ตั้งแต่โลกออนไลน์เติบโตขึ้นมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีของอินเทอร์เน็ต และเข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดียผ่านคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ได้ทำให้โลกของการฟังเพลงและซื้อเพลงมาฟังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
.
อุตสาหกรรมเพลงที่เปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัลฉันนั้น ในช่วงชีวิตของใครหลายคนอาจเคยผ่านยุคเฟื่องฟูของแผ่นเสียง ยุคเทปคาสเซต การทำเพลงยุค ‘นายห้าง’ มาจนกระทั่งเกิดธุรกิจค่ายเพลง 3 ยักษ์ใหญ่คลองตลาด ยุค 90 อย่างแกรมมี่ อาร์เอส และคีตา ที่ผลิตเพลงแบบครบวงจร มีทั้งฝ่ายธุรกิจ สร้างสรรค์งานเพลง ฝ่ายการตลาด และประชาสัมพันธ์ ขณะเดียวกันค่ายเพลงใหญ่เริ่มมี ‘สถานีวิทยุ’ ของตนเอง ที่เป็นสื่อหลักในการประชาสัมพันธ์ศิลปิน และเพลงต่างๆ ของค่าย พัฒนาจากเทปคลาสเซ็ต สู่ยุคแผ่นซีดีและเครื่องเล่น MP3 ที่หลายท่านคิดว่าเป็นที่สุดของการฟังเพลงแล้ว ทว่าการมาของ YouTube กลับได้เปลี่ยนแปลงวงการเพลงไทย และวงการเพลงทั่วโลก
.
การทำเพลงเมื่อก่อน ต้องส่ง Demo ให้ค่ายเพลง แล้วรอให้ค่ายพิจารณา แต่พอมี “YouTube” ขึ้นมา มันกลายเป็นเวทีเปิดกว้างที่สามารถทำให้ใครก็ได้ที่อยากแสดงความสามารถด้านต่างๆ มาอยู่บนแพลตฟอร์มนี้ โดยที่ผู้ชม คือคนทั่วโลก กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ศิลปิน หรือแม้คนธรรมดาอยากทำเพลง ทำขึ้นมา และอัพขึ้นอยู่บน YouTube ซึ่งข้ามขั้นตอนมีเดียต่างๆ ในรูปแบบคนกลางของค่ายเพลงออกไป ทำให้คนที่มีความสามารถด้านดนตรี ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประเทศ ก็ปลุกปั้นผลงานดนตรีขึ้นมาได้เอง
.
เพลง เลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว มะล่องก่องแก่ง ป๊ะโล๊งโป๊งฉึ่ง หรือวาฬเกยตื้น เพลงที่จากศิลปินโนเนม มิวสิควีดีโอทุนต่ำ กลับแจ้งเกิดได้อย่างง่ายดายในยุคนี้ จากการฟังและแชร์ให้กันในกลุ่มเล็กๆ ในโลกออนไลน์ แพร่กระจายเป็นกลุ่มใหญ่ ยอดฟังเพลงมากเสียยิ่งกว่านักร้องดังจากค่ายใหญ่ จนพูดได้ว่าเพลงระดับร้อยล้านวิวในยุคนี้ส่วนใหญ่เป็นของศิลปินค่ายเล็กหรือไร้สังกัดทั้งนั้น แถมเมื่อเพลงดังแล้วยังมีงานโชว์ในภูมิภาค ทำให้มีรายได้หลักมาจากงานโชว์ โดยที่ยังไม่ได้ผลิตแผ่นอะไรออกมาเลย
.
ดังนั้นกำลังภายในและพลังเงินมหาศาลในการโปรโมต การออกรายการทีวี การไปรายการวิทยุ แทบไม่จำเป็นเลยสำหรับการจะเป็นนักร้องดังในยุคนี้ แล้วยิ่งการมาของ Music Streaming แหล่งรายได้อีกทาง จากการที่ผู้ให้บริการ Music Streaming แบ่งเปอร์เซ็นต์รายได้ให้กับศิลปิน เมื่อเพลงของศิลปินถูกผู้ฟังหยิบมาฟัง โดยไม่ต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์รายได้ให้กับค่าย
.
สำหรับรายได้จากการฟังเพลงผ่านแพลตฟอร์มเพลงสตรีมมิ่งที่เป็นที่นิยมของคนไทยนั้นมีดังนี้
1. Apple Music ฟังเพลงจบ 1 รอบ ศิลปินได้เงิน 0.22 บาท
2. Spotify ฟังเพลงจบ 1 รอบ ศิลปินได้เงิน 0.13 บาท
3. YouTube ฟังเพลงจบ 1 รอบ ศิลปินได้เงิน 0.021 บาท
4. Joox ไม่มีข้อมูล
ถึงแม้ตัวเลขจะดูน้อยนิดแต่การฟังเพลงไม่เหมือนการดูหนังเพราะเมื่อชอบเพลงไหนคนเรามักเปิดฟังซ้ำๆ จึงทำให้เมื่อรวมยอดแล้วรายได้ก็ไม่ได้น้อยเลยสำหรับการทำเพลงที่ไม่ได้ใช้ต้นทุนสูง โดยเมื่อลองคูณยอดรายได้จากการฟังเพลงผ่าน YouTube ที่หากมียอดวิวอยู่ 200,000,000 วิว ก็จะมีรายได้เท่ากับ 4,200,00 บาท
.
ดังนั้นจึงพูดได้ว่าในยุคดิจิทัลนี้เป็นยุคทองของทุกคนที่มีความสามารถ ความตั้งใจ ในการอยากเป็นศิลปิน นักร้องเลยก็ว่าได้ เพราะทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอเพียงความพอใจ หรือการตัดสินใจเลือกที่จะทำงานกับเสียงของคุณจากคนเพียง 1 กลุ่ม แต่สามารถพิสูจน์คุณภาพตัวคุณเองได้จากผู้ฟังทุกคน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า มันก็ไม่ง่ายเสียทีเดียวที่ทุกคนจะดังได้เมื่อเวทีมันกว้างและไร้กำแพง ก็มีคนมากมายที่พยายามป่ายปีนขึ้นมาแสดงความสามารถและเมื่อไม่มีค่ายช่วยดัน แผนการตลาด การรักษาแฟนคลับ การได้หางานโชว์เพื่อกระพือความดัง และการรักษาชื่อเสียงไว้ ก็ต้องเกิดจากความสามารถของตัวศิลปินเองด้วย
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS #ธุรกิจ #เพลงดิจิทัล
ที่มา
https://marketeeronline.co/archives/140495
https://www.marketingoops.com/reports/industry-insight/timeline-10-turning-points-thailand-music-industry/
