ผ่านไปแต่ละปี เรารวยขึ้น หรือจนลง
.
ทำงานกันมา 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี เคยตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเองหรือเปล่าครับ ถ้ายังไม่เคย วันนี้ผมชวนคิดชวนคุยเรื่องนี้กัน
.
จะว่าไปแล้วมันเป็นหนึ่งในกิจกรรมประจำปีของผมเลยก็ว่าได้ ที่เมื่อผ่านพ้นไปในแต่ละปี ผมจะกลับมานั่งทบทวนถึงจำนวนทรัพย์สินและหนี้สินที่ตัวเองมี เช็คเป็นสถานะปัจจุบัน แล้วก็เทียบกันกับปีก่อน
.
วิธีทำก็ง่ายๆ ครับ หยิบกระดาษ A4 มาหนึ่งแผ่น ขีดเส้นแบ่งครึ่งตรงกลาง ด้านซ้ายเขียนรายการทรัพย์สินทั้งหมดที่เรามี ไม่ว่าจะเป็น เงินฝาก สลากออมทรัพย์ กองทุนรวมต่างๆ (อะไรขึ้นชื่อว่ากองทุนนับให้หมด) หุ้นสหกรณ์ หุ้นสามัญ บ้าน รถยนต์ ทองคำ ทั้งหมดที่เราเป็นเจ้าของและมีมูลค่า ระบุใส่ช่องทางซ้ายมือนี้ให้หมด
.
ส่วนด้านขวามือ ให้เขียนรายการหนี้สินทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะหนี้บริโภค อาทิ หนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อบุคคล ผ่อนของ นอกระบบ จัดกันมาให้ครบ รวมถึงหนี้กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ กู้เรียน รวมทั้งหมดไว้ทางฝั่งขวา
.
สุดท้ายให้เอา มูลค่าทรัพย์สินรวม (ทางฝั่งซ้าย) ตั้งแล้วลบด้วยมูลค่าหนี้รวมทั้งหมด (ทางฝั่งขวา) ได้ผลลัพธ์เป็นเท่าไหร่ เราเรียกเจ้าค่าที่ได้นี้ว่า “ความมั่งคั่งสุทธิ” หรือ NET WORTH (บางตำราเรียก “ทรัพย์สินสุทธิ”)
.
ตัวอย่างเช่น ถ้า ณ วันที่ 1 มกราคม 2564 เรามีมูลค่าทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 2,000,000 บาท และมีหนี้สินรวมคงค้างอยู่ 1,500,000 บาท แบบนี้ก็จะเท่ากับว่า เรามี “ความมั่งคั่งสุทธิ” เท่ากับ 2,000,000 - 1,500,000 หรือ +500,000 บาท นั่นเอง
.
โดยหลักการแล้ว ถ้าเรามีความมั่งคั่งสุทธิเป็น “บวก” ก็จะถือว่า “ดี” และยิ่งถ้าทุกปีเราทำตัวเลขนี้เปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า แล้วพบว่า เป็นบวกมากขึ้นทุกปี แบบนี้ก็แสดงว่า “เรารวยขึ้น”
.
ในทางตรงกันข้าม หากความมั่งคั่งสุทธิปีนี้ลดลงจากปีที่แล้ว อันนี้ก็แสดงว่า “เราจนลง” ซึ่งก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการมีหนี้บริโภคเพิ่มมากขึ้น (ก่อหนี้ที่ไม่ได้ใช้ซื้อทรัพย์สิน) หรือไม่ทรัพย์สินบางกลุ่มของเราก็อาจมีมูลค่าลดลง อย่างเช่น กรณีหุ้นตก มูลค่ากองทุนรวมลดลง ก็จะเข้าข่ายในลักษณะนี้
.
จากที่สอนเรื่องการเงินมาหลายปี ผมพบว่าถ้าเราหมั่นตรวจสอบความมั่งคั่งของเราอยู่เสมอ และทุกปีเรามีความมั่งคั่งสุทธิเพิ่มขึ้น หรือทรัพย์สินเพิ่ม (สะสมเพิ่ม) หนี้สินลดลงทุกปี (ทยอยใช้หนี้ตามกำหนด) แบบนี้รับประกันได้เลยว่าเกษียณสบายครับ เพราะถ้าทรัพย์สินสะสมเพิ่มเรื่อยๆ แถมหนี้สินยังลดลงเรื่อยๆ และเคลียร์หมดได้ก่อนเกษียณ แบบนี้รับประกันเลยว่า “Happy Retirement” แน่นอน
.
ครั้งหนึ่งเมื่อ 10 ปีก่อน ผมเล่าเรื่องนี้ในการบรรยายให้กับองค์กรแห่งหนึ่ง พี่ท่านหนึ่งที่เข้าฟังบรรยายบอกผมว่า เขาทำอย่างที่ผมบอกทุกปี และไม่เพียงแต่นั่งคำนวณตัวเลขทรัพย์สินหนี้สินเท่านั้น พี่เขายังจดรายละเอียดทุกรายการของทรัพย์สิน เช่น กองทุนซื้อกับที่ไหน หุ้นเปิดพอร์ตกับบริษัทหลักทรัพย์อะไร ประกันชีวิตซื้อกับที่ไหน และระบุข้อมูลเบอร์ติดต่อของผู้เกี่ยวข้องไว้ทั้งหมด ทำแบบนี้เป็นประจำทุกปี
.
พี่แกเล่าให้ฟังว่า การสรุปข้อมูลรายการทรัพย์สินหนี้สินในแต่ละปี สำหรับแกแล้วเหมือนการ “เตรียมตัวตาย” เพราะคนเราเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เกิดเราลงทุน ซื้อประกัน สะสมทรัพย์สินอะไรไม่รู้จิปาถะ แต่ไม่ได้บอกคนข้างตัวไว้ เกิดตายวันตายพรุ่งไป คนข้างตัวก็ไม่รู้ว่าเรามีอะไรสะสมอยู่บ้าง หนี้สินแกก็คิดอย่างเดียวกัน ว่าต้องให้รู้ไว้บ้าง จะได้ไม่ตกใจ
.
“ถ้าเตรียมตัวตายดีๆ รับรองเลยว่าอาจารย์จะไม่ตาย อาจารย์จะอายุยืน ฮา ๆๆ” พี่แกบอกผมอย่างนั้นในวันที่เจอกันครั้งแรก
.
หลายปีต่อมา ผมยังไปบรรยายที่องค์กรของพี่เขาอยู่บ่อยๆ แม้จะไม่ได้เป็นคนเข้าฟังบรรยายในคลาส แต่แกก็จะแวะมาทักทายตอนพักอาหารว่าง หรือมาแวะส่งตอนกลับ เหมือนเจอน้องเจอที่รู้จักคุ้นเคย แล้วก็ต้องแวะมาเจอกันสักหน่อย แม้จะได้พูดคุยไม่กี่นาทีก็ตาม
.
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เมื่อสิ้นปี 2563 ผมมีโอกาสไปบรรยายที่องค์กรของพี่ท่านนี้อีกครั้ง แล้วก็เจอแก คราวนี้ผมไปบรรยายเรื่องการจัดการเงินหลังเกษียณ พี่แกเข้ามาเป็นนักเรียนในคลาส เพราะสิ้นปีแกจะเกษียณแล้ว ตลอดการพูดคุยกันในคลาส สิ่งที่ผมรู้สึกได้เลยก็คือ แกไม่ได้เดือดร้อนที่จะต้องเกษียณ เพราะเตรียมตัวมาดีมาก (ดีมากจริงๆ)
.
หลังจบการบรรยาย แกเดินเข้ามาทัก แล้วก็บอกผมว่า “ยังทำรายการทรัพย์สินหนี้สินอยู่ทุกปีนะอาจารย์ เสียอย่างเดียว คนที่เราเป็นห่วง กลัวว่าเขาจะลำบากถ้าเราไม่อยู่ เขาไปก่อนเราเสียแล้ว ฮาๆๆๆ” คนพูดแม้จะมีเสียงหัวเราะ แต่แววตาดูเศร้าชนิดสังเกตได้
.
“แต่อย่างน้อยที่ทำมาตลอด ก็ดีกับพี่เองต่อจากนี้นะครับ” ผมอยากจะปลอบใจแก แต่ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี
.
เราสนทนากันเป็นครั้งสุดท้าย เพราะรู้ดีว่าครั้งหน้าที่ผมมาสอนที่นี่ ก็คงไม่เจอพี่เขาอีกแล้ว ได้ยินว่าพี่เขาปลูกบ้านไว้ที่ภูมิลำเนาเดิมในจังหวัดใกล้กรุงเทพ เตรียมทุกอย่างไว้พร้อม พร้อมที่จะเป็นคนเกษียณที่มีความสุขมากที่สุดคนหนึ่ง
.
ทั้งหมดเริ่มต้นง่ายๆ จากการวัดผลเล็กๆ ที่ว่า ในแต่ละปีเรารวยขึ้นหรือจนลง และใส่ใจกับผลของการวัดอย่างจริงจัง
.
ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าเราทำงานมาเป็น 10 ปี แต่ความมั่งคั่งสุทธิยังติดลบ มันบอกอะไรกับชีวิตเรา แน่นอนว่ามันไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นจะกลับตัวหรือแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เคยเห็นตัวเลขสำคัญทางการเงินของตัวเองตัวนี้เลย
.
หรือถ้าเห็นว่าตัวเลขไม่สวย แต่ละปีความมั่งคั่งสุทธิไม่เพิ่มขึ้น แถมยังลดลง แล้วยังอยู่เฉยได้ คนแบบนี้ก็ยากที่เราจะไปช่วยอะไรเขาได้ ทั้งนี้เพราะหัวใจของการสร้างสำเร็จทางการเงิน สิ่งแรก คือ ความรับผิดชอบทางการเงิน ที่คนแต่ละคนต้องเชื่อก่อนว่า “อนาคตทางการเงินของเรา เปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ดีขึ้นได้ และทั้งหมดขึ้นอยู่หนึ่งสมองและสองมือของเราเท่านั้น ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงอนาคตการเงินเราได้”
.
ใครยังไม่เคยลองทำ ผมเชิญชวนทุกท่านลองหยิบกระดาษ A4 ขึ้นมา แบ่งครึ่งซ้ายขวา ลิสต์รายการทรัพย์สิน หนี้สิน และมูลค่าทั้งหมด จากนั้นลองคำนวณ “ความมั่งคั่งสุทธิ” ณ วันปัจจุบัน ของตัวเองออกมาดูครับ
.
ใครทำเป็นปีแรก ลองดูสิว่า ความมั่งคั่งสุทธิเป็นบวกมั้ย ถ้าบวก ก็ถือว่า “โอเค”
.
ส่วนใครทำมาแล้วมากกว่า 1 ปี ลองดูสิว่า เทียบกับปีก่อน ความมั่งคั่งสุทธิของเรา เพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้าเพิ่มขึ้นแปลว่า เรารวยขึ้น และถ้าแต่ละปีเรารวยขึ้นเรื่อยๆ ด้วยทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หนี้สินที่ทยอยลดลงเรื่อยๆ จากการผ่อนจ่ายของเรา เมื่อถึงวันหนึ่งที่เกษียณ เราจะเป็นคนไทยอีกคนหนึ่งที่มีชีวิตเกษียณที่มีความสุขอย่างแน่นอนครับ ฟันธง!
.
ขอให้ทุกท่านรวยขึ้นทุกปีนะครับ
#โค้ชหนุ่ม #TheMoneyCoachTH
同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過31萬的網紅THE MONEY COACH,也在其Youtube影片中提到,[เคลียร์หนี้ที่เคยถูกบังคับคดีหมดแล้ว กู้ซื้อบ้านซื้อรถได้มั้ย] อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย โดยเฉพาะคนที่เคยประสบปัญหาการเงิน วันที่การเงินกลับมาดีเป...
「กู้ซื้อรถ」的推薦目錄:
- 關於กู้ซื้อรถ 在 Money Coach Facebook 的精選貼文
- 關於กู้ซื้อรถ 在 บัญชีอย่างง่าย เพื่อเจ้าของกิจการ Facebook 的最佳解答
- 關於กู้ซื้อรถ 在 Money Coach Facebook 的最讚貼文
- 關於กู้ซื้อรถ 在 THE MONEY COACH Youtube 的最讚貼文
- 關於กู้ซื้อรถ 在 THE MONEY COACH Youtube 的最佳解答
- 關於กู้ซื้อรถ 在 กู้ซื้อรถร่วมกัน แต่ผู้กู้หลักไม่ชำระ ทำอย่างไรได้บ้าง - YouTube 的評價
- 關於กู้ซื้อรถ 在 อยากซื้อรถบ้านมือสอง KLeasing ช่วยได้ กู้ง่าย ได้ไว ดอกเบี้ยถูก ... 的評價
- 關於กู้ซื้อรถ 在 FINSTREET - กู้บ้านมาซื้อรถ แบบนี้ก็ได้หรอ - Facebook 的評價
กู้ซื้อรถ 在 บัญชีอย่างง่าย เพื่อเจ้าของกิจการ Facebook 的最佳解答
เนื่องในวันครบรอบวันเกิดปีนี้
ตั้งใจแบ่งปันข้อคิดที่ได้จากการทำธุรกิจ
ชอบข้อไหน ฝากพิมพ์เล่าให้ฟังด้วยนะคะ ^^
ข้อ 1 อ่านรายงาน ด้านตัวเลข ประจำ
ตั้งระบบภายใน มีโปรแกรม มีทีมงานทำตามระบบที่วางไว้ เพื่อออกข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นให้เราพิจารณา ให้ทันต่อเวลาที่สุด
ทุกวัน :
1. รายได้เท่าไหร่
2. จ่ายค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
3. Stock เหลือเท่าไหร่
ทุกสัปดาห์ :
1. รายได้ในสัปดาห์ เทียบกับที่วางแผน
2. ดูรายละเอียดการเบิกจ่าย
3. ดูเรื่องการจัดซื้อสินค้า
4. ประชุมการตลาด เรื่องการใช้งบโฆษณา
ทุกเดือน :
1. กำไรขาดทุน
2. ลูกหนี้ เจ้าหนี้คงเหลือ
3. ประมาณการเงินสดในเดือนหน้า
4. แยก stock เป็น 3 หมวด หมุนเร็ว หมุนช้า ไม่เคลื่อนไหว
5. ประชุมทีมขาย และการตลาด เรื่องตั้งยอดขาย
6. ดู ROI , Payback Period ของกิจการต่างๆที่ลงทุนไว้
อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ครูอัสทำ
ขอให้ทุกท่านค่อยๆ วางระบบนะคะ
หากทำได้ คุณจะทำงานที่ไหนก็ได้
คุณคุมงานจากทางไกล ดูผ่านระบบได้เลย
#ข้อคิด รีบเห็นตัวเลขที่สำคัญ หากเจอปัญหาที่ต้องแก้ไขจะได้แก้ทันเวลา
-------------------------------------
ข้อ 2. รักษาพื้นที่กำไร
หลายท่าน อาจจะคิดกำไรตอนวันที่จะลงทุน หรือวันที่จะเลือกสินค้ามาขาย พอคำนวณ ณ วันนั้น มีกำไรในอัตราที่พอใจ ก็ตัดสินใจเดินหน้า
คำถามคือ แล้วหลังจากนั้น เฝ้าดูอย่างใกล้ชิดหรือไม่
ในระหว่างทาง มีรายจ่ายแฝงไหม มีข้อผิดพลาดของสินค้าไหม มีต้นทุนส่วนไหนที่เพิ่ม จนทำให้มาเบียดกำไรให้น้อยลงหรือป่าว
หรือ เราเพิ่มค่าใช้จ่ายเพื่อความสะดวกสบายของเรามากไปไหม เช่น งานเริ่มเยอะต้องเพิ่มคน ต้องมีเลขา ไม่อยากตรวจงานเอง ต้องจ้างคนตรวจเพิ่ม เมื่อก่อนคิดออกแบบกราฟฟิกเอง ตอนนี้อยากลดงานลง จ้างทีมงานมาเพิ่มแทนเราหลายคน
ประเด็นคือ ถ้ารายได้โตขึ้นมาก มากพอและครอบครุมค่าใช้จ่ายได้ ก็ไม่เป็นไร
สิ่งที่ทำเสมอคือ รักษาพื้นที่กำไรไว้
พิจารณาว่าในแต่ละเดือนสัดส่วนกำไรบรรทัดสุดท้าย ยังอยู่ใน % ที่เราวางแผนไว้หรือป่าว มีรายจ่ายอันไหนที่สูงเกินกว่าที่ตั้งหรือป่าว ระดับสินค้าคงเหลือยังอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่
#ข้อคิด เพราะเราลงทุนทั้งเงินเรา ทั้งเงินกู้ ทั้งแรงกาย แรงใจ กำไรที่ต้องรักษาไว้ ก็เพื่อชดเชยการลงทุน คืนเจ้าหนี้ และให้เรามีกินใช้ในครอบครัว
-------------------------------------
ข้อ 3 : อาจไม่มากมาย แต่มากพอกับการเริ่มต้น
15 ปีที่แล้วครูอัสเริ่มธุรกิจแรก ด้วยเงินไม่เกิน 30,000 เมื่อมีเท่านี้ก็ต้องหาธุรกิจที่พอเริ่มทำได้ เน้นใช้แรงเป็นทุน ใช้ปัญญาความรู้ เป็นอาวุธ ทำอะไรได้ทำก่อนไม่รอว่าต้องมีพร้อมในทุกเรื่อง
ลองก้าวข้ามข้อจำกัดเฉพาะหน้า บางครั้งการเริ่มต้น ต้องเริ่มเลยอย่างรอให้ทุกอย่างพร้อม
ลดขนาดธุรกิจให้พอดีกับการเริ่มต้น
อยากเปิดโรงเรียนกวดวิชา แต่ไม่มีเงินมากพอ ก็เริ่มจากนั่งรถไปสอนตามมหาลัยฯ ผ่านไป 1 ปีเก็บเงินเปิดห้องสอนใต้อพาร์ทเม้น และขยายเป็นโรงเรียนได้ภายใน 2 ปี
อยากสอนเป็น vdo ลง youtube แต่ไม่มีห้องถ่ายไม่มีทีม ก็ไปนั่งเรียนฟรี และซื้อกล้องมือสองมาถ่ายเอง วิ่งมากดกล้อง วิ่งไปถ่าย ไฟไม่มี มืดบ้าง สว่างบ้าง เอาไปตัดต่อเอง ผ่านมา 8 ปี ครูอัสทำ vdo มามากกว่า 2,000 คลิป และตอนนี้คุมทีมถ่ายทำและคุมทีมตัดต่อด้วยตัวเอง
อยากซื้อของมาขาย แต่เงินไม่ค่อยมี ก็ดูรอบบัตรเครดิต ซื้อหลังวันตัดรอบบัตร และเอามาขายสด เก็บเงินก่อน จ่ายที่หลัง จนวันนี้ขายออนไลน์สินค้าด้านกีฬา เติบโต 2,000% ใน 2 ปี
อยากเปิดร้านอาหาร แต่ทำไม่ได้ เพราะต้องใช้เงินหลายแสน ลองเริ่มจากครัวหลังบ้านก่อน ทำส่ง จนวันนี้เปิดร้านอาหาร จำนวน 300 ที่นั่ง
เล่าเป็นตัวอย่าง เผื่อเป็นกำลังใจผู้ที่กำลังเริ่มต้น
ตอนเริ่มต้นแหล่งเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญ
ต้องบริหารให้ดี ว่าจะเป็นเงินจากตัวเราเจ้าของ หรือ จากเจ้าหนี้ เพราะผลตอนแทน และรูปแบบการจ่ายคืนไม่เท่ากัน
#ข้อคิด เริ่มต้นในขนาดที่พอดี และควรเริ่มให้ไว เพราะถ้าช้าแค่วันเดียว คนอื่นทำแซงหน้าไปแล้ว
-------------------------------------
ข้อ 4. เงินบริษัท เงินเจ้าของ คนละกระเป๋า
ข้อคิดนี้ฝากไว้เล็กน้อย หากคุณทำความเข้าใจ เพื่อแยกเงิน 2 ก้อนนี้ได้ เงินบริษัท vs เงินเจ้าของ ระบบการเงินของคุณจะเรียบร้อยขึ้น
เงินบริษัท เกิดจากรายได้ และเงินนี้รอจ่ายพวกต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ หากเหลือก็เป็นกำไร เอากำไรไปทำทุนต่อ หรือตัดให้เจ้าของ
ประเด็นคือ เจ้าของกำหนดผลตอบแทนตนเองอย่างไร รับเงินเดือน ค่าเช่า หรือปันผล แบบนี้ก็จะถูกต้องตามระบบบัญชี จ่ายภาษีถูกต้อง
แต่ถ้าดึงออกมาก่อน เอามาใช้ส่วนตัวก่อน เรื่องนี้ก็ต้องมาเครียร์ภาษีภายหลัง เพราะถือเป็นการยืมเงินกัน หรือเป็นรายได้ย้อนหลัง
ลองพยายามจัดสรรให้เป็นระบบ
เงินฉัน เงินร้าน เงินบริษัท ก็ก้อนเดียวกัน
หากมองรวมๆ ก็ถือว่าใช่..ถูกต้อง
แต่ถ้าเราฝึกที่จะปนกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะงง
ว่าจริงๆ เงินสด เงินกู้บ้าน กู้ส่วนตัว กู้ซื้อรถ
กู้มาทำธุรกิจ เงินเก็บ ปนกันหมด จะแยกยาก
#ข้อคิด ครูอัสเข็ดเรื่องนี้ ปนกันจนงง ใช้ผิดใช้ถูก ตอนนี้จัดทุกอย่างเป็นระเบียบ เป็นกำลังใจให้นะคะ
-------------------------------------
ข้อ 5 เงินสด = ลมหายใจธุรกิจ
การบริหารหารเงินสด เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ ออกจากงานประจำมาทำธุรกิจตอนอายุ 22 ตลอด 15 ปี สิ่งที่ท่องไว้ในใจ คิดไว้ในหัวตลอดเวลาคือ
"เดือนนี้ เก็บเงินสด ได้เท่าไหร่"
"หักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือเท่าไหร่"
"มีใช้ส่วนตัวได้เท่าไหร่"
ตั้งเป้าว่าเงินเก็บต้องเพิ่มขึ้นทุกเดือน
มีคติประจำใจ ไว้ว่า
"ทำมา หาเก็บ"
เก็บเอาไว้เป็นเงินสำรองของตนเอง และครอบครัว เก็บเอาไว้ลงทุน เก็บเอาไว้ซื้อทรัพย์สิน
#ข้อคิด เมื่อเราตั้งเป้าหมาย ว่าจะหาเก็บ เราจะหาได้มากกว่าที่ต้องใช้เริ่มจากการตั้งเป้าหมายเงินเก็บดูนะคะ ขอครูอัสก็เริ่มที่ละเล็กทีละน้อย
-------------------------------------
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า 5 ข้อคิด ของครูอัส
ที่นำมาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ จะมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน
ขอบคุณที่ติดตามแฟนเพจ นะคะ
ขอให้ทุกท่าน
มีความสุข สมหวัง แข็งแรง ร่ำรวย มั่นคง
รักและเป็นกำลังใจให้เสมอ
ครูอัส
6.7.2564
กู้ซื้อรถ 在 Money Coach Facebook 的最讚貼文
ผ่านไปแต่ละปี เรารวยขึ้นมั้ย? หรือจนลง! ...
ทำงานกันมา 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี เคยตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเองหรือเปล่าครับ ถ้ายังไม่เคย วันนี้ผมชวนคิดชวนคุยเรื่องนี้กัน
จะว่าไปแล้วมันเป็นหนึ่งในกิจกรรมประจำปีของผมเลยก็ว่าได้ ที่เมื่อผ่านพ้นไปในแต่ละปี ผมจะกลับมานั่งทบทวนถึงจำนวนทรัพย์สินและหนี้สินที่ตัวเองมี เช็คเป็นสถานะปัจจุบัน แล้วก็เทียบกันกับปีก่อน
วิธีทำก็ง่ายๆ ครับ หยิบกระดาษ A4 มาหนึ่งแผ่น ขีดเส้นแบ่งครึ่งตรงกลาง ด้านซ้ายเขียนรายการทรัพย์สินทั้งหมดที่เรามี ไม่ว่าจะเป็น เงินฝาก สลากออมทรัพย์ กองทุนรวมต่างๆ (อะไรขึ้นชื่อว่ากองทุนนับให้หมด) หุ้นสหกรณ์ หุ้นสามัญ บ้าน รถยนต์ ทองคำ ทั้งหมดที่เราเป็นเจ้าของและมีมูลค่า ระบุใส่ช่องทางซ้ายมือนี้ให้หมด
ส่วนด้านขวามือ ให้เขียนรายการหนี้สินทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะหนี้บริโภค อาทิ หนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อบุคคล ผ่อนของ นอกระบบ จัดกันมาให้ครบ รวมถึงหนี้กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ กู้เรียน รวมทั้งหมดไว้ทางฝั่งขวา
สุดท้ายให้เอา มูลค่าทรัพย์สินรวม (ทางฝั่งซ้าย) ตั้งแล้วลบด้วยมูลค่าหนี้รวมทั้งหมด (ทางฝั่งขวา) ได้ผลลัพธ์เป็นเท่าไหร่ เราเรียกเจ้าค่าที่ได้นี้ว่า “ความมั่งคั่งสุทธิ” หรือ NET WORTH (บางตำราเรียก “ทรัพย์สินสุทธิ”)
ตัวอย่างเช่น ถ้า ณ วันที่ 1 มกราคม 2564 เรามีมูลค่าทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 2,000,000 บาท และมีหนี้สินรวมคงค้างอยู่ 1,500,000 บาท แบบนี้ก็จะเท่ากับว่า เรามี “ความมั่งคั่งสุทธิ” เท่ากับ 2,000,000 - 1,500,000 หรือ +500,000 บาท นั่นเอง
โดยหลักการแล้ว ถ้าเรามีความมั่งคั่งสุทธิเป็น “บวก” ก็จะถือว่า “ดี” และยิ่งถ้าทุกปีเราทำตัวเลขนี้เปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า แล้วพบว่า เป็นบวกมากขึ้นทุกปี แบบนี้ก็แสดงว่า “เรารวยขึ้น”
ในทางตรงกันข้าม หากความมั่งคั่งสุทธิปีนี้ลดลงจากปีที่แล้ว อันนี้ก็แสดงว่า “เราจนลง” ซึ่งก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการมีหนี้บริโภคเพิ่มมากขึ้น (ก่อหนี้ที่ไม่ได้ใช้ซื้อทรัพย์สิน) หรือไม่ทรัพย์สินบางกลุ่มของเราก็อาจมีมูลค่าลดลง อย่างเช่น กรณีหุ้นตก มูลค่ากองทุนรวมลดลง ก็จะเข้าข่ายในลักษณะนี้
จากที่สอนเรื่องการเงินมาหลายปี ผมพบว่าถ้าเราหมั่นตรวจสอบความมั่งคั่งของเราอยู่เสมอ และทุกปีเรามีความมั่งคั่งสุทธิเพิ่มขึ้น หรือทรัพย์สินเพิ่ม (สะสมเพิ่ม) หนี้สินลดลงทุกปี (ทยอยใช้หนี้ตามกำหนด) แบบนี้รับประกันได้เลยว่าเกษียณสบายครับ เพราะถ้าทรัพย์สินสะสมเพิ่มเรื่อยๆ แถมหนี้สินยังลดลงเรื่อยๆ และเคลียร์หมดได้ก่อนเกษียณ แบบนี้รับประกันเลยว่า “Happy Retirement” แน่นอน
ครั้งหนึ่งเมื่อ 10 ปีก่อน ผมเล่าเรื่องนี้ในการบรรยายให้กับองค์กรแห่งหนึ่ง พี่ท่านหนึ่งที่เข้าฟังบรรยายบอกผมว่า เขาทำอย่างที่ผมบอกทุกปี และไม่เพียงแต่นั่งคำนวณตัวเลขทรัพย์สินหนี้สินเท่านั้น พี่เขายังจดรายละเอียดทุกรายการของทรัพย์สิน เช่น กองทุนซื้อกับที่ไหน หุ้นเปิดพอร์ตกับบริษัทหลักทรัพย์อะไร ประกันชีวิตซื้อกับที่ไหน และระบุข้อมูลเบอร์ติดต่อของผู้เกี่ยวข้องไว้ทั้งหมด ทำแบบนี้เป็นประจำทุกปี
พี่แกเล่าให้ฟังว่า การสรุปข้อมูลรายการทรัพย์สินหนี้สินในแต่ละปี สำหรับแกแล้วเหมือนการ “เตรียมตัวตาย” เพราะคนเราเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เกิดเราลงทุน ซื้อประกัน สะสมทรัพย์สินอะไรไม่รู้จิปาถะ แต่ไม่ได้บอกคนข้างตัวไว้ เกิดตายวันตายพรุ่งไป คนข้างตัวก็ไม่รู้ว่าเรามีอะไรสะสมอยู่บ้าง หนี้สินแกก็คิดอย่างเดียวกัน ว่าต้องให้รู้ไว้บ้าง จะได้ไม่ตกใจ
“ถ้าเตรียมตัวตายดีๆ รับรองเลยว่าอาจารย์จะไม่ตาย อาจารย์จะอายุยืน ฮา ๆๆ” พี่แกบอกผมอย่างนั้นในวันที่เจอกันครั้งแรก
หลายปีต่อมา ผมยังไปบรรยายที่องค์กรของพี่เขาอยู่บ่อยๆ แม้จะไม่ได้เป็นคนเข้าฟังบรรยายในคลาส แต่แกก็จะแวะมาทักทายตอนพักอาหารว่าง หรือมาแวะส่งตอนกลับ เหมือนเจอน้องเจอที่รู้จักคุ้นเคย แล้วก็ต้องแวะมาเจอกันสักหน่อย แม้จะได้พูดคุยไม่กี่นาทีก็ตาม
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เมื่อสิ้นปี 2563 ผมมีโอกาสไปบรรยายที่องค์กรของพี่ท่านนี้อีกครั้ง แล้วก็เจอแก คราวนี้ผมไปบรรยายเรื่องการจัดการเงินหลังเกษียณ พี่แกเข้ามาเป็นนักเรียนในคลาส เพราะสิ้นปีแกจะเกษียณแล้ว ตลอดการพูดคุยกันในคลาส สิ่งที่ผมรู้สึกได้เลยก็คือ แกไม่ได้เดือดร้อนที่จะต้องเกษียณ เพราะเตรียมตัวมาดีมาก (ดีมากจริงๆ)
หลังจบการบรรยาย แกเดินเข้ามาทัก แล้วก็บอกผมว่า “ยังทำรายการทรัพย์สินหนี้สินอยู่ทุกปีนะอาจารย์ เสียอย่างเดียว คนที่เราเป็นห่วง กลัวว่าเขาจะลำบากถ้าเราไม่อยู่ เขาไปก่อนเราเสียแล้ว ฮาๆๆๆ” คนพูดแม้จะมีเสียงหัวเราะ แต่แววตาดูเศร้าชนิดสังเกตได้
“แต่อย่างน้อยที่ทำมาตลอด ก็ดีกับพี่เองต่อจากนี้นะครับ” ผมอยากจะปลอบใจแก แต่ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี
เราสนทนากันเป็นครั้งสุดท้าย เพราะรู้ดีว่าครั้งหน้าที่ผมมาสอนที่นี่ ก็คงไม่เจอพี่เขาอีกแล้ว ได้ยินว่าพี่เขาปลูกบ้านไว้ที่ภูมิลำเนาเดิมในจังหวัดใกล้กรุงเทพ เตรียมทุกอย่างไว้พร้อม พร้อมที่จะเป็นคนเกษียณที่มีความสุขมากที่สุดคนหนึ่ง
ทั้งหมดเริ่มต้นง่ายๆ จากการวัดผลเล็กๆ ที่ว่า ในแต่ละปีเรารวยขึ้นหรือจนลง และใส่ใจกับผลของการวัดอย่างจริงจัง
ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าเราทำงานมาเป็น 10 ปี แต่ความมั่งคั่งสุทธิยังติดลบ มันบอกอะไรกับชีวิตเรา แน่นอนว่ามันไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นจะกลับตัวหรือแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เคยเห็นตัวเลขสำคัญทางการเงินของตัวเองตัวนี้เลย
หรือถ้าเห็นว่าตัวเลขไม่สวย แต่ละปีความมั่งคั่งสุทธิไม่เพิ่มขึ้น แถมยังลดลง แล้วยังอยู่เฉยได้ คนแบบนี้ก็ยากที่เราจะไปช่วยอะไรเขาได้ ทั้งนี้เพราะหัวใจของการสร้างสำเร็จทางการเงิน สิ่งแรก คือ ความรับผิดชอบทางการเงิน ที่คนแต่ละคนต้องเชื่อก่อนว่า “อนาคตทางการเงินของเรา เปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ดีขึ้นได้ และทั้งหมดขึ้นอยู่หนึ่งสมองและสองมือของเราเท่านั้น ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงอนาคตการเงินเราได้”
ก่อนหมดเดือนแรกของปีใหม่ ผมเชิญชวนทุกท่านลองหยิบกระดาษ A4 ขึ้นมา แบ่งครึ่งซ้ายขวา ลิสต์รายการทรัพย์สิน หนี้สิน และมูลค่าทั้งหมด จากนั้นลองคำนวณ “ความมั่งคั่งสุทธิ” ณ ปี 2564 ของตัวเองออกมาดูครับ
ใครทำเป็นปีแรก ลองดูสิว่า ความมั่งคั่งสุทธิเป็นบวกมั้ย ถ้าบวก ก็ถือว่า “โอเค”
ส่วนใครทำมาแล้วมากกว่า 1 ปี ลองดูสิว่า เทียบกับปีก่อน ความมั่งคั่งสุทธิของเรา เพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้าเพิ่มขึ้นแปลว่า เรารวยขึ้น และถ้าแต่ละปีเรารวยขึ้นเรื่อยๆ ด้วยทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หนี้สินที่ทยอยลดลงเรื่อยๆ จากการผ่อนจ่ายของเรา เมื่อถึงวันหนึ่งที่เกษียณ เราจะเป็นคนไทยอีกคนหนึ่งที่มีชีวิตเกษียณที่มีความสุขอย่างแน่นอนครับ ฟันธง!
ขอให้ทุกท่านรวยขึ้นทุกปีนะครับ
โค้ชหนุ่ม
03-01-2021
กู้ซื้อรถ 在 THE MONEY COACH Youtube 的最讚貼文
[เคลียร์หนี้ที่เคยถูกบังคับคดีหมดแล้ว กู้ซื้อบ้านซื้อรถได้มั้ย]
อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย โดยเฉพาะคนที่เคยประสบปัญหาการเงิน
วันที่การเงินกลับมาดีเป็นปกติ จะสามารถกู้เงินได้อีกครั้งเมื่อไหร่
คลิปนี้โค้ชหนุ่มอธิบายระบบการแสดงข้อมูลเครดิต
และแนะนำให้รู้จักกับ "ทัณฑ์บน" หรือระยะเวลารอคอยก่อนจะกลับมาใช้สินเชื่อได้ตามปกติ
#MoneyEveryday #TheMoneyCoachTH #หนี้บังคับคดี #กู้ซื้อบ้าน #กู้ซื้อรถ

กู้ซื้อรถ 在 THE MONEY COACH Youtube 的最佳解答
รายการ มันนี เอเวอรีเดย์ ep.7 โค้ชหนุ่มพูดคุยตอบคำถามเรื่องการกู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถยนต์ ที่กำลังเป็นกระแส ว่ากู้ซื้อตอนหนุ่มสาว ตอนยังมีแรง หรือกู้ตอนแก่ดีกว่ากัน
รายการ YouTube การเงิน โดยโค้ชหนุ่ม พูดคุยตอบคำถามทางการเงินประจำวัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ "มันนี เอเวอรีเดย์ ... เรื่องเงิน คุยสนุก คุยได้ทุกวัน"

กู้ซื้อรถ 在 อยากซื้อรถบ้านมือสอง KLeasing ช่วยได้ กู้ง่าย ได้ไว ดอกเบี้ยถูก ... 的推薦與評價

อยาก ซื้อรถ บ้านมือสอง แต่ก็มีห่วงจะเครื่องเสีย เกียร์พัง! อุ่นใจได้เลยเมื่อใช้สินเชื่อรถใช้แล้วกับ KLeasing เพราะได้ประกันอะไหล่สุดคุ้ม! ... <看更多>
กู้ซื้อรถ 在 FINSTREET - กู้บ้านมาซื้อรถ แบบนี้ก็ได้หรอ - Facebook 的推薦與評價
หรือกู้เพิ่มจากวงเงินรีไฟแนนซ์บ้าน . แล้วนำเงินสดที่ได้มาไปซื้อรถในราคาเต็ม จากนั้นก็ผ่อนกับธนาคารแทน . ซึ่งดอกเบี้ยตรงนี้ ... ... <看更多>
กู้ซื้อรถ 在 กู้ซื้อรถร่วมกัน แต่ผู้กู้หลักไม่ชำระ ทำอย่างไรได้บ้าง - YouTube 的推薦與評價
การ ซื้อรถยนต์ สามารถขอ กู้ ร่วมในการซื้อได้ แต่หากวันใดวันหนึ่งผู้ กู้ หลักไม่ชำระ คนที่เป็นผู้ กู้ ร่วมต้องรับผิดชอบเต็มๆ ไหม ... ... <看更多>