บิดาแห่ง Antivaxxers - นักวิจัยผู้บิดเบือนผลการทดลองวัคซีนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
โรคหัดเคยเป็นโรคหนึ่งที่คร่าชีวิตเด็กทั่วโลกไปกว่าปีละ 2.6 ล้านคน จนกระทั่งเริ่มมีการผลิตวัคซีน MMR หรือ หัด คางทูม หัดเยอรมัน ขึ้นมาในปี 1971 โดยใช้ไวรัสมีชีวิตจากไวรัสที่ทำให้ก่อโรคทั้งสาม ทำให้อ่อนกำลังลง ปัจจุบัน วัคซีน MMR นี้เป็นวัคซีนหลักที่กว่า 100 ประเทศทั่วโลกฉีดให้เด็กกว่า 100 ล้านคนทุกปี ส่งผลทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือเพียง 122,000 คน ในปี 2012 ซึ่งส่วนมากเกิดขึ้นในประเทศด้อยพัฒนา
แต่ในปี 1998 งานวิจัยที่นำโดย Andrew Wakefield ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสาร The Lancet พร้อมทั้งได้ออกแถลงข่าวผลงานวิจัย ที่ได้ศึกษาเด็ก 12 คนที่มีอาการของ autism และได้ตรวจพบอาการใหม่ในเด็ก 8 จาก 12 คน ที่เรียกว่า “autistic enterocolitis” ที่ทีมนักวิจัยอ้างว่าเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีน และมีความเชื่อมโยงระหว่างโรคในระบบทางเดินอาหารที่พบกับการพัฒนาการที่นำไปสู่โรคออทิซึ่ม ในการแถลงข่าวนี้ Wakefield จึงได้เรียกร้องให้มีการหยุดให้ MMR vaccine โดยสิ้นเชิง จนกว่าผลกระทบจะได้รับการศึกษาอย่างถี่ถ้วน และทดแทนด้วยการฉีดวัคซีนแยกชนิดกันแทน
ซึ่งผลของงานวิจัยนี้แน่นอนว่าสร้างความสะท้านไปทั่วโลก เนื่องจากวัคซีน MMR เป็นวัคซีนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากไปแล้วในปัจจุบัน และการค้นพบความเชื่อมโยงของผลเสียของวัคซีนต่อพัฒนาการของเด็ก ที่นำไปสู่โรคออทิซึ่มนั่น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากต่อสื่อทั่วโลก
แต่… ในเวลาที่ตามมา ความไม่ชอบมาพากลหลายๆ อย่างเกี่ยวกับ “งานวิจัย” นี้ ก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาให้เห็น นักข่าว Brian Deer ได้ไปขุดพบเอกสารที่บ่งชี้ว่า Wakefield ได้มีการยื่นขอสิทธิบัตรในการทำวัคซีนแยกเข็มเดี่ยว ก่อนที่จะมีการทำงานวิจัยที่เรียกร้องให้มีการยกเลิกเข็มรวมไปแยกเป็นเข็มเดี่ยว รวมไปถึงแผนที่จะหากำไรจากการผลิตเครื่องตรวจออทิซึ่มที่อาจทำเงินได้ถึง $43 ล้านต่อปี มีการเปิดเผยให้เห็นว่าก่อนจะเกิดการทดลองนี้ขึ้น ผู้ปกครองของเด็กทั้ง 12 คนนี้กำลังติดต่อกับทนายความเพื่อที่จะดำเนินคดีต่อผู้ผลิตวัคซีน และได้มอบเงิน 55,000 ปอนด์แก่รพ. เพื่อทำงานวิจัยชิ้นนี้ นอกจากนี้ตัว Wakefield เองยังได้รับเงินกว่า 400,000 ปอนด์จากเหล่าทนายที่กำลังเตรียมคดีฟ้องผู้ผลิตวัคซีน MMR ซึ่งในกรณีนี้ในทางวิชาการนั้นจัดว่าเข้าข่าย “มีผลประโยชน์ทับซ้อน” (Conflict of Interest) ที่ Wakefield ไม่ได้แจ้งไว้แต่ในภายแรก
แม้ว่าจะไม่ถึงกับห้ามทำงานวิจัยเมื่อมีผลประโยชน์ทับซ้อนเสียทีเดียว แต่การไม่แจ้ง Conflict of Interest นั้นนับเป็น Research Misconduct ที่ค่อนข้างร้ายแรง แน่นอนว่าการมีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้นส่งผลเป็นอย่างยิ่งต่อความเป็นกลางของผู้ทำการทดลอง ซึ่งหากผู้รีวิวได้รับรู้ถึง Conflict of Interest ล่วงหน้า และเป็นที่แน่ชัดว่าผู้ทำวิจัยนั้นได้รับผลประโยชน์บางอย่างหากผลงานวิจัยจะออกไปในทางใดทางหนึ่ง เจตนารมณ์และความเป็นกลางของผู้วิจัยย่อมจะต้องถูกนำมาตั้งคำถาม และตัวงานวิจัยจะต้องถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วนยิ่งขึ้น เช่นเดียวกัน ในโลกปัจจุบันผู้ผลิตวัคซีนแต่ละชนิดนั้นเป็นผู้ที่จะต้องทำงานวิจัยเพื่อยืนยันผลด้วยตัวเอง ซึ่งฝ่าย reviewer ก็จะคาดหวังมาตรฐานที่สูงกว่าเพื่อแสดงให้เห็นว่าในทุกขั้นตอนการวิจัยนั้นไม่ได้มีการ “ตุกติก” หรือแก้ผลเพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ
สำหรับวารสาร Lancet นั้น ตัว editor-in-chief เองก็ได้ออกมาบอกในภายหลังว่า งานวิจัยของ Wakefield นั้นมีจุดบกพร่องเป็นอย่างมาก และหากเหล่า peer reviewer ได้แจ้งถึง Conflict of Interest อย่างชัดเจนแต่แรกแล้ว น่าจะไม่มีทางที่งานวิจัยนี้จะได้รับการรับรองแต่แรก
นอกไปจากนี้ Wakefield ได้ทำการเปิดแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ตั้งแต่ก่อนที่งานวิจัยจะได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งในทางการวิจัยแล้วจัดเป็น “Science by press conference” (การทำงานวิจัยผ่านการแถลงข่าว) ซึ่งขัดต่อหลักการงานวิจัยที่ควรจะเป็น นั่นคือนักวิจัยควรจะมีหน้าที่ได้รับการยอมรับและติติงและยืนยันผลจากนักวิจัยด้วยกันก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน เพราะงานวิจัยนั้นควรจะทำไปเพื่อหาความจริง ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง และเมื่อพิจารณาจาก Conflict of Interest ของ Wakefield ที่กล่าวเอาไว้ล่วงหน้าแล้วนั้นก็ยิ่งทำให้อดตั้งคำถามถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของผู้วิจัยไม่ได้
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ งานวิจัยที่ผู้อื่นพยายามทำต่อมาในเบื้องหลังนั้น ไม่ได้ค้นพบผลที่ยืนยันการค้นพบเดิมของ Wakefield แต่อย่างใด ในปี 2005 BBC ได้อ้างอิงถึงงานวิจัยหนึ่งที่ได้ทดลองตรวจเลือดเด็กที่มีอาการออทิซึ่ม 100 คน และ 200 คนที่ไม่มีอาการ และพบว่ากว่า 99% นั้นไม่ได้มีเชื้อโรคหัดเท่าๆ กันทั้งสองกลุ่ม Institute of Medicine (IOM), United States National Academy of Sciences, CDC, UK National Health Service ต่างก็ไม่พบความเชื่อมโยงใดๆ ทั้งสิ้นระหว่างโรคออทิซึ่มและ MMR ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีการฉีดวัคซีนสามอย่างนี้แยกจากกัน ก็ไม่ได้พบว่ามีอัตราการเกิดออทิซึ่มแตกต่างจากประเทศอื่นที่ใช้ MMR รวมกันแต่อย่างใด นอกไปจากนี้ รีวิวต่างๆ ในวารสารงานวิจัยทางการแพทย์ก็ไม่เคยพบความเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนกับออทิซึ่ม หรือแม้กระทั่งโรคระบบทางเดินอาหาร และก็ไม่เคยมีใครค้นพบ “autistic enterocolitis” ที่ Wakefield อ้างอิงถึงในงานวิจัยแต่อย่างใด
ผลสุดท้าย UK General Medical Council (แพทยสภาของอังกฤษ) ก็ได้เปิดการไต่สวน และได้ตัดสินว่า Andrew Wakefield ได้ทำความผิดร้ายแรง ฐานไม่สุจริต 4 กระทง ใช้ประโยชน์จากเด็กที่มีพัฒนาการต่ำ 12 กระทง ทำการทดลองที่ไม่จำเป็นและไร้ความรับผิดชอบต่อเด็กในการทดลอง การทดลองไม่ได้ผ่านบอร์ดคณะกรรมการจริยธรรม และไม่ยอมเปิดเผยถึงผลประโยชน์ทับซ้อน และ GMC ได้ระบุว่า Wakefield นั้น “ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงต่อความรับผิดชอบในหน้าที่ของแพทย์ผู้ให้คำปรึกษา” จึงได้ถอด Andrew Wakefield ออกจากทะเบียนแพทย์ และยึดใบประกอบโรคศิลป์ในประเทศอังกฤษ
ส่วนตัววารสาร Lancet เองก็ได้ยื่น full retraction ถอดถอนงานวิจัยนี้ออกไป โดยตัว co author 10 จาก 12 คนในงานวิจัยนี้ก็ได้ออกมายื่นขอ retract เช่นเดียวกัน โดยกล่าวว่าแม้การค้นพบจะตั้งคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน แต่ตัวงานวิจัยนั้นไม่สามารถยืนยันถึงความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยทั้งสองได้แต่อย่างใด
แต่แม้ว่างานวิจัยจะถูกถอดถอน ผู้ทำวิจัยจะถูกปลดจากวิชาชีพไปแล้ว แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยลวงโลกนี้ก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว มีการประเมินว่างานวิจัยที่ตีพิมพ์โดย Lancet นี้ อาจจะเป็น “ข่าวลวงโลกที่ร้ายแรงที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20” เพราะนับแต่นั้นมา ทั้งในอังกฤษและไอร์แลนด์ต่างก็พบว่ามีผู้ปกครองที่ปฏิเสธวัคซีนเพิ่มมากขึ้น จนโรคหัดและคางทูมเริ่มกลับมาระบาดอีกครั้งหนึ่งในหมู่ผู้ที่ปฏิเสธวัคซีน และกระแส Anti-vaccine หรือที่เราเรียกกันว่า “Antivaxxers” ก็เริ่มจุดติดนับแต่นั้นเป็นต้นมา และหนึ่งในข้อกล่าวอ้างของผู้ที่ปฏิเสธวัคซีนที่แพร่หลายมากที่สุดก็คือ “วัคซีนทำให้เกิดโรคออทิซึ่ม” ซึ่งก็เริ่มต้นมาจากงานวิจัยลวงโลกของ Andrew Wakefield นี้นั่นเอง จนในทุกวันนี้ ชาวอเมริกันจำนวนมากที่สามารถเข้าถึงวัคซีน mRNA ใหม่ที่ป้องกันโควิด-19 กลับปฏิเสธที่จะรับวัคซีนฟรีจากความกลัววัคซีน ที่ Andrew Wakefield เป็นผู้ก่อ
ส่วนเจ้าตัวก่อเรื่องเองนั้น… แน่นอนว่าเขาก็ยังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยยังยืนยันผลเดิมว่าวัคซีนทำให้เกิดโรคออทิซึ่ม และเขาเองนั้นไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ทั้งสิ้น แต่เขาต้องเป็นจำเลยของสังคม เขามีปากเสียงกับ Brian Deer นักข่าวผู้เปิดโปงและแฉเขาอยู่บ่อยๆ ซึ่ง Deer ก็ได้ออกมาตอบโต้ว่า “ถ้าคิดว่าไม่จริงก็ฟ้องมาสิ มาพิสูจน์กันเลย แล้วถ้าผมโกหกคุณก็จะกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในอเมริกา” ซึ่งที่ผ่านมา Wakefield ก็ได้ถอนการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทไปทุกกรณี และ Brian Deer ก็ได้รับรางวัลเป็น UK's specialist journalist of the year ใน the British Press Awards จากกรณีเปิดโปง Wakefield นี้
ปัจจุบัน Andrew Wakefield ได้ย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเหล่าสาวก Antivaxxer อยู่จนถึงทุกวันนี้ เป็นหนึ่งในแกนนำที่คอยเรียกร้องต่อต้านกม. ที่จะบังคับให้คนฉีดวัคซีนอยู่เสมอ รวมไปถึงเป็นผู้กำกับภาพยนต์สารคดีลวงโลกเรื่อง Vaxxed: From Cover-Up to Catastrophe และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ได้รับจากความโด่งดังอันเกิดจากงานวิจัยลวงโลกเช่นนี้อยู่ต่อไป
หมายเหตุ: ปัจจุบันไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น ที่สามารถเชื่อมโยงการเกิดโรคออทิซึ่ม กับการฉีดวัคซีน
อ้างอิง/อ่านเพิ่มเติม:
[1] https://en.wikipedia.org/wiki/MMR_vaccine
[2] https://en.wikipedia.org/wiki/Lancet_MMR_autism_fraud
[3] https://en.wikipedia.org/wiki/Andrew_Wakefield
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「science misconduct」的推薦目錄:
- 關於science misconduct 在 มติพล ตั้งมติธรรม Facebook 的最佳貼文
- 關於science misconduct 在 堅離地城:沈旭暉國際生活台 Simon's Glos World Facebook 的精選貼文
- 關於science misconduct 在 Charles Mok 莫乃光 Facebook 的最佳解答
- 關於science misconduct 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最讚貼文
- 關於science misconduct 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
- 關於science misconduct 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
science misconduct 在 堅離地城:沈旭暉國際生活台 Simon's Glos World Facebook 的精選貼文
【#TheDiplomat: 沈旭暉隨緣家書英文版🇭🇰】很久沒有向國際關係評論網 The Diplomat 供稿,但國際線十分重要,不應放棄。這次他們希望分享23條、國安法、反恐法風雨欲來的「新香港」前瞻,願國際社會能多了解快將出現的危機:
While the world is preoccupied with a fight against the COVID-19 pandemic, Beijing has been tightening its political grip on all aspects of Hong Kong’s civil society. Rumor has it that Beijing will push through legislating national security laws under Article 23 of Hong Kong’s Basic Law by unconventional means, such as massively disqualifying pro-democratic legislators or even directly applying a national law, widely argued as a major step to destroy the rights and freedom of Hong Kongers, and bring Chinese authoritarianism to Hong Kong.
After the 2019 protests, the administration of Carrie Lam, who theoretically is still leading the special administrative region of China, has little political capital at stake, with its legitimacy reaching rock bottom. The pro-government camp has dwindling prospects for the city’s upcoming Legislative Council election. The government‘s ”nothing to lose“ mentality is apparent from its recent blatant reinterpretation of the Basic Law’s Article 22 (another article that limits the influence of China’s offices in Hong Kong’s internal affairs). The debate is nothing new, but the pressure this time is quite different.
This article highlights the different strategies Beijing could adopt to enact Article 23 insidiously or under disguise to avoid backlash from the international community, while continuing to reap benefits from the city’s globally recognized special status. This seems to be part of Beijing’s brinkmanship to bring Hong Kong protesters and their supporters to their knees and move the city closer to authoritarianism. To counter these moves, Hong Kongers must define the boundaries beyond which Hong Kong falls into authoritarian rule and make a case as to why the city’s downfall is detrimental to the international community‘s interest.
The Long-Term Controversy Over National Security Laws
Back in 2003, the implementation of Article 23 was thwarted by the moderate pro-establishment politician James Tien. In face of overwhelming public disapproval of the law, he withdrew support and votes from his Liberal Party. However, 17 years later, it is hard to imagine Beijing following the old legislative playbook: start with a public consultation, followed by public discourse and political debate, and end with the majority rule. This playbook only works in peaceful societies ruled by a trustworthy government with integrity.
The aftermath of 2003, as well as the 2019 protests, should have taught Beijing and the Hong Kong government a lesson: pushing through national security legislation in a flawed parliament controlled by the minority pro-government camp would inevitably set off another full city-scale protest — and undoubtedly more fierce and focused this time. Given the current government’s numerous displays of dishonesty, it is conceivable that they will embark on a less-traveled path to implement Article 23.
Strategy One: “Anti-Terrorism”
In principle, one possible strategy could be to directly enact Chinese national law across Hong Kong, which can be achieved by declaring a state of emergency in the city. However, this is risky business as it would tarnish the integrity of “one country two systems” and subsequently Hong Kong’s international standing. Beijing, a risk-averse regime, is also unwilling to see Hong Kong’s status as a middleman for laundering money disappear into thin air.
Instead, Beijing could be concocting a narrative that would see Chinese national law applied to Hong Kong while not damaging Hong Kong’s international standing and Beijing’s own interests. The key word in this script is “anti-terrorism.” As early as 2014, pro-Beijing scholars have been claiming the emergence of “local terrorist ideology” on Hong Kong soil. Since the anti-extradition bill protests last year, government rhetoric frequently described the protests, which caused no deaths at all in the entire year, with phrases like “inclination to terrorist ideology.” That was a signal to the world that Hong Kong’s internal conflicts had ballooned into a national security issue. This gives the government the legitimacy to justify the implementation of Chinese national laws across the highly autonomous region to counter terrorism. The Chinese government knows that if it can persuade the world that terrorism exists in Hong Kong, and that it is as severe as the terror threat facing many other nations today, the international community will be less critical of Beijing’s actions in Hong Kong. Enacting Chinese laws directly is a convenient path that will save Beijing from having to tackle Hong Kong’s internal conflicts, basically turning the Hong Kong issue into a nonissue.
Strategy Two: Stacking the Legislature by Disqualifying Candidates
An even bolder strategy was probably foretold by a recent incident where the Hong Kong government and Beijing’s agencies for Hong Kong affairs (HKMAO and the Liaison Office) jointly criticized lawmaker Dennis Kwok for filibustering, framing it as “misconduct in public office” and “violating his oath.” It is incomprehensible to claim that filibustering goes against a lawmaker’s main duty; rather, it is common understanding that legislative work includes debating the law and representing public opinion against unreasonable laws. In a parliament controlled by the minority, pro-democratic members representing the majority of Hong Kongers are forced to express their objections using means like filibustering. Wouldn’t a lack of different political opinions turn the legislative branch into a rubber-stamp institution?
The above allegation has set a dangerous precedent for twisting the logic behind a certain provision in the Basic Law to target opposing lawmakers. In other words, to fulfill Beijing’s interpretation of the principal requirement for holding public office in Hong Kong, one could be required to take a meticulously legalistic approach to uphold the Basic Law down to its every single wording. A public official, by this new definition, not only needs to support “one country, two systems” or object Hong Kong independence, but also must abide by every single provision in the Basic Law. Worst of all, based on the previous cases, whether an official’s words or actions oversteps a provision is up to Beijing’s interpretation of his/her “intent.”
If this approach is applied, in the next election, there might be additional official questions for screening candidates like the following: “The Basic Law states that the enactment of Article 23 is a constitutional duty. Failing to support Article 23 legislation violates the Basic Law. Do you support it?” This question would suffice to disqualify even moderate or even pro-establishment candidates like James Tien. Even if any pro-democratic candidates were elected, once Article 23 re-enters the legislative process, they could risk ouster by raising objections.
Despite the absurdity of this tactic, the Chinese regime may just be tempted enough if such a strategy could resolve two of China’s current nuisances — voices of dissent in the Legislative Council and the previous failure to implement Article 23.
Strategy Three: The “Boiling Frog Effect”
Article 23 is not yet implemented, but the dystopian world that the protesters pictured in 2003 is already becoming reality. Regular citizens have been persecuted for “sedition” for sharing their views on social media or participating in legal protests; workers face retaliation for taking part in strikes; corporations are pressured to publicly side with the government’s stance; employees who have the “wrong” political views are fired; schools have been closely monitored for teaching material; protest-supporting fundraisers were framed for money laundering; a retweet or like may lead to persecution, under a colonial-era law. Only now have Hong Kongers woken up to their new reality — although the Basic Law technically protects citizens’ rights to speak, rally, march, demonstrate, and go on strike, the government could enfeeble civil rights by bending antiquated laws and legal provisions. The frequent abuse of law enforcement power on a small scale, such as improper arrests and police violence, is desensitizing the public and the international community. In a few years, Hong Kong will become unrecognizable. This is indeed a clever play on Beijing’s part to slowly strip away Hong Kong’s autonomy and freedom, without causing much international attention.
Counter-Strategies Against Beijing’s Brinkmanship
Beijing’s overarching goal is to hollow out Hong Kong but, at the same time, avoid major backlash from the international community, which could spell the end of the privileged global status of Hong Kong not granted to other Chinese cities. Beijing also aims at preventing single incidents that could cascade down into mass protests as seen in 2003, 2014, and 2019; and eliminating any resistance forces from within Hong Kong’s legislature. The tactics outlined above are typical in a game of brinkmanship.
In response, Hong Kongers in Hong Kong and on the so-called “international frontline” must know their strengths and bargaining chips on this negotiating table with Beijing.
Unlike Xinjiang and Tibet, Hong Kong is a city with transparency and free flow of information. Hong Kongers need to make a case to the world that the protests are not acts of terrorism. Some suggestions include comparing the Hong Kong protests to similar struggles in 20 or so other counties in the world at the present time, none of which were classified as terrorism; collecting a large amount of concrete evidence of the disproportionate use of force by the Hong Kong police; and showing how enacting Chinese national laws in Hong Kong will end the city’s autonomy and spell disaster for international community‘s interests.
The Legislative Council is the institution that can counteract Beijing’s “boiling frog” strategy and to keep Hong Kongers’ hope alive in the system. Those who plan to run for legislative office must be prepared to be disqualified from running. If only individuals are banned, there need to be alternative candidates as back-up plans. However, if and when the disqualification process is applied broadly to entire camps of candidates (for example, all who object to Article 23), the pro-democracy camp must make a strong case to the Hong Kong and global public that this is the endgame for Hong Kong democracy. Then the incumbent popularly elected legislators will hold the internationally recognized mandate from the public and serve as the last resistance.
These recommendations delineates how the slogan “if we burn, you burn with us,” often seen in the protests, may play out in the game of international relations. If the national security laws are “passed” by a legislature that is jury-rigged in this manner, or if related national laws are directly implemented in Hong Kong, Hong Kongers should signal clearly to the world that it goes way beyond the promised “one country, two systems.” Crossing this red line by Beijing should be seen by the world as a blunt violation of its promised autonomy to Hong Kongers. At that time, if the international community led by the United States and the United Kingdom decided to revoke the “non-sovereignty entity” status of Hong Kong and regard the SAR as an ordinary Chinese city, it shouldn’t come as a surprise.
Dr. Simon Shen is the Founding Chairman of GLOs (Glocal Learning Offices), an international relations start-up company. He also serves as an adjunct associate professor in the University of Hong Kong, Chinese University of Hong Kong and the Hong Kong University of Science and Technology, and associate director of the Master of Global Political Economy Programme of the CUHK. The author acknowledges Jean Lin, Coco Ho, Chris Wong, Michelle King, and Alex Yap for their assistance in this piece.
▶️ 高度自治 vs 全面管治
https://www.youtube.com/watch?v=pwt8wZl8jHQ
science misconduct 在 Charles Mok 莫乃光 Facebook 的最佳解答
關注一名科大計算機科學及工程系舊生於10月28日在屯門家附近被警察無理拘捕的個案
Subject: [CSEAA] Condemnation to unlawful arrest of HKUST alumnus (CSE 08, 10)
Dear Prof. Shyy, Prof. Cheng, Prof. Yeung, and fellow alumni,
On the night of 28th October (this Monday), on the periphery of the unrest in Tuen Mun, one of our alumni was unlawfully arrested in the vicinity of his private residence. The Computer Science and Engineering Alumni Association, HKUST strongly condemns the Hong Kong Police Force for such acts that tarnish personal safety and property rights, and wishes that you will stand with us.
As reported on the news, protesters gathered in Tuen Mun last night to object against alleged tear gas training at Tai Hing Operational Base. Police emerged from the base and fired multiple rounds of tear gas outside. Tear gas capsules ended up in a residential estate. Our alumnus in the estate, who was with his wife — a HKUST alumna too — and son, exercised his best judgement and went out in a casual attire that resembled no protesters, to dispel tear gas residues for the health of his family, at a safe distance from the unrest. Then he was arrested without a clear cause, in an unfriendly manner, in the vicinity of his private residence.
We believe in the judgement of our alumni, and wish that the HKPF could show their professionalism to match. We do not judge the HKPF for their tactics in shooting tear gas. However, the arrest of our alumnus was definitely inappropriate. This is not the first time that the HKPF was witnessed for misconduct and brutality. They listened to no advice from other professionals in the society. It is especially unbelievable that four police officers’ associations have jointly criticized Prof. Rocky Tuan Sung-chi, Vice-Chancellor of the Chinese University of Hong Kong over his open letter wherein he had raised concern over alleged mistreatment that some students had suffered at the hands of law enforcement personnel during the extradition bill-related street demonstrations.
We express our deepest regret for the conduct of the HKPF. We wish that you will stand with us in the condemnation. Everyone who loves this city dearly should stand up against such unprofessional performance of our law enforcement force and hold their management accountable for any decision or command leading to such actions.
Meanwhile, we would like to urge OGCIO and other members of the IT industry to exercise their civic duty to monitor the Hong Kong government, and take action in due cause when such misconducts reveal within your sight.
The Computer Science and Engineering Alumni Association, HKUST
=======================================
The alumnus was released after over 24-hour custody.