#Flashcards_VS_นิทาน
.
มีคนถามหมอเรื่องของ flashcard
ว่าช่วยกระตุ้นสมองลูกได้จริงมั้ย?
.
บทความที่จะเขียนนี้ เป็นความคิดเห็นของหมอ
เคยพยายามหางานวิจัยที่เป็นกลาง แต่พบว่า ไม่มี
เพราะเรื่องของการใช้ flashcard กระตุ้นสมองเด็ก
มีทั้งฝั่งที่ เชื่อ และ ฝั่งที่คัดค้าน
.
หมอ เป็นแม่ #กลางๆ ไม่ได้เชื่อทั้งหมด
และไม่ได้รังเกียจ flashcard
เขียนจากประสบการณ์การเลี้ยงลูกของตัวเอง
ที่บ้านมี flashcard ที่ทำเองมากมาย
และมีหนังสือนิทาน...มากกว่า
.
ความคิดเห็นของหมอคือ...
👉1. ที่ว่ากันว่า flashcard กระตุ้นสมองซีกขวา
ปลุกอัจฉริยภาพในตัวเด็ก🤔🤔
แนวทางนี้ มันเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะมีสถาบันเสริมการเรียนรู้ในเด็กปฐมวัย
หลากหลายสถาบัน เอา flashcard มาเป็น
#จุดขายหลัก
และบอกว่า flashcard ทำให้สมองซีกขวาเด็กทำงานได้ดีขึ้น เด็ก(ที่เลือกมาออกรายงาน) โชว์ความจำเป็นเลิศ
ช่างดูน่าทึ่ง...ทำให้พ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกเป็นเช่นนั้นบ้าง
FACT คือ สมองซีกขวาของมนุษย์ทุกคน
ทำงานได้ดีอยู่แล้ว #มิใช่หากไม่ฝึกจะไม่ทำงาน
ยิ่งเป็นปฐมวัย รับข้อมูลหลัก คือ ภาพและเสียง
ดังนั้น สมองซีกขวาของเด็กทุกคนทำงานโดดเด่นกว่าซีกซ้ายอยู่แล้ว
ไม่ต้องเป็น flashcard ก็ได้
ข้อมูลอะไรที่เป็นภาพจะทำให้เด็กสนใจ
ล้วนกระตุ้นให้สมองซีกขวาทำงานทั้งสิ้น
เช่น พาไปเดินเล่นมองเห็นทิวทัศน์ที่แตกต่าง
อ่านหนังสือมีทั้งภาพและเสียง
หรือแม้แต่อยู่กับที่แต่ถ้าแม่อุ้มกับภาพตอนที่ตัวเองคลานเด็กได้รับภาพมุมมองไม่เหมือนกัน
ก็กระตุ้นสมองซีกขวาเด็กได้ทั้งนั้น
#เด็กกระหายใคร่รู้ในการรับข้อมูลอยู่แล้วโดยไม่ต้องจับลูกมานั่งมองflashcardถ้าเค้าไม่เต็มใจ
ดังนั้น ข้อมูลที่ว่า
ต้องใช้ flashcard ถึงจะช่วยให้สมองซีกขวาเด็กทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
#หมอไม่เห็นด้วยค่ะ
2.flashcard ทำให้เด็กเรียนรู้ภาษาได้เร็วกว่านิทาน
สำหรับหมอ #Flashcardไม่สามารถแทนที่นิทานได้แน่นอน
หมอใช้ flashcard ตอนลูกอายุประมาณ 6 เดือน- 1 ปี
ซึ่งหนังสือภาพสำหรับเด็กวัยนี้ก็มีภาพ
เป็นส่วนประกอบเกิน 90%
หมอจึงคิดว่า flashcard กับ หนังสือภาพสำหรับเด็กเล็ก
ทำหน้าที่เดียวกัน
คือ ❤เพิ่มคลังศัพท์ และทำให้สนุกเพลิดเพลิน❤
แต่....เมื่อเด็กมีคลังศัพท์มากพอ คือ เค้าเริ่มพูดได้
(การที่เด็กพูดได้แปลว่ามีคลังศัพท์ในสมองเกิน 500 คำ)
หมอคิดว่า flashcard ไม่สามารถแทนนิทานได้อีกต่อไป
เพราะการเรียนรู้ภาษาของมนุษย์
มิใช่แค่เพียงจำศัพท์
แต่เราต้องรู้ว่าคำนั้น มีหน้าที่อะไรในประโยค
การอ่านนิทาน ให้ทั้งเรื่องราว คำศัพท์ หลักไวยกรณ์
ดังนั้น หลัง 1 ปี หมอเล่น flashcard กับลูกสาวน้อยมาก
แต่มีเอามาเล่นเกมส์ เช่น จับคู่ model สัตว์ กับ card ภาพสัตว์ เป็นต้น
3.flashcard เป็นสิ่งที่แย่?
มีหนังสือดังเล่มหนึ่ง
ที่คัดค้านการใช้ flashcard ในเด็ก
แต่เนื้อหา เหมือน #เตือนสติ กลุ่มที่ใช้ flashcard
เพราะอยากให้เด็กฉลาด อยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะ
จนเบียดบังเวลาที่เด็กควรจะได้เล่น
(ซึ่งกลุ่มที่สุดโต่งมีอยู่จริง เด็กเล็กนั่งมอง flashcard ธงชาติ?, แผนที่โลก, บวกเลข🤔
และสารพัดที่เราคิดไม่ออกว่า เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี จะเอาความจำนี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้)
ความคิดเห็นของหมอคือ
ไม่มีอะไรดี และแย่ไปทั้งหมด
#มีด ถ้าอยู่ในมือพ่อครัว เราจะได้อาหารเลิศรส
อยู่ในมือ ศิลปิน เราจะได้งานแกะสลักที่วิจิตรบรรจง
อยู่ในมือ ฆาตกร ทำให้เกิดโศกนาฏกรรม
ถามว่า มีด หรือ คนใช้มีด เป็นสิ่งสำคัญกว่ากัน
Flashcard ก็เช่นกัน มันไม่ได้แย่ด้วยตัวมันเอง
แต่คนที่เอาไปใช้ประโยชน์ต่างหาก
ที่ทำให้เกิดผลดี หรือผลเสีย
หมอพบว่า flashcard เป็นเครื่องมือที่ดีมาก
เวลาสอนลูก
หมอไม่มองว่า flashcard เป็นผู้ร้าย
แต่ก็ไม่เชื่อว่า flashcard
จะทำให้สมองลูกฉลาดกว่าคนอื่นได้
หมอแค่คิดว่า flashcard เอาไว้เล่นกับลูกตอนไหนดี ลูกถึงจะสนุก
.
สรุปก็คือ
Flashcard กระตุ้นสมองเด็กได้มั้ย
คำตอบคือ ได้จริง
แต่ทุกสิ่งที่เด็กเห็น ทุกสิ่งที่เด็กได้สัมผัส
ทุกสิ่งที่เด็กได้ยิน ได้ดม
ก็กระตุ้นสมองเด็กได้เหมือนกัน
ถ้าจะเอา flashcard มาเล่นให้สนุก
ถือเป็นการเล่นแบบหนึ่ง
ก็ทำเถิด ไม่ได้มีอะไรเสียหาย
แต่ถ้าหวังว่า เอา flashcard มาให้ลูกดู
เพื่อหวังว่าสิ่งที่อยู่ใน flashcard
จะไหลเข้าไปในสมองลูก #ลูกจำได้ดีกว่าเด็กคนอื่น
รู้จักก่อนเด็กคนอื่น
แปลว่า ฉลาดกว่า
#สิ่งนี้หมอไม่เชื่อ
เพราะการเรียนรู้ มิใช่ ความจำ
ความจำ เป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้ก็จริง
แต่หมอเชื่อเรื่อง meaningful learning มากกว่า
หากเราจำได้
แต่เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้น เอามาใช้ประโยชน์อะไรในชีวิตเรา?
หมอไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์อะไร นอกจากทำให้ #ดูดี
ที่จำได้มากกว่า
.
ถ้าเราไม่เดือดร้อนกับการซื้อ flashcard ก็ซื้อเถอะ
มันไม่ใช่ผู้ร้าย
แต่ถ้าเรามีเงินจำกัด ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซื้อหนังสือสักเล่มจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
ตอนลูกยังเล็กก็ชี้ให้ดูรูป
โตมาหน่อย ก็อ่านให้ฟัง
โตไปอีก เค้าก็เอาไปดูเอง เอาไปอ่านเอง
.
เล่น flashcard แทนที่นิทานไม่ได้
นิทาน ก็แทนที่ การเล่นทรายไม่ได้
การเล่นทราย แทนที่ การวิ่งเล่นไม่ได้
ประเด็นสำคัญ คือ สมองเด็กจะพัฒนาได้ดี
ต้องได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย
ไม่มีอะไรแทนที่ อะไรได้ค่ะ
.
หมอแพม
ปล. เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ขออธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย
Flashcard ที่มาของชื่อ คือ การสลับให้เด็กดูภาพ เปลี่ยนเร็ว ประมาณภาพละ 1-2 วินาที พูดเสียงดัง
นี่คือการ flash ภาพ...จะมีฝั่งที่เค้าเชื่อหลักการนี้มาก
และที่โชว์ใน youtube เด็กเล็กอ่านได้(จริงๆคือจำเป็นภาพ) ดูน่าทึ่งมาก
แต่ที่ส่วนใหญ่ พ่อแม่ซื้อ flashcard แต่เอามาใช้แบบบัตรภาพ อันนั้น ก็คือ บัตรภาพ
เหมือนที่คุณครูอนุบาลใช้ คือเอาภาพเป็นแผ่น มาโชว์แล้วชวนคุย...อันนี้ เรียกว่าใช้บัตรภาพ หรือบัตรคำ
แต่ไม่ได้ใช้หลักการ flashcard
ที่เค้าใช้จริงๆ ตัวอย่างตาม link
https://youtu.be/EeI-igEW-vo
นิทาน แปลว่า 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
ประวัติศาสตร์ไทย "ไม่ยุคมืด" แต่เป็น"ยุคมืด" ของนักค้นคว้าวิชาการ ทางประวัติศาสตร์โบราณคดีไทย
รายงานโดย ผู้สื่อข่าวพิเศษ มติชน "ประชาชื่น" 12 ธ.ค. ฝ
"ประวัติ" แห่งชาติของไทยเพิ่งถูกสร้างขึ้น เมื่อประเทศสยามต้องขีดเส้นพรมแดนแข่งกับฝรั่งเศสและอังกฤษในสมัยอาณานิคมเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
ทำให้คนชั้นนำสยามเลือก (หรือไม่เลือก) ว่าอาณาจักรใดในอดีต ควรจะผนวกเป็น "ประวัติ" ของรัฐชาติสมัยใหม่
ประวัติศาสตร์โบราณคดีของประเทศต่างๆ ในอาเซียนก็ไม่ต่างกัน คือตกอยู่ใต้อาณานิคมอำพราง
ยุคมืด
ดูเหมือนงานเสวนาเรื่อง "ยุคมืดของประวัติศาสตร์ไทย : หลังบายน พุทธเถรวาท การเข้ามาของคนไท" ที่เพิ่งจัดไปเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 ที่ห้องริมน้ำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ไม่ได้มีเป้าหมายเฉพาะการไขปริศนาของประวัติศาสตร์ไทยที่ถูกเรียกว่า"ยุคมืด"ราว พ.ศ.1760-1983 คือหลังสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งกัมพูชาสวรรคต และก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา เพียงเท่านั้น
แต่ถ้ามองลึกลงไปให้ถึงความคิดหลัก จะพบว่างานเสวนานี้กำลังชวนผู้ฟังขบคิดเกี่ยวกับปัญหาของวาทกรรมของประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ทำให้เกิด "ยุคมืดของประวัติศาสตร์ไทย" ขึ้นมา โดยเฉพาะวาทกรรมการจัดแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของชาติ และวาทกรรมเชื้อชาตินิยม
ดังนั้น งานเสวนาครั้งนี้จึงไม่ใช่งานเสวนาทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่มัวแต่เสนอหลักฐานอย่างที่มักชอบทำกันอย่างเป็นจารีต
แต่ยังเคลือบแฝงแนวคิดในเชิงวิพากษ์ที่กระทบต่อระบบการจัดแบ่งยุคสมัยแบบดั้งเดิมอีกด้วย
ถ้าสำรวจบทความจากหนังสือประกอบงานเสวนาที่ตีพิมพ์ในงานบทความจำนวน9 เรื่อง เราจะพบว่าเนื้อหาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรกว่าด้วยหลักฐานในช่วงยุคมืด และกลุ่มที่สองว่าด้วยการวิพากษ์วาทกรรม
กลุ่มแรก หลักฐานไม่มืดบอด
เดิมทีที่นักประวัติศาสตร์โบราณคดีมักบอกว่า"ขาดแคลนหลักฐาน"
แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับมีหลักฐานมากพอดู ทั้งจากเอกสารจีน จารึกและเอกสารในไทย ตำนาน นิทาน โบราณวัตถุ โบราณสถาน เครื่องถ้วยจีน และอื่นๆ อีกมาก ขึ้นอยู่กับว่าจะ "รีดเลือดออกจากหิน" ได้อย่างไร หมายถึงการวิเคราะห์หลักฐานอย่างเข้มข้น
โดยพบว่าหลังการล่มสลายของรัฐใหญ่ ได้แก่ พุกาม และเขมร ในเขตประเทศไทยค่อยๆ มีรัฐเล็กรัฐน้อยเป็น "นครรัฐ" อยู่มากมาย รัฐบางรัฐที่สำคัญ เช่น สุโขทัย ตั้งปี 1792 และเชียงใหม่ ตั้งในปี 1839 หรือรัฐขนาดเล็กเช่น "เสียน" ที่รวมกับ "หลอหู" คือละโว้ และตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้นในปี 1893
ความรุ่งเรืองด้านการค้าทางทะเลทำให้กลุ่มคนไทค่อยๆ เคลื่อนย้ายตัวเองจากดินแดนในหุบเขาจากตอนใต้ของจีน
คนไทบางกลุ่มผสมผสานกับคนเขมรที่เคยมีอำนาจทางการเมืองมาก่อนทำให้ภาษาไทยภาคกลางเป็นภาษาลูกผสม(hybrid) สังเกตได้ง่ายจากราชาศัพท์
ดังนั้น จึงไม่มีภาษาไทยแท้ๆ อย่างที่ชอบงมงายกัน
อาจสรุปสั้นๆ ว่า ในช่วงยุคมืด มันไม่ได้มืดอย่างที่คิด เพราะมีปรากฏการณ์สำคัญ 3 ประการคือ
หนึ่ง คนไทตั้งรัฐของตนเอง สอง การค้าในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาและทางภาคเหนือขยายตัว และกระตือรือร้นในการทำการค้ากับจีน สุดท้ายคือ รัฐของคนไทยังหันมานับถือศาสนาพุทธเถรวาทจากศรีลังกา เพราะเป็นศาสนาทางเลือกเพื่อสลัดให้พ้นจากอำนาจของศาสนาพุทธมหายานและพราหมณ์
ดังนั้นคำถามสำคัญคือในเมื่อมีหลักฐานมากมายจนถึงขั้นทำเป็นหนังสือได้เป็นเล่มแต่ทำไมเรื่องราวในช่วงเวลานี้จึงไม่ได้รับความสนใจ
คำตอบอยู่ที่เนื้อหาของงานเสวนาในกลุ่มที่สองที่ว่าด้วยการวิพากษ์วาทกรรม
กลุ่มที่สอง การวิพากษ์วาทกรรม
โครงเรื่องของประวัติศาสตร์ชาติเกิดขึ้นมาเมื่อสยามกำเนิดตัวตนบนแผนที่ของรัฐชาติสมัยใหม่และยังเกิดสำนึกว่าพลเมืองต้องเป็นชนชาติเดียวกันจึงจะทำให้ประเทศเข้มแข็งเป็นเอกภาพ
ดังนั้น ชนชั้นนำสยามจึงเริ่มเขียน "พงศาวดาร" ของตนขึ้นมา ทำให้แบ่งรัฐเป็น 2 กลุ่มง่ายๆ คือ รัฐของคนไทย และรัฐที่ไม่ใช่ของคนไทย
รัฐของคนไทยได้แก่ สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ไม่มีล้านนา ไม่มีล้านช้าง ถึงมีก็เป็นประเทศราช
รัฐที่ไม่ใช่ของคนไทย ได้แก่ ทวารวดีที่ถือเป็นมอญ ศรีวิชัยที่ถือว่าเป็นมลายู เขมรที่เรียกว่าลพบุรี รัฐพวกนี้ไม่ได้รับการค้นคว้ามากนัก จนเมื่อสยามรอดพ้นจากภัยสมัยอาณานิคม
แสดงว่าการค้นคว้าพงศาวดารของชาติเป็นเรื่องการเมืองซึ่งเข้าใจได้ง่ายเพราะฝรั่งเศสได้ใช้เป็นข้ออ้างสำคัญในการอ้างสิทธิเหนือดินแดนต่างๆ ที่สยามคิดว่าเป็นเจ้าของ
ในกระบวนการก่อร่างเค้าโครง "ภูมิประวัติ" ของชาติที่เกิดขึ้นมาใหม่ ยังมีความพยายามในการแปลง "ขอมให้กลายเป็นไทย" ด้วย
กล่าวคือ "ศิลปะอู่ทอง" เป็นศิลปะเพียงยุคสมัยเดียวที่ตั้งชื่อตามกษัตริย์ ไม่ได้ตั้งชื่อตามอาณาจักรหรือชนชาติ ทั้งๆ ที่ถ้าใช้เกณฑ์บางอย่างศิลปะอู่ทองก็ไม่ต่างจากศิลปะเขมรสมัยหลังบายน ซึ่งคำว่า "บายน" เป็นชื่อรูปแบบศิลปะแบบหนึ่งของกัมพูชา และศิลปะแบบหลังบายนที่พบในกัมพูชาก็ไม่ได้ต่างกันมากนักกับศิลปะอู่ทองและศิลปะลพบุรีที่มักนิยมเรียกกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี
ดังนั้นในเมื่อพระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์อยุธยาไฉนเลยจึงได้ใช้เรียกกลุ่มศิลปะที่มีกลิ่นอายของเขมร
สาเหตุก็เป็นเพราะสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงไม่ต้องการให้ลพบุรีและอู่ทองกลายเป็นเขมรนั่นเอง
ใต้ดินยังมียุคมืด
ในเมื่อประวัติศาสตร์ชาติได้แบ่งยุคสมัยอย่างตายตัวจนเป็นวาทกรรมเช่นนั้นทำให้เมื่อมีการขุดค้นทางโบราณคดีจึงสามารถจัดวาง"ชั้นดิน" ที่ขุดค้นเข้ากับช่วงเวลาใดทางประวัติศาสตร์ได้ไปด้วย
กรณีหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ การรายงานผลการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดมหาธาตุวรวิหาร จ. ราชบุรี
ตรงนี้ซับซ้อนเล็กน้อยคือในรายงานการขุดค้นบอกว่าชั้นดินล่างสุดเป็นชั้น"สมัยทวารวดี""สมัยลพบุรี" และ "สมัยอยุธยา" โดยพบว่าระหว่างชั้นดินสมัยลพบุรีตรงกับสมัยบายนกับสมัยอยุธยามีระยะห่างกัน 20 เซนติเมตร
แต่ระยะห่าง 20 เซนติเมตรนี้กลับไม่ได้มีการอธิบายอะไรไว้เลย
ชั้นดิน 20 เซนติเมตรที่ว่าก็ควรตกอยู่ในช่วง พ.ศ.1760-1893 หรือก็คือช่วงยุคมืดนั่นเอง
ทั้งหมดนี้หมายความว่า ในเมื่อ "ภูมิประวัติ" ของชาติไม่มียุคสมัยที่ตรงตาม วาทกรรมการแบ่งยุคสมัยกระแสหลัก แถมไม่เคยมีอยู่ในสารบบของรายวิชาที่สอนๆ กันด้วยในสถาบันการศึกษาขั้นสูง ย่อมส่งผลทำให้ไม่สามารถจัดวางหลักฐานลงไปได้
เมื่อจัดวางไม่ได้ก็เลือกที่จะไม่อธิบาย หรือปล่อยมันเป็น "ช่องว่าง" ของความรู้ไปอย่างน่าเสียดาย
อาณานิคมอำพรางในสยามและอาเซียน
ปัญหาไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น กรอบเวลาทางประวัติศาสตร์ชาติข้างต้น สร้างขึ้นในสมัยการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ แต่รูปแบบรัฐสมัยก่อนหน้ารัชกาลที่ 5 เป็นแบบ "ราชาธิราช" หรือ "มณฑล" (madala) คือไม่มีขอบเขตแน่นอนชัดเจน อำนาจสามารถขยายและหดตัวได้ตามบารมีของกษัตริย์
ผลที่ตามมาคือ การเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะในไทย กลับไปยึดยุคสมัยตามกรอบเวลาของรัฐชาติสมัยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น
ทำให้เลือกที่จะไม่พูดถึงอิทธิพลของพม่าในล้านนา แล้วไม่เรียกศิลปะลพบุรีว่าศิลปะเขมร (ซึ่งก็ไม่ใช่ชื่อที่ลงตัวนัก เพราะเป็นชื่อชนชาติ)
และด้วยเป้าหมายทางการเมืองสมัยยุคสมัยอาณานิคม ทำให้มีการใช้ "รูปแบบทางศิลปะ" ซึ่งถือว่าเป็น "วิชาโบราณคดี" เป็นหลักฐานในการยืนยันสิทธิเหนือดินแดน
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้วิชาโบราณคดีไม่สามารถแยกออกได้จากวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ
มรดกทางความคิดข้างต้น ตั้งแต่ในสมัยอาณานิคมอำพรางในสยามและเพื่อนบ้านยังคงตกค้างอยู่ตามสถาบันหลักต่างๆ ที่ผลิตความรู้พวกนี้อยู่
เห็นได้จากเนื้อหาในรายวิชาประวัติศาสตร์โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ที่ยังคงแบ่งยุคสมัยตามกรอบเวลาประวัติศาสตร์กระแสหลักเช่นโบราณคดีสมัยลพบุรี ศิลปะสมัยลพบุรี ประวัติศาสตร์สมัยลพบุรี เป็นต้น
แต่จะว่าเฉพาะประเทศไทยก็ไม่ได้ แนวคิดแบบนี้ยังลามไปถึงการเขียนประวัติศาสตร์ศิลปะของประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ประวัติศาสตร์โบราณคดีไทย?
น้อยครั้งนักที่งานเสวนาแนวประวัติศาสตร์โบราณคดีในช่วงสมัยโบราณของไทยจะมีการวิพากษ์ถึงปัญหาเกี่ยวกับวาทกรรมที่ครอบงำความคิดเพื่อกระตุ้นให้คนตั้งคำถามกับภาวะที่เป็นอยู่ จนเชื่อว่ายุคสมัยทางประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ
ถึงเวลาหรือยังที่แวดวงประวัติศาสตร์โบราณคดีไทยจะคิดทบทวนมรดกตกค้างเพื่อจะก้าวให้พ้น"ยุคมืด"และเข้าใจรัฐสมัยโบราณตามภาวะที่เป็นจริง
ผู้คนฟังการบรรยายสาธารณะ หัวข้อ "ยุคมืด ของประวัติศาสตร์ไทย หลังบายน พุทธเถรวาท การเข้ามาของคนไท" ณ ห้อง 107 (ริมน้ำ) คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันวันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน 2557
ไม่ยุคมืด
สุพรรณบุรี หมายถึง เมืองที่มีความสมบูรณ์เสมือนเมืองทอง [ สุพรรณ แปลว่า ทอง (ทองคำ, ทองแดง, ทองสัมฤทธิ์), บุรี แปลว่า เมือง]
ชื่อสุพรรณบุรี มีพัฒนาการเปลี่ยนจาก สุพรรณภูมิ อันเป็นชื่อรัฐเอกราช มีอยู่ก่อนราว 800 ปีมาแล้ว
โดย สุพรรณภูมิ ได้รากเหง้าเค้าต้นจากนาม สุวรรณภูมิ ในคัมภีร์โบราณของอินเดียและลังกา ราว 2,000 ปีมาแล้ว
จากหนังสือสุพรรณบุรี มาจากไหน? โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ กรมศิลปาการ กระทรวงวัฒนธรรม พิมพ์แบ่งปันความรู้สู่ชุมชน สิงหาคม 2557
นิทาน แปลว่า 在 故事กู้ซื่อ แปลว่า เรื่องราว นิทาน... - เรียนภาษาจีนจากเพลง | Facebook 的推薦與評價
故事กู้ซื่อ แปลว่า เรื่องราว นิทาน 事故ซื่อกู้ แปลว่า อุบัติเหตุ “故事【gùshì】” และ “事故【shìgù】” นั่นเอง 故事แปลว่า เรื่องราว หรือว่า นิทาน... ... <看更多>
นิทาน แปลว่า 在 แปลนิทานภาษาอังกฤษ เรียนภาษาอังกฤษจากนิทาน - YouTube 的推薦與評價
เป็นการ แปลนิทาน ดัง และคติแง่คิด ต่างๆ นะครับ อังกฤษเป็นไทย ขอแก้นิดนึง ประโยคที่ ว่า He kept trying for hours ... ... <看更多>