งานวิจัย “วัคซีนไขว้” ล่าสุดของศิริราช ครับ …
1. “แอสตร้าเซเนก้า” ตามด้วย “ไฟเซอร์” ได้ระดับภูมิคุ้มกันสูงสุด 2,259.9 หน่วยต่อมิลลิลิตร
2. “ซิโนแวค” ตามด้วย “ไฟเซอร์” ได้ระดับภูมิคุ้มกันดีรองลงมาที่ 2,181.8 หน่วยต่อมิลลิลิตร
3. “ซิโนแวค” ตามด้วย “แอสตร้าเซเนก้า” ได้ระดับภูมิคุ้มกัน 1,049.7 หน่วยต่อมิลลิลิตร
#ร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยโควิด
ศูนย์วิจัยคลีนิค คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล
💉+💉 อัพเดตผลการศึกษาการฉีดวัคซีนไขว้ เทียบการฉีดด้วยวัคซีนชนิดเดียวกัน
.
📊 จากผลการศึกษาวิจัยโดยศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล สรุปได้ว่า
.
1⃣ การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าแล้วตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ได้ระดับภูมิคุ้มกันสูงสุด 2,259.9 หน่วยต่อมิลลิลิตร
.
2⃣ การฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้วตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ได้ระดับภูมิคุ้มกันดีรองลงมาที่ 2,181.8 หน่วยต่อมิลลิลิตร
.
3⃣ การฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้วตามด้วยวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า ได้ระดับภูมิคุ้มกัน 1,049.7 หน่วยต่อมิลลิลิตร
.
💉 การใช้วัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มแรก แล้วตามด้วยแอสตร้าหรือไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี
.
💉 การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าเป็นเข็มแรกควรตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2
.
👩🔬 การวัดเป็นผล anti-RBD IgG วัดโดยเครื่อง Abbott และรายงานเป็นหน่วยมาตรฐาน BAU/mL ส่วนผลการวัดแบบ PRNT50 จะมีการรายงานต่อไปค่ะ
.
👨⚕ นอกจากนี้ผลการศึกษายังไม่มีปัญหาเรื่องอาการข้างเคียงหลังฉีดเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สองในระยะเวลาห่างกันประมาณ 4 สัปดาห์
.
ควรมีการศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลการป้องกันการติดเชื้อในผู้ที่ได้รับวัคซีนเพื่อยืนยันภูมิคุ้มกันจากการศึกษานี้
#SICRES #COVID19 #vaccine
同時也有3部Youtube影片,追蹤數超過2萬的網紅Plengmunparpai,也在其Youtube影片中提到,คลิปสุดท้ายแล้วค่ะ กิน100อย่างแบบงงๆ ในคลิปนี้ชอบเป็นพิเศษคือ ข้าวยำปูดอง อร่อยมากจริง หอมน้ำมันงาสุด Cafe onion ถ่ายรูปสวยมาก ร้านสวยมาก รอคิวนานมาก...
「สรุปได้ว่า」的推薦目錄:
- 關於สรุปได้ว่า 在 Facebook 的最佳貼文
- 關於สรุปได้ว่า 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於สรุปได้ว่า 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於สรุปได้ว่า 在 Plengmunparpai Youtube 的最讚貼文
- 關於สรุปได้ว่า 在 Ploy Ptk Youtube 的最佳解答
- 關於สรุปได้ว่า 在 Nonny.com Youtube 的最佳解答
- 關於สรุปได้ว่า 在 จากการวิจัยสรุปได้ว่า “การเรียนภาษาให้ได้ผลดีที่สุดคือเรียนกับ ... 的評價
- 關於สรุปได้ว่า 在 ด่วนสรุป สันนิษฐาน ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร - YouTube 的評價
สรุปได้ว่า 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
สรุปประเด็นจากกองทุนบัวหลวง “กางกลยุทธ์ พิชิตหุ้นสหรัฐฯ”
BBLAM x ลงทุนแมน
ช่วงเวลาที่ผ่านมา คงไม่มีตลาดหุ้นไหนสามารถทำผลงานได้โดดเด่น อย่างตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ที่ทำให้นักลงทุนสัมผัสได้ถึงความร้อนแรง จนเกิดคำถามว่า หลังจากนี้ โอกาสของหุ้นสหรัฐอเมริกาจะเป็นอย่างไร ?
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ลงทุนแมน ร่วมพูดคุยกับ 2 ผู้เชี่ยวชาญจากกองทุนบัวหลวง
คือ คุณพูนสิน เพ่งสมบูรณ์ AVP, Portfolio Solutions
และ คุณนวรัตน์ เจียมกิจรุ่ง SVP, Product Development
ถึงประเด็นสำคัญในการลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานี้
เรื่องราวสำคัญที่นักลงทุนควรรู้ จะมีอะไรบ้างนั้น ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟังเป็นข้อ ๆ แบบเข้าใจง่าย
1. ภาพรวมของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ?
ความร้อนแรงของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ
- นโยบายการเงินการคลัง ที่สามารถส่งต่อไปยังภาคธุรกิจ และภาคการบริโภคได้จริง
- การกลับมาของภาคธุรกิจ ทั้งจากกลุ่มธุรกิจที่เติบโต และกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวจากปีก่อน
ประเด็นที่ต้องจับตาต่อจากนี้คือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกากำลังเข้าสู่ช่วง Mid Cycle ซึ่งแปลว่า เราอาจจะไม่ได้เห็นการปรับตัวขึ้นแรง ๆ ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเหมือนในช่วงที่ผ่านมา
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนจากนี้ไป จึงต้องมีการคัดเลือกหุ้นรายตัว รายกลุ่มอุตสาหกรรมให้มากขึ้น
2. ความน่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ตรงไหน ?
ย้อนกลับไปช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาพบปัญหาระหว่างทางมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็น สงครามการค้ากับจีน หรือผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 ประกอบกับการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่เริ่มตั้งแต่ปี 2009 ก็ดูเหมือนจะจบรอบไปแล้วในปีที่ผ่านมา
ถ้าดูตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ปี 2020 ออกมา -30% แต่ที่น่าสนใจก็คือ สหรัฐอเมริกาฟื้นตัวกลับมาได้ค่อนข้างเร็ว โดยเห็นได้จาก GDP ไตรมาส 3 ปี 2020 ปรับตัวขึ้นกลายเป็น +33%
และถ้าหากสังเกตดัชนี S&P 500 ก็ยิ่งฟื้นตัวแรงไม่แพ้กัน
โดยใช้เวลาฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด 19 แค่ 1 เดือนเท่านั้น และก็ยังทำ New High ต่อเนื่อง อย่างในปี 2021 นี้ก็ +20% จากต้นปีอีกด้วย
ซึ่งต่างไปจากวิกฤติซับไพรม์ปี 2007 ที่ต้องใช้ระยะเวลาฟื้นตัวกว่า 18 เดือน แต่เมื่อฟื้นตัวกลับมาได้ ก็ไปต่อได้ดีเช่นกัน
ดังนั้น จุดที่น่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เมื่อสังเกตจาก 2 วิกฤติที่ผ่านมาก็คือ เมื่อสหรัฐอเมริกาประสบภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจแล้ว มักจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว และก็ดีกว่าเดิมเสมอ
3. แล้วจุดขับเคลื่อนสำคัญ ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวได้เร็ว คืออะไร ?
ปัจจัยที่ 1 คือ อำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ผ่าน 2 เครื่องมือสำคัญ นั่นคือ
- นโยบายทางการเงิน ที่จะช่วยให้ตลาดการเงินของสหรัฐอเมริกายังคงดำเนินต่อไปได้ โดยการซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ในตลาด เพื่อพยุงราคาไม่ให้ถูกเทขาย
เช่น พันธบัตรรัฐบาล, Mortgage-Backed Securities (ตราสารทางการเงินที่มัดรวมสินเชื่อบ้านเข้าด้วยกัน โดยมีสถาบันการเงินเป็นคนกลางจับคู่ระหว่างผู้กู้ยืมและนักลงทุน), หุ้นกู้ในกลุ่ม Fallen Angels ที่ถูกปรับลดระดับเครดิตต่ำกว่า BBB (Non-Investment Grade)
- นโยบายการคลัง ที่จะช่วยเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
เช่น การอัดฉีดเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปให้ชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน
เนื่องจากโครงสร้าง GDP สหรัฐอเมริกามาจากภาคการบริโภค 70%
ดังนั้น หากชาวอเมริกันกลับมาบริโภคได้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็จะกลับคืนมาด้วย
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้ง 2 นโยบายที่ว่านี้ คงจะมีแต่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น ที่สามารถทำได้
หากเป็นประเทศอื่น ๆ เราคงเห็นปัญหาตามมาอีกมากมาย เช่น ประเทศไทยที่มีสัดส่วนการบริโภคแค่ 1 ใน 4 ถ้าหากเราอัดฉีดเม็ดเงินเช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาค่าเงินบาทอ่อนหรือปัญหาเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นแรง เป็นผลมาจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่มากเกินไป
โดยเหตุผลที่สหรัฐอเมริกาสามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกครองสัดส่วน 1 ใน 4 ของมูลค่า GDP โลก และเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังเป็นเงินสกุลหลักของการค้าระหว่างประเทศ
ปัจจัยที่ 2 คือ โครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและหลากหลาย ส่งผลให้ภาพรวมฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
หากสังเกตดัชนี S&P 500 จะพบว่า Market Cap. ของกลุ่มเทคโนโลยี 27% สูงเป็นอันดับที่ 1 ถัดมาจะเป็นกลุ่ม Health Care 13% และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 12% ล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต
ที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราขึ้นเรื่อย ๆ เสมือนเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิตคนเรา และหลากหลายกลุ่มเทคโนโลยีอนาคตอย่าง Innovation, FinTech, Digital Advertising ยังมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการแข่งขันในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนี้ วิกฤติโควิด 19 ยังเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของสินค้าเทคโนโลยี และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เช่น การช็อปปิงออนไลน์, การดูวิดีโอสตรีมมิงแทนการเข้าโรงภาพยนตร์
ขณะที่ภาคธุรกิจเอง ก็หันมาให้ความสนใจ Digital Advertising มากกว่าป้ายบิลบอร์ดเดิม ๆ ส่งผลให้ลดต้นทุน, ลดขั้นตอน Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ จึงทำให้เชื่อว่า หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกาจะยังเติบโตตามผลประกอบการต่อไปได้
4. หลังจากการฟื้นตัว ก้าวต่อไปคือการเข้าสู่ Mid Cycle ?
เมื่ออัตราการว่างงานลดลง ซึ่งคาดว่า 8-10 เดือนข้างหน้า ก็จะสามารถกลับเข้าสู่ระดับปกติก่อนเกิดวิกฤติโควิด 19 ได้ ขณะเดียวกัน Fed ก็เริ่มส่งสัญญาณถอนคันเร่งมาตรการกระตุ้น ด้านสวัสดิการว่างงานก็เริ่มลดลง สะท้อนได้ว่า สหรัฐอเมริกากำลังเข้าสู่ช่วง Mid Cycle
ดังนั้น เราน่าจะไม่ได้เห็นสภาพคล่องท่วมตลาดเหมือนอย่างเคยอีกต่อไป
กลยุทธ์การลงทุนในช่วง Mid Cycle จึงต้องเลือกลงทุนหุ้น Growth เช่น หุ้นเทคโนโลยี
หรือลงทุนหุ้นที่จะได้รับผลประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ ในโครงการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังผลักดันอยู่ในขณะนี้ เช่น
- American Rescue Plan วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นสวัสดิการชดเชยการว่างงาน
- Infrastructure Bill วงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ
- American Families Plan วงเงิน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมนุษย์
- American Jobs Plan วงเงิน 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน, Health Care, อุตสาหกรรม EV, พลังงานสะอาด
- U.S. Innovation and Competition Act วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อแข่งขันกับจีน
หากโครงการเหล่านี้ได้รับการอนุมัติทั้งหมด จะกลายเป็นเม็ดเงินพัฒนาเศรษฐกิจที่เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่จะช่วยพัฒนาประเทศระยะยาว 5-10 ปี เลยทีเดียว
5. ตอนนี้ Master Fund ระดับโลก มองการลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาอย่างไร ?
หลังจากที่กองทุนบัวหลวงได้พูดคุยกับผู้จัดการกองทุน J.P. Morgan หนึ่งใน Master Fund ระดับโลก
พบว่า หากเป็นการลงทุนระยะกลาง J.P. Morgan กำลังพุ่งเป้าไปที่กลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจหลังจากผ่านวิกฤติโควิด 19 เช่น
- กลุ่มธุรกิจ Reopening ที่เชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัว และได้รับประโยชน์จากความต้องการซื้อที่อัดอั้นมาจากวิกฤติโควิด 19 เช่น การจองโรงแรม, การเช่ารถ, ร้านอาหาร
- กลุ่ม Health Care ทั้งในแง่ของการรับมือกับโควิด 19, การพัฒนาวัคซีน, การวิจัยเชื้อกลายพันธุ์ และพฤติกรรมพร้อมจ่ายของคนเราเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จึงมองว่ากลุ่มยา และกลุ่ม Biotech ยังเติบโตได้ดี
- กลุ่มพลังงานสะอาด จากการผลักดันนโยบาย EU Green Deal ขณะที่ต้นทุนของพลังงานลม และพลังงานโซลาร์เซลล์ ที่ถูกลงมากเมื่อเทียบกับพลังงานดั้งเดิม รวมทั้งกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์กักเก็บพลังงานก็น่าสนใจ
ขณะเดียวกัน หากเป็นการลงทุนระยะยาว J.P. Morgan กำลังจับตากลุ่มธุรกิจที่สอดรับกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า
ซึ่งนอกจาก 3 กลุ่มข้างต้นแล้ว ก็ยังมีกลุ่มเครื่องจักรอัตโนมัติ หรือกลุ่ม Smart ต่าง ๆ เช่น Smart Home, Smart TV ที่กำลังเติบโตตามโลกอนาคต อีกด้วย
6. กลยุทธ์การลงทุนหุ้น Growth ในช่วงเวลานี้ ?
กลยุทธ์การวิเคราะห์ลงทุนหุ้น Growth ของ J.P. Morgan จะออกเป็น 2 รูปแบบ นั่นคือ
- รูปแบบ Bottom Up คือการวิเคราะห์หุ้นรายตัวเป็นหลัก
- รูปแบบ Micro Focus คือการวิเคราะห์ลงรายละเอียดเล็ก ๆ เพราะเชื่อว่าจุดเล็ก ๆ จะนำไปสู่ความแตกต่างจากบริษัทอื่นอย่างมีนัยสำคัญได้ เช่น Facebook ที่กำลังได้รับประโยชน์จากโฆษณาออนไลน์อย่างต่อเนื่อง
เป้าหมายคือ การค้นหาหุ้นสหรัฐอเมริกาที่กำลังเติบโตมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ภายใต้ 3 ลักษณะสำคัญคือ
- ธุรกิจที่มีผลต่อการบริโภค หรือการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
- ธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว มีกำไรที่แข็งแกร่ง
- ธุรกิจที่มีการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น (Momentum) ทิศทางเชิงบวก ดังนั้นต้องรู้จักทำใจให้นิ่งเพื่อรอจังหวะ Momentum ที่ดีได้
อีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญก็คือ การปรับพอร์ตลงทุนอยู่เสมอ โดยจะลดน้ำหนักหุ้นที่มีราคาปรับตัวขึ้นมานานหลายปี และตลาดรับรู้ข่าวทั้งหมดแล้ว
เช่น กลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Microsoft, Apple ถูกลดสัดส่วนตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อนำเงินไปลงทุนหุ้นที่จะเป็น “Big Winner” ตัวต่อไป แต่ก็ไม่ได้ขายหมดทั้งพอร์ต เพราะยังมองว่าเป็นธุรกิจที่ดีระยะยาว
นอกจากนี้ ด้วยความเป็นกองทุนแบบ Active ของ J.P. Morgan ยังมองเห็น 2 กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจคือ
- กลุ่มการเงิน โดยจะลงทุนทั้งสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และกลุ่ม Online Payment
- กลุ่มเทคโนโลยี 5G และ EV โดยที่มองลงลึกไปถึง “ทองแดง” ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของกลุ่มเทคโนโลยี จึงเข้าไปลงทุนบริษัท Freeport-McMoRan หนึ่งในธุรกิจเหมืองแร่ทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก
7. ตัวอย่างธุรกิจที่เข้าข่ายหุ้น Growth ที่น่าสนใจ ?
ธุรกิจในกลุ่ม Digital Advertising เช่น Snap Inc. เจ้าของแอปพลิเคชัน Snapchat ที่มียอดผู้ใช้งานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีการขยายฐานผู้ใช้งานไปยังประเทศอินเดีย ทำให้มีโอกาสเติบโตในเรื่องของเม็ดเงินโฆษณาได้อีกมาก ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมา รายได้ของ Snapchat ก็เติบโตเฉลี่ยปีละ 46%
ธุรกิจในกลุ่มต่อมาก็คือ Online Payment เช่น PayPal ที่ได้ประโยชน์จากการใช้ชีวิตในยุค New Normal และตอบโจทย์ในการชำระเงินยุคใหม่
ซึ่งจากผลการดำเนินงานในไตรมาสล่าสุด PayPal มีจำนวนบัญชี Active User เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่จำนวนธุรกรรมเติบโต 40% จากปีก่อนหน้า
ธุรกิจในกลุ่มสุดท้ายก็คือ ธุรกิจนอกกลุ่มเทคโนโลยี เช่น John Deere ผู้ผลิตและจำหน่ายรถแทรกเตอร์ อุปกรณ์การเกษตรที่นำเทคโนโลยีมาใช้กับการเกษตร ตอบโจทย์การเกษตรสมัยใหม่และเทรนด์ความยั่งยืน
หากสหรัฐอเมริกามีการเก็บภาษีจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็จะเป็นประโยชน์โดยตรงกับ John Deere
ซึ่งหุ้น 3 ตัวนี้ ก็เป็นหุ้นที่ J.P. Morgan ลงทุนเป็น Top Holding อีกด้วย
8. ตอนนี้หุ้น Growth แพงไปหรือยัง ?
ในมุมมองของกองทุนบัวหลวง คิดว่าหุ้น Growth ยังไม่แพงเกินไป ถึงแม้ว่าจะผ่านช่วงสูงสุดไปแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้อยู่
โดยหากมาดูในส่วนของค่ากลางของ P/E Ratio S&P 500 พบว่า อยู่ที่ 20 เท่า สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีโอกาสที่เรายังสามารถหาหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในราคาที่สมเหตุสมผลได้อยู่
และที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ P/E ทยอยปรับลดลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากกำไรของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว
โดยในปี 2021 มีการคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทใน S&P 500 จะโต 60% ในขณะที่ในปี 2022 S&P มีการคาดการณ์ว่ากำไรจะโตต่ออีก 15% จากปี 2021
จากตรงนี้ก็จะเห็นได้ว่า ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ผลการดำเนินงานยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อยู่
9. ผลตอบแทนการลงทุน ด้วยกลยุทธ์แบบ J.P. Morgan เป็นอย่างไร ?
จากกลยุทธ์ Active Management ที่เน้น Micro Focus ทำให้กองทุน JPM US Growth ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกา มีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างดีมาอย่างต่อเนื่อง
หากเรามาดูผลการดำเนินงานของกองทุน JPM US Growth จะพบว่า ถ้าดูย้อนหลังไป 3 ปี เฉลี่ยต่อปีแล้ว ผลตอบแทนจะเท่ากับ 27% สูงกว่าเมื่อเทียบกับ Benchmark ที่เป็น Russell 1000 ที่เน้นเฉพาะหุ้นเติบโต ซึ่งถ้าย้อนหลัง 5 ปี ผลการดำเนินงานก็ดีกว่าเช่นกัน
เมื่อมาดูการจัดอันดับของ Morningstar พบว่ากองทุน JPM US Growth อยู่ใน First Quartile คือเป็นหนึ่งในกองทุนที่ทำผลการดำเนินงานได้ดีอยู่ในเกณฑ์ดีที่สุดในกลุ่มอีกด้วย
หากมาดูด้าน Valuation ของกองทุน JPM US Growth จะเห็นว่า กองทุนนี้มี P/E Ratio ที่ต่ำกว่า Benchmark แต่มีอัตราการเติบโตของกำไร (%EPS Growth) สูงกว่า Benchmark และ S&P 500
10. เราจะลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาในรูปแบบกองทุน ได้อย่างไร ?
กองทุน B-USALPHA เป็นกองทุน Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุนหลัก คือ JP Morgan US Growth Fund ไม่ต่ำกว่า 80%
ซึ่ง JP Morgan US Growth Fund เป็นกองทุนแนว Active Management เน้นลงทุนในหุ้นที่เติบโตสูงกว่าที่ตลาดมองไว้
และในส่วนที่เหลือผู้จัดการกองทุนของบัวหลวง ก็อาจลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาที่น่าสนใจเป็นรายตัว
ซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีระยะยาวได้ เหมือนที่ทำกับ B-FUTURE และ B-CHINE-EQ
กองทุนนี้ ยังมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล เพราะปัจจุบันอยู่ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ผู้ลงทุนส่วนใหญ่จึงหันมาหาสินทรัพย์เสี่ยง หรือหุ้น กันมากขึ้น การจ่ายเงินปันผลจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีเงินระหว่างทาง ไม่ต้องคอยดูจังหวะการขายทำกำไร และสามารถลงทุนได้นานขึ้น
11. สุดท้ายแล้ว แนวทางของกองทุน B-USALPHA จะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนภาพรวมของคุณได้อย่างไร ?
ในมุมมองการจัดพอร์ตลงทุน การกระจายสินทรัพย์เสี่ยงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ในมุมมองของกองทุนบัวหลวงคือ การจัดพอร์ตให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง ทั้งในส่วนสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและเสี่ยงสูง
ในส่วนสินทรัพย์เสี่ยงสูงที่เป็นหุ้นทั่วโลก ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การเอามาเป็นแกนหลักของพอร์ต (Core Port) กับเอาเป็นตัวเร่งในแต่ละธีม (Thematic) โดยส่วนที่เป็นแกนหลัก ควรที่จะให้มีการกระจายหลายประเทศ และหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
แล้วควรลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาเท่าไร ? หากอ้างอิงจาก MSCI Index มีสัดส่วนบริษัทในสหรัฐอเมริกา กว่า 58% อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับความชอบ ความเสี่ยงที่รับได้ และความเข้าใจของแต่ละคนด้วย
เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ที่พัฒนาแล้ว มีผลการดำเนินงานดีที่สุดใน 10 ปีที่ผ่านมา คือปีละ 14% และมีความผันผวนต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
สรุปได้ว่า การลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นของต้องมีในพอร์ต และกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active ในหุ้นเติบโต ย่อมมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย นั่นเอง..
สรุปได้ว่า 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
รู้จักประกันออมทรัพย์ ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 ที่มี IRR สูง 3.10% ต่อปี
คิง ไว ประกันชีวิต x ลงทุนแมน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องเงินทองในช่วงเวลานี้
คงทำให้ใครหลายคนต้องกลับมาคิดแล้วคิดอีก
เพราะนอกจากการใช้จ่ายที่ต้องระวังตัวมากขึ้นแล้ว
การเก็บรักษาเงินออมที่มีอยู่ ให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด ก็สำคัญไม่แพ้กัน
ปัจจุบันนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 24 เดือน เฉลี่ย 0.45-1.30% ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 1.20% ต่อปี
แต่กลับมีหนึ่งช่องทางออมเงินที่ให้ผลตอบแทน IRR สูงถึง 3.10% ต่อปี
ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 1 ในตอนนี้ในกลุ่มประกันออมทรัพย์ จากการจัดอันดับบน iTAX
และยังได้รับความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต อีกด้วย
นั่นคือ ประกันออมทรัพย์ ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 ของ คิง ไว ประกันชีวิต หรือ Manulife เดิม
แล้วความน่าสนใจของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าพูดถึงหนึ่งช่องทางออมเงินของคนยุคนี้
หลายคนคงรู้จักการออมเงินในรูปแบบประกันออมทรัพย์
ที่จะกำหนดระยะเวลาและจำนวนเงินออมสะสมในรูปของเบี้ยประกันจ่าย
จากนั้นจะได้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน
อย่างเช่น ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 ของ คิง ไว ประกันชีวิต
เป็นประกันออมทรัพย์ ออมสั้น 5 ปี แต่จะได้รับความคุ้มครองยาว 10 ปี
โดยมีผลประโยชน์รวมตลอดสัญญาสูงถึง 555% ของทุนประกัน
ที่น่าสนใจคือ หากคำนวณอัตราผลตอบแทน IRR จะสูงถึง 3.10% ต่อปี
เรียกได้ว่า สูงเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มประกันออมทรัพย์ของ iTAX เลยทีเดียว
แล้วผลประโยชน์ของประกันออมทรัพย์ ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 มีอะไรบ้าง ?
1. ผลประโยชน์ด้านการออม
หากเราออมเงินในรูปแบบประกันออมทรัพย์
เงินที่เราออม ก็คือค่าเบี้ยประกันที่เราทยอยจ่ายออกไป
ซึ่งผลประโยชน์ของ ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 จะเกิดขึ้นตั้งแต่ปีแรกที่เราจ่ายเบี้ยประกัน
นั่นก็คือ การลดเบี้ยทันที 13% ตลอด 5 ปี โดยไม่ลดทุนประกัน
พูดง่าย ๆ ว่าหากเราทำประกันออมทรัพย์ ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 ที่มีทุนประกัน 100 บาท
เราจะจ่ายเบี้ยประกันเพียง 87 บาท แต่จะได้รับความคุ้มครองเต็ม ๆ 100 บาท
นอกจากนี้ ยังได้รับผลประโยชน์แบบการันตีเงินคืน นั่นคือ
- สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 7-9 มีเงินคืน 5% ของทุนประกัน
- สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 10 มีเงินคืนก้อนใหญ่ 540% ของทุนประกัน
หมายความว่า เราสามารถทยอยรับเงินคืนได้ โดยไม่ต้องรอรับเงินคืนครั้งเดียว ตอนครบกำหนดสัญญา
2. ผลประโยชน์ด้านความคุ้มครองชีวิต
ปีที่ 1 จะได้รับความคุ้มครองชีวิต 111% ของทุนประกัน
ปีที่ 2 จะได้รับความคุ้มครองชีวิต 222% ของทุนประกัน
ปีที่ 3 จะได้รับความคุ้มครองชีวิต 333% ของทุนประกัน
ปีที่ 4 จะได้รับความคุ้มครองชีวิต 444% ของทุนประกัน
ปีที่ 5-10 จะได้รับความคุ้มครองชีวิต 555% ของทุนประกัน
พูดง่าย ๆ ว่า หากเราทำประกันออมทรัพย์ ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 ที่มีทุนประกัน 100 บาท
เราจะได้รับความคุ้มครองสูงสุดถึง 555 บาท เลยทีเดียว
3. ผลประโยชน์การลดหย่อนภาษี
รับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาทต่อปี ทุกปีที่ชำระเบี้ยประกัน
ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างการคำนวณเบี้ยประกัน และผลประโยชน์กันบ้าง
สมมติว่า เราเลือกออมเงินในแผนประกันออมทรัพย์เริ่มต้น
ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 ทุนประกัน 35,000 บาท
จะได้รับสิทธิ์ลดเบี้ยทันที 13% ตลอด 5 ปี โดยไม่ลดทุนประกัน
เท่ากับว่า เราต้องจ่ายเบี้ยประกัน 30,450 บาทต่อปี
ตลอด 5 ปี เราต้องจ่ายเบี้ยประกันทั้งหมด 30,450 x 5 = 152,250 บาทต่อกรมธรรม์
จากนั้น จะได้รับผลประโยชน์ในรูปของเงินคืน นั่นคือ
- สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 7-9 มีเงินคืน 5% ของทุนประกัน
เท่ากับว่า เราจะได้รับเงินคืน 35,000 x 5% = 1,750 บาทต่อปี
ตลอด 3 ปี เราได้รับเงินคืนทั้งหมด 1,750 x 3 = 5,250 บาทต่อกรมธรรม์
- สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 10 มีเงินคืนก้อนใหญ่ 540% ของทุนประกัน
เท่ากับว่า เราจะได้รับเงินคืน 35,000 x 540% = 189,000 บาทต่อกรมธรรม์
สรุปได้ว่า หากเราคำนวณเงินคืนในปีที่ 7-10
เราจะได้รับเงินคืนทั้งหมด 5,250 + 189,000 = 194,250 บาทต่อกรมธรรม์
จะเห็นได้ว่า แผนประกันออมทรัพย์เริ่มต้น ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 ทุนประกัน 35,000 บาท
เราจ่ายเบี้ยประกันตลอด 5 ปี เป็นเงิน 152,250 บาทต่อกรมธรรม์
และรับผลประโยชน์ในรูปของเงินคืนปีที่ 7-10 เป็นเงิน 194,250 บาทต่อกรมธรรม์
พูดง่าย ๆ ว่าเราจะได้กำไร 194,250 - 152,250 = 42,000 บาท
หรือคิดเป็น 27.6% ของเงินออมในรูปของเบี้ยประกันทั้งหมด (42,000 / 152,250) ในระยะเวลา 10 ปี
หรือคิดเป็น IRR สูงถึง 3.10% ต่อปี
หรือหากใครอยากได้ผลตอบแทนเงินล้านแบบการันตี ก็สามารถออมด้วยทุนประกันที่สูงขึ้น เช่น เลือกทุนประกันสูงสุด 1,000,000 บาท ชำระเบี้ยปีละ 870,000 ตลอด 5 ปี รวมเป็นเงิน 870,000 X 5 = 4,350,000
ผลประโยชน์รวมทั้งสิ้น 5,550,000 เท่ากับได้ส่วนต่างเป็นกำไรรวม 5,550,000 - 4,350,000 = 1,200,000 บาทเลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่า ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 ของ คิง ไว ประกันชีวิต
เป็นอีกหนึ่งช่องทางออมเงินในรูปแบบประกันออมทรัพย์ที่น่าสนใจไม่น้อยในยุคนี้
เพราะการออมเงินตลอด 5 ปี ไม่เพียงจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินคืนในปีที่ 7-10
แต่ยังจะได้รับความคุ้มครองชีวิตยาว 10 ปี และสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท อีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจทำประกันออมทรัพย์ ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5 ของ คิง ไว ประกันชีวิต
จะไม่ต้องตรวจสุขภาพ ไม่ต้องคุยกับตัวแทน และสามารถซื้อได้ง่าย ๆ ผ่านออนไลน์ 100% หรือโทร 0-2033-9000 ได้เลย
สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.kwilife.com/endowment
Reference
- เอกสารประชาสัมพันธ์ ออมคุ้มคุ้ม MAX 10/5
สรุปได้ว่า 在 Plengmunparpai Youtube 的最讚貼文
คลิปสุดท้ายแล้วค่ะ กิน100อย่างแบบงงๆ
ในคลิปนี้ชอบเป็นพิเศษคือ ข้าวยำปูดอง อร่อยมากจริง หอมน้ำมันงาสุด
Cafe onion ถ่ายรูปสวยมาก ร้านสวยมาก รอคิวนานมากเช่นกัน หลังจากต่อคิวรอ 2 ชั่วโมงกว่า สรุปได้ว่า นานที่ตอนจ่ายเงินแค่นั้นเลยค่ะ
ขนมปังที่ cafe onion อร่อยเป็นบางอย่าง ส่วนกาแฟเค้าชงแบบเป๊ะมากก ชั่ง ตวง วัด ทุกแก้ว ตักกาแฟที ชั่งที มาตรฐานสูงเลยทีเดียว
จบ 4 ep. แล้ว งงๆไปบ้างแต่ก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ :)
*** ตอนนี้เนื่องจากเพลงเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลแล้ว Instagramของเพลงก็เลยเปลี่ยนเป็น @plengpatapohn นะคะ แต่ช่องทางอื่นๆยังเหมือนเดิมค่า ***
สรุปได้ว่า 在 Ploy Ptk Youtube 的最佳解答
จริงๆแล้วคลิปนี้ทำมานานมากกกกกก แล้วลืมลง แต่เอาให้ทุกคนมาดูกันว่าเมื่อริมฝีปากของเราเปลี่ยนสีแล้ว ลุคของเราก็เปลี่ยนน้า สรุปได้ว่า เราควรมีลิปหลายๆสี 555555ใช่ไม่ใช่?
สรุปได้ว่า 在 Nonny.com Youtube 的最佳解答
การทดลอง สรุปได้ว่า สไลม์กินเงินเราได้คะ
IG : nonny slime
สรุปได้ว่า 在 ด่วนสรุป สันนิษฐาน ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร - YouTube 的推薦與評價
สรุป Eng Breaking 2022 ฟังก่อน แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ ทางลัดเรียนภาษาอังกฤษ ช่วย ได้ จริงไหม | PetchZ. PetchZ•29K views. ... <看更多>
สรุปได้ว่า 在 จากการวิจัยสรุปได้ว่า “การเรียนภาษาให้ได้ผลดีที่สุดคือเรียนกับ ... 的推薦與評價
อาจารย์ที่ New Cambridge ทุกท่านมีวุฒิบัตรการสอนจากกระทรวงศึกษาธิการ + ประสบการณ์สอนกว่า 10 ปี❗️ ช่วยให้ทำคะแนน IELTS ได้ ตามเป้า ใน ... ... <看更多>