เดือด! เลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายเรื่องวัคซีน รอดูรองนายกฯ อนุทิน ชี้แจงครับ
#อภิปรายไม่ไว้วางใจ
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข บริหารงานล้มเหลว 4 ด้าน
1.ความล้มเหลวในการควบคุมโรคระบาด ประมาท คิดว่าตัวเองแน่ ตั้งแต่การระบาดเสื่อต้นปี 63 นายกฯ ไม่มีการประเมินผล ส่วนนายอนุทิน ไม่กวดขัน ไม่รอบคอบไม่ระมัดระวัง ทำให้ระบบสาธารณสุขล้มเหลว
2.การจัดหาวัคซีนผิดพลาดล้มเหลว ที่พลเอกประยุทธ์ และนายอนุทิน คาดการณ์สถานการณ์ผิดพลาด ไม่มีความกระตือรือร้นในการจัดหาวัคซีน เมื่อจัดหาก็จัดหาน้อยเกินไป และมีเจตนาไม่เข้าโครงการโคแวกซ์ตั้งแต่ต้น เนื่องจากไม่มีเงินทอน ทำให้ประเทศเสียหาย โดยพลเอกประยุทธ์รู้เห็นเป็นใจกับนายอนุทิน นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ยังเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของภาคเอกชนในการขอนำเข้าวัคซีนทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า การบริหารราชการของพลเอกประยุทธ์ และนายอนุทิน สะท้อนให้เห็นถึงระบบราชการที่ล้าหลัง ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะขาดแคลนวัคซีน
3.ความล้มเหลวในการกระจายวัคซีน ที่มั่วทั้งระบบ ขาดความเป็นเอกภาพ ต่างคนต่างทำ บางจังหวัดไม่ได้เป็นพื้นที่สีแดงเข้มแต่กลับได้รับวัคซีนจำนวนมาก
4.การบริหารงานในสถานการณ์วิกฤต แต่บริหารเหมือนสถานการณ์ปกติ แม้แต่ตัวนายกฯ ยัง WFH ทำงานที่บ้านแบบไม่ทุกข์ร้อน และการสั่งข้อราชการไม่มีความเด็ดขาด
“ทั้งหมดคือความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ถามว่าพวกเขาทำผิดอะไร ทั้งที่เกิดจากการบริหารที่ผิดพลาดของพลเอกประยุทธ์ และนอกจากพลเอกประยุทธ์ไม่ช่วยแล้วยังกีดกันไม่อำนวยความสะดวก จนในที่สุดคนไทยมองไม่เห็นอนาคตว่าเขาจะอยู่อย่างไร พลเอกประยุทธ์ ปล่อยให้ประเทศไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร”
“สิ่งที่น่าเสียใจมากที่สุดที่คนไทยยอมรับไม่ได้เลย คือ การค้าความตายหากินบนความตายของประชาชน ด้วยการจัดซื้อวัคซีนคุณภาพต่ำแต่มีราคาแพง เอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชน โดยซื้อวัคซีนเพียงรายเดียว ผูกขาดตัดตอน มีความขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทำให้วัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนเส้นใหญ่”
นายประเสริฐ ยังอภิปรายเปิดหลักฐานโดยระบุว่าได้จากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ที่ทนต่อการกระทำของพลเอกประยุทธ์ และนายอนุทินไม่ไหว จึงส่งข้อมูลการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ที่ทำให้เห็นถึงแผนการนำเข้า ราคาซื้อต่อโดส และราคาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ มีความแตกต่างกัน โดย
การจัดซื้อครั้งที่ 1 มีแผนการนำเข้า 2 ล้านโดส นำเข้าได้จริง 1.9 ล้านโดส ราคาตามที่ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส
จัดซื้อครั้งที่ 2 ราคาตามที่ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส แต่ราคาซื้อจริง 15.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส
จัดซื้อครั้งที่ 3 ราคาตามที่ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส แต่ราคาซื้อจริง 14.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส
จัดซื้อครั้งที่ 4 ราคาตามที่ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส แต่ราคาซื้อจริง 9.5 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส
จัดซื้อครั้งที่ 5 ราคาตามที่ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส แต่ราคาซื้อจริง 9.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส
“ราคาตามที่ครม.อนุมัติในการจัดซื้อทั้ง 5 ครั้ง คือ 331,500,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท 10,846,680,000 บาท ส่วนราคาที่จัดซื้อจริง คือ 267,364,000 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินบาท 8,748,150,080 บาท เกิดส่วนต่างในการจัดซื้อทั้งสิ้น 2,098,529,920 บาท”
นายประเสริฐ ยังเปิดเอกสารการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค จากบันทึกการประชุมของคณะอนุกรรมาธิการเพื่อการแก้ไขปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภค ในคณะกมธ.คุ้มครองผู้บริโภค เมื่อวันที่ 15 ส.ค.64 ที่ระบุว่า มีการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค 5 ครั้ง พบว่าราคาที่ครม.อนุมัติทั้ง 5 ครั้ง คือ 17.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส แต่ราคาซื้อจริงครั้งที่ 2 – 5 ราคาลดลงตามลำดับ ซึ่งตรงกับข้อมูลที่เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่ให้มา ตนอยากถามถึงเงินส่วนต่างว่า หายไปไหน
นายประเสริฐ ยังอภิปรายถึงการทำสัญญากับบริษัท แอสตร้าเซเนกาว่า เป็นการทำสัญญาผูกขาด ตัดตอน ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทำให้รัฐเสียเปรียบ แรกเริ่มการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เป็นความร่วมมือระหว่าง SCG กับมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด แต่ที่แปลก คือ รัฐมีโรงงานผลิตวัคซีนที่ทันสมัย ทำไมจึงไม่มอบให้โรงงานแห่งนี้ที่รัฐเป็นเจ้าของผลิต
นายประเสริฐ อภิปรายตั้งข้อสังเกตถึงความผิดพลาดในการบริหารจัดการวัคซีนแอสตร้าเซเนกา
ประการแรก รัฐบาลแทงม้าตัวเดียว ไม่ยอมบริหารความเสี่ยง ซึ่งเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. นางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์ว่าควรจะมีการสั่งซื้อวัคซีนในหลายทางเลือกให้กับประชาชน
ประการที่สอง สัญญาซื้อขายเสียเปรียบบริษัทแอสตร้าเซเนกา สหราชอาณาจักร เพราะต้องสั่งซื้อล่วงหน้า และต้องจ่าย 60 % ของมูลค่าการสั่งซื้อ หรือราว 2 พันล้านบาทก่อนด้วย และในสัญญายังระบุอีกว่าหากผลิตไม่ได้ก็ต้องสูญเงินจำนวนนี้
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า การผลิตวัคซีนแอสตร้าฯ ทุก 3 ล้านโดสนั้น 1 ล้านโดสแบ่งให้ประเทศไทย อีก 2 ล้านโดสนำไปฉีดให้ต่างประเทศ ทำสัญญาอย่างนี้ได้อย่างไร ทำสัญญาอย่างนี้คนไทยถึงไม่ได้ฉีดวัคซีนสักที คนไทยได้ฉีดวัคซีนที่สามารถผลิตเองในประเทศน้อยกว่าคนต่างประเทศ ทำสัญญาอย่างนี้ได้อย่างไร ท่านต้องให้ประชาชนในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนที่เพียงพอก่อน ค่อยเอาไปจัดสรรให้คนต่างประเทศ
ประการที่สาม ความสับสนในการทำสัญญาระหว่างบริษัทแอสตร้าฯ กับไทย ตามเอกสารวันที่ 25 มิ.ย.64 ที่บริษัทฯ เขียนถึงนายอนุทิน ระบุว่า การกำหนดการผลิตวัคซีนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย จะทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับวัคซีนประมาณ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับผลิตผลของสารที่ใช้ในการผลิตวัคซีน และท้ายจดหมายยังระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขไทยได้ประมาณการว่า ระบบสาธารณสุขของประเทศไทย มีความต้องการวัคซีนประมาณ 3 ล้านโดสต่อเดือน และบริษัทแอสตร้าฯ แนะนำให้ไทยเข้าร่วมโครงการโคแว๊กซ์ เพราะโครงการนี้มีวัคซีนแอสตร้าฯอยู่ด้วย และนายอนุทิน ทำเอกสารตอบกลับวันที่ 30 มิ.ย.64 ถึงบริษัทแอสตร้าฯว่า ไทยคาดว่าจะได้รับวัคซีนมากกว่า 1 ใน 3 ของการจัดส่งจากแอสตร้าฯ หรืออย่างน้อย 10 ล้านโดสต่อเดือนสำหรับการใช้ในประเทศ ดูจากเอกสารการโต้ตอบแล้ว เกิดความสับสนว่า กระทรวงสาธารณสุขสั่งวัคซีนไม่พอเพียง หรือบริษัทแอสตร้าฯส่งของไม่ครบตามสัญญา สงสัยว่ปัญหาวัคซีนขาดแคลนเกิดจากฝ่ายไหนกันแน่ ทุกวันนี้ ประชาชนจึงไม่เชื่อใจรัฐบาล นี่คือการทำสัญญาที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของพลเอกประยุทธ์ และนายอนุทิน
“ผมขอกล่าวหา พลเอกประยุทธ์ และนายอนุทิน จงใจปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติ ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในทางราชการ ไม่สามารถดำเนินการตามเป้าหมายและแผนงานการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เสียสละ ไม่เปิดเผย ขาดความรอบคอบ และขาดความระมัดระวัง นอกจากนี้ นายกฯ และนายอนุทิน ยังร่วมกันจัดหาและจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ส่อไปในทางทุจริต ไม่โปร่งใส เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง แสวงหาประโยชน์จากการจัดซีนวัคซีน บนความตายของประชาชน ทั้งยังกีดกันวัคซีนอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เพื่อมิให้คนไทยได้มีโอกาสฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน มีพฤติกรรมค้าความตาย หาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน โดยให้นโยบายวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ” นายประเสริฐ กล่าว
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過6萬的網紅ANIBON,也在其Youtube影片中提到,หมายเหตุ : Live Stream นี้ มีจุดประสงค์ใหญ่อยู่ 2 ประการ ประการที่หนึ่ง - เป็นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องที่แท้จริง เกี่ยวกับกฏหมายลิขสิทธิ์ (ทั้งไทย ต่างป...
「ประการที่สอง」的推薦目錄:
ประการที่สอง 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
กรณีศึกษา Lenovo ทำอย่างไร ให้เป็นผู้นำตลาด PC ของไทย และของโลก
Lenovo Thailand x ลงทุนแมน
ผู้ที่ครองส่วนแบ่งตลาด จำนวนการส่งมอบ PC อันดับ 1 ของโลก ในปี 2020 ที่ผ่านมา
คือ Lenovo ที่ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 23.8%
และสำหรับในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา
Lenovo ก็สามารถครองส่วนแบ่งตลาด PC อันดับ 1 ได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ลงทุนแมนมีโอกาสได้พูดคุยกับ6
คุณวรพจน์ ถาวรวรรณ ผู้จัดการทั่วไป Lenovo ประจำพม่า ลาว กัมพูชา และผู้อำนวยการส่วนธุรกิจคอนซูเมอร์ของ Lenovo ในไทย ถึงเคล็ดลับและกลยุทธ์การทำธุรกิจของ Lenovo
Lenovo ทำอย่างไร ให้เป็น ผู้นำตลาด PC ของไทยและของโลก ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าลองไปเปิดดูผลประกอบการปีที่ผ่านมาของ Lenovo
จะเห็นว่าบริษัททำรายได้รวมเติบโต 20% กำไรสุทธิเติบโต 77%
และถ้าหากมาโฟกัสที่ไตรมาสล่าสุด
Lenovo ทำรายได้เติบโต 48% และกำไรสุทธิเติบโตถึง 512%
ลงทุนแมนถามคุณวรพจน์ด้วยคำถามแรกว่า
การเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กส่วนบุคคลในไทย รวมไปถึงในพม่า ลาว กัมพูชา ที่คุณวรพจน์ เป็นผู้ดูแล เติบโตดีแค่ไหน เมื่อเทียบกับผลประกอบการภาพรวมของ Lenovo ?
คุณวรพจน์ ถาวรวรรณ ตอบด้วยตัวเลขที่บอกเราว่า “เติบโตได้ดีมาก ๆ สอดคล้องกับภาพรวม”
ในส่วน พม่า ลาว กัมพูชา ในส่วน Personal Computer และ Smart Devices (PCSD) ที่คุณวรพจน์ ดูแลนั้น รายได้เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
ส่วนการเติบโตในประเทศไทยในส่วนของคอมพิวเตอร์เพื่อการใช้งานส่วนบุคคลในปีที่ผ่านมานั้นก็สอดคล้องกับการเติบโตของ Lenovo ทั่วโลก
กล่าวสรุปคือ เป็นปีที่ Lenovo มีการเติบโตทั่วโลกรวมถึงในไทย
จากสถิติของ IDC สำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2021 Lenovo ยังครองส่วนแบ่งตลาด จำนวนส่งมอบ PC อันดับ 1 ของโลกที่ 24.3%
คำถามต่อมาคือ กลยุทธ์อะไรที่ทำให้สินค้าของ Lenovo เหนือกว่าแบรนด์อื่น ?
คุณวรพจน์อธิบายว่า Lenovo ใช้กลยุทธ์ที่เข้าใจได้ง่ายแต่ลึกซึ้งนั่นคือ เรารับฟังความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา และเรานำความต้องการของลูกค้ามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์
ซึ่งหากจะพูดในภาษาของการตลาดก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นแบบ “Inclusive Marketing” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดยุคใหม่ล่าสุด หรือ Marketing 5.0
คำว่า Inclusive คือต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงแล้ว ต้องเน้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วม อย่างเช่น ลูกค้าฟีดแบ็กมาว่าอยากให้มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาในสินค้า เราก็นำโจทย์ตรงนั้น มาพัฒนาให้เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ใช้งานได้จริง เพื่อให้มาตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้น
และคำว่า Inclusive ที่ว่านี้ ไม่ได้เจาะจงแค่สนใจใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
แต่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ตามวิสัยทัศน์ที่ Lenovo ตั้งไว้ว่า “Smarter Technology for All”
เรามีทีมที่ดูแลในแต่ละประเทศ ที่คอยรับฟังฟีดแบ็ก และทำความเข้าใจตลาดของแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้ง
อีกทั้งยังเน้นการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ในแต่ละประเทศอย่างเข้มแข็ง ซึ่งทำให้ Lenovo สามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ กลุยุทธ์อีกอย่างที่สำคัญคือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง คือ Lenovo ทุ่มเทและให้ความสำคัญอย่างมาก กับเรื่องการวิจัยพัฒนา (R&D)
ในปีงบประมาณ 2019/2020 Lenovo ลงงบประมาณในส่วน R&D สูงถึง 42,000 ล้านบาท โดยทางบริษัทมี 15 ศูนย์วิจัยพัฒนาทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 3,200 คน ดูแลในส่วนนี้โดยเฉพาะ
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์ในภาพรวม ที่ทำให้ Lenovo ยืนหนึ่งในตลาดนี้ได้
ลงทุนแมนถามต่อว่า ผู้บริโภคยุคนี้มีความต้องการหลากหลายมาก
บางคนต้องการ PC ไปทำงาน บางคนต้องการไปดูหนัง ฟังเพลง บางคนเอาไปเล่นเกม ตรงนี้ Lenovo มีกลยุทธ์ไปจับความต้องการที่แตกต่างเหล่านั้นอย่างไรบ้าง ?
คุณวรพจน์บอกว่า Lenovo นำเทคโนโลยีที่พัฒนา มานำเสนอเป็นสินค้าและบริการที่หลากหลายออกสู่ตลาด ซึ่งก็เพื่อมาจับความต้องการของลูกค้าที่มีหลากหลายในยุคปัจจุบัน
ยกตัวอย่างเช่น
- ซีรีส์ “IdeaPad” ที่นำเสนอออกมาเพื่อเจาะตลาดกลุ่มเริ่มต้น ที่ทั้งใช้ทำงานและใช้งานทั่วไป อย่างเช่น ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุด
- ซีรีส์ “Yoga” ที่ถูกนำเสนอเป็นโน้ตบุ๊กกลุ่มพรีเมียม มีนวัตกรรมล้ำ ๆ เช่น จอที่พับได้องศากว้าง ตอบโจทย์กลุ่มทำงานและกลุ่มใช้งานทั่วไประดับสูง ที่ต้องการความยืดหยุ่น รูปลักษณ์ดีไซน์ที่แสดงออกถึงความเป็นตัวตนของแต่ละบุคคล มีลูกเล่นเยอะ และมีเทคโนโลยีล้ำ ๆ
- โน้ตบุ๊กเกมมิง อย่างซีรีส์ “Legion” ที่เน้นให้ประสบการณ์ในการเล่นเกมสูงสุด มีสเปกการใช้งานที่คุ้มราคา และมีเทคโนโลยีที่ซัปพอร์ตการเล่นเกมให้ลื่นไหลอย่างเต็มที่
- Desktop ตั้งโต๊ะ IdeaCentre สำหรับผู้ที่ต้องการคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ที่สามารถใช้งานได้ร่วมกันทั้งครอบครัว มีดีไซน์ที่สวยงาม ไม่เทอะทะ
โดยนอกจากไลน์ผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมความต้องการที่แตกต่างแล้ว Lenovo ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใส่ไว้ในผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้บริโภค
ยกตัวอย่างเช่น
- เทคโนโลยี Presence Detection with Zero touch Login หรือการสแกนใบหน้าผ่าน Web Camera เพื่อปลดล็อกเครื่อง และล็อกเครื่องอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้เดินออกไปจากบริเวณหน้าจอ
- เทคโนโลยี Lenovo Q-Control ซึ่งใช้ AI มาช่วยเรื่องการจัดการพลังงานให้เหมาะสมกับการใช้งาน
- เทคโนโลยี Privacy Shutter ที่เป็นฝาครอบเพื่อเปิดปิด Web Camera ป้องกันการถูกแอบถ่าย ให้ความเป็นส่วนตัว
และยังมีเทคโนโลยีที่เน้นเรื่องสุขภาพของผู้ใช้ อาทิ
เทคโนโลยี Lenovo Aware ที่ช่วยมอนิเตอร์ท่านั่งให้ถูกตามหลักสรีระ และแจ้งเตือนถ้าเรานั่งผิดท่า หรือนั่งใกล้หน้าจอเกินไป
นอกจากนี้ยังมอนิเตอร์เวลาใช้เครื่อง มอนิเตอร์ความสนใจ
มีเทคโนโลยี Eye Care ที่ช่วยลดแสงสีฟ้าจากหน้าจอ, Noise Cancellation ช่วยลดเสียงรบกวน ซึ่งชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ในปัจจุบัน ตอบโจทย์คุณพ่อคุณแม่ที่ลูก ๆ ต้องเรียนออนไลน์
คำถามต่อมาคือ ตลาด PC ในอนาคตต่อจากนี้ จะยังเติบโตได้ดีอีกไหม ?
คุณวรพจน์มองว่า Lenovo จะยังคงเติบโตได้ดีต่อไปเนื่องจาก PC ได้กลายเป็น Commodity product ซึ่งทุกคนต้องใช้ในชีวิตประจำวันไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทางศูนย์วิจัยของ Lenovo มีการวิเคราะห์และคาดการณ์พฤติกรรมของผู้คนในอีก 3-5 ปีข้างหน้าแล้ว ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วนำผลที่ได้ มาออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่จะนำเสนอในอนาคต
อย่างเช่น เทรนด์การใช้งาน 5G และ Wi-Fi 6 ที่จะมาพร้อมกันกับพฤติกรรมคนที่จะยิ่งใจร้อนขึ้น ต้องการการบริการที่ปัจจุบันทันด่วนมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะฉะนั้นวิธีการนำเสนอสินค้าก็ต้องตอบโจทย์กลุ่มนี้ในอนาคต และต้องมีการพัฒนาบริการหลังการขายให้ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น ไม่ให้ผู้บริโภคต้องรอนานหากเกิดปัญหา
คุณวรพจน์เชื่อว่า Lenovo เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการอะไรอยู่ตลอดเวลา และพัฒนาสินค้า บริการใหม่ ๆ มานำเสนอให้ตรงจุด ซึ่งก็จะทำให้ Lenovo สามารถเติบโตได้ดีต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
คำถามต่อมาคือ Lenovo มีการออกแบบและจัดการบริการหลังการขาย รวมถึงเรื่องรับประกันคุณภาพสินค้าอย่างไรให้ตรงต่อความต้องการของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ?
ประการแรก: Lenovo ในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้งานทั่วไป หรือที่เราเรียกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ นั้นมีการรับประกันที่เราเรียกว่า Premium Care
ซึ่ง Premium Care เป็นบริการหลังการขาย เช่น รับประกันสินค้าอย่างต่ำ 3 ปี เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจในคุณภาพของสินค้า และใช้งานสินค้าได้อย่างอุ่นใจเป็นเวลานาน ๆ โดยเราจะมีช่างเทคนิคผู้มีความรู้คอยเป็นผู้ตอบคำถามถ้าลูกค้าต้องการโทรปรึกษาข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมง และตลอด 7 วัน
ประการที่สอง: Lenovo มีการรับประกันอุบัติเหตุ หรือ Accidental Damage Protection (ADP) ให้ตั้งแต่เครื่องที่ราคาหมื่นต้น ๆ ขึ้นไป
ประการที่สาม: บางรุ่นจะมีบริการ Next Business Day เช่น โทรเข้ามาแจ้งความผิดปกติของเครื่องในเช้าวันจันทร์ จะมีทีมงานเข้าไปดูแลถึงที่อย่างเร็วที่สุดภายในเย็นวันอังคาร
ประการที่สี่: มีซอฟต์แวร์ “Lenovo Vantage” ที่เอาไว้ช่วยประเมินอาการเสียหายเบื้องต้น ซึ่งซอฟต์แวร์ตัวนี้ ช่วยยกระดับการบริการหลังการขายให้ดีขึ้น เพราะจะทำให้ทีมบริการหลังการขายหรือผู้ใช้งานเอง ทราบอาการเบื้องต้นได้ทันทีเมื่อเช็กผ่านซอฟต์แวร์
นอกจากนั้น สำหรับโน้ตบุ๊กเกมมิงอย่างซีรีส์ Legion
Lenovo ก็มีบริการหลังการขาย Legion Ultimate Support
ที่มีคอลเซนเตอร์ที่เป็น Gamer Engineer คอยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง สามารถช่วยแก้ปัญหาการใช้งานเบื้องต้นสำหรับโน้ตบุ๊กเกมมิงได้ทันที ไม่ต้องรับเรื่องไว้แล้วไปประสานงานต่อ
คำถามสุดท้ายคือ Lenovo มีแผนจะทำอะไรใหม่ ๆ ในอนาคตอีกบ้าง ?
ทางคุณวรพจน์และ Lenovo เชื่อว่า อีกไม่เกิน 5 ปี ทุกอย่างจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ ซึ่งจะทำให้ Smart Home กลายเป็นเรื่องพื้นฐานของแต่ละครัวเรือนมากขึ้น และจะเป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต
เรากำลังเข้าสู่ยุค Data Driven Society ซึ่งเมื่อรวมกับพฤติกรรมผู้บริโภคแบบปัจจุบันทันด่วนขึ้น เทคโนโลยีก็ต้องรวดเร็วทันใจ
ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ 5G หรือ Wi-Fi 6 ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่บ้าน
หรือคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก ที่ใช้ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก เพื่อเสริมศักยภาพให้การใช้งานของผู้ใช้ เพราะสังคมทุกวันนี้ข้อมูลมันเยอะกว่าสมัยก่อนมาก และแน่นอนว่าจะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
นั่นจึงเป็นที่มาให้ Lenovo กำลังจะนำเสนอดีไวซ์และโซลูชันเหล่านี้มากขึ้น ในอนาคต
ขณะที่คอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก ก็จะเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน
ซึ่งคนจะเลือกจากความน่าเชื่อถือของแบรนด์ มีเทคโนโลยีที่ครบ และบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์
ในอนาคต Lenovo ตั้งใจจะมีพื้นที่รับฟังลูกค้าที่มากขึ้น
เพื่อฟังความเห็น รับฟีดแบ็กและข้อแนะนำให้เต็มที่
เพราะฟีดแบ็ก ข้อแนะนำ และคำติชม คือสิ่งมีค่าที่สุด ที่บริษัทสามารถนำไปพัฒนาแล้วต่อยอดออกมาเป็นสินค้าและบริการที่ตอบความต้องการของผู้ใช้งานต่อไปได้
เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ข้อมูลขับเคลื่อนโลกและสังคม
ยุคที่คนต้องการคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก ที่มีประสิทธิภาพที่สุดมาใช้
ยุคที่คนต้องการการบริการที่รวดเร็ว ไม่เชื่องช้า
ยุคที่ข้อมูลและทุกสิ่งทุกอย่าง จะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ
ยุคที่ต่อไปเราจะคุ้นชินกับ Smart Home และ Smart Devices
ซึ่งแน่นอนว่า Lenovo ก็มีความพร้อมเต็มที่
ที่จะเดินหน้าพัฒนา และนำเสนอสินค้าและบริการ
ให้มาตอบโจทย์ความต้องการต่าง ๆ เหล่านั้น ในอนาคต..
References
- https://investor.lenovo.com/en/publications/reports.php
- https://www.statista.com/statistics/255283/lenovos-rundd-expenditure/
- https://www.idc.com/getdoc.jsp?containerId=prUS47601721
- บทสัมภาษณ์ คุณวรพจน์ ถาวรวรรณ ผู้จัดการทั่วไป Lenovo ประจำพม่า ลาว กัมพูชา และผู้อำนวยการส่วนธุรกิจคอนซูเมอร์ของ Lenovo ไทย โดยเพจลงทุนแมน
ประการที่สอง 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse
เปิดความท้าทายของจีนยุคใหม่ ลงทุนหุ้นจีนต้องดูอะไร ?
BBLAM x ลงทุนแมน
“การเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความท้าทายทุกด้านของจีน
จะทำให้เราเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในการลงทุนหุ้นจีนได้อย่างชัดเจนที่สุด”
นี่คงเป็นประโยค ที่สรุปใจความสำคัญได้สมบูรณ์ที่สุด
หลังจากที่ คุณทีน่า สุภัททกิต เจตทวีกิจ, CFA จากลงทุนแมน
ได้พูดคุยกับ 2 ผู้เชี่ยวชาญจากกองทุนบัวหลวงในห้อง Clubhouse ในหัวข้อ “เปิดความท้าทายของจีนยุคใหม่ ลงทุนหุ้นจีนต้องดูอะไร ?” เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการลงทุนในจีนจากกองทุนบัวหลวงทั้ง 2 ท่าน ได้แก่
- คุณทนง ขันทอง Head of Strategic Communications กองทุนบัวหลวง
- คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
ความท้าทายและโอกาสของจีนในตอนนี้มีอะไรบ้าง แล้วลงทุนหุ้นจีนต้องดูอะไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
ความท้าทายที่ 1: สงครามการค้าและเทคโนโลยี ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา
เรื่องสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา เป็นสิ่งที่นักลงทุนรับรู้เรื่องนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเวลามีข่าวดี หุ้นจีนก็พร้อมวิ่งไปต่อ
นอกจากนั้น ความกังวลเรื่องสงครามการค้าและเทคโนโลยี
ยังทำให้มูลค่าของบริษัทเทคโนโลยีจีนมีราคาที่ถูกลง
ถ้าเราลองดูภาพรวมของหุ้นกลุ่มนี้ผ่าน MSCI China Technology กับ S&P Technology
จะเห็นว่า บริษัทเทคโนโลยีจีนที่แพงกว่าสหรัฐอเมริกามาตลอดหลายปี ถูกลด P/E ลงมา ทั้งที่ผลประกอบการไม่ได้แย่เลย ทำให้ P/E ของกลุ่มอยู่ที่ 25 เท่า สูงกว่า ค่าเฉลี่ย 15 ปีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ความท้าทายที่ 2: ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ
ล่าสุด ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน คุณ Yi Gang ก็ออกมาบอกว่าเงินเฟ้อของจีนในช่วงนี้ จะต่ำกว่า 2% และเงินเฟ้อฝั่งผู้บริโภคของจีนล่าสุดที่ออกมาอยู่ที่ระดับ 1.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ก็ช่วยให้นักลงทุนคลายกังวลเรื่องเงินเฟ้อสูงไปตาม ๆ กัน
คุณมทินา ยังแนะนำเทคนิคดูการปรับตัวของหุ้นจีนแบบแม่น ๆ คือนอกจากดู “นโยบายการเงิน” ของธนาคารกลางจีนแล้ว ให้ดู “ยอดการระดมทุนรวมสุทธิของทั้งระบบ (Total Social Financing)” หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า TSF
TSF คือยอดการปล่อยสินเชื่อรวมในระบบ ที่สะท้อนถึงสภาพคล่องในระบบขณะนั้น ซึ่งถ้าเอาข้อมูล TSF มาพลอตเทียบกับ ตลาดหุ้น A-shares (ตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่) ก็จะมีความสัมพันธ์สูง ไปในทิศทางเดียวกัน
อย่างเช่น ในช่วงที่ผ่านมา การเติบโตของ TSF ลดลง แสดงถึงสภาพคล่องในระบบที่ลดลง และสะท้อนไปยังราคาหุ้นของจีนที่ปรับตัวลดลงได้นั่นเอง
คำถามคือ สภาพคล่องของทั้งระบบเศรษฐกิจ จากการที่ TSF ที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา น่ากลัวไหม ?
กองทุนบัวหลวงมองว่า “ไม่ได้น่ากลัวเท่าที่คิด” เพราะการลดสภาพคล่องของจีน ค่อยๆ ทำอย่างระมัดระวังมาหลายเดือนแล้ว และตลาดก็ได้สะท้อนความกลัวนั้นไปมากแล้วก่อนหน้านี้
เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงในด้านขาลงของหุ้นจีน (Downside Risk) ควรจะเริ่มจำกัดแล้วในตอนนี้
ความท้าทายที่ 3: ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
จีน มีปัญหาในเชิงการเมืองกับหลายฝ่าย ทั้งไต้หวัน ฮ่องกง และโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา
ตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี บารัก โอบามา สหรัฐอเมริกา เน้นเข้ามามีบทบาทในเอเชียและตะวันออกกลางมากขึ้น เพื่อคานอำนาจของจีนที่เริ่มสานสัมพันธ์กับนานาประเทศในหลายภูมิภาค
ขณะที่สมัยประธานาธิบดี ทรัมป์ ก็เริ่มก่อสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยีที่ชัดเจน และยกประเด็นต่าง ๆ ขึ้นมาโจมตีจีน เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชนในเขตซินเจียง เรื่องการวางอำนาจของจีนในทะเลจีนใต้ ไปจนถึงเรื่องการเป็นต้นตอของวิกฤติโรคระบาดโควิด-19
คุณทนงเชื่อว่า ความเข้มข้นของเรื่องการเมืองโลกเหล่านี้ จะนำไปสู่การประนีประนอมในท้ายที่สุด อีกทั้งจะมีการปรับระเบียบโลกครั้งใหม่ สู่ระบบหลายขั้วผู้นำ (Multipolar) และจีนมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งขั้วมหาอำนาจโลกได้
ความท้าทายที่ 4: การเติบโตระยะยาวของจีน ที่เริ่มแผ่ว
ล่าสุดทางการจีนออกมาประกาศ ตั้งเป้าการเติบโตของเศรษฐกิจลดลง จากเดิมที่โตเฉลี่ย 7-8% ต่อปี เหลือ 5-6% ต่อปี
เรื่องนี้ คุณทนงมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาจีนเติบโตเร็วมาตลอด พอฐานเศรษฐกิจเริ่มใหญ่ขึ้น 5-6% ก็ยังคงถือว่าไม่ได้แย่ ถึงแม้จะไม่ได้ร้อนแรงเหมือนเดิม
ส่วนคุณมทินา มองว่าสไตล์การดำเนินนโยบายการเงินของจีน จะทำให้จีนแข็งแกร่งได้ในระยะยาว
เพราะถ้าลองเทียบสไตล์การใช้นโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนกับสหรัฐอเมริกา
ประการแรก - เราจะเห็นว่า สหรัฐอเมริกา จะใช้นโยบายทางการเงินที่จัดหนักจัดเต็ม มีการอัดฉีดเงินมูลค่ามหาศาลเข้ามาในระบบแบบไม่ยั้ง ขณะที่จีนค่อนข้างมีความรัดกุม เช่น เมื่ออัดฉีดเงินเข้าระบบแล้วเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ก็จะรีบพยายามหาทางลดความร้อนแรง โดยการดูดเงินออกจากระบบทันทีที่มีโอกาส
ประการที่สอง - จะเห็นได้ว่าเป้าหมายของจีนนั้น ไม่ได้ต้องการโฟกัสไปที่ตลาดหุ้น แต่ต้องการที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม แตกต่างกับทางสหรัฐอเมริกา ที่จะเน้นที่การกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวไปตามเป้าหมายในทันที
ซึ่งคุณมทินามองว่า สไตล์การใช้นโยบายทางการเงินของจีน จะทำให้ตลาดหุ้นจีนมีเสถียรภาพในอนาคต
ความท้าทายที่ 5: ความเข้มงวดของรัฐบาลจีน ต่อบริษัทเทคโนโลยีจีน
อย่างเช่น ที่หน่วยงานกำกับและดูแลตลาดจีน เคยสั่งปรับ Alibaba ในข้อหาผูกขาดตลาดและใช้นโยบายเอาเปรียบผู้บริโภค และเรียกผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในจีนหลายรายไปพูดคุย
เหตุการณ์เหล่านี้ กำลังทำให้หุ้นเทคโนโลยีจีนตอนนี้ถูก Discount หรือลดมูลค่าลงไปพอสมควร เพราะนักลงทุนกังวลว่า หลายบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบของทางการจีน
แต่ความเข้มงวดตรงนี้ ทางกองทุนบัวหลวงมองว่าเป็นผลดีในระยะยาว เพราะแม้เรื่องนี้ อาจกระทบบางบริษัท หรือทั้งกลุ่มเทคโนโลยีในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะทำให้เส้นทางการเติบโตของบริษัทเหล่านี้เป็นไปอย่างถูกต้อง และมั่นคงในอนาคต
ความท้าทายที่ 6: ภาพลักษณ์ของจีน ที่ถูกมองว่าไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง
กองทุนบัวหลวงมองว่า เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะถ้าลองมาดูตัวเลขในเรื่องเหล่านี้จะเห็นว่า
- งบประมาณด้านเทคโนโลยีอยู่ในแผน 5 ปี และรัฐบาลจีนตั้งเป้า % งบวิจัยพัฒนาต่อ GDP ให้เทียบเท่ากับสัดส่วนของสหรัฐอเมริกา
- จำนวนการยื่นจดสิทธิบัตร อ้างอิงจาก World Intellectual Property จีนแซงหน้าสหรัฐอเมริกา, เยอรมนี ญี่ปุ่น ไปแล้ว
- จำนวนสตาร์ตอัป (สตาร์ตอัปมูลค่ามากกว่า 31,000 ล้านบาท) ในปักกิ่ง แซงหน้า San Francisco และ New York ไปแล้ว
ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เห็นว่ารัฐบาลจีนจริงจัง และให้ความสำคัญกับงบสนับสนุนด้านเทคโนโลยีมาก ๆ และจีนเองก็เป็นเจ้าของนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากมายไม่แพ้ใคร
ซึ่งจากโอกาสและความท้าทายที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ถ้าถามว่ากองทุนรวมแบบไหน ที่พร้อมยืดหยุ่นในการลงทุน และเติบโตไปกับโอกาสเหล่านี้
“B-CHINE-EQ” หรือ “กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน” ที่บริหารจัดการโดยกองทุนบัวหลวง ก็เป็นหนึ่งทางเลือกที่มองข้ามไม่ได้
เพราะ B-CHINE-EQ ลงทุนทุกตลาดของจีน มีนโยบายการลงทุนที่ยืดหยุ่น แบ่งการลงทุนเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกใช้วิธีใช้ Outsource Fund Manager มอบหมายให้ Allianz Global Investors Asia Pacific Limited (AGI) เป็นผู้รับดำเนินการลงทุนในต่างประเทศ
ซึ่ง AGI เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง มีความชำนาญในการค้นหาโอกาสเชิงรุก และเก่งเรื่องการคัดเลือกหุ้นรายตัว มีความรู้ ความเข้าใจ ในตลาดหุ้นจีนเป็นอย่างดี
โดยปัจจุบัน AGI นำเงินไปลงทุนใน 2 กองทุนหลัก คือ Allianz All China Equity และ Allianz China A-Shares โดยในส่วนที่ AGI ดำเนินการ ตามนโยบายหลักกำหนดไว้ที่ 80% ของ NAV
ส่วนที่สอง อีก 20% ที่เหลือเปิดให้กองทุนบัวหลวงพิจารณาเลือกลงทุนหุ้นจีนได้ด้วยตัวเอง ทำให้กองทุนหุ้นจีนของกองทุนบัวหลวงมีสไตล์ความเป็นกองทุนบัวหลวงจริง ๆ อยู่ในนั้น
เพราะการลงทุนในจีนนั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย
แต่ความท้าทายที่มากนั้นก็หมายความว่า มีโอกาสที่แฝงอยู่มากตามไปด้วย
และ B-CHINE-EQ ก็คือหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจที่สุด
สำหรับคนที่อยากเติบโตไปกับหุ้นจีนในตอนนี้ และอนาคต..
ประการที่สอง 在 ANIBON Youtube 的最佳解答
หมายเหตุ : Live Stream นี้ มีจุดประสงค์ใหญ่อยู่ 2 ประการ
ประการที่หนึ่ง - เป็นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องที่แท้จริง เกี่ยวกับกฏหมายลิขสิทธิ์ (ทั้งไทย ต่างประเทศ และญี่ปุ่น) และความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของเว็บไซต์ Youtube ซึ่งถือว่าเป็นการให้ท่านผู้ชมทุกท่านได้มีโอกาสในการรับรู้และวิเคราะห์ข้อมูลอีกด้าน รวมถึงเป็นการชี้จุดที่ผิดพลาดของแนวคิดและความเข้าใจบางประการ ที่ Anime Youtuber แต่ล่ะท่าน ได้พูดเอาไว้ในคลิปของตน
ประการที่สอง - เป็นการให้คำติชมและคำแนะนำกับ Anime Youtuber ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยทุกท่าน รวมถึง เสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางในการทำคลิปใน Youtube ซึ่ง (อาจ) จะมีปัญหาในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้สามารถทำคลิปบน Youtube อย่างสงบราบรื้นต่อไป
ส่ง Meme ของคุณมาได้ที่ : https://twitter.com/phuboatanibon
สามารถเข้ามาร่วมพูดคุยได้ที่เซิพเวอร์ Discord ของรายการได้เลยที่ : https://discord.gg/2x2cCdN
หมายเหตุ : หากท่านอยากให้ชื่อของตัวเองเด้งดึ๋งขึ้นมาตอนบริจาคเงิน ระหว่าง Live Stream ท่านสามารถทำได้โดยการบริจาคผ่านการให้รหัสบัตรทรูมันนี่หรือโอนผ่านบัญชี True Wallet ในหน้านี้ : https://tmstreamlabs.cupco.de/ANIBON และการบริจาคผ่านบัญชี PayPal ได้ในหน้านี้ : https://streamlabs.com/Anibonofficial
ตารางคะแนนอนิเมะของรายการอนิบ่น สามารถเข้ามาดูได้ที่นี้ : https://goo.gl/hdZScU
หรือทางบัญชี MyAnimeList ได้ที่ : https://myanimelist.net/profile/AnibonOfficial
ท่านสามารถติดตามรายละเอียดในการ Donate (บริจาคเงิน) สนับสนุนรายการ ได้ ณ ตรงนี้เลยครับ คือ
ช่องทางที่ 1 : ผ่านการให้รหัสบัตรทรูมันนี่หรือโอนผ่านบัญชี True Wallet ได้ที่ลิ้ง : https://tipme.in.th/anibonlive หรือ https://streamlabs.com/Anibonofficial
ช่องทางที่ 2 : ผ่านธนาคาร ไทยพาณิชย์, เลขที่บัญชี : 406-314195-4, ชื่อบัญชี : นาย ศุภกร จันทร์งาม
ช่องทางที่ 3 : ผ่านบัญชี Paypal, อีเมล์ " anibonofficial@gmail.com ", ชื่อ Supagorn Channgam
สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเดิมและอัพเดทข้อมูลข่าวสารของรายการ และช่องทางในการอัพโหลดคลิปหลักปัจจุบัน คือได้ที่
Official Twitter : https://twitter.com/phuboatanibon
งานพากษ์เก่าๆ : http://www.dailymotion.com/AnibonOfficial

ประการที่สอง 在 คู่มือชีวิต ตอนที่ 2 มงคลชีวิต 38 ประการ - YouTube 的推薦與評價

http://dmc.tv/v49519 นานาเทศนา ตอน คู่มือชีวิต มงคลชีวิต 38 ประการ โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย. ... <看更多>
ประการที่สอง 在 #ประการที่สอง - Explore | Facebook 的推薦與評價
#ประการที่สอง มีความปรารถนาดีต่อกัน มีวาจาที่ดี สุภาพพูดมีเหตุผล ไม่พูดให้ร้ายผู้อื่นทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่กล่าวติเตียน. ... <看更多>