Sightless พล็อตเรื่องเอย นางเอกเอย น่าสนใจมาก แต่ดูจบก็เออเอาเถอะ ดูได้แหละ ถ้าว่างก็ดูๆไปเถอะ
รับชมได้ทางNetflix
.
ขอบอกก่อนเลยว่าดู Sightless เนี่ย เพราะนางเอกเลย เชอรีล บลอสซัม จาก Riverdale ล้วนๆเลย ชอบนางมากกก ชอบความผมแดงหน้าเฟียส และพล็อตนี่น่าสนใจดูเป็นแนวดื่นเต้นสยองขวัญสั่นประสาทเป็นแนวที่ชอบ แต่พอดูได้ไม่ถึง 10 นาที กูเดาเรื่องได้หมดเลยอ่ะ หนังเดาง่ายมาก และที่สำคัญนอกจากนางเอกแล้ว นักแสดงทุกคนเหมือนไปจับใครมาแสดงก็ไม่รู้ หนังดูไม่ลงทุนอะไรเท่าไหร่เลย มีดีแค่พล็อตแหละ จริงๆหนังมันมีแววจะดีกว่านี้ได้นะถ้ามีคนเกลาบทและมีทีมโปรดักชั่นดีกว่านี้ รวมถึงไปหานักแสดงสมทบคนอื่นๆมาแสดงที่มันเก่งกว่านี้ ทำดีๆออกมาคือมันมีต้นทุนของหนังที่ดีได้ไม่ยากเลย น่าเสียดายมาก
.
นางเอกของเรื่องคือ เอลเลน นักไวโอลินชื่อดังประสบเหตุโดนทำร้ายจนสูญเสียการมองเห็น ต้องปรับตัวมาอยู่ในโลกมืด โดยพี่ชายก็ทำงานอยู่ญี่ปุ่นเลยจ้างผู้ชายคนนึงมาคอยดูแลเธออยู่ในอพาร์ทเมนต์แห่งนึง คอยหาอาหาร คอยคุย คอยดูแลนาง นางเองต้องปรับตัวจากคนที่มองเห็น มากลายเป็นคนที่มองอะไรไม่เห็น และนางเองก็เหลือแค่สัญชาติญาณล้วนๆในการใช้ชีวิต จนไปพบกับเรื่องราวแปลกๆจากห้องข้างๆซึ่งน่าจะนำพานางไปค้นพบตัวการคือคนที่มาทำร้ายนางจนตาบอดแหละ เล่าแค่นี้คนที่มีเซนส์ดีๆน่าจะเดาได้ไม่ยาก
.
หนังความยาวแค่ 90 นาทีเอง ดูได้แหละ ด้วยความโควิดไง เราเลยไม่ได้ไปไหนก็เปิดดูไปเรื่อยๆ เปิดดูไปต้มมาม่าเกาหลีแดกไป เดินไปหยิบน้ำ จัดห้องนอนไปด้วยก็ดูเพลินๆแหละ แต่ที่ไม่ชอบเลยคือความที่โปรดักชั่นไม่มีห่าไรเลยนี่แหละ ห้องนอนอีนางเอกก็ไม่สวย ไม่มีสไตล์ไม่มีโมทีฟอะไรให้น่าสนใจเลยหรือชวนคิดเลย เหมือนดูละครช่องแปดอ่ะ ตัวละครผู้ชายที่เข้ามาก็แสดงไม่เก่งหน้าตาก็ดูไม่มีเสน่ห์ไม่น่าสนใจอะไรเลย ทั้งเรื่องแสดงกันสามสี่คนอยู่ในห้องๆเดียวนี่แหละทั้งเรื่อง เอาดีๆไม่ได้ติดเรื่องฉากน้อยอะไรนะ แต่แบบมันขาดชั้นเชิงในการนำเสนออ่ะ ตัวนางเอกนี่ขอติเลยว่านางเป็นคนตาบอดที่ไม่เหมือนคนตาบอดเลย นางเหมือนคนอย่างกูนี่แหละ แกล้งตาบอด แกล้งเล่นปิดตาคลำหำไปเรื่อยๆ คือดูไม่สมจริงเท่าไหร่เลย
.
ปัญหาคือบทมันกลวงโบ๋มาก เดาง่ายมาก อีพระเอกโป๊ะแตกบ่อยมาก คือดูได้แป๊บนึงที่เดาไว้เดาถูกหมดเลย มันเลยไม่มีอะไรลุ้นเท่าไหร่เลย พล็อตมันดีนะ อยากให้เอาไปเกลาบทและก็ทำโปรดักชั่นดีๆ หานักแสดงที่ดูลงทุนจ่ายค่าตัวดีๆแอ๊คติ้งดีๆมาแสดงมันน่าจะดีกว่านี้ไหมอ่ะ
.
สรุปใครอยากเปืดดูก็ดูๆไปเถอะ เป็นสมาชิกแล้ว อยากดูอะไรดูกี่เรื่องก็ดูไป ดีกว่าสมัครเมมเบอร์มาแล้วไม่เปิดดูไรเลย ก็ลองดูแหละ ลางเนื้อชอบลางยา อาจจะมีคนชอบมากกกกกก็ได้ ต้องขออภัยสำหรับคนที่รีวิวไม่ตรงใจ ส่วนตัวเราว่ามันเสียเวลาชีวิตอ่ะ แต่ช่วงนี้โควิดกูหายใจทิ้งได้เลยไม่ซีเท่าไหร่
「ลางเนื้อชอบลางยา」的推薦目錄:
- 關於ลางเนื้อชอบลางยา 在 อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก Facebook 的最佳貼文
- 關於ลางเนื้อชอบลางยา 在 Roundfinger Facebook 的精選貼文
- 關於ลางเนื้อชอบลางยา 在 HR - The Next Gen Facebook 的精選貼文
- 關於ลางเนื้อชอบลางยา 在 สุภาษิตที่ว่า... - Nakarin Kingsak -ป้าง นครินทร์ 的評價
- 關於ลางเนื้อชอบลางยา 在 ของแสลง... ลางเนื้อชอบลางยาคืออะไร วิถีความเชื่อของปราชญ์โบราณ 的評價
ลางเนื้อชอบลางยา 在 Roundfinger Facebook 的精選貼文
ใครดูเรื่องนี้แล้ว ขอชวนอ่านชวนคุยกันครับ 🌼⚘🌱💐
Midsommar:
น้ำตาส่วนตัวกับครอบครัวของเรา
***เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ***
---
1
โดยส่วนตัวไม่คิดว่านี่คือหนังสยองขวัญ เขย่าขวัญ หรือกระตุกขวัญแต่อย่างใด หากคือหนังที่ตั้งคำถามกับวิถีชีวิตและค่านิยมสมัยใหม่ซึ่งมีภาพเละๆ ชวนให้หลับตาปี๋มาประกอบการเล่าเรื่อง
2
หนังทั้งเรื่องย้ำประเด็นความเป็นปัจเจกและความเป็นครอบครัว โดยเปรียบเทียบระหว่าง 'สังคมสมัยใหม่' ซึ่งอยู่แบบตัวใครตัวมันกับ 'สังคมแบบดั้งเดิม' ซึ่งอยู่แบบ 'ครอบครัวเดียวกัน' ทั้งชุมชน
3
ความเป็นประเทศในสแกนดิเนเวีย (สวีเดน) เมื่อถูกจับมาวางคู่กับสหรัฐอเมริกา (บ้านของหนุ่มสาวเหล่านี้) ยิ่งชวนคิดถึงสังคมรัฐสวัสดิการที่ให้ความสำคัญกับความเป็นพี่น้อง (ภราดรภาพ) เทียบกับสังคมที่เน้นความสำเร็จส่วนตัว (American Dream)
4
หนังเรื่องนี้ชวนให้คิดถึงตอนเดินทางไปทำรายการพื้นที่ชีวิตหลายทริป ในเดนมาร์กมีชุมชนทางเลือกแบบนี้เยอะมาก บางชุมชนจะกินข้างเย็นด้วยกันทุกวันทั้งชุมชน ผู้คนเป็นร้อย คิดถึงชาวอามิชที่แต่งตัวเหมือนกันทั้งชุมชน มีกิจกรรมร่วมกันทั้งชุมชน ไม่เน้นความปัจเจก ให้คุณค่ากับความเหมือนมากกว่าเอกลักษณ์ของแต่ละคน
5
หนังเปิดเรื่องให้เห็นอาการป่วยไข้ของสังคมสมัยใหม่โดยแสดงออกผ่านการสนทนาแบบไม่เห็นหน้ากัน (ออนไลน์) การแยกกันอยู่ของคนในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งจบลงด้วยการฆ่าตัวตายของน้องสาว โดยพ่วงพ่อแม่ตายตกตามกันไปด้วย เป็นความตายไปพร้อมกับความรู้สึกเศร้าซึม ตัวนางเอกเองก็รู้สึกโดดเดี่ยวและป่วยไข้เพราะไม่มีใคร 'ร่วมรู้สึก' กับเธอ
6
ฝั่งหนุ่มสาวอเมริกันในเรื่องมีชีวิตแบบตัวใครตัวมันอย่างยิ่ง กระทั่งแฟนกันก็ไม่เคยฟังกัน ไม่เคยเข้าถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง ขโมยหัวข้อทีสิสเพื่อนแบบไม่เกรงใจ ทะเลาะกันเพื่อแย่งข้อมูล อีกคนก็ไม่แคร์ว่าชุมชนจะนับถืออะไร ฉี่รดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ขอโทษ เป็นภาพของคนที่คิดแต่ 'ตัวกู' อย่างชัดเจน
7
ความโดดเดี่ยวและเห็นแก่ตัวเหล่านี้จึง contrast กับความเป็นชุมชนและการคิดถึงครอบครัวใหญ่ของชุมชนนางฟ้า (ขอเรียกแบบนี้) ที่สวีเดนอยู่ตลอดเรื่อง
8
ต้นเรื่อง เพื่อนบอกพระเอกทำนองว่า "ถ้าแฟนมึงป่วยขนาดนี้ มึงเลิกซะ แล้วไปมีคนใหม่ดีกว่า" แต่หนังค่อยๆ สะกิดให้คิดว่า ตกลงใครป่วยกันแน่ สังคมที่ไม่โอบรับความทุกข์ของคนใกล้ชิดต่างหากหรือเปล่าที่ป่วย
9
ภาพรถค่อยๆ ขับเข้าหา 'ชุมชนนางฟ้า' เป็นภาพกลับหัว คล้ายหนังบอกใบ้ให้เตรียมตัวเข้าสู่โลกที่ 'กลับด้าน' กับโลกสมัยใหม่ และการกลับด้านนี้เองที่ทำให้หนุ่มสาวเหล่านั้น (รวมถึงคนดู) รู้สึกมึนงง สับสน ช็อก และเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
10
ความรู้สึกแรกเมื่อไปถึง ภาพในชุมชนสวยเหมือนภาพฝัน แต่เรากลับรู้สึกกลัว และแปลกหน้าอย่างมาก เพราะไม่ชินกับโลกที่ทุกคนแต่งตัวเหมือนกัน ใช้เวลาร่วมกัน รู้จักกันหมด มันไม่ใช่โลกที่เราใช้ชีวิตอยู่
...
11
โรงนอนเป็นภาพชัดที่สุดของความรู้สึกประหลาดนี้ ทุกคนนอนในที่เดียวกัน ไม่มี 'ความเป็นส่วนตัว' ซึ่งอันที่จริง การแยกห้องนอนเดี่ยวเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 พร้อมกับแนวคิด 'ความเป็นส่วนตัว' ที่แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับ 'ความเป็นครอบครัว' ที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ
12
ทุกคนในชุมชนไม่รู้สึกโหยหาความเป็นส่วนตัว ทำทุกอย่าง 'ร่วมกัน' ทั้งกินทั้งนอนทั้งทำงาน ถ้าคนหัวโต๊ะยังไม่กิน ทุกคนก็จะไม่ได้กิน สังเกตว่าชาวอเมริกันในเรื่องจะแอบกินก่อนคนอื่นอยู่เรื่อยๆ (ไม่แคร์ชุมชน)
13
ชุมชนนางฟ้าเหมือนสังคมโบราณที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ ผู้นำการทำพิธีกรรมต่างๆ เป็นหญิง May Queen ซึ่งมีสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตายก็เป็นหญิง ซึ่งสังคมที่หญิงเป็นใหญ่มักเป็นสังคมที่ปักหลักอยู่กับที่ ทำกสิกรรม เคารพแผ่นดินเป็นแม่ บูชาพระแม่ธรณี ต่างจากสังคมนักรบบนหลังม้าที่เดินทางพิชิตดินแดนไปทั่ว ซึ่งชายเป็นใหญ่ บูชาเทพบนท้องฟ้า ในแง่นี้ May Queen ในฉากท้ายๆ ที่ถูกหุ้มห่อด้วยดอกไม้สะพรั่งจึงไม่ต่างจากแม่ธรณีที่อุดมสมบูรณ์ (แข็งแรงที่สุด เพราะเต้นอยู่เป็นคนสุดท้าย) เช่นกันกับภาพต้นหญ้าที่ขึ้นตามมือและเท้าอาจเป็นสัญญาณของความรู้สึกภายในที่เรียกร้องการกลับคือสู่วิถีธรรมชาติ
14
หญิงเป็นใหญ่ก็กลับหัวกับสังคมสมัยใหม่ เหมือนเรื่องปัจเจก เรื่องความเป็นส่วนตัว และไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ 'ผู้ชาย' ในเรื่องที่เต็มไปด้วยความโลภ ชิงดีชิงเด่น ไม่เคารพจะพบจุดจบอย่างน่าอนาถ
15
ในสังคมหญิงเป็นใหญ่ ฝ่ายชายคือแรงงาน ต้องเคารพบูชาครัวเรือนของฝ่ายหญิง ในพิธีแต่งงานจะมีการไหว้ผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิงเพื่อขออยู่อาศัยด้วย ฉากการร่วมเพศในวิหารที่มีญาติผู้หญิงยืนล้อมวงจึงให้ความรู้สึกว่าผู้ชาย 'ตัวเล็ก' ไร้อำนาจ ตกอยู่ในสายตาของเพศหญิง
16
ในสังคมเช่นนี้ เรือนร่างของผู้หญิงมิใช่วัตถุของความปรารถนา หากคือพื้นที่ก่อกำเนิดชีวิตอันสวยงาม ฉากร่วมเพศครั้งแรกในวิหารแห่งนั้นจึงศักดิ์สิทธิ์ และปูพื้นด้วยดอกไม้ เหมือนแม่ธรณีให้กำเนิดชีวิต
17
ในชุมชนใกล้ชิดเป็นครอบครัวใหญ่แบบนี้ การแต่งงานของคนสองคนจึงต้อง 'อยู่ในสายตา' ของผู้ใหญ่เสมอ มีการเลือกให้ อนุมัติ กระทั่งออกใบอนุญาตให้มีเซ็กซ์ครั้งแรกได้
18
น่าสนใจที่หนังอธิบายว่าชุมชนแห่งนี้ให้แต่งงานในเครือญาติ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องดึงคนนอกมาเพิ่มความหลากหลายในสายพันธุ์ด้วย 'คนนอก' ที่เข้ามาเป็นเพียงคนที่ถูกเลือก คล้ายๆ เชลยศึกที่มาช่วยเพิ่มความหลากหลายเท่านั้น และหนังก็รอบคอบพอที่จะให้เห็นผลลัพธ์ของการแต่งงานในวงแคบแบบพี่น้อง โดยมีผู้พิการซึ่งเป็นคนสำคัญในชุมชนให้เห็น (น่าสนใจตรงวิธีให้ความสำคัญนี้ด้วย คือไม่ทอดทิ้ง)
19
อ.ธเนศ วงศ์ยานนาวาเคยอธิบายว่า การแต่งงานในหมู่พี่น้องด้วยกันเองทำไปเพื่อให้ทรัพยากรหมุนเวียนในวงศ์วาน ทำนอง 'เรือล่มในหนองทองจะไปไหน' การนำเอาคนนอกเข้ามาย่อมเพิ่มความเสี่ยงให้กับคนใน จึงต้องได้รับการตรวจสอบอย่างดี
20
สังคมนับสายแม่ คือนับแม่เป็นใหญ่นั้น ความเป็นพ่อและผัวพร้อมที่จะเป็นส่วนเกินหรือไม่จำเป็นเสมอ คือมีเซ็กซ์เสร็จก็ไม่มีคุณค่าอีกต่อไป พอเด็กๆ เกิดมา พี่ชายและน้องชายแม่จะดูแลแทนผู้ชายที่ทำให้แม่ท้อง เหมือนที่ Pelle บอกกับนางเอกว่าพ่อแม่ถูกเผาไฟ แต่เขาถูกเลี้ยงดูมาด้วย 'ครอบครัว' ซึ่งใหญ่มากๆ ทุกคนช่วยกันดูแล จึงไม่รู้สึกสูญเสียเหมือนนางเอก
...
21
สิ่งเหล่านี้ตั้งคำถามกับความโดดเดี่ยว ความแยกขาดจากชุมชนของผู้คนสมัยใหม่ว่า เวลาเราเจ็บปวด พังทลาย ป่วยไข้ เราไม่มีใครโอบอุ้มความรู้สึก จึงป่วยไข้จากความเดียวดายนั้น
22
ฉากที่แสดงถึง 'ความรู้สึกร่วม' ได้สุดยอดมากๆ คือสอง-สามฉากในช่วงท้ายๆ ตอนร่วมเพศที่ทุกคนที่ยืนล้อมอยู่รู้สึกไปด้วยกัน ตอนที่นางเอกร้องไห้แล้วผู้หญิงทุกคนร่วมร้องไห้ไปด้วยราวกับก๊อปปี้แอคชั่นกัน และฉากสุดท้ายที่ทุกคนรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเผาไปพร้อมๆ กับคนในครอบครัว
23
ฉากเหล่านี้ทำให้รู้สึกขนลุกถึงความรู้สึก 'หนึ่งเดียวกัน' ที่สัมผัสได้ว่า เธอเจ็บ ฉันก็เจ็บ เธอรู้สึกเสียวซ่าน ฉันก็อยู่ข้างๆ เธอและรู้สึกไปกับเธอ โดยเฉพาะฉากเซ็กซ์ครั้งแรกนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก การมีเซ็กซ์ต่อหน้าสายตาของญาติผู้ใหญ่ที่โอบอุ้มความรู้สึกนั้น แม้รู้สึกประหลาดแต่ก็สวยงามไปอีกแบบ
24
แนวคิดเรื่อง 'วัฏจักร' หรือการมองชีวิตเป็นการหมุนวนก็น่าสนใจ ชอบตรรกะที่หนังใช้อธิบายพิธีกรรมต่างๆ เพื่อสร้างสมดุลในชุมชน โดยรวมแล้วเป็นวิธีการควบคุมประชากรให้อยู่ในจำนวนที่ไม่ล้นเกิน เมื่อเกิดหนึ่งก็ตายหนึ่ง คนที่เกิดมาใหม่จะใช้ชื่อของคนที่เพิ่งตายไป นี่คือแนวคิดของสังคมที่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ได้คิดว่าจะต้องอยู่ไปตลอดกาล หรือเพิ่มจำนวนเพื่อรุกรานธรรมชาติไปเรื่อยๆ
25
แต่สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นเรื่องน่าตกใจของคนสมัยใหม่ 'ความตาย' เป็นเรื่องสยองขวัญ ทั้งที่ในชุมชนมองความตายเป็นเรื่องวงจรชีวิตธรรมดา กระทั่งเห็นความตายตามอายุขัยเป็นความสง่างามและกล้าหาญ
26
ผู้กำกับและเขียนบทน่าจะมีความสนใจในศาสตร์มานุษยวิทยา จึงนำวิถีดั้งเดิมมาวางเทียบวิถีสมัยใหม่เพื่อเสียดสีให้เกิดคำถามใหม่ๆ ขึ้นในหัวคนดูเกี่ยวกับความเป็นชุมชนและความเป็นปัจเจก
27
รอยยิ้มของนางเอกในช่วงท้ายจึงคลี่คลายความรู้สึกโดดเดี่ยวด้วยเหตุผลหลายประการ หนึ่งคือเธอได้ปล่อยโฮออกมาให้กับความสูญเสียพร้อมกับ 'ครอบครัว' ทั้งชุมชน ไม่ต้องเก็บงำซ่อนเร้น แกล้งทำเป็น 'ฉันโอเค' อีกต่อไป, สองคือเธอมิได้รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป เพราะมีพี่น้องมากมายรายล้อม อย่างที่มีคนบอกเธอว่า "เราเป็นครอบครัวกันแล้ว", สามคือชุมชนนางฟ้าค่อยซึมซับแนวความคิดและความรู้สึกว่า การตายก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรหมุนวนของชีวิตเข้ามาในใจ กระทั่งในที่สุดเธอจึงกลายเป็นคนใหม่ด้วยวัฒนธรรมของ 'อีกโลกหนึ่ง'
28
หากเราดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกสยองหรือแปลกแยกจนขนลุก ยิ่งชัดเจนว่า วิถีชีวิตสมัยใหม่ทำให้เรารู้สึกกับค่านิยมเดิมๆ ว่า 'หลุดโลก' ซึ่งหนังเองก็ขับเน้นความรู้สึกเหล่านี้ด้วยงานภาพและเสียงได้อย่างน่าชื่นชม
29
สุดท้ายแล้วหนังโยนคำถามใส่เราว่า หากคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชุมชนนางฟ้าเป็นเรื่องสยองขวัญ แล้วชีวิตในโลกสมัยใหม่ที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว เห็นแก่ตัว แก่งแย่งชิงดีกัน ไร้ความใส่ใจและโอบอุ้มความรู้สึกของกันและกัน มุ่งแต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดหรือเคลื่อนไปข้างหน้าเหล่านี้ ไม่น่า 'สยองขวัญ' กว่าหรือ
30
สุดท้ายแล้ว น้ำตาของเรามันควรเป็นแค่ของเราคนเดียวจริงๆ หรือ หรือแท้จริงแล้วเราควรร้องไห้ไปด้วยกัน เจ็บปวดไปด้วยกัน โดยนับเอาความทุกข์ของคนในสังคมเป็นความทุกข์ของเราด้วย มิฉะนั้น สังคมจะเต็มไปด้วยความป่วยไข้ส่วนตัว ซึ่งพร้อมจะระเบิดออกมาตลอดเวลา จะว่าไปนี่คือความคิดของสังคมรัฐสวัสดิการ ซึ่งแตกต่างจากสังคมตลาดเสรีสุดขั้วที่เน้นการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตาย กระทั่งความเจ็บปวดของคนอื่นเป็นชัยชนะของเรา หรือเราไม่มีเวลาให้กับความเจ็บปวดของคนอื่น เพราะมันเสียเวลาที่จะไขว่คว้าความสำเร็จของตัวเอง
น้ำตาตอนต้นเรื่องและท้ายเรื่องของนางเอกจึงร้องออกมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน
'น้ำตาโดดเดี่ยว' กับ 'น้ำตาท่ามกลางครอบครัว'
ซึ่งคำว่า 'ครอบครัว' มิได้จำกัดความแค่พ่อแม่พี่น้อง หากหมายถึง 'สังคม' ที่พร้อมจะรองรับความทุกข์โศกของคนใน 'ครอบครัว' เดียวกัน
---
นี่คือหนังดีแห่งปี มีโอกาสก็ไม่น่าพลาดครับ
แต่แน่นอนครับ ลางเนื้อชอบลางยา
บางคนอาจชอบมาก บางคนอาจอี๋มากก็ได้ 😁
***บางส่วนในข้อเขียนชิ้นนี้ได้ความคิดและข้อมูลมาจากการอ่านบทความ 'การสืบทอด' โดย อ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา และหนังสือ 'เพศในเขาวงกต' โดย ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
ลางเนื้อชอบลางยา 在 HR - The Next Gen Facebook 的精選貼文
10 อันดับบริษัทที่คนไทยอยากทำงานด้วยมากที่สุด
#PTT มาเป็นอันดับ 1 ตามมาติด ๆ ด้วย #SCG น่าดีใจที่ 2 อันดับแรกเป็นบริษัทคนไทย ^^
อันดับ 3 คือ Toyota อันดับ 4 Google อันดับ 5 Honda อันดับ 6 AIS อันดับ 7 Unilever อันดับ 8 Chevron อันดับ 9 Dtac และอันดับ 10 Nestle
อันนี้เป็นผลสำรวจของ JobDB นะครับ โดยสอบถามทั้งนักศึกษาจบใหม่ แล้วก็พนักงานทั้งระดับเล็ก ๆ ระดับกลาง แล้วก็ระดับสูง ทั้งหมด 446 คน
ซึง 1 ในนั้น #ไม่ใช่ผม เค้าไปถามใครมามั่งหว่า ไม่เห็นมาถามผมเลย 555
เวลาทำแบบสำรวจเนี่ย เค้าจะมีกระบวนการทางสถิติที่จะบอกว่าจำนวนอย่างน้อยเท่าไหร่ที่สามารถใช้เป็นตัวแทนของคนทั้งหมดได้ ผมคิดว่า JobDB ก็ใช้มาตรฐานนั้นในการสำรวจครั้งนี้นะครับ เพราะฉนั้น ไม่ดรามาเรืองจำนวนคนตอบคำถามกันนะครับ
#ไหนบริษัทใครติดอันดับยกมือขึ้นสูงๆ
นี่ถ้าผมจัดกลุ่ม คนที่อยู่ 10 บริษัทข้างบนเนี่ย ผมว่าผมจัดได้ 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 ไงล่ะ บอสัดเค้า ติดหนึ่งใน 10 เลยนะ ดีใจจัง
กลุ่มที่ 2 อืม เหรอ แล้วไง
กลุ่มที่ 3 ได้มาได้ไงวะ มันยังมีบอสัดไหนห่วยได้มากกว่าบริษัทนี่อีกเหรอวะ
กลุ่ม 1 นี่คงไม่ต้องมีอะไรพูดถึง กลุ่ม 2 ก็พอไหว แต่กลุ่ม 3 นี่แหละที่ผมว่าน่าสนใจ #คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า #ใกล้เกลือกินด่าง #ลางเนื้อชอบลางยา มีสุภาษิตไหนอีกมั้ย ช่วยผมคิดหน่อย
ไม่ว่าบริษัทจะดีแค่ไหน #ก็ไม่มีทางที่จะทำให่พนักงานทุกคนพอใจได้ในระดับเดียวกันได้ทุกคน ยิ่งบริษัทใหญ่ๆ จำนวนคนเยอะ ๆ ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ และต้องย้ำกันอีกครั้งด้วยนะครับว่า บริษัทไม่ใช่มูลนิธิ ความสัมพันธ์ของเราคือ ผลประโยชน์ต่างตอบแทน สมมติฐานคือ ถ้าพนักงานทำในสิ่งที่บริษัทต้องการ บริษัทก็น่าจะตอบแทนให้กับพนักงานเป็นอย่างดี แต่ถ้าพนักงานทำอย่างที่บริษัทต้องการไม่ได้ ก็ไม่แปลกที่บริษัทก็อาจจะดูแลไม่ดีเท่าคนที่ทำได้ดีกว่า
ถ้าบริษัทนี้มันแย่ ๆ จริง ๆ ทำไมมีคนเยอะแยะเลยอยากที่จะเข้ามาทำงานด้วย ใบสมัครนี่วิ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อน พวกเด็กใหม่ ๆ เอ๊ย พวกเอ็งไม่รู้กันสิ #ที่นี่มันไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรอกเว้ย
อ่าว แล้วถ้ามันไม่ดี #พี่ยังอยู่กันทำไมล่ะ หรือไปไหนไม่ได้ ถ้าพี่ไม่อยากอยู่แล้ว ก็ปล่อยตำแหน่งให้ผมมั้ยล่ะ ผมอยากทำงานที่นี่
อุ่ย โดนเด็กสวนแล้วไง อย่านิ่งนอนใจนะครับ ถึงเราจะอยู่มาก่อน อยู่มานาน แต่ถ้าเราไม่ให้อะไรกับบริษัทอย่างที่บริษัทต้องการ ตำแหน่งเราอาจจะหลุดไปหาเด็กใหม่ก็ได้
ส่วนฝั่งบริษัท 10 บริษัท ผมว่าเรื่อง Employer Branding ประสบความสำเร็จแหละนะครับ ที่แน่ ๆ คือสำเร็จกับคนภายนอก คนภายในในแต่ละบริษัทเป็นยังไงบ้างคงไม่มีใครเอามาแชร์หรอก แต่อย่าลืมว่า Social Network มีอยู่ในมือของทุกคน ถ้าดูแลคนในบริษัทไม่ดี โอกาสข่าวไม่ดีที่มันจะไหลออกมาให้คนนอกรู้ มันก็ไม่ใช่เรืองยาก
Employer Branding ที่แข็งแรงและทนทาน #ต้องสร้างจากภายใน ที่พูดและทำด้วยคนในบริษัทที่แหละ เจ๋งที่สุดละ เพราะฉนั้นอย่าสนใจแต่จะทำ Branding กับคนนอก จนลืมความสุขความทุกข์ของคนในบริษัทนะครับ
#HRTheNextGen
ลางเนื้อชอบลางยา 在 ของแสลง... ลางเนื้อชอบลางยาคืออะไร วิถีความเชื่อของปราชญ์โบราณ 的推薦與評價
... ส่วน ลางเนื้อชอบลางยา ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้ความหมายถึง บางสิ่งบางอย่างใช้ได้ กับบางคนแต่ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนเสมอไป คำว่า “ลาง” ... ... <看更多>
ลางเนื้อชอบลางยา 在 สุภาษิตที่ว่า... - Nakarin Kingsak -ป้าง นครินทร์ 的推薦與評價
สุภาษิตที่ว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" นี่พอเข้าใจความหมายของมันอยู่หรอกครับว่าคนเราต่างจิตต่างใจชอบอะไรไม่เหมือนกัน ... แต่ผมสงสัยมานานแล้วว่า ... ... <看更多>