Scatter More Seeds and Increase
“There is one who scatters, and increases yet more. There is one who withholds more than is appropriate, but gains poverty. The liberal soul shall be made fat. He who waters shall be watered also himself. People curse someone who withholds grain, but blessing will be on the head of him who sells it. He who diligently seeks good seeks favor, but he who searches after evil, it shall come to him. He who trusts in his riches will fall, but the righteous shall flourish as the green leaf.” (Proverbs 11:24-28 WEB)
In this world, there is a principle at work, and that is the principle of sowing and reaping: every seed sown and watered eventually produces a harvest.
“While the earth remains, seed time and harvest, and cold and heat, and summer and winter, and day and night will not cease.”” (Genesis 8:22 WEB)
When you give, that is an act of sowing, and it will have an immediate effect of blessing somebody, but it will also produce a harvest for you in due time.
The kind of harvest you reap depends on the type of seed you sow. If you sow a financial seed, you will receive a multiplied harvest of finances.
“Remember this: he who sows sparingly will also reap sparingly. He who sows bountifully will also reap bountifully. Let each man give according as he has determined in his heart; not grudgingly, or under compulsion; for God loves a cheerful giver. And God is able to make all grace abound to you, that you, always having all sufficiency in everything, may abound to every good work. As it is written, “He has scattered abroad, he has given to the poor. His righteousness remains forever.” Now may he who supplies seed to the sower and bread for food, supply and multiply your seed for sowing, and increase the fruits of your righteousness; you being enriched in everything to all liberality, which produces through us thanksgiving to God.” (2 Corinthians 9:6-11 WEB)
Those who sow generously will reap generously. The apostle Paul confirmed this and encouraged believers to give cheerfully knowing that their gifts go on to bless many people, produce thanksgiving to God, and also abounding grace to the giver.
If we constantly receive but do not give, it will breed the love of possessions, and be detrimental to our own well-being. Hoarding, stinginess, and a scarcity mindset will fester in a person who does not give.
When we step out in faith to worship Jesus through tithing our income and giving as led by the Holy Spirit, we sanctify our hearts from the love of money.
It also has the secondary effect of sowing financial seeds to produce a harvest in our future.
When we give, we are actively putting our trust in the Lord and not in riches. Whenever we give, we can pray for the Lord to multiply our seed for sowing.
As God increases your prosperity and enlarges your coast, get excited about being able to sow even more than before.
I once saw a quote by Mark Batterson, “When God blesses you financially, don’t raise your standard of living. Raise your standard of giving.” This is so succinct and wonderfully true. Covet the privilege of being able to give more.
Material possessions in this world are fun and nice comforts and privileges to have, but nothing beats the honor and joy of sowing into God’s kingdom, sponsoring the Gospel of Jesus Christ, and feeding those in need like widows and orphans, especially those in our household of faith. The rewards for these acts of righteousness will remain forever!
Join my free Telegram group to receive my daily posts that are also shared here on FB: https://t.me/miltongohblog
Join as a GEM patron or above on Patreon to support this ministry, receive daily Bible study teachings, and all my eBooks: http://patreon.com/miltongohblog
同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過8,830的網紅missevasweets,也在其Youtube影片中提到,Today I made the very popular Dalgona coffee with 2 other variations. To successfully whip up the coffee you will need equal parts of instant coffee ...
secondary effect 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
การทำ QE คืออะไร ? ทำไมประเทศไทย ไม่ใช้มาตรการนี้ /โดย ลงทุนแมน
“775 ล้านล้านบาท” คือ มูลค่าการอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงิน ผ่านมาตรการ QE ทั้งหมดของธนาคารกลางขนาดใหญ่ของโลก 4 แห่ง คือสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ณ สิ้นปี 2020
ถามว่าตัวเลขนี้มากขนาดไหน ? ถ้าลองเทียบกับ GDP รวมทุกประเทศในโลกปี 2020 ที่ประมาณ 2,824 ล้านล้านบาท มูลค่าอัดฉีดดังกล่าว จะคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของ GDP โลก
มาตรการ QE นี้ มันมีข้อดี ข้อเสีย อย่างไรบ้าง
และทำไมประเทศไทย ถึงยังไม่ใช้มาตรการนี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะตกต่ำ แต่ละประเทศจะดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อทำให้ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับขึ้นมา
ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น จะแบ่งนโยบายต่าง ๆ ออกเป็น 2 กลุ่มคือ นโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน
ซึ่งในส่วนของนโยบายการคลังจะถูกดำเนินการโดยรัฐบาล
โดยรัฐบาลจะใช้จ่ายมากกว่ารายได้ ในกรณีนี้จะเรียกว่า “งบประมาณขาดดุล” ซึ่งเกิดจากก่อหนี้สาธารณะผ่านการกู้ยืมเพื่อมาใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล
นอกจากนี้ นโยบายการคลังยังรวมไปถึงการลดอัตราภาษีต่าง ๆ เพื่อให้คนมีเงินเหลือมากขึ้น จนนำเงินออกมาใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
ผลกระทบจากการระบาดของโควิด 19 ทำให้ปัจจุบัน หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยต่างก็ต้องใช้นโยบายการคลัง อัดฉีดเงินช่วยเหลือให้ประชาชนผ่านนโยบายต่าง ๆ เพื่อพยุงและเร่งให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา
นอกจากรัฐบาลที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว ในอีกขาหนึ่ง ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ก็จะดำเนินนโยบายการเงิน ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำหรือซบเซา ธนาคารกลางจะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จูงใจให้คนนำเงินออกมาใช้จ่าย แทนที่จะฝากไว้ในธนาคาร
ซึ่งกรณีนี้ถูกเรียกว่า “นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย” ที่หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยได้นำมาใช้ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง เราจะเห็นว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพียงอย่างเดียว กลับไม่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเหมือนอย่างเคย
หลักฐานก็คือ เราเห็นธนาคารกลางหลายประเทศทำการปรับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว จนบางประเทศอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0% แต่ก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเท่าไร
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ก็ทำให้ธนาคารกลางหลายแห่ง จึงมีการนำมาตรการที่มีชื่อว่า Quantitative Easing (QE) ซึ่งเป็นนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย อีกรูปแบบหนึ่งออกมาใช้เพื่อรับมือกับปัญหาการชะลอตัวลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะ
หรือพูดง่าย ๆ ว่ามาตรการ QE เป็นเครื่องมือพิเศษที่มาช่วยสนับสนุนและช่วยกดดันอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำลงในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนั่นเอง
อธิบายวิธีการดำเนินมาตรการ QE แบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ธนาคารกลางจะพิมพ์เงินเพิ่ม และนำเงินดังกล่าวไปซื้อตราสารทางการเงินระยะกลาง-ยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชน
คำถามที่สำคัญต่อมาก็คือ แล้วข้อดี ข้อเสียของการทำ QE คืออะไร ?
เรามาเริ่มที่ข้อดีกันก่อน
- สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
กรณีของธนาคารนั้น เมื่อมีสภาพคล่องมากขึ้น ก็สามารถนำไปปล่อยสินเชื่อได้สูงขึ้น ส่วนภาคธุรกิจที่มีเงินไหลเข้ามาซื้อหุ้นกู้ บริษัทก็จะมีเงินนำไปใช้จ่าย ลงทุน และขยายงาน ได้ด้วยเช่นกัน
- ต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
การเข้าซื้อตราสารทางการเงินเหล่านั้นยังส่งผลกดดันให้อัตราผลตอบแทนของตราสารทางการเงินเหล่านั้นลดลงมา ทำให้ต้นทุนในการระดมทุนผ่านการออกตราสารเหล่านี้ของรัฐบาลและเอกชนลดลง
จนมีแนวโน้มที่ทำให้สถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้กู้ในการนำเงินไปลงทุนหรือจับจ่ายใช้สอย จนทำให้ภาวะเศรษฐกิจกลับมาเติบโต
- เพิ่มความมั่งคั่งให้แก่ผู้บริโภค
การใช้มาตรการ QE ยังส่งผลให้ราคาสินทรัพย์หลายอย่างปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำ ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ทำให้นักลงทุนที่ถือสินทรัพย์ดังกล่าวรู้สึกมั่งคั่งขึ้น (Wealth Effect) ทำให้รู้สึกอยากนำเอาส่วนหนึ่งของทรัพย์สินออกมาใช้จ่าย จนส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการใช้มาตรการ QE ในปริมาณมากและนานเกินไป ก็อาจส่งผลเสียด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
- มูลค่าของเงินลดลง
ถึงแม้ว่าการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงิน ผ่านการซื้อตราสารทางการเงินต่าง ๆ จะไม่ได้อัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจจริง และมันอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อเงินเฟ้อโดยตรง แต่การอัดฉีดนี้ถ้าทำมากเกินไป ก็อาจทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจจริงเพิ่มขึ้นในทางอ้อม และทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ จนทำให้มูลค่าที่แท้จริงของเงินลดลง และอำนาจซื้อของผู้บริโภคลดลงตามไปด้วย
- ภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์
การอัดฉีด QE จะทำให้ภาวะอัตราดอกเบี้ยถูกกดให้ต่ำ และทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงนั้นลดลง ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งทำให้นักลงทุนต้องการนำเงินออกไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
จนอาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ
- กระทบต่อการออมในภาพรวมของประเทศ
อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ส่งผลให้ประชาชนขาดแรงจูงใจในการออมเงิน ซึ่งอาจทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีเงินไม่พอใช้ตอนเกษียณ
หรือแม้แต่ผู้ที่เกษียณอายุไปแล้ว และต้องการรายได้ที่สม่ำเสมอจากการลงทุนในการฝากเงินหรือตราสารหนี้ ก็จะได้รับผลตอบแทนที่ลดลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยภาพรวมในระบบที่ลดลง
สำหรับประเทศไทยเรา ทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ยังไม่ได้มีการหยิบเอามาตรการ QE ออกมาใช้ในวิกฤติครั้งนี้
แต่รู้ไหมว่า ที่ผ่านมาก็มีนักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้เสนอให้ ธปท. นำมาตรการ QE ออกมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
เพราะมองว่า นโยบายการเงินของไทยมีข้อจำกัดมากขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% แล้ว
อย่างไรก็ตาม ธปท. มองว่า การนำมาตรการ QE มาใช้ในประเทศไทย อาจจะยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในตอนนี้
เพราะว่า ปัจจุบัน สภาพคล่องในระบบ ที่สะท้อนออกมาในรูปของปริมาณเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยนั้นอยู่สูงกว่า 14.4 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2564)
นอกจากนี้ ภาคเอกชนของไทยยังมีการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ในสัดส่วนที่น้อย เมื่อเทียบกับประเทศใหญ่ ๆ ที่มีการนำมาตรการ QE มาใช้ ขณะที่ต้นทุนการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว
ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ที่ตลาดตราสารหนี้มีขนาดใหญ่สุดในโลก ที่พออัดฉีดเงินเข้าไปในตลาดตราสารหนี้แล้ว จะเห็นผลกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น การใช้มาตรการ QE ในประเทศไทย จึงอาจไม่ได้ส่งผลบวกในวงกว้างเหมือนกับประเทศที่มีตลาดตราสารหนี้ขนาดใหญ่มากนัก
และนี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในรอบนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงเลือกที่จะนำมาตรการการเงินอื่น ๆ เช่น การพักชำระหนี้ การให้สินเชื่อพิเศษ การปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ แต่ยังไม่หยิบเอามาตรการอย่าง QE มาใช้ นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.CD
-https://www.bot.or.th/Thai/BOTStoryTelling/Pages/MonetaryPolicy_StoryTelling_AcademicAndFI.aspx
-https://www.investopedia.com/terms/q/quantitative-easing.asp
- https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_27Oct2020.aspx
-https://www.moneyandbanking.co.th/article/news/thailand-economic-qe-covid-040864?fbclid=IwAR3R788vgTs8-J9kaX730qOWpxnGIrHLDOWRdqpHDQfJphSbElF9xh9W2cY
-https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/BOTWEBSTAT.aspx?reportID=31&language=TH
-https://www.atlanticcouncil.org/blogs/econographics/global-qe-tracker/
-https://www.icmagroup.org/Regulatory-Policy-and-Market-Practice/Secondary-Markets/bond-market-size/
secondary effect 在 貓的成長美股異想世界 Facebook 的最佳解答
🌻風險管理
跌了幾十趴的個股還要繼續抱下去嗎? 去年飆漲的SPAC, 今年還漲的回來嗎?(可以跟下篇一起看).
開始玩成長股後, 我學到最難的一堂課是風險控制. 每個人對風險控制的觀念不一樣, 這跟每個人的心理素質也有關係.
風險管理, 也就是"留得青山在, 不怕沒柴燒".
風險管理:
https://zh.wikipedia.org/wiki/%E9%A3%8E%E9%99%A9%E7%AE%A1%E7%90%86
🌻There Are Too Many Defenseless(無防禦性的) Stocks
(可以的話, 我希望您可以好好讀一下這篇文章. 我希望能夠幫您守住些財富, 減少些損失, 甚至創造些獲利. "Too many", 也就代表了股票沒有稀有性)
The underwriters just created too many stocks. There's too many new companies, too many companies that help you with analytics(分析), too many that offer video, too many data collectors and too many real-time analysis, and too many cybersecurity companies. There's been too many new electric vehicle derivatives, too many cannabis (大麻) plays and way too many new fintechs(金融科技).
The effect? We are now facing a bewildering number of companies that simply do the same things and can't be differentiated (無差異性的) and, frankly, are too hard to understand unless you are deeply involved in the transfer of data from on your premises to the cloud(雲端).
Why does this matter?
Because these stocks are defenseless. They are defenseless against inflation (通膨) because so many of them sell at a multiple to sales and any company that trades as a multiple to sales (指的是以P/S為估值方式, 非傳統的P/E. 軟體公司主要是用P/S) will see its value erode more quickly than any other in this stock market because the company has to graduate from a multiple to sales to a multiple of earnings, or just keep losing money. So many new investors have not experienced real inflation where these kinds of stocks can't be given away.
They are defenseless against an economic boom. I have been reading through countless software as a whatever with a go to market strategy and a huge TAM (total addressable market, 指的是市場大小) to land and expand(指的是雲端公司的商業模式), and my eyes glaze over. Who needs a company with all of those buzzwords that's growing at 27% and losing money when I have plenty of high quality industrials that are growing at 27% and spewing cash to the point the biggest issue is how much should be put to growth versus rewarding shareholders.
They are defenseless against older companies with a balanced policy toward dividends and buybacks, so that supply is mopped up while demand is bolstered by a yield. The land and expanders don't have anything backing them up which makes them vulnerable to sudden shocks down as we have seen.
They are defenseless against insider selling. If capital gains rates are going up, these are the companies with the most vulnerable stocks because so many of the people in these new companies have stocks that are still up substantially from when they got stock so a company with a stock down 30%-40% is vulnerable from scads of insider selling, including secondaries I am now expecting with increasing frequency.
They are defenseless against SPACs. While there are many good SPACs there are too many SPACs with too much stock sloshing around. I keep thinking about that MP Materials (MP) secondary offering in late March, where entities controlled by CEO James Litinsky sold 4.6 million shares of his company in a deal priced at $35. Now it is a small percentage of his holdings and many others involved with the company sold small amounts, too. That's not the point. It's more of a statement: this stock traded at $50. You might have been inclined to buy on the pullback but you would have been massacred as the stock is now at $27. If you have a so-called successful SPAC its success might be measured by how much money you took out of it before its stock fell by 50%. There are hundreds of things and when you consider all of the warrants out there, you know this market is going to be overwhelmed with this stuff.
You aren't going to see these kinds of secondaries at Deere (DE) or Caterpillar (CAT) , that's for certain.
Now there are people out there willing to buy the incredibly almost stupidly risky stocks, people like Cathie Wood, who demonstrated her unflappable conviction to her method of buying stocks that worked when there's scarcity value but there's anything but that now.
Maybe she can take down tens of billions of dollars worth and save the day. I wouldn't count on it. I am sorry to question her stock picking, lord knows she's been amazing. But unless others copy her, we know the stocks she is buying resemble what's not working at all. Maybe someday, but not now.
I try to figure out what the end game for these stocks might be if the economy keeps heating up and inflation accelerates. There's simply not enough money from young people or ETFs based on high growth or Cathie Wood to keep these stocks higher, and there's too much opportunity for the insiders to do what MP did, something that crunched the stock even as it reported a quarter ahead of expectations, which meant something at one point but means absolutely nothing now. Nothing at all.
文章來源: https://realmoney.thestreet.com/jim-cramer/jim-cramer-there-are-too-many-defenseless-stocks-15649142
Picture來源:
https://society6.com/product/boxing-cat_print
secondary effect 在 missevasweets Youtube 的精選貼文
Today I made the very popular Dalgona coffee with 2 other variations.
To successfully whip up the coffee you will need equal parts of instant coffee powder, sugar and hot water. You must use HOT water it will be so much easier to whip up the coffee. For matcha and chocolate, they don't have the stabilizer which is presented in coffee so whipping cream is needed in order to create the same effect. You can adjust the amount of sugar for matcha and chocolate dalgona by adjusting the sugar.
Oh, and of course, you can use electrical hand mixer to do the recipes by all means! Oh and don't drink the Dalgona coffee at night because it is very concentrated!
►Thank you for watching and I hope you enjoy the video☺
Please give it a try and share with your family and friends.
♥ Subscribe, like, comment and share ♥
Subscribe: http://www.youtube.com/channel/UCHZIq93KbM96dU_j07bcGuw?sub_confirmation=1
Instagram:
https://www.instagram.com/missevasweets/
Facebook:
https://www.facebook.com/missevasweets/
↓ Very simple and delicious Dalgona Coffee recipe ↓
►Dalgona Coffee:
Instant coffee powder 1 tablespoon + 1 teaspoon (6g)
Sugar 1 tablespoon + 1 teaspoon (16g)
Hot Water 1 tablespoon + 1 teaspoon (20ml)
Milk or any drink of your choice
►Dalgona Matcha:
Matcha powder 2 teaspoons (2g)
Whipping cream 60ml
Sugar 2 teaspoons (8g)
Milk or any drink of your choice
►Dalgona Chocolate:
Cocoa powder 2 teaspoons (3-4g)
Whipping cream 60ml
Sugar 2 teaspoons (8g)
Marshmallow and cocoa powder for decoration
Hot chocolate milk or any drink of your choice
►400次咖啡:
即沖咖啡粉 1湯匙+1 茶匙 (6克)
白砂糖 1湯匙+1 茶匙 (16克)
熱水 1湯匙+1 茶匙 (20毫升)
牛奶
►400次抺茶:
抺茶粉 2 茶匙 (2克)
淡忌廉 60毫升
糖 2茶匙 (8克)
牛奶
►400次朱古力
可可粉 2 茶匙 (3-4克)
淡忌廉 60毫升
糖 2茶匙 (8克)
棉花糖及可可粉 少許
熱朱古力奶
♦ Feel free to add subtitles for my videos if you would like to share to people who don't know the languages. Your effort will be appreciated :)Thanks in advance!
Use this link to add subtitles:
http://www.youtube.com/timedtext_cs_panel?c=UCHZIq93KbM96dU_j07bcGuw&tab=2
▲Unauthorized theft of the videos or secondary editing and re-upload of the videos is prohibited.
#dalgonacoffee #dalgonamatcha #missevasweets
secondary effect 在 Penguin Hut Youtube 的精選貼文
คอมโบท่าผสานเกิดจากการใช้ท่า Grass Pledge/Water Pledge/Fire Pledge ในเทิร์นเดียวกัน เมื่อใช้แล้ว ท่าทั้งสองจะผสมกันและส่งผลพิเศษให้ดังนี้
Water Pledge +Grass Pledge = เมื่อโจมตีเสร็จจะเกิดหนองน้ำขึ้นมาในArena ฝ่ายตรงข้ามและลดความเร็วโปเกม่อนฝ่ายตรงข้าม50% เป็นเวลา 4 เทริ์น(ในคลิปพากย์ผิดเป็น 5 เทิร์นครับ)
Grass Pledge + Fire Pledge = เมื่อโจมตีเสร็จจะเกิดไฟลุกขึ้นมาในArena ฝ่ายตรงข้ามและลด HP โปเกม่อนฝ่ายตรงข้ามเท่ากับ 1/8 ของ Max hp เป็นเวลา 4 เทิร์น (โปเกม่อนไฟจะไม่ได้รับผลลดHPนี้)
Fire Pledge + Water Pledge = เมื่อโจมตีเสร็จจะสายรุ้งขึ้นมาในArena ฝ่ายเราและช่วยเพิ่ม Secondary Effect ขึ้น 2 เท่า เป็นเวลา 4 เทิร์น(Secondary Effect เช่น ท่าWaterfall มีโอกาสทำให้ศัตรูติดผงะ 30% จะเพิ่มเป็น 60%)
*โปเกม่อนที่ใช้ท่าเหล่านี้ได้มีเพียงโปเกม่อน Starter เท่านั้น
วิธีการใช้
เมื่อใช้ท่าผสานแล้ว โปเกม่อนที่โจมตีช้ากว่าจะเป็นผู้ใช้ท่าผสาน
ตัวอย่างเช่น
Greninja และ Charizard ใช้ท่าผสาน แต่Charizard ช้ากว่า ดังนั้น ท่าที่จะออกมาจะเป็น Fire Pledge ส่วนท่า Water Pledge ของ Greninja จะไม่ส่งผลใดๆ
ข้อควรระวัง: จากตัวอย่างด้านบนหาก Charizard ถูก Fake out จะทำให้ท่าผสานในเทิร์นนั้นไม่ส่งผลใดๆเลย ทั้งท่าของGreninja และ Charizard
นั่นหมายความว่าการจะทำให้คอมโบนี้สำเร็จได้ โปเกม่อนทั้งสองตัวที่เป็นผู้ใช้ท่าจะต้องใช้ท่าให้สำเร็จทั้งคู่