กรณีศึกษา ดีลซื้อกิจการ ครั้งใหญ่สุดของ Apple /โดย ลงทุนแมน
หากเราพูดถึงดีลการซื้อกิจการระดับแสนล้าน ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในโลก
Microsoft ซื้อแพลตฟอร์มจัดหางาน LinkedIn 8.3 แสนล้านบาท
Facebook ซื้อแอปพลิเคชันแช็ต WhatsApp 6.1 แสนล้านบาท
Amazon ซื้อค้าปลีกรายใหญ่ Whole Foods Market 4.4 แสนล้านบาท
Google ซื้อกิจการ Motorola Mobility 4.0 แสนล้านบาท
ดีลธุรกิจระดับแสนล้านที่กล่าวมา ล้วนกลายเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มบริษัทเทคโนโลยี
ให้มีประสิทธิภาพและมีบริการที่ครอบคลุมขึ้น
แต่ในรายชื่อที่ว่ามานี้ ยังไม่มีชื่อของ Apple บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
ที่มีมูลค่าบริษัท 71.2 ล้านล้านบาท นั่นก็เพราะว่ากิจการที่บริษัท
ซื้อเข้ามาแพงที่สุดกลับมีมูลค่าไม่แพงมากนัก
โดยบริษัทที่ว่านั้น Apple ได้เข้าซื้อกิจการไปตั้งแต่ปี 2014 หรือราว 7 ปีก่อน
ด้วยมูลค่าเพียง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 9.5 หมื่นล้านบาท
แล้วบริษัทแห่งนั้น คือบริษัทอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
การเข้าซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดของ Apple คือ บริษัทผลิตหูฟังที่มีชื่อว่า “Beats Electronics”
Beats Electronics เป็นบริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องเสียง
โดยผลิตภัณฑ์หลัก คือหูฟังและลำโพง
ซึ่งปัจจุบันดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้บริษัท Apple เป็นที่เรียบร้อย
Beats หรือ Beats by Dr. Dre มีที่มาจากแรปเปอร์ชาวอเมริกัน Andre Romelle Young
ที่ในปี 2006 เขากับ Jimmy Iovine ผู้บริหารค่ายเพลงชื่อดัง
ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Beats Electronics
โดยต้องการเป็นผู้ผลิตหูฟังระดับพรีเมียมและได้ทำการเปิดตัว หูฟัง อันแรกในปี 2008
แต่เส้นทางกลับไม่ง่ายอย่างที่พวกเขาคิด
แม้สินค้าจะมีคุณภาพดี แต่ด้วยความที่คนยังไม่รู้จักแบรนด์
และราคาที่แพงถึง 10,500 บาท หูฟังรุ่นแรกที่ผลิตออกมาจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก
จุดเริ่มต้นของ Beats เริ่มขึ้นจากการที่บริษัททำการตลาดผ่านแบรนด์หรือศิลปินที่มีชื่อเสียง
- ในช่วงปี 2009 Beats เปิดตัวหูฟัง Heartbeats โดยมี Lady Gaga ร่วมออกแบบและเป็นพรีเซนเตอร์ โดยเป็นหูฟังแบบ In-ear ที่เน้นความเป็นแฟชั่น
- ปลายปี 2009 ร่วมมือกับ HP โดย HP ทำการเปิดตัว Envy 15 โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับระบบเสียงจาก Beats ซึ่งเป็นรุ่น Limited Edition โดยปุ่ม “B” ถูกเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์โลโก Beats
- ปี 2012 ได้ร่วมมือกับ Chrysler ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ของสหรัฐอเมริกา เปิดตัวรถยนต์รุ่น 300S ซึ่งมีระบบเสียงจาก Beats
- ปี 2012 เช่นเดียวกัน ได้ทำการแจกหูฟังให้กับนักกีฬาทีมชาติอังกฤษ ในการแข่งขันโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน เพื่อให้มีภาพของนักกีฬากำลังใส่หูฟังของ Beats ที่ถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก
หลังจากการทำการตลาดอย่างหนัก ทำให้คนเริ่มรู้จักแบรนด์ Beats และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
จนในปี 2012 ส่วนแบ่งการตลาดของ Beats ในตลาดหูฟังระดับพรีเมียมสูงถึง 64%
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของ Beats เกิดขึ้นเมื่อปี 2012 คือการเข้าซื้อกิจการ MOG ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง โดยมีสาเหตุการเข้าซื้อก็เพราะว่าทางบริษัทสามารถนำองค์ความรู้ของ MOG เพื่อมาพัฒนาเป็นของตัวเอง
และแล้วต้นปี 2014 “Beats Music” ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ซึ่งหลังจากเปิดตัวได้ 3 เดือน มีผู้ใช้งานสูงถึง 110,000 ราย
ณ จุดนี้เองที่ไปเข้าตา Apple
เนื่องจากในตอนนั้น iTunes ของ Apple ไม่สามารถสู้กับทาง Spotify ได้เลย
Beats Music จึงเป็นเหมือนคำตอบที่ Apple กำลังตามหา
ในปีเดียวกันนั้นเอง Apple จึงตัดสินใจซื้อกิจการ Beats Electronics ทั้งหมดด้วยมูลค่า 9.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเข้าซื้อกิจการที่มูลค่ามากที่สุดของ Apple ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว
คำถามที่ตามมาก็คือ Apple ซื้อ Beats ไป ได้อะไรกลับมาบ้าง ?
เหตุผลที่ Apple ตัดสินใจลงทุนด้วยจำนวนเงินขนาดนี้
ทาง Eddy Cue รองประธานอาวุโสด้านอินเทอร์เน็ตและการบริการของ Apple
ได้ให้เหตุผลแบ่งเป็น 2 ข้อหลัก ๆ ออกเป็น
1. ความสามารถของ Dr. Dre และ Jimmy Iovine
Beats Electronics เกิดขึ้นจากการรวมตัวของ Dr. Dre และ Jimmy Iovine
ซึ่งคนหนึ่งเป็นนักร้องแรปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ อีกคนมีประสบการณ์ด้านดนตรี
ทั้งสองมีความเข้าใจโลกของเพลง เข้าใจว่าผู้คนต้องการฟังอะไร ฟังอย่างไร และฟังในรูปแบบไหน
จึงไม่แปลกใจเลยที่บริษัทเติบโตและมีรายได้สูงถึง 37,692 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 8 ปี
การที่ได้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับดนตรีเข้ามาร่วมทีม
จะทำให้ธุรกิจใหม่ของ Apple มีความเข้าใจและเลือกที่จะพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
2. ผลิตภัณฑ์และองค์ความรู้ของ Beats
- แบรนด์หูฟัง Beats ที่มีฐานลูกค้าอยู่ในกลุ่มระดับพรีเมียม
ซึ่งระดับนี้ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple
- Beats Music คืออีกตัวแปรสำคัญที่ทำให้ Apple ตัดสินใจในครั้งนี้
เพราะต้องการองค์ความรู้เพื่อนำมาพัฒนาสตรีมมิงของตัวเอง
ซึ่งปัจจุบันพัฒนามาเป็น “Apple Music” นั่นเอง
นอกเหนือจากเหตุผลที่ทางรองประธานอาวุโสได้ให้เหตุผลไว้
อีกเรื่องที่ Apple ได้จาก Beats ก็น่าจะเป็นเทคโนโลยีในการพัฒนาหูฟัง
ที่ทางบริษัทได้รุกเข้าสู่ตลาดหูฟังอย่างเต็มตัวครั้งแรกในปี 2016 กับ AirPods
หลังจากการเข้าซื้อกิจการเพียง 2 ปี
ก่อนที่จะปล่อยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็น AirPods หรือ AirPods Max
รวมถึงล่าสุด ที่มีการนำแบรนด์ Beats ไปพัฒนาสินค้ากลุ่ม True Wireless เพิ่มเติม
ปัจจุบัน Apple กลายมาเป็นบริษัทที่แม้จะไม่ได้เป็นบริษัทผู้ผลิตหูฟัง
แต่มีส่วนแบ่งการตลาดหูฟังประเภท True Wireless สูงที่สุดในโลก
โดยในปี 2020 Apple มีส่วนแบ่งในธุรกิจดังกล่าวมากถึง 31%
จากตรงนี้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Beats เองได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญ
ที่ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จในผลิตภัณฑ์กลุ่มหูฟังรวมถึงการพัฒนาบริการสตรีมมิง
แม้ว่ามูลค่ากิจการที่ Apple จ่ายให้กับ Beats เหมือนว่าจะน้อยกว่า
เมื่อเทียบกับการเข้าซื้อกิจการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นพอสมควร
แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าแล้ว Beats ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในดีลการเข้าซื้อกิจการที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้ดีลไหนในโลก เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://en.wikipedia.org/wiki/Beats_Electronics
-https://en.wikipedia.org/wiki/Beats_Music
-https://www.forbes.com/sites/zackomalleygreenburg/2018/03/08/dr-dres-3-billion-monster-the-secret-history-of-beats-3-kings-book-excerpt/?sh=37bf6d4c258d
-https://www.macthai.com/2014/05/27/history-of-beats-electronics-before-apple-acquisition/
-https://www.latimes.com/business/technology/la-fi-tn-apple-beats-brief-history-20140528-story.html
-https://medium.com/macoclock/why-did-apple-buy-beats-for-3-2-billion-92d3a5cab764
-https://www.reuters.com/article/idUS71812687520120321
-https://www.automotiverhythms.com/chrysler-a-beats-by-dr-dre-partner/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Jimmy_Iovine
-https://www.ukessays.com/essays/marketing/beats-by-dre-marketing-analysis-7363.php
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_mergers_and_acquisitions_by_Apple
-https://www.statista.com/statistics/325991/beats-music/
「whole foods wiki」的推薦目錄:
whole foods wiki 在 農民教主碎碎念 Facebook 的最讚貼文
等一下坐車時再讀。 C15 C17 很有趣。
C15 :(Wiki)
Pentadecanoic acid is a saturated fatty acid. Its molecular formula is CH3(CH2)13COOH. It is rare in nature, being found at the level of 1.2% in the milk fat from cows.[2] The butterfat in cows milk is its major dietary source[3]
C17:(Wiki)
Heptadecanoic acid, or margaric acid, is a saturated fatty acid. Its molecular formula is CH3(CH2)15COOH. It occurs as a trace component of the fat and milkfat of ruminants,[2] but it does not occur in any natural animal or vegetable fat at high concentrations.
心血管代謝疾病:超越卡路里的影響
高糖加上高脂飲食,或許才是增加心血管代謝疾病風險最主要的原因.
高糖加上高脂飲食透過影響大腦相關
獎勵系統(reward system)及腸道菌態平衡(gut microbiome),擾亂能源平衡系統(Energy balance).
Pathways and mechanisms linking dietary components to cardiometabolic disease: thinking beyond calories.
obesity reviews:2018 May 14.
doi: 10.1111/obr.12699.
Conclusion
1.Evidence suggests that consumption of n-6 fatty acids
results in lower cardiometabolic risk factors/risk compared
with isocaloric amounts of SFA. However, differences
exist between individual SFA, and the food matrix needs to be considered; e.g. dairy foods such
as cheese and yogurts are associated with reduced cardiometabolic risk. More research is needed to clarify the differences among the individual SFA and SFAcontaining
foods.
2.Evidence strongly suggests that consumption of
fructose-sweetened, HFCS-sweetened or sucrosesweetened beverages increases cardiometabolic risk factors/risk compared with isocaloric amounts of
starch. More research is needed comparing the metabolic
effects of SSB versus sugar in solid food and sugar
in solid food versus refined or whole grain starch.
3.There is currently insufficient evidence that a highCHO
diet affects weight gain or weight loss to a different
extent than a high-fat diet. Susceptibility to weight
gain when consuming diets high in refined CHO/glycaemic load may be affected by the metabolic status of the individual (i.e. glucose tolerance/insulin
sensitivity). More studies focused on strategies to prevent
weight regain in weight-reduced subjects are
needed.
4.RCTs ranging from 4 weeks to 3 years in duration
demonstrate that consumption of aspartame does not
promote body weight gain in adults. Well-controlled
and long-term RCTs in adults are warranted to assess
the effects of saccharin, acesulfame K and steviol glycosides on body weight and other health outcomes. More
studies to assess the effects of all types of NNSs in children
are needed.
a• Continued research on the following topics could provide
important insights and strategies for slowing the
obesity epidemic.
b• The high-sugar, high-fat palatable Western diet
could be perturbing both sides of the energy balance
equation through effects on brain regions associated
with reward and/or on the gut microbiome.
c• Susceptibility to weight gain may be affected by exposure
to sugar and/or NSS during critical periods
of development from pre-conception to adult life