ก่อนจะลงน้ำ ต้องรู้ !!! ตอนนี้ผมเห็นนักดำน้ำดำลงไปทำงานเกือบทุกวัน
มาลองดูกันครับว่า ความเสี่ยงของนักดำน้ำมีอะไรบ้าง อันนี้ขอพูดถึงเฉพาะนักดำน้ำแบบ SCUBA ก่อนนะครับ
ใครที่กำลังจะไปลงโลกใต้ทะเล ต้องจำให้ขึ้นใจ โดยเฉพาะผู้ที่สนใจจะไปเรียนดำน้ำนั่นเองครับ
มีอยู่ 4 โรคที่เกิดขึ้นได้จากการที่เราไปดำน้ำ ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องพวกนี้จะถูกบรรจุอยู่ในการเรียนมาตรฐานอยู่แล้ว แต่ผมขอเอามาสรุปอีกครั้งหนึ่งให้ได้อ่านกันนะครับ จะขึ้นเขาก็มีโรคแพ้ความสูง จะลงน้ำก็มีโรคเช่นกัน 🙂 ตอนนี้ผมขอเล่าเฉพาะในส่วนของ 2 ปัญหาแรกก่อนในตอนนี้
ก่อนอื่น เราจะเริ่มต้นด้วยเรื่องของ "ความดันบรรยากาศ" เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของภาวะความผิดปกติทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มมุดลงไปในน้ำตั้งแต่วินาทีแรก โดย ณ จุดที่เราอยู่ ณ ผิวน้ำ จะมีค่าความดันบรรยากาศคือ 1 ATM มีค่าเทียบเท่ากับ 760 mmHg
เมื่อเราลงไปลึกมาขึ้นเรื่อยๆ ความดันจะเพิ่มขึ้น แต่ปริมาตรจะลดลง ให้ลองคิดถึงที่ภาพ คนที่ถือขวดน้ำดำลงไปในน้ำลึกแบบในหนังครับ ถ้าเราลงไปได้สัก 10 เมตร เราจะเห็นขวดนั้นบูบี้ไปมาก ยิ่งลงไปลึกเท่าไร ก็จะยิ่งบูบี้มากขึ้นเท่านั้น โดยจะมีค่าคงที่ตามนี้
ที่ความลึก 0 เมตร ความดันคือ 1 ATM แต่ปริมาตรคือ 1
ที่ความลึก 10 เมตร ความดันจะเพิ่มเป็น 2 ATM แต่ปริมาตรจะเหลือ 1/2
ที่ความลึก 20 เมตร ความดันจะเพิ่มเป็น 3 ATM แต่ปริมาตรจะเหลือ 1/3
ที่ความลึก 30 เมตร ความดันจะเพิ่มเป็น 4 ATM แต่ปริมาตรจะเหลือ 1/4
จะเห็นว่าจุดที่ปริมาตรกับความดันปอดเปลี่ยนอย่างรวดเร็วคือ 10 เมตรแรก ที่ความดันเพิ่มขึ้น 100% ในขณะที่ปริมาณหายไป 50% ซึ่งผลลัพธ์ของปริมาตรกับความดันที่เปลี่ยนแปลง และพบได้เป็นอย่างแรกก็คือ อาการเจ็บหูนั่นเอง ที่กลายเป็นอุปสรรคทำให้หลายๆคนกลัวทะเลจนพาลไม่อยากดำน้ำไปโดยปริยาย
ทำไมถึงเจ็บหูในช่วงของ 10 เมตรแรกตอนที่ดำลงไป ต้องคิดถึงภาพหูของเราที่มีแยกส่วน ชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน โดยส่วนจุดที่แบ่งระหว่างหูชั้นนอกกับหูชั้นกลางคือ เยื่อแก้วหู ถ้าลองจินตนาการอีกสักเล็กน้อยก็จะพบว่า หูชั้นกลางของเราก็ไม่ต่างอะไรกับขวดน้ำชัดๆ โดยมีเยื่อแก้วหูคือผิวของขวดนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเราดำลงไปสัก 10 เมตร ตัวของปริมาตรภายในหูชั้นกลางที่ลดลงอย่างรวดเร็วจะดึงให้เยื่อแก้วหูถูกดึงจนตึงเข้ามาด้านใน ผลก็คือ เราก็จะเจ็บหูมาก เจ็บชนิดทีเรียกว่าบอกไม่ถูก
ซึ่งวิธีการแก้ก็คือการเอามือสองข้างบีบจมูกแล้วหายใจออกแรงๆ (เพราะมันมีท่อเล็กๆที่เชื่อมระหว่างรูจมูกกับหูชั้นกลางอยู่ครับ) การหายใจออกแรงๆทั้งที่บีบจมูกอยู่ คือ การอัดอากาศจากปอดเรากลับเข้าไปในหูชั้นกลาง เพื่อดันเยื่อแก้วหูให้เรากลับไปตำแหน่งเดิม อาการปวดก็จะหายไป แต่เราจะทำแบบนี้ไม่ได้ถ้าตอนนั้นเราคัดจมูกอยู่ เพราะว่าเยื่อหุ้มโพรงจมูกจะบวมจนไปปิดรูที่ว่านี้ครับ เขาถึงบอกว่า ถ้าคัดจมูกแล้วก็ควรจะหลีกเลี่ยงการดำน้ำในเบื้องต้น
เมื่อสักครู่คือเป็นช่วงขาลงใช่ไหมครับ แล้วถ้าเป็นช่วงขาขึ้นละ เช่นกำลังจะขึ้นจากผิวน้ำ หลักการก็จะคล้ายๆกัน แต่เกิดตรงกันข้าม ปัญหาจะย้ายที่ไม่เกิดทีจมูกแล้ว แต่จะมาเกิดกับ "ปอด" แทน
สมมติเราอยู่ที่ความลึก 30 เมตร ตอนนั้นปอดเรามีปริมาตรปริมาณ 1/4 ของขนาดปอดปกติของเราขณะที่อยู่บนฝั่ง ถ้าให้เทียบกับขวดน้ำก็น่าจะบู้บี้พอสมควรแล้วครับ
สมมติว่าถ้าเราพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำในทันทีจาก 30 เมตรไปจนถึง 0 เมตร ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร
"ปอดแหก" นั่นเองครับ หรือ "ปอดแตก" เพราะว่า ปริมาตรของปอดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 1/4 มาถึง 1 หรือเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าในเวลาสั้นๆ การเพิ่มปริมาตรปอดอย่างรวดเร็วอาจจะเทียบกับเวลาเป่าลูกโป่งก็ได้ครับ การค่อยเป่าๆ ลูกโป่งจะแตกยากกว่าการเป่าพรวดเดียวด้วยลมในปริมาตรเดียวกัน
ซึ่งทำให้ตอนที่เราจะขึ้นจากระดับน้ำลึกมาจนถึงผิวน้ำ เขาถึงบอกว่าให้เราร้อง "อ้า" อยู่ตลอดเวลา เหตุผลคือ การร้องอ้า จะเปิดการช่องทางของอากาศภายในปอดให้ถ่ายเทออกสู่ด้านนอก เสมือนหนึ่งเป็นการลดปริมาตรของปอดไปอย่างช้าๆ เพื่อรักษาสมดุลกับปริมาตรที่เพิ่มขึ้นในขณะที่เรากำลังพาตัวเองไต่ระดับความลึกขึ้นไปนั่นเองครับ
อันนี้ว่ากันแค่เรื่องของ ปริมาตร กับ ความดัน เท่านั้น ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องชนิดของก๊าซที่มีส่วนสำคัญมากอีกอย่าง ทีเป็นปัญหาสำคัญของการดำน้ำเลยก็คือเรื่องของ โรคน้ำหนีบ เดี๋ยวจะมาว่ากันอีกครั้งในครั้งต่อไปนะครับ
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過59萬的網紅Healthy Natural นานา สมุนไพร,也在其Youtube影片中提到,แชร์เก็บไว้เลย! ใครทำใครได้ สุดยอดวิธียืดอายุ 10 อวัยวะของเราให้แข็งแรง ไม่ป่วย เห็นมีประโยชน์สำหรับทุกคน เลยนำมาให้ดูอีกเพื่อจะได้นำไปปฏิบัติตั้งแต่บ...
「ปอด คือ」的推薦目錄:
- 關於ปอด คือ 在 หมอๆ ตะลุยโลก Facebook 的精選貼文
- 關於ปอด คือ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最讚貼文
- 關於ปอด คือ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的精選貼文
- 關於ปอด คือ 在 Healthy Natural นานา สมุนไพร Youtube 的最佳解答
- 關於ปอด คือ 在 ตรวจพบ จุด ก้อน ฝ้า ในปอดเป็นอะไรได้บ้าง ต้องทำอะไรเพิ่ม 的評價
- 關於ปอด คือ 在 วัณโรคปอด คืออะไร? เป็นแล้วหายได้หรือไม่? - Facebook 的評價
ปอด คือ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最讚貼文
"ติดแอร์บนหัวเตียง ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคเชื้อราในสมองนะครับ"
มีคนส่งคลิปติ๊กต๊อก ที่เป็นการให้ข้อมูลของ ซินแสฮวงจุ้ยท่านหนึ่ง ว่าอย่าติดแอร์ที่หัวเตียง .. ซึ่งถ้าเป็นความเชื่อเรื่องพลังหยินหยางอะไรตามหลักฮวงจุ้ย ก็คงไม่เป็นประเด็นอะไรนะ (ดูคลิปเต็มได้ในรายการ Perspective ตามลิงค์นี้ https://youtu.be/HCGEY5wNFxM)
ปัญหาคือท่านชินแสอ้างว่า พอติดแอร์บนหัวเตียงอย่างนี้ แล้วจะทำให้เป็นโรคเชื้อราในสมองได้ เคยเจอมาแล้ว !?
ก็ต้องขอตอบว่า ไม่น่าใช่นะครับ ! ถ้าท่านซินแสเคยเจอเหตุการณ์แบบนั้น ก็คงเป็นความบังเอิญมากกว่า
เพราะตามทางการแพทย์แล้ว เชื้อรา 2 ชนิด ที่มักพบว่าสามารถก่อให้เกิดโรคในสมอง คือ Pseudallescheria boydii และ Cryptococcus neoformans นั้น ก็พบในแหล่งสิ่งสกปรกเน่าเสีย และในมูลของสัตว์ปีก ตามลำดับ ... ไม่ได้มีคำเตือนทางการแพทย์ว่าให้ระวังในเครื่องปรับอากาศ
จริงๆ แล้ว การเป็นโรคเชื้อราในสมองนั้น นอกจากจะต้องได้รับเชื้อราบางชนิดแล้ว ยังมักจะเกิดขึ้นขณะที่ร่างกายของบุคคลนั้น มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง เจ็บป่วยง่ายขึ้น อีกด้วย
ปล. แล้วที่บางคนเชื่อว่า "การกินอาหารที่ขึ้นราเยอะๆ จะทำให้เชื้อราขึ้นสมอง" ด้วยนั้น ก็ไม่จริงนะครับ 😀
ขอเอาข้อมูลเกี่ยวกับ "โรคเชื้อราในสมอง" มาให้อ่านประกอบนะครับ
--------
#เชื้อราในสมอง: ภาวะแทรกซ้อนอันตราย
เชื้อรา (Fungi) เป็นสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม ที่บางสายพันธุ์เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็อาจก่อโรคร้ายได้
และหากผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือรับเชื้อราเข้าไปปริมาณมาก ก็มีโอกาสที่จะเข้าไปก่อโรคในสมองได้
สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาสุขภาพดังที่กล่าวมา แม้จะมีโอกาสบ้าง แต่ก็พบได้น้อยมาก
เชื้อราในสมองที่มักพบมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ Pseudallescheria boydii และ Cryptococcus neoformans
#เชื้อราPseudallescheria_boydii
เชื้อรา Pseudallescheria boydii เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Scedosporium เชื้อราชนิดนี้สามารถเติบโตได้ที่อุณหภูมิ 30-37 องศาเซลเซียส มักพบในแหล่งที่มีสิ่งสกปรกทับถมกันอยู่ เช่น แหล่งน้ำเน่าเสีย บ่อพักสิ่งปฏิกูล กองขยะ แม้แต่แหล่งน้ำขนาดใหญ่อย่างน้ำตก หรือทะเล หากมีสิ่งสกปรกมากก็อาจพบเชื้อราชนิดนี้ได้เช่นกัน
เชื้อ Pseudallescheria boydii สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการโพรงจมูก ช่องไซนัสต่างๆ ผิวนังที่เป็นแผล ผ่านปอดจนขึ้นสมองผ่านกระแสเลือด รวมทั้งติดเชื้อต่อเนื่องขึ้นสมองโดยตรง ดังนั้นหากเราสำลักน้ำที่มีเชื้อราชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ก็มีโอกาสติดเชื้อราชนิดนี้ได้้ช่นกัน
กรณีข่าวนักร้องชื่อดังที่ประสบอุบัติเหตุรถตกลงไปในคลอง และติดเชื้อราในสมองจนอาการทรุดลงและเสียชีวิตในที่สุด เชื้อราที่ว่านั่นก็คือ Pseudallescheria boydii นั่นเอง
อาการเมื่อติดเชื้อ Pseudallescheria boydii
หากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ หลังจากได้รับเชื้อรา เชื้อราจะสามารถกระจายตัวได้อย่างรวดเร็วและแทรกซึมไปยังเนื้อสมอง หลังจากนั้นเชื้อราจะทำลายเนื้อสมองจนเนื้อเยื่อตายกลายเป็นฝี สมองบวม และหยุดทำงานในที่สุด
นอกจากนี้เชื้อรายังสามารถแทรกซึมไปที่อวัยวะอื่นได้ เช่น ปอด ทำให้เนื้อเยื่อปอดเน่ากลายเป็นโพรงในปอด มีอาการเจ็บหน้าอก มีไข้สูง ที่ผิวหนังและเยื่อบุนัยน์ตา จะทำให้เกิดการระคายเคือง บวมแดง และปวด และอาจมีการติดเชื้อในกระแสเลือดทำให้เกิดภาวะช็อกได้ การติดเชื้อราชนิดนี้พบอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูงโดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิต้านทานร่างกายต่ำ
#เชื้อราCryptococcus_neoformans
Cryptococcus neoformans เป็นเชื้อราที่ก่อโรค Cryptococcosis ซึ่งมักพบเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV โดยเชื้อราชนิดนี้พบในมูลของไก่ นกพิราบ นกเอี้ยง นกกระจอก และนกชนิดอื่นๆ หากคนอยู่ในแหล่งที่มีนกมากและสัมผัสกับมูลนกเหล่านี้ก็อาจติดเชื้อได้ทางการหายใจ และสูดดมเชื้อราเข้าไป
อาการเมื่อติดเชื้อ Cryptococcus neoformans
อาการเกิดขึ้นได้กับหลายระบบขึ้นอยู่กับว่า เชื้อราไปฝังตัวและเจริญที่อวัยวะไหน ระบบที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ สมอง ระบบประสาท และปอด
ส่วนการติดเชื้อในสมองและระบบประสาทจะพบอาการดังนี้
- มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดในผู้ติดเชื้อนี้ เนื่องจาก Cryptococcus neoformans นั้นเจริญได้ดีในน้ำไขสันหลัง โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง มีไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร พฤติกรรมเปลี่ยน ความจำเสื่อม และชัก เมื่อเจาะน้ำไขสันหลังมาตรวจจะพบเชื้อราชนิดนี้อยู่ภายใน
- มีก้อน crytococcoma ซึ่งเป็นกลุ่มก้อนของเชื้อราในเนื้อสมอง ทำให้มีอาการปวดศีรษะ อาเจียน พฤติกรรมเปลี่ยน ความจำเสื่อม ชัก และอาจเป็นอัมพาตได้ ซึ่งพบได้น้อย
ข้อมูลจาก https://hd.co.th/fungus-in-the-brain-hazardous-complications
ปอด คือ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的精選貼文
รายงานข่าวฉบับนี้ค่อนข้างดีนะ ที่สรุปความรู้เกี่ยวกับเรื่อง "อันตรายจากสารเคมี" ที่เกิดขึ้นจากกรณีไฟไหม้ที่โรงงานสารเคมี ที่กิ่งแก้ว จ. สมุทรปราการ ลองศึกษากันดูนะครับ
------
(รายงานข่าว) ไฟไหม้ ‘โรงงานกิ่งแก้ว’ 'สารเคมี' ตัวไหน น่ากลัวกว่าที่เห็น
ช่วงเวลาตี 3.10 นาที ขณะที่ทุกคนกำลังหลับไหล พลันก็มีแสงสว่างวาบแล้วตามมาด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว กระจกหน้าต่างแตกกระจาย จากเหตุระเบิดและไฟไหม้ที่โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 ม.15 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งม้วนตัวขึ้นสูงสู่ท้องฟ้า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้เข้าควบคุมในพื้นที่เวลา 06.00 น.ต่อมาเวลา 09.00 น. สถานการณ์ก็รุนแรงขึ้น เกิดระเบิดขึ้นอีกหลายครั้งจากสารเคมีในโรงงานที่เกิดเหตุ
#สารพัดสารพิษจากโรงงาน
หมิงตี้ เคมีคอล เป็นโรงงานผลิตโฟมและเม็ดพลาสติก รศ. ดร.กิติกร จามรดุสิต รองอธิการบดีฝ่ายสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในงานเสวนา ‘ถอดบทเรียน ไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว’ ที่ Mahidol Science Café จัดขึ้นเพื่อเป็นบทเรียนว่า เหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้น สร้างผลกระทบต่อสุขภาพผู้คนอย่างไร
"โพลีสไตรีน (Polystyrene,PS) คือ พลาสติก ที่ผลิตขึ้นมาจาก สไตรินโมโนเมอร์ (Styrene, Monomer) สารอินทรีย์ไวไฟและมี เบนซีน (C6H6) ไฮโดรคาร์บอนที่อยู่ในรูปวงแหวนหกเหลี่ยม เป็นคาร์ซิโนเจน สารก่อมะเร็งในระยะยาว แล้วใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา คือ เปอร์ออกไซด์ อัดแก๊สให้โฟมมันพองขึ้นคงสภาพไว้
สิ่งที่เห็นคือ วัตถุไวไฟ เพนเทน 60-70 ตัน สไตรีนโมโนเมอร์ กว่า 1.6 พันตัน ตั้งแต่ตีสามจนถึงช่วงเย็นก็ยังดับไม่ได้ เพราะมีเชื้อไฟและออกซิเจน ที่หนักสุดคือ VOCs สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds) ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์มากกว่า CO (คาร์บอนมอนอกไซด์) เยอะมาก
โรงงานที่ผลิตพวกนี้ควรต้องมีระบบการจัดการที่ดี เพื่อป้องกันไม่ให้ระเหยออกมา เพราะมันส่งผลกระทบต่อโรงงานและชุมชนรอบข้าง หน้ากากที่ใช้ก็ต้องเป็นหน้ากากป้องกัน VOCs สารอินทรีย์ระเหยได้เท่านั้น"
ในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ เรามองเห็นควันไฟสีดำและสีเทา รศ. นพ.สัมมน โฉมฉาย ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม ศูนย์พิษวิทยาศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บอกว่า การเผาไหม้มีทั้งสมบูรณ์และไม่สมบูรณ์
"ในควันไฟจะมีคาร์บอนมอนอกไซด์, คาร์บอนไดออกไซด์ ในอาคารสมัยใหม่บางมีวัสดุที่มีไนโตรเจนเป็นสารประกอบ เมื่อไฟไหม้ก็จะเกิดไซยาไนด์ขึ้นมา แต่โรงงานนี้มี สไตรีน (Styrene) มี PAHs โพลีไซคลิกอะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons) เกิดขึ้น
สไตริน ทำให้เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจและผิวหนัง ดวงตา คอ จมูก ปอด แล้วแต่ความเข้มข้น สถานที่ระยะใกล้ 5-7 กิโลเมตร คนในชุมชนจะรู้สึกระคายเคืองทางเดินหายใจ แสบตา ตาแดง แสบจมูก ไอ เจ็บคอ เสียงแหบ คนที่โดนเยอะๆ อาจหมดสติได้ มีพิษต่อระบบประสาท
ส่วน PAHs ทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจ แสบ ไอ จาม อุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ถ้าเป็นมากๆ ทำให้ปอดอักเสบรุนแรง การหายใจล้มเหลว ส่วน VOCs มีฤทธิ์คล้ายๆ กัน ระคายเคือง มีพิษต่อไตและตับ
ที่สำคัญคือ คนที่จะเข้าไปในที่เกิดเหตุ ต้องรู้ว่าจะเจอกับสารอะไร ต้องใช้เครื่องมือชนิดไหน ถ้าสารมีพิษสูง แล้วสถานที่นั้นมีออกซิเจนต่ำ ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองคือ PPE ที่มีถังออกซิเจนเข้าไปด้วย แต่ถ้าเป็นสารระเหย ก็ต้องใช้หน้ากากที่ป้องกันสารระเหยได้"
เมื่อควันไฟที่ไหม้พัดสารเคมีขึ้นบนท้องฟ้า ลมที่มีอยู่ในอากาศ ก็พัดพากระจายออกไปทุกทิศทุกทาง รศ. ดร.สราวุธ เทพานนท์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมสุขาภิบาล คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สังเกตทิศทางลมแล้วเห็นว่า อันตรายไม่ได้มีเพียงคนในชุมชนเท่านั้น ยังมีผลกระทบในวงกว้าง
"เท่าที่สังเกตการเคลื่อนตัวของมวลอากาศ ระยะแรกเคลื่อนจากทิศตะวันตกไปตะวันออก ระยะต่อมามีลมจากทางใต้พัดไปทางเหนือ ทิศที่น่าห่วงคือทิศตะวันออกและทิศเหนือ
ส่วนอันตรายที่เกิดขึ้นนั้นได้แก่ 1)ความเป็นพิษของสารเคมี 2)อันตรายจากความร้อน และระเบิด สารพิษไม่ได้แพร่กระจายเป็นวงกลม แต่มันกระจายไปตามทิศทางลม ถ้าระดับความเข้มข้นของสไตรินอยู่ที่ 100 ppm จะอันตรายมาก มีพิษเฉียบพลัน แต่ถ้าอยู่ในระดับ 0.06 ppm ต่อเนื่อง 1-2 วันก็อันตราย WHO องค์การอนามัยโลกบอกว่าสไตรินในอากาศ ควรมีระดับต่ำกว่าที่ได้กลิ่นคือ 0.016 ppm ซึ่งตอนนี้เกินมาตรฐาน"
#การป้องกันระยะยาว
ดร.กิติกร เสนอว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรต้องร่วมมือพูดคุยกันอย่างจริงจังให้มากขึ้น
"ประเด็นแรก เรื่องนี้เกิดขึ้นนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม แม้จะบอกว่าโรงงานอยู่มาก่อนชุมชน แต่มาตรฐานการตั้งโรงงานอุตสาหกรรม การตรวจตราโรงงาน หรือแผนที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่ ไม่ใช่แค่อพยพหนีไฟ เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อชุมชนมีรัศมีกว้างไกลมาก ต้องมีแผนเกี่ยวข้องกับชุมชน ชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วม และมีความรู้เพิ่มเติม ต้องรู้จักสไตริน และรู้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะทำยังไง
ประเด็นที่สอง เรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น VOCs ที่กระจายไป ถ้าเจอความชื้นหรือฝน มันจะตกลงมาหมดเลย มีผลต่อการเกษตร พืชผล ถ้าลงพื้นดินซึมสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ จะกู้สถานการณ์หรือจัดการยังไง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเยียวยาหรือแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านเมื่อกลับไปอยู่ในชุมชนแล้วมีความมั่นใจได้ว่า สิ่งเหล่านี้จะไม่หลงเหลืออยู่ในธรรมชาติสิ่งแวดล้อมหรือไม่"
ส่วน ดร.สราวุฒิ มองว่า เราต้องมองกว้างกว่านั้น ไม่ใช่มองอะไรมิติเดียว
"ตอนนี้เรามองแค่การหายใจ ทั้งที่ความจริงแล้ว มันตกลงมาในน้ำในดิน ภาครัฐ ควรมีการจัดการไม่ใช่เพียงแค่ระดับอากาศ อย่าง เชอโนบิล มองแต่อากาศ แต่จริงๆ แล้วมันลงไปอยู่ในดิน, ในน้ำ, ในนมวัว ในส่วนของกฎหมายโรงงานก็ต้องมีการคาดการณ์เหตุการณ์เลวร้ายขั้นสุดที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีการจัดการหรือป้องกันยังไง ยิ่งเป็นโรงงานเคมี ยิ่งต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น
ถึงเวลาที่ควรจะให้ความสำคัญ ให้ความรู้ การจัดการกับโรงงานและสถานการณ์แบบนี้ให้มากขึ้น หรือถ้ามีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นก็ควรมีการเซ็ทเป็นวอร์รูม (War Room) เป็นจุดสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องบอกความเสี่ยงให้ทุกคนได้รับรู้อย่างชัดเจน เพราะว่าทุกภาคส่วนต้องการทราบข้อมูล อย่างเหตุการณ์ที่มาบตาพุด BST ก็ไม่มีวอร์รูม ไม่มี Press Release ออกมา กว่าจะมีข่าวมันเตลิดไปอีกแบบหนึ่งแล้ว เราควรมีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการต่อไป"
ทางด้าน นพ.สัมมน มองว่า ชุมชนควรมีส่วนร่วมกับโรงงาน มีผู้นำชุมชนเป็นคนเชื่อมต่อสื่อสารไม่ให้คนตื่นตระหนก
"คนงานต้องรู้เรื่องความเสี่ยง มีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาล การปฏิบัติตัว มีการประเมินความเสี่ยงที่ Worst Case กรณีเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ ควรมีบรรจุอยู่ในผู้ประกอบการและชุมชนด้วย แม้กระทั่งเด็กและเยาวชนก็ต้องรู้"
#การดูแลตัวเอง
"ในกรณีนี้ ไฟไหม้สารเคมี การดับต้องใช้โฟมอย่างเดียว แล้วต้องดับให้ถูกจุด อีกทั้งต้องใช้น้ำเลี้ยงความร้อนไว้ด้วย" ดร.กิติกร กล่าวและบอกว่า
"หลายบริษัทที่มีโฟมดับไฟ เราก็น่าจะหยิบยืมกันได้ในช่วงฉุกเฉิน ส่วนการป้องกันตัวเอง ถ้าอยู่ใกล้แหล่งเกิดเหตุ อันดับแรกให้อยู่ใต้ลมไว้ ถ้าอยู่ในรัศมีใกล้ๆ ก็ต้องอพยพอย่างเดียว แล้วตอนนี้ยังไม่มีหน่วยงานไหนมอนิเตอร์ทิศทางลม เพื่อจะบอกได้ว่าสารพิษนี้แพร่กระจายไปถึงไหนแล้ว มีความเข้มข้นเท่าไร และไม่มีมาตรฐานในการรายงานทุกชั่วโมง อย่างฝุ่นควันพิษ PM2.5 ยังมีรายงานแบบเรียลไทม์เลย"
ส่วน นพ.สัมมน ได้แนะนำการดูแลตัวเองในระยะสั้นว่า ถ้าเป็นไปได้ ให้อยู่แต่ในอาคาร
"ถ้าอยู่ในอาคาร ให้ปิดกระจก เปิดเครื่องปรับอากาศ เปิดเครื่องกรองอากาศ ยิ่งเครื่องกรองที่มีไส้กรองเป็นชาโคล มีหลักฐานว่ามันช่วยลด VOCs ในอาคารได้บ้าง ส่วนการดูแลตัวเองหรือการปฐมพยาบาลเบื้องต้น คนที่มีอาการระคายเคืองจมูก อาจจะรับประทานยาแก้แพ้ หรือล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เอาพวกอนุภาคฝุ่นที่ทำให้เกิดการอักเสบออกมา
ถ้าระคายเคืองตา ก็ล้างตาในน้ำสะอาด อยากจะเตือนสำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ๆ มันจะดูดซับสารต่างๆ ที่ระคายเคือง ดีที่สุดคือถอดคอนแทคเลนส์ แล้วล้างตาด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 15 นาที ส่วนผิวหนัง หากได้รับการสัมผัสเยอะๆ ทำให้แสบระคายเคืองผิวหนัง เป็นผื่นได้ แนะนำให้ล้างหรืออาบน้ำด้วยสบู่
ถ้าจำเป็นจริงๆ อาจต้องใช้ครีมที่มีสเตียรอยด์ทา หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ศูนย์พิษวิทยา 24 ชั่วโมงทั้งของโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลรามาธิบดี ส่วนในระยะยาว ควรให้ความรู้เรื่องสารพิษแก่บุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น เพราะเราเป็นประเทศอุตสาหกรรมเหตุการณ์อย่างนี้อาจเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ"
ปอด คือ 在 Healthy Natural นานา สมุนไพร Youtube 的最佳解答
แชร์เก็บไว้เลย! ใครทำใครได้ สุดยอดวิธียืดอายุ 10 อวัยวะของเราให้แข็งแรง ไม่ป่วย
เห็นมีประโยชน์สำหรับทุกคน เลยนำมาให้ดูอีกเพื่อจะได้นำไปปฏิบัติตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ใครทำใครได้
สุดยอดวิธียืดอายุ 10 อวัยวะ
เราเคยชินกับความรู้ที่ว่า อวัยวะจะเสื่อมไปตามเวลา วิธีการยืดอายุอวัยวะมีร้อยแปดพันประการ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ดร.โรแนน แฟคโทรา แห่งสถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic ประเทศสหรัฐอเมริกา เด็ดยอดวิธียืดอายุอวัยวะต่างๆ ไว้ในนิตยสาร Times ดังนี้
1. สมอง
ความจริงคือ
หลังอายุ 70 ปี จะเริ่มพบความผิดปกติที่เกิดจากความเสื่อมของสมอง ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในคราวเดียว
สิ่งที่คุณต้องทำ คือ
(1) นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ (Neurobics Exercise) หรือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้าง ทำงานประสานกัน เช่น ทำสวน เย็บผ้า ทำกับข้าว ช่วยให้สมองทั้งซีกซ้ายและขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานไปพร้อมกัน
(2) กิน ปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง และธัญพืช แหล่งสุดยอดสารอาหารบำรุงเป็นประจำ
(3) ฝึกเจริญสติก่อนนอน ใช้วิธีกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก จนกว่าจะหลับ ช่วยลดความเครียดและทำให้สมองปลอดโปร่งในวันรุ่งขึ้น
2. ดวงตา
ความจริงคือ
หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี ดวงตา จอประสาทตา เลนส์ตาจะเสื่อมลง ในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่คุณต้องทำ คือ
(1) สวมแว่นกันแดด ก่อนทำกิจกรรมกลางแจ้งทุกครั้ง
(2) ผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ ควรพักสายทุกๆ 45 นาที อย่างน้อย 5-10 นาที
(3)งดใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตก่อนนอน
3. หู
ความจริงคือ
หลังอายุ 60 ปี การได้ยินจะค่อยๆ ลดลงทุกปี และทุกๆ 1 ใน 3 คน มีปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่อเข้าสู่วัยนี้
สิ่งที่คุณต้องทำ คือ
(1) หลีกเลี่ยงการทำงานหรืออาศัยอยู่ในที่ๆ มีเสียงดัง หากจำเป็นต้องใส่เครื่องป้องกัน
(2) งดสั่งน้ำมูกแรงๆ หรือ กลั้นจาม เพราะอาจทำให้เยื่อแก้วหูมีปัญหา
(3) งดแคะหูเอง เพราะขี้หูเป็นขี้ผึ้งรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ การแคะหูทำให้เกิดการอักเสบและเยื่อแก้วหูฉีกขาดได้
4. ปอด
ความจริงคือ
หลังอายุ 30 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี ประสิทธิภาพการทำงานของปอดจะลดลง ราวร้อยละ 1
:สิ่งที่คุณต้องทำ คือ
(1) ว่ายน้ำ หรือ วิ่ง อย่างน้อยวันละ 45 นาที – 1 ชั่วโมง
(2) ใช้สมุนไพรไทยปรับธาตุ จิบยาตรีผลา ก่อนอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว มีสรรพคุณช่วยปรับธาตุ บำรุงปอด แก้ไอ ลดเสมหะได้
(3) หลีกเลี่ยง ควันธูป ควันจากการประกอบอาหาร ฝุ่นขนาดเล็ก และสารเคมีที่มีไอระเหยต่างๆ...................
.........................................
สุดท้าย การกินอาหารที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง เช่น ผักหลากสี ผลไม้รสเปรี้ยว รสฝาดขม ช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์ตามปกติได้ อย่าลืมเสริมด้วย การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำสมาธิ และหาโอกาสออกไปพักผ่อน ท่ามกลางธรรมชาติ เพื่อลดความเครียด (ตัวการเร่งให้เกิดกระบวนการเสื่อมของเซลล์) เท่านี้ก็ช่วยยืดอายุให้อวัยวะต่างๆ ได้เช่นกันค่ะ
และก็อย่าลืมส่งต่อให้เพื่อนๆ หรือคนที่เพื่อนๆรักและ ห่วงใยด้วยคะ..
เพราะความสุขที่ยิ่งใหญ่ คือการเป็นผู้ให้ ขอให้มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ร่ำรวยความสุข ถ้วนหน้ากันทุกท่าน ตลอดไปเลยนะคะ..
อย่าลืม! ถ้าคุณชอบโปรดกด like. ถ้าคุณถูกใจโปรด subscribe! เพื่อเป็นกำลังใจ ให้แก่พวกเราด้วยคะ..ขอบคุณค่า..
Subscribe to Healthy Natural นานา สมุนไพร
Youtube : https://goo.gl/urmvNp
Twitter : https://goo.gl/HKZaG4
Facebook : https://goo.gl/urmvNp
Google Plus : https://goo.gl/E1ku0J
pinterest : https://goo.gl/TB7RkC
PLEASE SHARE THIS VIDEO
Share
subscribe (สับตะไคร้) : https://goo.gl/hpKUtI
แชร์บน facebook คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/8npgAH
แชร์บน google + คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/0InlLF
แชร์บน twitter คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/kAaEWX
แชร์บน pinterest คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/xeALx2
แชร์บน tumblr คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/xC7UDK
แชร์บน reddit คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/WsBbLg

ปอด คือ 在 วัณโรคปอด คืออะไร? เป็นแล้วหายได้หรือไม่? - Facebook 的推薦與評價
วัณโรค ปอด คือ อะไร? เป็นแล้วหายได้หรือไม่? มาฟังคำตอบจาก นพ.ศิริชัย แสงงามมงคล อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจ และภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ ... ... <看更多>
ปอด คือ 在 ตรวจพบ จุด ก้อน ฝ้า ในปอดเป็นอะไรได้บ้าง ต้องทำอะไรเพิ่ม 的推薦與評價
โควิดหายแล้วก็เกิด ปอด อักเสบได้! Cryptogenic Organizing Pneumonia คือ อะไร. Doctor Tany•10K views. ... <看更多>