This is how my body changed in less than a year!
Four different phases of me, which one do you like best? I like all of them except the very first one a year ago before managing my weight!
.
Before weight/body management in May 2020 (1st pic, BF at 3x%), I had no energy and motivation to move, having low self-esteem for not being able to wear a XS dress (fyi: im 5ft tall so its normal to wear a XS dress).
The 2nd pic was me after 4-5 months of combined cardio and weight training, body fat at 18%. Feeling energetic and happy! But controlled diet at around 1200-1300 kcal only, craving carbs all the time esp rice 🍚
The 3rd pic was me near the end of my bulking cycle, where I ate so so much and being so fulfilling every day. I ate over my TDEE, lots of carbs (and of course protein) and that gave me power to lift!
The 4th pic is me currently, around 2 weeks out for my first bodybuilding competition! First time seeing myself being so lean and I am super excited about another bulking cycle after the competitions now!!
#nofilter #transformationjourney #selflove
同時也有513部Youtube影片,追蹤數超過23萬的網紅Kru-Ngor ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ,也在其Youtube影片中提到,#ไลฟ์ครูเงาะ ? EP.105 : จะรู้ได้ไงว่าเราไม่ได้รักคนผิด ⠀ ⠀ ? มาติดตามและแชร์เกร็ดความรู้ดี ๆ กันได้ที่ไลน์ @kru-ngor (มี@นำหน้านะคะ)⠀ ? คลิก https:...
「self-esteem motivation」的推薦目錄:
- 關於self-esteem motivation 在 Hilda 芊慧 Facebook 的最佳解答
- 關於self-esteem motivation 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的最讚貼文
- 關於self-esteem motivation 在 I Love Japan TH Facebook 的最佳解答
- 關於self-esteem motivation 在 Kru-Ngor ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ Youtube 的精選貼文
- 關於self-esteem motivation 在 Kru-Ngor ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ Youtube 的最佳貼文
- 關於self-esteem motivation 在 Kru-Ngor ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ Youtube 的精選貼文
- 關於self-esteem motivation 在 1.4 Human Relations: Self-Esteem and Self-Confidence Effects 的評價
- 關於self-esteem motivation 在 130 Low Self esteem ideas - Pinterest 的評價
self-esteem motivation 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的最讚貼文
#อนุบาลวิชาการหรือบูรณาการ??
#เราได้รู้อะไรจากงานวิจัย
.
สำหรับพ่อแม่ การเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูก
สำคัญพอๆกับวันที่ลูกเลือกคณะในมหาวิทยาลัย
เพราะนี่คือ.....ครั้งแรกที่ลูก
ได้ไปเรียนรู้จากคนอื่นที่ไม่ใช่ คนในครอบครัว
.
ประเด็นในการเลือกอนุบาล หรือ
แนวทางที่หมอจะใช้ตอนไปดูโรงเรียน
เคยเขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้แล้ว ตาม link เลยค่ะ
https://www.facebook.com/drpambookclub/posts/1286005428400814
.
คำถามถัดไปที่อยู่ในใจพ่อแม่ส่วนใหญ่
คือ #โรงเรียนแนวไหนดี
วันนี้หมอจะ focus ที่แนวทางการจัดการเรียนการสอน ขอแบ่งเป็น 3 แบบนะคะ ให้สอดคล้องกับงานวิจัยที่ไปหาข้อมูลมา
1. แนวเตรียมความพร้อมเชิงวิชาการ/เขียนอ่าน
2. แนวบูรณาการ/เรียนรู้ผ่านการเล่นเป็นหลัก
3. แบบผสม
● เราจะรู้ได้อย่างไรว่าโรงเรียนที่ไปดูมา อยู่ในแนวไหน
● ลักษณะของแนวเตรียมความพร้อมด้านวิชาการ
👉ในห้องเรียนประดับไปด้วย ตัวอักษร สี รูปทรง คำศัพท์ อะไรก็ตามที่เด็กต้องเรียน จะถูกแปลงมาเป็นของตกแต่งในห้องเรียน
👉 กิจกรรมของนักเรียนเป็นรูปแบบที่แน่นอน ระบุให้รู้ได้เลยว่าเวลาไหนทำอะไร มีเวลากำกับเป๊ะๆ
👉คุณครูเป็นผู้ควบคุมกิจกรรรม และแบ่งให้นักเรียนทำอะไรชัดเจน
👉เด็กๆใช้เวลาส่วนใหญ่ เรียนรู้เรื่อง ตัวอักษร สี รูปทรง ตัวเลข บวกเลข ฝึกคัดลายมือ อาจจะมีวาดรูปละบายสีเล็กน้อย
👉เด็กๆต้องฝึกทักษะ ทำ worksheet แม้จะมีระบายสี แต่กิจกรรมนั้นๆ มีการเตรียมล่วงหน้าแล้ว มีการไหลตามเด็กๆน้อยมาก เพราะกิจกรรม ต้องไปตามแผนการสอนที่ชัดเจน
👉เด็กๆใช้เวลาส่วนใหญ่ “นั่งทำงาน”ของตัวเอง
👉 เป้าหมายคือ ต้องการสร้างเด็กที่พร้อมมากสำหรับการเรียนในชั้นประถม
◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇
● แนวเรียนรู้ผ่านการเล่น
👉มุมในห้องเรียน ปรับเปลี่ยนได้ตลอด อาจจะมีมุมครัว มุมบ้าน มุมอ่าน มีตู้ของเล่น มีเวลาให้นักเรียนเลือกเข้ามุมที่สนใจและ เล่น
👉ครูมีหน้าที่ให้คำแนะนำ ตอบคำถาม ชี้แนะ มากกว่าการ lecture
👉ประเมินพัฒนาการของเด็กๆจากการมีส่วนร่วม การใช้มือ โดยครูเป็นผู้สังเกตและบันทึก ไม่ใช่การประเมินจากคะแนนของ worksheet
👉เน้นที่กระบวนการของการทำกิจกรรม มากกว่า product
👉บางโรงเรียนให้เด็กๆเป็นคนเลือกหัวข้อที่อยากเรียน หรือสิ่งที่อยากทำด้วยตัวเอง
●ส่วนแนวผสมผสานก็คือ แนวทางไม่ได้ชัดเจนเลยสักแนว
◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇
👉งานวิจัยบอกอะไรกับเรา
1. เมื่อโรงเรียนต้องการเตรียมความพร้อมด้านวิชาการ วิธีการที่จะบอกว่าโรงเรียนมีการพัฒนาคือแนวโน้ม เด็กจะต้องเรียนเนื้อหามากขึ้น ยากขึ้น
2. การที่ให้เด็กเล็กเรียนมากเกินไป เด็กจะสูญเสียแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ (lose interest and motivation in learning) ในอนาคต ซึ่งมักเห็นได้ชัดในวัยประถมปลายถึงมัธยม
3. เด็กที่เรียนในแนววิชาการ
จะได้คะแนนมากกว่าเพื่อนๆตอนเรียนชั้นประถมต้น
งานวิจัยที่มีคนหยิบยกไปถกกันถึงประเด็นนี้มาก
วิจัยโดย Rebecca Marcon, Ph.D
ติดตามเด็ก 183 คน ตั้งแต่อายุ 4 ปี จนกระทั่งถึง ป.5-6 พบว่า เด็กๆที่เรียนในอนุบาลวิชาการจะได้คะแนนดีในช่วงต้น แต่จะไม่มีความแตกต่างของคะแนนใน ป.5 แต่พบว่าเด็กที่มาจากแนวเน้นเล่น จะมีผลการเรียนเหนือกว่าในชั้นป.6 และยังมีอีกหลายๆงานวิจัยที่พบว่า เด็กที่เรียนหนักในช่วงปฐมวัยจะหมดไฟเมื่อขึ้นมัธยม ตรงกันข้ามกับเด็กที่มาจากอนุบาลที่เน้นการเล่น ช้างช่วงแรก แต่หลังจากนั้นจะค่อยๆแซงหน้า และเมื่อมองระยะยาวพบว่า ในชั้นมัธยม เด็กกลุ่มนี้จะทำได้ดีกว่า
อีกงานวิจัยของ Dr.Herbert P. Ginsburg ที่พบว่า เด็กที่เรียนในหลักสูตรเรียนผ่านการเล่น จะมีทักษะทางคณิตศาสตร์ระยะยาวสูงกว่า
4. มีหลายงานวิจัยที่พบว่าผลของ “แนวทางการเรียนในช่วงปฐมวัย” ส่งผลต่อทั้งชีวิต โดยมีคนให้คำอธิบายว่าเนื่องจากการเรียนแบบเน้นการเล่น เด็กๆได้พัฒนาทักษะการควบคุมอารมณ์ การปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญต่อชีวิตมากกว่าผลการเรียนในวัยประถม
และอีกหนึ่งปัจจัยคือ การที่ไม่ได้ถูกเร่งรัดให้เรียน ทำให้เด็กได้เรียนรู้ ในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ หรือพูดง่ายๆคือ ยังสามารถรักษาความอยากรู้อยากเห็นไว้ได้นานกว่านั่นเอง
◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇
👉ความคิดเห็นของหมอ
1.ในบทความนี้หมอหมายถึงการจัดการเรียนรู้ของเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี และต้องเข้าใจก่อน ว่างานวิจัยต่างๆ ไม่ได้ทำในประเทศของเรา มันมีสิ่งที่นำมาใช้ได้ แต่ก็มีความต่างในบริบททางสังคมอยู่มาก
2. สิ่งที่เป็นจริงและนำไปใช้ได้เลยคือ
#เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการเล่นและผ่านกิจกรรมที่ทำให้เค้ามีความสุข
ถ้าเรามีทางเลือกไม่มากนัก
ไม่ว่าจะส่งลูกไปเรียนที่แนวไหนก็ตาม
หมอคิดว่า mindset ของพ่อแม่สำคัญที่สุด
ต่อให้ลูกไปเรียนแนวเขียนอ่าน แต่ถ้ากลับบ้าน
ได้เล่น ได้มีความสุข ก็ช่วยให้เด็กคนหนึ่ง
เติบโตไปเป็น #นักเรียนรู้ที่ดีได้
ที่สำคัญคือ พ่อแม่ต้องไม่เต้นไปตามระบบ
เช่น ครูบอกว่าลูกอ่อนวิชาโน้นนี้ ก็มาลงกับเด็ก
ต้องพาไปเรียนเสริม ต้องเข้มงวดเพิ่ม
เราต้องใคร่ครวญ เพราะบางครั้งคำพูด หรือคำวิจารณ์ของครู มันอาจมีเพียงแง่มุมเดียว เช่น เด็กบางคนอายุน้อยกว่าเพื่อนๆ หรือ ไม่ถนัดในเรื่องนี้ หรือ ครูสอนไม่สนุก ไม่อยากทำ ฯลฯ อีกมากมายเหตุผล เราต่างหากที่รู้จักลูกดีกว่าใคร ให้ถือว่าข้อมูลจากคุณครูก็เป็นข้อเท็จจริงที่คนคนหนึ่งให้มา แต่ #ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดของลูกเรา
อะไรที่มีประโยชน์ก็ทำ
อะไรที่คิดว่าไม่ใช่ หมอคิดว่า ถ้าคุณครูหวังดีมองเด็กเป็นศูนย์กลาง เราต้องคุยเพื่อหาทางออกและช่วยให้เด็กได้พัฒนามากขึ้นได้ค่ะ
3. โรงเรียนอนุบาลที่เป็น play-base ในประเทศเราหาไม่ยากแล้วในยุคนี้ แต่ปัญหาคือ
หลักสูตรในชั้นประถมที่ยังไม่ปรับให้รับกับเด็กที่มาจากระบบการเรียนแบบเล่น
จากประสบการณ์ส่วนตัวของหมอ
ลูกสาวเรียนแนวเล่น ตอนจบอนุบาล 3
ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่คล่อง ไม่เคยบวกเลข
หมอพบว่า เมื่อลูกมาเข้าเรียนในชั้นประถม
มันมี gap ที่กว้างมากเกินไปสำหรับเด็กที่มาจากอนุบาลแนวนี้
ในกรณีของโรงเรียนลูกสาว
หลักสูตรไม่ได้ล้ำยากอะไร คุณครูก็ใจดี
แต่การที่เด็กที่ความสามารถด้านการเรียนต่างกันมากเกินไป เช่น เด็กบางคน อ่านคล่อง เขียนได้ บวกเลขได้หลักร้อยแล้ว
ในขณะที่บางคน (ลูกสาวหมอเอง) ต้องมาเรียน ก-ฮ ใหม่ จำเสียงสระใหม่ ยังเขียนไม่คล่อง บวกเลขไม่เป็น เด็ก 2 กลุ่มนี้มาอยู่รวมกัน
จะเกิดการเปรียบเทียบ
(**เด็กประถมชอบเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนๆเป็นธรรมชาติของวัยอยู่แล้ว***)
เพราะเด็กเค้าไม่รู้ว่าตอนอนุบาลเรียนมาต่างกัน
สิ่งที่เค้าเห็นทุกวันๆ คือ
คุณครูชมเพื่อน เพื่อนเก่งมาก ทำงานเร็วและถูก
ตัวเองทำไม่ได้ ช้า ทำไม่เก่ง
เด็กจะเริ่มตั้งคำถามว่า
ทำไมฉันเรียนได้ไม่ดีเท่าเพื่อนๆ?
ตัวเองไม่ฉลาด?
คุณพ่อคุณแม่ที่เจอกรณีคล้ายๆกันกับหมอ
ต้องทำงานหนักหน่อยนะคะ
คือต้องช่วยลูกให้รักษา self-esteem ของตัวเองเอาไว้ (หมอจะเขียนเล่าในภาค 2)
4. บทสรุปของหมอก็คือ ในประเทศเรา
ไม่ว่าเราเลือกทางไหน มีราคาที่เราต้องจ่ายเสมอ
👉ถ้าเราเลือกให้ลูกเรียนแนววิชาการในชั้นอนุบาล
สิ่งที่เราต้องรักษาคือ เวลาที่ลูกจะได้เล่นอิสระที่บ้าน เราต้องชดเชยเวลาที่เค้าควรได้คิดว่า
#ฉันอยากจะเล่นอะไรและฉันเล่นไปทำไม ให้มากที่สุด รักษาความกระหายใคร่รู้ในการเรียนของลูกเอาไว้ เพื่อป้องกันภาวะหมดไฟและหมดใจกับการเรียนที่จะเกิดในช่วงมัธยม
👉หากเราเลือกให้ลูกเรียนแนวเล่น
ทางเลือกที่ดีที่สุด คือ ไปให้สุดทาง คือ เลือกโรงเรียนแนวนี้ตั้งแต่ อนุบาลต่อประถมด้วยเพื่อให้ไม่เกิดรอยต่อ
แต่หากเลือกเช่นนั้นไม่ได้
จากประสบการณ์ของหมอคือ
เมื่อมันเกิดช่องว่าง ที่ทำอย่างไรลูกก็ข้ามเองไม่ได้
เราต้องจูงมือลูกและช่วยกันถมช่องว่างนั้นให้แคบพอที่ลูกจะกระโดดช้ามไปให้ได้ ที่สำคัญที่สุด ต้องเป็นแรงใจให้ลูก ชี้ให้ลูกเห็นจุดแข็งของตัวเอง ให้เค้าได้เห็นความพยายามของตัวเอง รักษาความภาคภูมิใจในตัวเองของเค้าเอาไว้ รอวันที่เค้าจะเบ่งบาน (เหมือนการออมเงินก้อนเล็กๆแต่สม่ำเสมอกว่าดอกผลจะเป็นกอบเป็นกำต้องใช้เวลามากทีเดียว)
.
แต่ไม่ว่า เราจะมีทางเลือก หรือ ไม่ต้องเลือก
(ตอนหมอเด็กแม่ก็ไม่ต้องเลือกเพราะมีทางเดียว)
แต่สิ่งที่เอาชนะปัจจัยทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนดี หลักสูตรดี อยู่ในประเทศเจริญ ฯลฯ
คือ สายสัมพันธ์ที่มั่นคงจากความรักของพ่อแม่
สิ่งนี้ ทำให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในชีวิต และเป็นคนที่มีความสุข
.
หมอแพม
self-esteem motivation 在 I Love Japan TH Facebook 的最佳解答
เมื่อคืนดูข่าวครูทำร้ายร่างกายเด็ก
ตอนอ่านข่าวนี่มือสั่น น้ำตาจะไหล😢
.
ตอนเราเองเด็กๆ สมัยประถมเราก็เคยเจอครูไม่ดีเหมือนกัน
มันทำให้เรากลายเป็นคนเก็บกด
กลัวคน ไม่กล้าแสดงออกไปเลย
กว่าจะดีขึ้น คือใช้เวลาหลายปีมากหลังจากย้ายร.ร.แล้ว
และแปลกที่เราก็ไม่ลืมเรื่องเหล่านั้นเลย ยังคงจำได้ดี
.
.
สมัยนั้นยังเด็ก ไม่กล้าบอกแม่
เพราะกลัวแม่ไปว่าครู และกลัวครูโกรธ
และจะโดนบูลลี่หนักกว่าเดิม เลยเก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียว
ไม่บอกใครจนเรียนจบป.6จากร.ร.นั้นมาหลายแปี
.
.
▪️เริ่มตั้งแต่ป.1 เราเป็นคนขี้อาย เรียนไม่เก่ง ทำอะไรก็ช้า
ครูประจำชั้นเราเลยเรียกเราว่า “นีรเฉื่อย” (ชื่อจริงเราชื่อ นีรชา)
ทำให้เพื่อนทั้งห้อง ก็เรียกเราตามครูว่า "นีรเฉื่อย"
แม้แต่ครูคนอื่นก็เรียกตาม
ถามว่ารู้สึกอะไรมั้ย
ก็ยังเด็กอยู่ ยังไม่ค่อยเข้าใจ
แต่โทษตัวเองที่เป็นอย่างนั้น ครูถึงเรียกเราอย่างนั้น
แต่มันทำให้เราสูญเสียความมั่นใจโดยที่ไม่รู้ตัว
คิดมาตลอดว่าตัวเองโง่ เป็นคนหัวช้า
.
เวลาเราไม่เข้าใจ. เราจะไม่กล้าถามครูเลย
เพราะกลัว
เวลาถาม ครูอธิบายและเราไม่เข้าใจ
ครูจะหงุดหงิด และว่าว่าทำไมเราไม่เข้าใจ ว่าเราโง่
เราเคยคิดว่า ทำไมเราต้องเกิดมาโง่ด้วย
.
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เรากลายเป็นคนขี้กลัว 😔
ไม่กล้าพูดกับใครก่อน ไม่มีความมั่นใจในการพูดกับคนอื่น แม้แต่กับเพื่อน
ทำให้เราไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียวในช่วง ป.1-ป.4
ไม่มีเพื่อนมาบูลลี่เรานะ
แต่ไม่มีใครเป็นเพื่อนกับเรา
พักเที่ยงก็อยู่คนเดียว
พักเที่ยงไหน มีเพื่อนมาชวนเล่นด้วยจะดีใจมาก
.
ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนด้วย
เพราะครูมักจะพูดในห้องต่อหน้าเพื่อนๆว่าเราไม่ได้เรื่อง ซึ่งเราก็เงียบๆ ก้มหน้ายอมรับไป ไม่กล้าพูดอะไร
(ตอนนั้นกลัวครูมากๆ
สมัยนั้น เด็กๆมักจะเชื่อครูมากๆ เชื่อยิ่งกว่าแม่อีก
ครูพูดอะไรเชื่อหมด
ถ้าครูชอบใครคนนั้นก็จะมีเพื่อนเยอะ เป็นที่รัก)
.
▪️วิชาไหนที่มีให้จับกลุ่มทำกิจกรรม
เรามักจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเสมอ
นั่งอยู่กลางห้อง เพราะเพื่อนๆจับกลุ่มกันหมดแล้ว
จำได้ว่ามันเศร้ามากๆ
แต่ที่แย่ไปกว่านั้น คือ ครูประจำวิชาก็ไม่สนใจ
ปล่อยให้เรานั่งอยู่คนเดียวทั้งคาบเรียน แทนที่เห็นเรานั่งคนเดียวจะเรียกเราไปเข้ากลุ่ม แต่ก็ปล่อยให้เรานั่งคนเดียว
( ถ้าโตแล้วก็ว่าไปอย่าง ตอนนั้นเราแค่ป.2เอง)
เรานั่งก้มหน้าอยู่คนเดียว1ช.ม.เต็มจนหมดคลาส
เป็นอย่างงี้ทุกครั้ง
(มานั่งคิดดู ก็แปลกนะที่ครูเห็นเรานั่งคนเดียว แต่ไม่คิดจะเอะใจ หรือสนใจอะไรเลย)
ความจริงถ้าเรามีความมั่นใจในตัวเอง
เราควรที่จะเดินไปขอเข้ากลุ่มเพื่อนเอง แต่เราไม่มีความมั่นใจในนั้นเลย
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแมลงสาบที่ไม่มีใครต้องการ
แม้แต่ครูเองก็มองเราเหมือนอากาศ
ก็โทษตัวเองว่า เราไม่เก่ง ไม่ดีพอ เลยไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนด้วย
เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ป.1 ถึงป.6
.
▪️ตอนป.4
มีเหตุการ์ณนึงที่เราจำได้ดีมากๆๆจนถึงทุกวันนี้
เป็นเหตุการณ์ที่ฝังใจมาก
.
ครูให้การบ้านมา ให้ทุกคนไปหาข่าวที่น่าสนใจ
และออกมาอ่านหน้าชั้น
เรากลับบ้านไป ตัดข่าวจากนสพ ไทยรัฐ
คอลัมม์ สาระน่ารู้ เราเลือกข่าว UFO
เพื่อนที่ออกไปพูดก่อนหน้าเรา
ก็ตัดข่าวมาจากคอลัมม์สาระน่ารู้เหมือนกัน
แต่พูดเรื่องจิงโจ้ เพื่อนคนนี้เป็นที่รักของครู เพราะแม่เขามักจะเอาของมาให้ครูเสมอๆ เช่น พวกเครื่งสำอางแพงๆ
(แต่แม่เราไม่เคยเอามาให้ )
เพื่อนคนนั้นได้คะแนนเต็ม
.
พอถึงตาเราออกไปพูดหน้าชั้น
เรา: “วันนี้หนูจะมาพูดเรื่อง UFO”
ครู: หยุด! UFO ย่อมาจากอะไร
เรา: …… (ก้มหน้ามองข่าวที่ตัดมาจากนสพ แต่มันไม่มีเขียนนี่นา ทำไงดี)
ครู: ตอบไม่ได้เหรอ เอาศูนย์ไป
เรา: …… (กลับมานั่งที่โต๊ะ)
ตอนนั้น เราไม่ได้โทษครูเลย
แต่โทษตัวเอง รู้สึกเสียใจ ที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้พูดหน้าชั้นแบบเพื่อนๆ และยังโดนเพื่อนๆมองเป็นตัวตลกอีก(ในหัวเรานะ)
สักพักน้ำตามันก็ไหลออกมาจากแก้มช้าๆ
แต่เราอาย ไม่อยากให้เพื่อนเห็น
เลยแอบก้มหน้ามองพื้นร้องไห้แบบไม่มีเสียง
แต่มีเพื่อนเห็น เรายกมือบอกครูว่า “ครูขา นีรชาร้องไห้”
เราอายมาก เพราะปกติ เราเป็นคนไม่ชอบร้องไห้ให้ใครเห็น
พยายามกลั้นน้ำตาสุดๆ
ครูหันมามอง และบอกว่า
“อ๊ะๆ งั้นครูให้ หนึ่งคะแนน จบนะ”
.
เชื่อมั้ย ตอนนั้น เราชา ไม่ได้รู้สึกโกรธครูเลย
แต่รู้สึกอายและแย่กับตัวเอง
ที่เหมือนเราเป็นตัวปัญหา เราไม่ฉลาด
กลับมาบ้าน เราไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ฟังเลย
เก็บไว้กับตัวเองตลอดจนเรียนจบ
(ตอนนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะไม่ยอมให้มันจบแบบนี้
เด็กป.4 ใครจะไปรู้ว่า UFO ย่อมาจากอะไร
แต่ตอนนี้รู้ละ อยากกลับไปช่วยตัวเองตอนนั้นจริงๆ เพราะตอนนี้เราสตรองแล้ว
ปล. คิดในแง่ดี หลังจากนั้นก็รู้แล้วว่า UFO ย่อมาจาก
Unidentified Flying Object 5555)
.
.
กลับมาบ้าน
พ่อแม่ ก็ถามเราทุกครั้งว่า ร.ร. เป็นยังไง
เราไม่อยากให้พ่อแม่เป็นห่วง ก็จะฝืนบอกไปทุกครั้งว่าไม่มีอะไร
(เชื่อมั้ย เราเก็บอาการเก่งมาก เพราะเราคิดมาตลอดว่าปัญหามันอยู่ที่เรา เพราะงั้นเราไม่ควรทำให้คนอื่นเดือดร้อน)
.
เราไม่มีความสุขเลย ไม่อยากไปโรงเรียนเลย
แต่มันเป็นหน้าที่ ก็ต้องไป
ไม่มีmotivation ในชีวิต คิดว่าเราคงเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องจนตาย
กลายเป็นคนเก็บกด
เวลามีเรื่องที่ไม่สบายใจ เราก็จะไม่พูด เก็บไว้คนเดียว โทษแต่ตัวเอง
.
🔴ชีวิตเราดีขึ้นโดยที่ไม่ได้คาดคิด
หลังจากที่เราย้ายร.ร.ตอนม.1
ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้ย้ายร.ร.
ขอบคุณร.ร.ใหม่ ที่มอบชีวิตใหม่ให้กับเรา
(เหตุผลคือ พ่อไม่อยากให้อยู่ประจำ
เราเลยย้ายจากร.ร.เอกชน ไปร.ร.รัฐบาล)
เราไม่ได้คาดคิดว่าชีวิตหลังย้ายร.ร. มันจะดี
คิดว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน
แต่ปรากฎว่ามันดีขึ้นมากๆๆ
เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเลย
.
พอได้เจอครู เพื่อนและสิ่งแวดล้อมที่ดี
มันเริ่มทำให้เริ่มมีความมั่นใจและรักในตัวเองมากขึ้น
(มี self-esteem, self-confidence มากขึ้น)
ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ความผิดเรา และเลิกโทษตัวเอง
(ใช้เวลานานอยู่) หลังจากนั้น พอเราเริ่มโอเค
ถึงเริ่มเล่าให้ที่บ้านฟัง
ไม่ได้บอกนะ ว่าร.ร.หรือครูที่ร.ร. ประถมที่เราเรียนทุกคนไม่ดี
ครูที่ดีๆก็มีค่ะ เป็นร.ร.ดี วิชาการแน่น
แต่เราเองอาจจะบังเอิญเจอครูไม่ดีก็ได้
▪️อีกหนึ่งเหตุการ์ณที่จำได้
เหตุการ์ณนี้ไม่ได้เกิดกับเรา แต่เกิดกับเพื่อนร่วมชั้น
ตอนนั้นป.4
ครูคนนึงตีเพื่อนร่วมชั้นเรา
เพื่อนคนนั้นไปฟ้องพ่อแม่
พ่อแม่เขาเลยมาเอาเรื่องกับครู
และทางร.ร.ตัดสินให้ไล่ครูคนนั้นออก
ก่อนที่ครูคนนั้นจะออก ครูทิ้งบอมไว้ลูกนึง
วันสุดท้ายที่ครูมาสอน
ครูคนนั้น เข้ามาในห้อง
ยืนร้องไห้ด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นและ
พูดกับนักเรียนทุกคนในชั้นว่า
"มีเพื่อนของพวกเราคนนึงในนี้
ไปฟ้องผปค.ว่าครูตี ทั้งๆที่ครูทำไปเพราะรักนักเรียน
แต่นักเรียนคนนั้น กลับเอาไปฟ้องแม่ทำให้ครูโดนไล่ออก
คงสมใจนักเรียนคนนั้นแล้ว
วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ครูจะมาสอน คงสมใจเธอแล้วสินะ"
..... และครูก็พูดชื่อเด็กคนนั้นออกมาทั้งน้ำตา
เพื่อนๆทั้งห้อง หันไปมองเด็กคนนั้น ด้วยสายตาโกรธแค้น ว่าทำไมเธอถึงทำกับครูที่แสนดีคนนั้นได้
(สมัยเด็กๆ ครูจะใหญ่ที่สุดในห้อง ครูพูดอะไร เด็กมักจะเชื่อ)
หลังจากเหตุการณ์ที่ครูทิ้งระเบิดวันสุดท้ายก่อนถูกไล่ออกคือ
ทำให้เพื่อนคนนั้นถูกเพื่อนคนอื่นบูลลี่แทน
พอโตแล้ว มาย้อนคิดดู คือ นี่เป็นการแก้แค้นของครูนี่เอง
เด็กๆอย่างพวกเราก็โดนหลอกใช้เป็นเครื่องมือ
จริงๆ มีอีกหลายเรื่อง ให้เล่าคงยาว
มาย้อนคิดดู
เรายังโชคดีที่หลุดออกจากตรงนั้นมาได้
แต่เด็กที่ไม่ได้ล่ะ
ทุกครั้งที่เห็นข่าวเด็กๆโดนครูทำร้าย
มันทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์ตอนเด็กๆทุกครั้ง
หลายคนบอกว่า อยากย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีก
แต่สำหรับเรา คือ ไม่อยากเลย
เพราะมันไม่มีความสุขเลย
อยากบอกว่า
ครูหลายคน ทำอะไรกับเด็กไว้
คิดว่าเด็กไม่เข้าใจ แต่จริงๆเด็กรู้นะคะ
ถึงตอนนั้นจะยังไม่รู้ แต่พอโตมา ย้อนกลับไปคิด จะรู้แน่นอน
ถ้าไม่ได้รักเด็ก อย่ามาเป็นครูเลยค่ะ
เพราะคุณอาจจะทำลายชีวิตคนๆนึงได้ไม่รู้ตัวเลยก็ได้
self-esteem motivation 在 Kru-Ngor ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ Youtube 的精選貼文
#ไลฟ์ครูเงาะ ? EP.105 : จะรู้ได้ไงว่าเราไม่ได้รักคนผิด ⠀
⠀
? มาติดตามและแชร์เกร็ดความรู้ดี ๆ กันได้ที่ไลน์ @kru-ngor (มี@นำหน้านะคะ)⠀
? คลิก https://line.me/R/ti/p/@kru-ngor ⠀
⠀

self-esteem motivation 在 Kru-Ngor ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ Youtube 的最佳貼文
#ไลฟ์ครูเงาะ ? EP.103 : รู้มั้ยถ้าไม่ตั้งเป้าเรื่องความรัก ชีวิตรักจะออกมาเป็นแบบไหน⠀
⠀
? มาติดตามและแชร์เกร็ดความรู้ดี ๆ กันได้ที่ไลน์ @kru-ngor (มี@นำหน้านะคะ)⠀
? คลิก https://line.me/R/ti/p/@kru-ngor ⠀
⠀

self-esteem motivation 在 Kru-Ngor ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ Youtube 的精選貼文
? ขอแนะนำ คลาสใหม่!!!
ให้คนในครอบครัวเข้าใจกันมากกว่าเดิม!!!
.
กับคลาส
????Communication for Family
โดย ครูเงาะ รสสุคนธ์
.
คลาสที่คุณจะมาเดี่ยว หรือจับมือมาคู่กับคนในครอบครัวก็ได้ เพื่อมาเรียนรู้วิธีการสื่อสารเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ลดความขัดแย้ง เพิ่มความเข้าใจกันในครอบครัว
.
เรียนสดผ่าน Zoom
แถมมี workshop พร้อมครูพี่เลี้ยง ที่จะคอยดูแลคุณอย่างทั่วถึง
.
ราคาพิเศษ ภายใน 14 มิ.ย.นี้เท่านั้น!!
.
? มาเดี่ยวจาก 4,900 บาท
เหลือ 2,500 บาท
.
?? มาคู่จาก 9,800 บาท
เหลือ 3,290 บาท
.
ทักเลยที่ไลน์ @ thedrama
โทร. 092-449-1493

self-esteem motivation 在 130 Low Self esteem ideas - Pinterest 的推薦與評價
23 Motivational Quotes to help you get through Failures and Depression Moments | Put Motivation On. The Next Step | Happiness, Discipline, Confidence & Success. ... <看更多>
self-esteem motivation 在 1.4 Human Relations: Self-Esteem and Self-Confidence Effects 的推薦與評價
Low (negative) self-esteem can cause people to be negative, lack motivation, and be moody. Those with higher (positive) self-esteem like themselves, ... ... <看更多>