด้วยเสมอไป
เพราะถ้าหากเรารู้จักเรียนรู้ข้อผิดพลาดของผู้ที่ล้มเหลว
ข้อดีของผู้ที่ประสบความสำเร็จ
และนำสิ่งเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ ให้เข้ากับจุดเด่นของตัวเอง
สุดท้ายเราก็อาจจะสามารถเอาตัวรอด และเติบโตได้ ดังเช่นกรณีของร้าน GU
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://en.m.wikipedia.org/wiki/GU_(retailer)
-https://asia.nikkei.com/…/Uniqlo-sister-chain-aims-for-fast…
-https://www.businessoffashion.com/…/uniqlo-sister-brand-see…
-https://www.fastretailing.com/eng/ir/financial/summary.html
retailer คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
UNIQLO กำลังรุกตลาดอินเดีย / โดย ลงทุนแมน
“ศักยภาพของประเทศอินเดียไม่ต่างอะไรไปจากประเทศจีน หรือ มันอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ..”
ประโยคนี้กล่าวโดย Tadashi Yanai ซีอีโอของ UNIQLO ซึ่งเป็นบุคคลที่รวยสุดในประเทศญี่ปุ่น
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา..
UNIQLO ประกาศการลงทุนครั้งใหญ่ในการขยายธุรกิจไปยังประเทศอินเดีย
แต่ที่น่าสนใจ คือ ZARA เข้ามาทำธุรกิจในประเทศอินเดียมากว่า 9 ปีแล้ว
เช่นเดียวกับ H&M ที่เริ่มทำธุรกิจในประเทศนี้มาแล้ว 4 ปี..
แล้วทำไม UNIQLO
ถึงเพิ่งเริ่มลงทุนในประเทศอินเดีย?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เรื่องแรกก็คือ ความซับซ้อนของธุรกิจแฟชั่นในประเทศโซนเอเชียใต้ และตะวันออกกลาง
เนื่องจากวัฒนธรรม และความเคร่งครัดทางศาสนา
จากบทวิเคราะห์ของ McKinsey ระบุว่า..
ปัจจุบัน ผู้หญิงชาวอินเดียกว่าร้อยละ 70 ยังเลือกซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นท้องถิ่น
ถึงแม้ว่าเทรนด์จะเปลี่ยนมาเป็นแฟชั่นสมัยใหม่ แต่ก็ยังเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
มีการคาดการณ์ว่า ปี 2023 ส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจแฟชั่นในประเทศอินเดีย จะแบ่งออกเป็น
เสื้อผ้าแฟชั่นท้องถิ่น 65%
เสื้อผ้าแฟชั่นสมัยใหม่ 35%
หมายความว่า แบรนด์เสื้อผ้าทั่วโลก ต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งเค้กชิ้นที่ เล็กกว่า..
แต่ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1,370 ล้านคน
การขยายตัวของ GDP ที่ร้อยละ 6 ถึง 8
รวมถึงการเติบโตของธุรกิจเสื้อผ้าในประเทศอินเดีย
ปี 2010 มูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท
ปี 2022 มูลค่า 2.8 ล้านล้านบาท
จึงทำให้การขยายธุรกิจเสื้อผ้าในประเทศอินเดีย ยังเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ..
อย่างไรก็ตาม กฎหมายประเทศอินเดียระบุให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนและถือหุ้นเกินกว่า 51% จำเป็นที่จะต้องจัดหาแหล่งวัตถุดิบในประเทศมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30% ของต้นทุนการผลิต..
เรื่องนี้ทำให้..
ZARA ซึ่งก่อตั้งในประเทศอินเดียในปี 2010
เลือกที่จะร่วมทุนกับ Tata Group เครือธุรกิจใหญ่สุดในประเทศอินเดีย
ในขณะที่ ปี 2014 H&M เลือกที่จะก่อตั้งบริษัทเอง
โดยบริษัทยินยอมที่จะจัดหาวัตถุท้องถิ่นให้ได้ตามที่กฎหมายกำหนด
เรามาดูภาพรวมปีที่ผ่านมาของทั้ง 2 บริษัท..
ZARA ประเทศอินเดีย
รายได้ 6,172 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 18% และมีจำนวน 22 สาขา
H&M ประเทศอินเดีย
รายได้ 4,292 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 29% และมีจำนวน 42 สาขา
ถึงแม้ว่า ZARA จะมีรายได้ที่สูงกว่า จากการเริ่มลงทุนก่อนหน้า H&M 5 ปี แต่ H&M มีอัตราการเติบโตที่มากกว่า และขยายสาขาได้มากกว่า
ซึ่งเหตุผลหลักมาจากการที่ ZARA ร่วมทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งในบางครั้งจะทำให้ตัดสินใจช้าลง ลงมือทำช้าลง ขั้นตอนทางธุรกิจมากขึ้น ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับธุรกิจ Fast Fashion ที่ต้องขยับตัวไว..
และหากรายได้ทั้งสองบริษัทเติบโตในอัตราเท่าเดิม รายได้ H&M จะมากกว่า ZARA ในที่สุด
ทั้งหมดนี้ จึงกลายมาเป็นกรณีศึกษาให้ UNIQLO ตัดสินใจขยายธุรกิจในประเทศอินเดียปีนี้
โดยเลือกวิธีการลงทุนแบบ H&M คือ การลงทุนเองทั้งหมด ทั้งโรงงานการผลิต การขยายสาขา และจัดหาวัตถุดิบท้องถิ่นตามมูลค่าขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด
แล้วผลประกอบการ UNIQLO ตอนนี้เป็นอย่างไร?
ปี 2017 รายได้ 5.2 แสนล้านบาท กำไร 3.4 หมื่นล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 6.0 แสนล้านบาท กำไร 4.4 หมื่นล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 6.4 แสนล้านบาท กำไร 4.6 หมื่นล้านบาท
โดยรายได้ทุกๆ 100 บาทของ UNIQLO มาจาก
UNIQLO ต่างประเทศ 45 บาท
UNIQLO ญี่ปุ่น 38 บาท
GU และ Global Brands 18 บาท
แสดงให้เห็นว่า UNIQLO ประสบความสำเร็จสูงกับการลงทุนในต่างประเทศ
จนรายได้หลักของบริษัทเติบโตแซงหน้าธุรกิจในประเทศบ้านเกิด
ก็น่าติดตามว่า..
การเริ่มต้นของ UNIQLO หลังคู่แข่งอย่าง ZARA และ H&M จะทำได้ดีขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม ข้อได้เปรียบของ UNIQLO คือการได้เรียนรู้จากคู่แข่ง
ได้ประเมินความพร้อมของตลาด
โดยที่ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์..
หากเราอยากเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรแล้วกลัวว่า เราจะเริ่มช้ากว่าคนอื่น
จริงๆ แล้ว การที่เราเริ่มช้ากว่า
มันสามารถทำให้เราได้รู้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จทำอย่างไร
และนั่นมันอาจเป็นความได้เปรียบของคนที่เริ่มช้ากว่า ก็เป็นได้..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://asia.nikkei.com/Business/Company-in-focus/Uniqlo-dreams-big-as-it-enters-India-its-new-China
-https://www.mckinsey.com/~/media/McKinsey/Industries/Retail/Our%20Insights/The%20State%20of%20Fashion%202019%20A%20year%20of%20awakening/The-State-of-Fashion-2019-final.ashx
-https://www.statista.com/statistics/263617/gross-domestic-product-gdp-growth-rate-in-india/
-https://www.fastretailing.com/eng/ir/library/pdf/fr_ir_e_n20191010_4q_summary.pdf
-https://finance.yahoo.com/quote/FRCOY/financials?p=FRCOY
-https://www.fastretailing.com/eng/ir/library/earning.html
-https://www.mckinsey.com/industries/retail/our-insights/how-indias-ascent-could-change-the-fashion-industry
-https://www.worldometers.info/world-population/india-population/
-https://economictimes.indiatimes.com/industry/services/retail/japanese-retailer-uniqlo-debuts-in-india/articleshow/71432955.cms
retailer คือ 在 MT Clinic ห้างอยู่ได้ คนขายต้องอยู่รอด - สำหรับสินค้า FMCG หากยึด ... 的推薦與評價
ส่วน MTSR = Modern Trade Semi Retailer หรือ Local Modern Trade ใหญ่ๆ ... จุดเด่นอีกเรื่องคือ อยู่ใกล้ชิดคนในพื้นที่ เข้าใจพฤติกรรม ... ... <看更多>