สรุปเรื่อง จักรวรรดิอังกฤษ เครือจักรภพ ฉบับสมบูรณ์ /โดย ลงทุนแมน
ภาษาอังกฤษก้าวขึ้นมาเป็นภาษาสากลของโลก
ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ภาษาที่มีคนใช้เป็นภาษาแม่มากที่สุด
โดยหนึ่งในเบื้องหลังที่สำคัญที่สุด ก็คือ “จักรวรรดิอังกฤษ”
จากประเทศเกาะเล็ก ๆ สุดขอบทวีปยุโรป เติบโตขึ้นจนสามารถครอบครองดินแดน
และสร้างอาณานิคมไว้ทั่วทุกมุมโลก จนได้ฉายาว่า จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน
ในยุครุ่งเรืองที่สุด จักรวรรดิอังกฤษครอบครองพื้นที่มหาศาลถึง 1 ใน 4 ของโลก
ซึ่งนับเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ..
แล้วถ้าอำนาจของจักรวรรดิอังกฤษยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้จะใหญ่ขนาดไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ก่อนอื่น มาฟังความเป็นมาของจักรวรรดิแห่งนี้กันสักนิด..
ดินแดนอังกฤษตั้งอยู่ในหมู่เกาะที่อยู่ริมสุดด้านตะวันตกของทวีปยุโรป
โดยมีช่องแคบกั้นระหว่างหมู่เกาะแห่งนี้กับผืนแผ่นดินใหญ่
การเป็นเกาะโดดเดี่ยวที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับใคร ถึงแม้จะมีข้อเสียในเรื่องการเดินทางค้าขาย
แต่กลับมีข้อดีอย่างมาก เพราะในระหว่างที่ดินแดนอื่น ๆ ในยุโรปที่มีพรมแดนติดต่อกัน
เกิดความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามนับครั้งไม่ถ้วน
ความเป็นเกาะ ที่เป็นเหมือนป้อมปราการตามธรรมชาติ ทำให้อังกฤษมีความได้เปรียบในการตั้งรับเมื่อมีศึกสงคราม และเมื่อมีความสูญเสียน้อย ก็มีทรัพยากรที่จะพัฒนาองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะ “การเดินเรือ”
ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่กลางทะเลเหนือ และมหาสมุทรแอตแลนติกที่มีลมแรง ทำให้ชาวอังกฤษค่อย ๆ พัฒนาองค์ความรู้ด้านการเดินเรือ ทั้งเพื่อการประมง การติดต่อค้าขายกับประเทศต่าง ๆ และเพื่อการป้องกันประเทศ
สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นรากฐานสำคัญ ที่ทำให้อังกฤษสามารถพัฒนากองเรือรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจทางกองทัพเรือของยุโรป
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 สเปนกับโปรตุเกสได้นำหน้าอังกฤษในเรื่องของการสำรวจดินแดนนอกทวีปยุโรป เป็นช่วงที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือรับจ้างของจักรวรรดิสเปน
ได้เดินทางมาถึงทวีปใหม่ แต่คิดว่าดินแดนตรงนี้คือทวีปเอเชีย
พอเรื่องเป็นแบบนี้จึงทำให้พระเจ้าเฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษ ได้แต่งตั้ง จอห์น แคบอต
นักสำรวจชาวอิตาลี ให้เดินทางออกสำรวจเส้นทางไปยังเอเชียเช่นเดียวกันกับสเปน
โดยเดินเรือไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก
จอห์น แคบอต ได้เดินทางถึงทวีปใหม่ ซึ่งก็คือแคนาดาในปัจจุบัน
แต่เขาเข้าใจผิดว่าดินแดนแคนาดานี้คือทวีปเอเชียเช่นเดียวกันกับคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
แต่พออเมริโก เวสปุชชี นักสำรวจชาวอิตาลี ได้เดินทางตามเส้นทางเดินเรือของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มายังทวีปเอเชียอีกครั้ง เขาก็ได้พบกับความจริงว่า แผ่นดินตรงนี้ไม่ใช่ทวีปเอเชียแต่อย่างใด แต่เป็นดินแดนแห่งใหม่ จึงทำให้เขาตั้งชื่อทวีปนี้ว่า “อเมริกา” ตามชื่อของเขา..
หลังจากนั้น ชาติมหาอำนาจจากตะวันตกต่างก็ยกกองเรือมายังทวีปอเมริกา
และเริ่มที่จะตั้งอาณานิคมของตัวเองในทวีปใหม่แห่งนี้
จักรวรรดิอังกฤษภายใต้การปกครองของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ก็ได้ตั้งอาณานิคมของตน
ในฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาตอนเหนือ ตั้งแต่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17
ด้วยความที่ดินแดนใหม่ในทวีปอเมริกา มีหลายประเทศในยุโรปพยายามจะเข้าไปยึดครอง
จึงทำให้เกิดการสู้รบกันบ่อยครั้งเพื่อที่จะแย่งชิงดินแดนและทรัพยากรธรรมชาติ
แต่เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุด กลับกลายเป็นการสู้รบระหว่างประชาชนในอาณานิคม กับเจ้าอาณานิคมเอง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 18 ระหว่างจักรวรรดิอังกฤษ กับดินแดนในอาณานิคมบริติชอเมริกาที่ต้องการประกาศเอกราช
ผลของสงครามทำให้จักรวรรดิอังกฤษเป็นฝ่ายแพ้ และทำให้บริติชอเมริกาได้รับเอกราชในปี 1776 เกิดเป็นประเทศใหม่ที่ชื่อว่า “สหรัฐอเมริกา”
ถ้าเราคิดว่าจักรวรรดิอังกฤษต้องอ่อนแอลงเพราะสูญเสียดินแดนในอเมริกา เรื่องราวทั้งหมดจะไม่ใช่แบบนั้น
จากการที่ต้องสูญเสียบริติชอเมริกา จุดนี้เองได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการล่าอาณานิคมในดินแดนอื่นของจักรวรรดิอังกฤษอย่างเต็มตัว
ด้วยความที่จักรวรรดิอังกฤษมีกองเรือที่สามารถเดินทางรอบโลกได้แล้ว จึงทำให้พวกเขาออกเดินทางเพื่อล่าอาณานิคมแห่งใหม่เรื่อยมา
ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย, แอฟริกา, อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จนถึงในช่วงปี 1920 ซึ่งเป็นช่วงที่จักรวรรดิอังกฤษมีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด
มากถึงขนาดที่ในสมัยนั้นจักรวรรดิอังกฤษสามารถครอบครองพื้นที่ได้มากกว่า 30 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งคิดเป็นพื้นที่เกือบ 1 ใน 4 ของพื้นที่ทั่วโลก
มากกว่าพื้นที่ของสหภาพโซเวียตที่เพิ่งก่อตั้งในปี 1917 ที่มีพื้นที่ประมาณ 22 ล้านตารางกิโลเมตร จึงทำให้จักรวรรดิอังกฤษในช่วงนั้นมีพื้นที่ในการปกครองมากที่สุดในโลก..
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงปี 1920 ดินแดนที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิอังกฤษทั้งหมดรวมกันแล้ว
จะมีจำนวนประชากรมากถึง 440 ล้านคน ซึ่งมากกว่าสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น
ที่มีประชากร 110 ล้านคน ถึง 4 เท่า
อังกฤษในฐานะประเทศเจ้าอาณานิคมจะเข้าไปวางรากฐานให้ประเทศอาณานิคมมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการเมือง, การศึกษา, โครงสร้างพื้นฐาน, ศาสนา และเศรษฐกิจ
จึงทำให้ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษบางส่วนสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาต่อยอด จนพัฒนาเศรษฐกิจของตัวเองจนเจริญก้าวหน้าได้ เช่น ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, แคนาดา หรือสิงคโปร์
เรื่องราวก็ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
ที่แต่ละประเทศต่างได้รับความเสียหายมากมายในช่วงสงคราม
ด้วยความที่อังกฤษเป็นคู่ขัดแย้งหลักในมหาสงครามทั้ง 2 ครั้ง
จึงทำให้ประเทศในอาณานิคมต้องมีความเกี่ยวข้องกับสงครามในที่สุด
โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศในอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษในภูมิภาคเอเชีย ได้ถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นเข้าครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นอาณานิคมช่องแคบ, บริติชมาลายา, ฮ่องกง หรือพม่า ส่งผลให้จักรวรรดิอังกฤษเริ่มเสียอำนาจในการปกครองประเทศอาณานิคมดังกล่าว
ถึงแม้ว่าผลสรุปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 จักรวรรดิอังกฤษจะเป็นผู้ชนะสงคราม
แต่มหาสงครามทั้ง 2 ครั้ง ก็ทำให้จักรวรรดิอังกฤษได้รับความเสียหายมากมายนับไม่ถ้วน
จุดจบของสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอง ที่ทำให้ศูนย์กลางของชาติมหาอำนาจได้ถูกเปลี่ยนมือจากจักรวรรดิอังกฤษไปสู่สหรัฐอเมริกา
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ได้มีการเคลื่อนไหวของประชาชนในชาติอาณานิคมมากมายทั่วโลกเพื่อที่จะเรียกร้องเอกราชจากประเทศเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษ, เบลเยียม, ฝรั่งเศส, สเปน, โปรตุเกส และเนเธอร์แลนด์
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้จักรวรรดิอังกฤษเริ่มกระบวนการการปลดปล่อยอาณานิคมและได้ก่อตั้ง The Commonwealth of Nations หรือ เครือจักรภพแห่งประชาชาติ โดยไม่ได้บังคับอดีตประเทศในอาณานิคมว่าต้องเข้าเป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติแต่อย่างใด
ประเทศที่เป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติจะไม่มีข้อผูกพันใด ๆ กับสหราชอาณาจักร
โดยจุดมุ่งหมายของการก่อตั้งเครือจักรภพแห่งประชาชาตินี้คือ การให้ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องของการค้าระหว่างประเทศ, หลักประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชน, การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ, ความเท่าเทียมทางเพศ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกเครือจักรภพแห่งประชาชาติอยู่ 54 ประเทศทั่วโลกในทุกทวีป
เช่น มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินเดีย, ปากีสถาน, แอฟริกาใต้ และอีก 49 ประเทศทั่วโลก
และในประเทศสมาชิก 54 ประเทศนี้ มี 16 ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกันกับสหราชอาณาจักร ซึ่งก็คือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ได้แก่ ออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์, ปาปัวนิวกินี, จาเมกา และอีก 10 ประเทศ ซึ่งไม่รวมสหราชอาณาจักร
คำถามที่น่าสนใจก็คือ
สมมติถ้าเครือจักรภพแห่งประชาชาติเป็นประเทศเดียวกัน ซึ่งทุกรัฐและทุกดินแดนจะถูกปกครองโดยอังกฤษ ประเทศนี้มันจะใหญ่แค่ไหน ?
คำตอบก็คือ ประเทศ เครือจักรภพแห่งประชาชาติ จะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
โดยจะมีพื้นที่รวมกันกว่า 29 ล้านตารางกิโลเมตร
มากกว่ารัสเซียที่มีพื้นที่ 17 ล้านตารางกิโลเมตร เกือบ 2 เท่า
ขนาดพื้นที่ของเครือจักรภพแห่งประชาชาติน้อยกว่าในช่วงที่เป็นจักรวรรดิอังกฤษ
ก็เพราะว่ามีบางประเทศที่เคยเป็นดินแดนในอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ แต่พอได้เอกราชแล้วก็ไม่ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติ เช่น เมียนมาและอียิปต์
นอกเหนือจากขนาดพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล มีดินแดนตั้งอยู่ในทุกทวีปแล้ว
ประเทศนี้จะมีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม
ด้วยประชากรกว่า 2,400 ล้านคน จะทำให้มีประชากรมากที่สุดในโลก มากกว่าประเทศจีนที่มีประชากร 1,400 ล้านคน และยังมีวัยแรงงานที่พร้อมจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศอย่างมหาศาล
นอกเหนือจากแรงงานแล้ว ประเทศแห่งนี้จะกลายเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรน้ำมันที่มีในแคนาดา ไนจีเรีย และมาเลเซีย
ที่จะทำให้ประเทศนี้มีปริมาณน้ำมันดิบสำรองมากกว่า 200 ล้านบาร์เรล
ซึ่งจะทำให้ประเทศนี้มีน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากเวเนซุเอลาและซาอุดีอาระเบีย
แต่ถ้าใครคิดว่าประเทศนี้จะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก คำตอบจะไม่เป็นอย่างนั้น
เพราะเครือจักรภพแห่งประชาชาติจะมีขนาด GDP โดยประมาณอยู่ที่ 351 ล้านล้านบาท
ซึ่งเป็นขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาที่ 668 ล้านล้านบาท และจีนที่ 447 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่การสมมติเท่านั้น
เนื่องจากยุคล่าอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษได้สิ้นสุดลงแล้ว
ถ้าจะให้ถือว่าเป็นอย่างทางการจริง ๆ
ก็สิ้นสุดนับตั้งแต่อังกฤษได้คืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีนในปี 1997
การสิ้นสุดลงของจักรวรรดิอังกฤษ ส่งผลให้ประเทศในอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ มีความเป็นประเทศเท่าเทียมกัน กับเจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักรทุกประการ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.historic-uk.com/HistoryUK/HistoryofBritain/Timeline-Of-The-British-Empire/
-https://praenapa.wordpress.com
-https://www.worldometers.info/world-population/population-by-country/
-https://www.bbc.com/thai/international-43796090
-https://thecommonwealth.org/about-us/charter
-https://www.eia.gov/international/data/world/petroleum-and-other-liquids/
จักรวรรดิอังกฤษ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
รู้จัก Alaska รัฐที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา /โดย ลงทุนแมน
รัฐ California คือ รัฐที่มีมูลค่าเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
โดยมีมูลค่า GDP ประมาณ 98.7 ล้านล้านบาท
แต่ถ้าถามว่า แล้วรัฐที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา คือ รัฐไหน หลายคนอาจนึกไม่ออก
แต่คำตอบก็คือ รัฐ Alaska
รู้ไหมว่า รัฐ Alaska อดีตนั้นเคยเป็นดินแดนของรัสเซีย ก่อนที่จะถูกขายต่อให้สหรัฐอเมริกาด้วยเงินเพียง 7.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสมัยนั้น
ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่า รัฐที่มีอากาศหนาวเย็นและปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งจำนวนมากอย่าง Alaska กลับซ่อนทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ไว้มากมาย
และถือว่าเป็นดีลที่สุดคุ้มสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา
เรื่องนี้เป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
สัมผัสเทคโนโลยีรูปแบบใหม่จากสตาร์ตอัปไทย Blockdit
Blockdit เป็นแพลตฟอร์มของแหล่งรวมนักคิด
ที่ช่วยอัปเดตสถานการณ์ ในรูปแบบบทความ วิดีโอ
รวมไปถึงพอดแคสต์ ที่มีให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
ลองใช้กันที่ Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Alaska เป็น 1 ใน 50 รัฐของสหรัฐอเมริกา เป็นรัฐที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ที่น่าสนใจคือ แม้จะเป็นรัฐที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา แต่ที่นี่กลับไม่มีดินแดนที่ติดกับสหรัฐอเมริกาเลย โดยไปมีพรมแดนติดกับแคนาดาแทน
ปัจจุบัน Alaska มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 710,000 คน และมีมูลค่า GDP เท่ากับ 1.73 ล้านล้านบาท อยู่อันดับที่ 48 ของสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำนวนประชากรที่น้อย ทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรที่รัฐ Alaska สูงถึง 2.35 ล้านบาทต่อคน สูงเป็นอันดับที่ 8 ของประเทศ
และที่สำคัญก็คือ ในบรรดา 50 รัฐของสหรัฐอเมริกานั้น Alaska เป็นรัฐที่มีพื้นที่มากที่สุด โดยมีพื้นที่ถึง 1.72 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่ารัฐ Texas ซึ่งเป็นรัฐที่มีพื้นที่เป็นอันดับที่ 2 กว่า 2 เท่า และใหญ่กว่าประเทศไทยกว่า 3 เท่า
ด้วยพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาล ที่นี่จึงอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซ ทำให้อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซที่นี่สร้างรายได้กว่า 80% แก่รัฐ Alaska
นอกจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของรัฐ Alaska อุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของที่นี่ยังรวมไปถึง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เนื่องจากที่นี่มีธรรมชาติที่สวยงามทั้ง ธารน้ำแข็ง ภูเขา สัตว์ป่า ต้นไม้ และชายทะเล โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายนที่อุณหภูมิเริ่มอุ่น ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่จำนวนมาก
ปี 2010 จำนวนนักท่องเที่ยวที่มา Alaska 1.5 ล้านคน
ปี 2019 จำนวนนักท่องเที่ยวที่มา Alaska 2.3 ล้านคน
ขณะที่ประมาณ 10% ของแรงงานทั้งหมดที่นี่จะทำงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของ Alaska สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 139,000 ล้านบาท
บางคนอาจยังไม่รู้ว่า
ในอดีตนั้นรัฐ Alaska เคยเป็นของรัสเซียมาก่อน
เนื่องจากในช่วงศตวรรษที่ 18 นั้น รัสเซียเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในรัฐ Alaska ซึ่งกิจกรรมหลักของรัสเซียในช่วงแรกนั้นก็คือ การค้าขนสัตว์ และสอนศาสนา
ต่อมาในช่วงระหว่างปี 1853-1856 ได้เกิดสงครามไครเมีย ซึ่งเป็นการสู้รบกันระหว่างจักรวรรดิรัสเซียกับพันธมิตรซึ่งประกอบไปด้วยจักรวรรดิฝรั่งเศส จักรวรรดิอังกฤษ จักรวรรดิออตโตมัน (ปัจจุบันคือ ตุรกี) และราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย (ปัจจุบันคือ อิตาลี)
ซึ่งสุดท้ายแล้วจักรวรรดิรัสเซียพ่ายแพ้สงคราม
หลังสงคราม สถานะทางการเงินของรัสเซียย่ำแย่ และมีความเสี่ยงสูงที่ดินแดน Alaska จะถูกอังกฤษซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัสเซียยึดดินแดนในเวลานั้น
ดังนั้นการขายดินแดน Alaska ให้สหรัฐอเมริกาก็เหมือนได้ทั้งเงิน และให้ Alaska เป็นรัฐกันชนให้กับรัสเซีย
ซึ่งตอนนั้นมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการซื้อ Alaska ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น
โดยฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่า การซื้อรัฐ Alaska จะช่วยสนับสนุนการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและทวีปเอเชียมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยขยายอำนาจของสหรัฐอเมริกามายังทวีปเอเชียด้วย
ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยกลับโจมตีรัฐบาลว่า ใช้เงินไปโดยเปล่าประโยชน์กับดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ซึ่งรัฐ Alaska ถูกมองว่าเป็นดินแดนที่แทบไม่มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นเลย
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ในปี 2018 ปริมาณน้ำมันดิบสำรองที่รัฐ Alaska ซึ่งประเมินโดยหน่วยงานด้านพลังงานของประเทศสหรัฐอเมริกา มีจำนวนถึง 2,421 ล้านบาร์เรล ซึ่งถ้า Alaska เป็นประเทศ ที่นี่จะมีปริมาณน้ำมันดิบสำรองเป็นอันดับที่ 33 ของโลก ใกล้เคียงกับสหราชอาณาจักรที่มีปริมาณน้ำมันดิบสำรองเท่ากับ 2,500 ล้านบาร์เรล
ซึ่งด้วยราคาน้ำมันดิบ ณ ปัจจุบัน ทำให้มูลค่าปริมาณน้ำมันดิบสำรองของ Alaska จะสูงถึง 3.2 ล้านล้านบาท มากกว่ามูลค่า GDP ของที่นี่เกือบเท่าตัว..
╔═══════════╗
สัมผัสเทคโนโลยีรูปแบบใหม่จากสตาร์ตอัปไทย Blockdit
Blockdit เป็นแพลตฟอร์มของแหล่งรวมนักคิด
ที่ช่วยอัปเดตสถานการณ์ ในรูปแบบบทความ วิดีโอ
รวมไปถึงพอดแคสต์ ที่มีให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
ลองใช้กันที่ Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_U.S._states_and_territories_by_area
-https://en.wikipedia.org/wiki/United_States
- https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_states_and_territories_of_the_United_States_by_GDP
-https://www.eia.gov/dnav/pet/PET_CRD_PRES_DCU_SAK_A.htm
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_proven_oil_reserves
-https://en.wikipedia.org/wiki/Climate_of_Alaska
-https://guides.loc.gov/alaska-treaty
-https://en.wikipedia.org/wiki/Alaska_Purchase
-https://en.wikipedia.org/wiki/Crimean_War
จักรวรรดิอังกฤษ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
ยุคสมัยที่ถูกเรียกว่า Greatest Generation /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงกลุ่มประชากรที่เกิดในแต่ละช่วงเวลาของประวัติศาสตร์
เราอาจคุ้นเคยกับชื่อ Baby Boomers, Generation X, Generation Y
แต่รู้หรือไม่ว่า มีคนจากอีกยุคสมัยหนึ่ง ได้ถูกยกย่องให้เป็น “Greatest Generation”
ซึ่งไม่ใช่เพราะความสามารถที่เหนือกว่ายุคอื่นๆ
แต่มีสาเหตุจากความยอดเยี่ยมในการเอาตัวรอด จนผ่านพ้นวิกฤติมาแล้วทุกรูปแบบ
เรื่องราวชีวิตของคนเหล่านี้เป็นอย่างไร
แล้วพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอะไรกันมาบ้าง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
----------------------
----------------------
Greatest Generation เป็นคำใช้เรียกแทนกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1901-1927
ขณะนั้น โลกมีประชากรอยู่ราว 1,750 ล้านคน โดยประเทศที่ประชากรมากสุด 5 อันดับแรก คือ
1. จีน 419 ล้านคน
2. จักรวรรดิอังกฤษ 391 ล้านคน
3. จักรวรรดิรัสเซีย 172 ล้านคน
4. สหรัฐอเมริกา 96 ล้านคน
5. จักรวรรดิฝรั่งเศส 80 ล้านคน
ส่วนประเทศไทย อยู่ในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มีประชากรอยู่ประมาณ 8.1 ล้านคน
และเพิ่งมีการประกาศพระราชบัญญัติเลิกทาสไปไม่นาน
ในวัยเด็ก..
คนยุคนี้ต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อสงคราม
ในช่วงปี 1914-1918 สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ปะทุขึ้น โดยมีศูนย์กลางอยู่ในทวีปยุโรป ระหว่าง
ฝ่ายสัมพันธมิตร นำโดย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย
กับฝ่ายมหาอำนาจกลาง นำโดย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี ออตโตมัน และบัลแกเรีย
งบประมาณที่ถูกใช้ในการทำสงครามนี้ รวมกันทั้งหมดอยู่ที่ 6.1 ล้านล้านบาท
หรือคิดเป็นมูลค่าเงินในปัจจุบันเท่ากับ 105 ล้านล้านบาท
ซึ่งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ มีพลังทำลายล้างสูงกว่าอดีต
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งทหารและพลเรือนกว่า 17.6 ล้านคน
ที่น่าเศร้าใจคือ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่นั้น เป็นหัวหน้าครอบครัวของเด็กยุค Greatest Generation
ต่อมาเมื่อสงครามทำท่าใกล้ยุติลง ก็ดันเกิดปัญหาใหม่ขึ้น นั่นคือเหตุโรคระบาด
ในช่วงปี 1918-1920 ไวรัสไข้หวัดใหญ่ แพร่ระบาดไปทั่วโลก
แม้ไม่มีหลักฐานถึงจุดเริ่มต้น แต่เนื่องจากสเปนรายงานข่าวเป็นแห่งแรกๆ โรคจึงถูกเรียกว่า ไข้หวัดสเปน
เหตุการณ์ครั้งนี้ มีผู้ติดเชื้อกว่า 500 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรโลก
และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 50 ล้านคน
ทั้งนี้ ไวรัสได้ระบาดถึงประเทศไทยด้วย โดยคาดว่าติดมาจากทหารที่เดินทางไปร่วมรบในฝรั่งเศส
ซึ่งทำให้คนไทยป่วยถึง 2.3 ล้านคน และเสียชีวิตราว 80,000 คน
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น..
ทุกคนเริ่มมีความหวังกับชีวิต หลังจากวิกฤติได้ผ่านพ้นไป
ในทศวรรษ 1920 เศรษฐกิจโลก กลับมาเติบโตอย่างรวดเร็ว
จากการพัฒนาของเทคโนโลยี ที่ทำให้ภาคธุรกิจสามารถผลิตสินค้าได้ปริมาณมากขึ้น
ส่งผลให้สินค้าหรู มีราคาถูกลง เช่น รถยนต์ที่บริษัท Ford และ General Motors ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่
ขณะที่การเดินทางบนท้องฟ้า เริ่มไปได้ไกลขึ้น
โดยมีการทดสอบเครื่องบินจากนิวยอร์ก ข้ามมหาสมุทรไปลงที่กรุงปารีส แบบไม่หยุดพักได้สำเร็จ
นอกจากนี้ สื่อวิทยุยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก รวมทั้งได้มีการคิดค้นโทรทัศน์ขึ้นมา
ทำให้เกิดการแพร่หลายทางวัฒนธรรมไปในวงกว้าง
ดูเหมือนว่า ทุกคนกำลังเห็นโลกในอนาคต ขยับใกล้เข้ามา แต่แล้วทุกอย่างก็ล่มสลายในพริบตา
ในปี 1929 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ที่เติบโตร้อนแรงมายาวนาน
ก็ได้เกิดฟองสบู่แตกอย่างรุนแรง จนนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ Great Depression
เพียงแค่ 3 ปีให้หลัง มูลค่า GDP ของโลก หายไปถึง 15% และมีคนตกงานราว 1 ใน 4 ของประชากร
แม้แต่ประเทศไทย ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะเริ่มมีการส่งออกสินค้าเกษตรไปต่างประเทศมากขึ้น
ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ประกอบกับกระแสทางสังคมและการเมือง ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยในปี ค.ศ. 1932 หรือ พ.ศ. 2475
ต่อมาเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่..
ฝันร้ายของคนยุคนี้ยังไม่จบลง เพราะสงครามได้กลับมาหลอกหลอนพวกเขาอีกครั้ง
ในช่วงปี 1939-1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปิดฉากขึ้นทั่วทุกภูมิภาค ระหว่าง
ฝ่ายสัมพันธมิตร นำโดย สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษ รัสเซีย และจีน
กับฝ่ายอักษะ นำโดย เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
ทุกประเทศได้ทุ่มกำลังทหารและงบประมาณอย่างเต็มที่ เพื่อเอาชนะสงคราม
โดยใช้เงินรวมกันทั้งหมด 42 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันเท่ากับ 607 ล้านล้านบาท
และคราวนี้ ผู้คนจากยุค Greatest Generation ได้กลายเป็นทหารในสนามรบ
หรือไม่ก็ทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสงคราม
ซึ่งด้วยสถานการณ์ที่ยืดเยื้อและรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งทหารและพลเรือนสูงถึง 73 ล้านคน
ขณะที่ประเทศไทย เดิมทีเป็นพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่น จึงถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศ จนบ้านเมืองและสถานที่สำคัญต่างๆ ได้รับความเสียหายไม่น้อย
ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ที่คนยุคสมัยนั้น ต้องฝ่าฟันกันมาตลอด
แต่ทุกอย่างได้หล่อหลอมให้พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีความอดทน ขยันขันแข็ง และรู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัด
ที่สำคัญ คนเหล่านี้คือพ่อแม่ของเด็กยุค Baby Boomers ที่คอยสั่งสอนบทเรียนชีวิตให้กับลูกหลาน ได้นำไปใช้สร้างเป็นรากฐาน จนเศรษฐกิจและสังคมสามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง หลังสงครามสิ้นสุดลง
จากเรื่องราวนี้ เราอาจจะเห็นได้ว่า
มีบางสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่คล้ายคลึงกับช่วง Greatest Generation เหมือนกัน
โลกกำลังอยู่ในช่วงที่เทคโนโลยีพัฒนาไปได้รวดเร็วสุดขีด
แต่ในทางกลับกัน ประเทศมหาอำนาจ ก็มีปัญหาขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง
และล่าสุด มนุษย์ต้องต่อสู้กับการระบาดของไวรัส COVID-19
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โลกยังคงหมุนต่อไปในทุกวัน
สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจเป็นบททดสอบชั้นดีให้กับเรา
ให้ดูคนยุค Greatest Generation เป็นตัวอย่าง
ถ้าคนรุ่นเราสามารถผ่านมันไปได้
เราก็น่าจะถือได้ว่าเราเป็นคนรุ่นที่แข็งแกร่ง ไม่แพ้ คนรุ่นไหนในประวัติศาสตร์เช่นกัน..
----------------------
.
.
ราคาเพียง 220บาท ตกข้อละ 2 บาทนิดๆ คุ้มค่า คุ้มราคามาก สั่งซื้อได้เลยที่แฟนเพจ Digital Tips Academy (m.me/thedigitaltips)
----------------------
References
-https://www.investopedia.com/terms/t/the_greatest_generation.asp
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_population_in_1907
-https://th.m.wikipedia.org/wiki/ประชากรศาสตร์ไทย
-https://en.wikipedia.org/wiki/World_War_I
-https://spartacus-educational.com/FWWcosts.htm
-https://en.wikipedia.org/wiki/Spanish_flu
-https://www.posttoday.com/world/618205
-https://en.wikipedia.org/wiki/Roaring_Twenties#Economy
-https://en.wikipedia.org/wiki/Great_Depression
-https://en.m.wikipedia.org/wiki/Economy_of_Thailand
-https://en.wikipedia.org/wiki/World_War_II
-https://researchworldwar2.weebly.com/economic-costs.html
จักรวรรดิอังกฤษ 在 ลงทุนแมน - สรุปเรื่อง จักรวรรดิอังกฤษ เครือจักรภพ ฉบับสมบูรณ์ /โดย ... 的推薦與評價
โดยหนึ่งในเบื้องหลังที่สำคัญที่สุด ก็คือ “จักรวรรดิอังกฤษ” จากประเทศเกาะเล็ก ๆ สุดขอบทวีปยุโรป เติบโตขึ้นจนสามารถครอบครองดินแดน และสร้างอาณานิคมไว้ทั่วทุกมุมโลก ... ... <看更多>