ความเห็นน่าสนใจจาก จขพ ท่านเป็นพระที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาพุทธศาสนาโดยตรง อ่านแล้วน่าสนใจดี คือจริงๆ ถ้าเป็นรูปแบบการศึกษาแบบหลักสูตรที่จ่าเคยเรียนสมัยเด็กๆ มันน่าเบื่อจริงนะ ให้ท่องจำว่า วันนั้นวันนี้คือวันอะไร หลักธรรมนี้มีกี่ข้อ แต่ละข้อหมายถึงอะไร บลาๆ เพ่ือเอาไปสอบ แค่นั้น แต่ในแง่การเอาไปใช้ หรือประยุกต์ใช้กับชีวิตยังไง เราเรียนกันน้อยมาก ส่วนมากเน้นท่องจำมากกว่า เข้าใจไม่เข้าใจก็อีกเรื่อง ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าเด็กรุ่นใหม่จะมองว่า ที่ๆเราเรียนกันมา มันไม่เวิรค ถ้าคนที่ทำงานในด้านการศึกษาศาสนามีไอเดียแบบหลวงพี่ท่านนี้ก็คงดี
#ฟังเสียงหัวใจของเขาอย่างลึกซึ้ง
.
เหตุการณ์เร็วไวจริงครับ สองอาทิตย์ที่แล้วผมได้พูดเรื่องนี้กับลูกศิษย์ที่เป็นพระสอนศีลธรรมแกนนำอีสานรูปหนึ่ง ขณะนั่งรถไปเป็นวิทยากรพัฒนาครูที่เป็นกลุ่มตัวอย่างให้กับงานวิจัย ป.เอก นักศึกษาท่านหนึ่งที่ต่างจังหวัด ผมบอกว่า..
.
“..ท่านคอยดูนะ เดี๋ยวเด็กเยาวชนจะออกมาประท้วงวิชาพระพุทธศาสนาแน่นอน ยก 3 นิ้ว ท่านคอยดู”
“..ต่อไปพวกท่านจะเข้าไปสอนศีลธรรมในโรงเรียนยากขึ้น หรืออาจจะไม่ได้เข้าไปสอนที่โรงเรียนอีกเลย”
“.. พระจะพากันออกมาบ่นหรือประท้วงว่า ทำไมไม่ให้พระเข้าไปสอนศีลธรรมในโรงเรียน”
“..ท่านรู้ไหมตอนที่พระเรามีโอกาสเข้าไปสอน ไปทำหน้าที่ พระเราหลายรูป (เยอะมาก) ไม่สนใจ ไม่ใยดี ไม่รักการสอน ไม่ไปสอน ไม่ห่วงเด็ก จะเอาแต่เงินแต่ไม่สอน ไม่ทำใบรายงานส่ง หน้าที่บกพร่อง การสอนก็มีปัญหา”
“..ท่านรู้หรือยัง หลักสูตรฐานสมรรถนะตัวใหม่ที่ สพฐ. จะประกาศใช้ปี 65 ทั้งประเทศไม่มีวิชาพระพุทธศาสนา สัญญาณเตือนมาแล้วนะท่าน”
“..ปี 61 ผมพูดเตือนสติ บนเวทีปฏิรูปการสอนพระพุทธศาสนาให้คนร่วมงานเกือบ 500 คนจากทั่วประเทศที่โรงแรมปรินซ์ พาเลซฟังว่า “ไม่มีพระเข้าไปสอนศีลธรรมในโรงเรียน ไม่น่ากลัวและเลวร้าย เท่ากับมีพระเข้าไปสอนในโรงเรียนแล้วสอนแบบผิดๆ จนเด็กเบื่อ ไม่มีความสุข เครียด เบื่อพระ เบื่อธรรมะ หนีห่างพระพุทธศาสนา และเอาไปแก้ปัญหาชีวิตก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ฝึกสอนแก้ แต่เน้นสอนจำตัวหนังสือ”
“...ไม่มีใครทำร้ายโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนได้ดี เท่ากับพวกท่านเอง (พระสอนศีลธรรม)”
“..เด็กถูกวางยาพิษสอนแบบผิดๆ มาเนินนานหลายปีแล้ว ด้วยการสอนแบบผิดๆ พากันไปสอนแต่ให้เด็กท่องจำตัวหนังสือไปสอบ เหมือนนกแก้วนกขุนทอง ไม่ได้สอนแก่นธรรม สอนคุณค่า ไม่สอนเครื่องมือปัญญาการใช้ชีวิตให้เขา ผ่านการสัมผัสสัมพันธ์จริง..”
“.. แต่ปัญหาการนำธรรมสู่ใจเด็กเยาวชนด้วยการสอนไม่สมสมัยนี้ของพระ/ครูเอง ไม่ได้พึ่งเกิดท่าน เกิดขึ้นหลายทศวรรษ”
“...แต่ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรให้ถูกต้องบ้างเลย
ปัญหานี้ยิ่งจะซ้ำเติมทำร้ายเด็กเยาวชน ส่งผลด้านลบกลับมาที่พระพุทธศาสนา และสถาบันพระพุทธศาสนา”
.
ดังเช่น เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้
.
นี่คือเรื่องราวที่บอกกล่าวลูกศิษย์วันนั้น
เพราะผมรู้เห็นปัญหามานานโข
เราจึงพาท่านและเครือข่ายแกนนำมาร่วม
สร้างชุมชนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาขับเคลื่อน
ช่วยเหลือท่านอื่นไปด้วยกัน
.
อะไรทำให้เด็กเขาเรียกร้องอย่างนั้น
เหตุและปัจจัยที่แท้จริง ที่เกี่ยวข้องคืออะไรบ้าง
ความรู้สึกของเยาวชนที่เรียกร้องเป็นอย่างไร
ทำไมเขาจึงรู้สึกอย่างนั้น
ผู้ใหญ่ คณะสงฆ์ ครู พระสอน จะเข้าใจความรู้สึก
ของเด็กๆ เยาวชนเหล่านั้น ได้อย่างไร
.
การตั้งคำถามเช่นนี้ทำให้เราไม่ด่วนสรุปตัดสิน
ว่าเด็กเยาวชนเหล่านั้นเป็นคนไม่ดี หัวรุนแรง
แต่การถามทำให้เรามีสติ ใคร่ครวญ
ทบทวน ไตร่ตรอง (reflect) ความจริงที่เกิดขึ้น
.
พระพุทธศาสนา เป้าหมายสอนเด็กให้เกิดอะไร
.
สอนชีวิตตามความจริงที่เป็นอยู่
สอนให้มีความเห็นถูกต้อง (สัมมาทิฐิ)
หรือปรับชุดทิฏฐิ (Mindset) ร่องความคิด
ความเชื่อแบบผิดๆ ให้มีความถูกต้อง
สอนให้คิดเป็น รู้จักคิด แก้ปัญหาเป็น คิดแยกแยะ
วิเคราะห์ให้เห็นความจริงตามสภาวะของสิ่งนั้น
สืบสาวหาเหตุและผล ...เป็นต้น..
บ่มเพาะคุณธรรม ความดี ความงาม ความจริง
และความสุขในการเรียนรู้ (ฉันทะ) ใฝ่รู้ ใฝ่ดี
อยากแสวงหา ลงมือทำความดี
เป็นต้น...
.
หากเป้าหมายการสอนพระพุทธศาสนา ดังกล่าว
ครู พระสอนศีลธรรม สอนผ่านกระบวนการเรียนรู้
แบบใฝ่รู้ (active learning) ที่มีความหลากหลาย
และเหมาะสมกับความสนใจผู้เรียน เช่น PBL,MBL,PjBL,CBL,RBL,Contemplative Education, Transformative learning,.ABL(Ariyasacca,อริยสัจ) Wise reflections (โยนิโสมนสิการ)
Design Thinking, G-A-M-M (เกม,ศิลปะ,เพลง,
สื่อหนัง คลิปสั้น) เป็นต้น..
ผู้สอนปรับเปลี่ยนบทบาทจากนักพูด นักบรรยาย
นักป้อนหลัก/ข้อธรรม เนื้อหาให้เด็กเสพจำเท่านั้น
ไปสู่การเป็นนักออกแบบกระบวนการเรียนรู้
เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้(fa) ให้เด็กได้เรียนรู้
ผ่านการลงมือทำ มากกว่าเรียนท่องจำตัวหนังสือ
ผู้สอนเป็นนักตั้งคำถาม (ปุจฉา) อย่างมีพลัง (PQ)
เป็นโค้ชคอยกระตุ้นให้เด็กคิดเป็น
ให้เด็กอยากตอบ (วิสัชนา) สู่นักสร้างสรรค์ธรรม
ค้นหา ค้นพบความจริงของชีวิต (ธรรมมะ/แก่นธรรม)
ด้วยตนเองผ่านกลุ่ม/เดี่ยว เป็นต้น
มีการไตร่ตรองสะท้อนการเรียนรู้ (Reflection)
หลังการจัดกิจกรรม (aar) เพื่อให้เข้าใจตน
เข้าใจคน เข้าใจโลก ชีวิตมากขึ้น
.
การสอนพระพุทธศาสนาด้วยวิธีดังกล่าว
หากผู้เรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้เช่นนี้
เขาจะมีความสุขในการเรียนรู้พระพุทธศาสนาไหม
คำตอบชัดอยู่แล้วจากการทดลองวิจัยว่า
ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้
คิดเป็น ใฝ่รู้ ใฝ่ดี ใฝ่สร้างสรรค์
และสามารถตอบเป้าหมายการสอนพุทธศาสนา
สำหรับเด็กและเยาวชนได้ทุกข้อเช่นเดียวกัน
.
คงไม่มีเด็กเยาวชนคนไหนออกมาเรียกร้อง
เพื่อให้สังคมมาทำร้ายความสุขของตนเองหรอก
คงไม่มีใครอยากทำร้ายความสุขตนเอง
เพราะเขามีความทุกข์ (น่าเบื่อ เซ็ง เครียด ฯลฯ)
จากการเรียนพระพุทธศาสนา ใช่ไหม
เขาเรียนแล้วไม่เกิดประโยชน์ ใช่ไหม
เขาเรียนแล้วไม่มีความหมาย
และคุณค่ากับตัวเขาเอง ใช่ไหม
.
ตั้งสติ ทบทวนไตร่ตรอง ย้อนถามตนเอง
ในบทบาทพระสอน ครูผู้สอนเสียก่อน
1) เราชัดใน “แก่นธรรม” ของเรื่องนั้นๆ ไหม
(ถ้าไม่รู้จักแก่น วิเคราะห์แก่นธรรมไม่เป็น
ท่านก็จะพาเด็กท่องจำเนื้อหาคืออะไร
เรื่องเป็นยังไง มีเท่าไร อะไรบ้าง วนเวียนแบบนี้)
2) ทำไมต้องสอนเรื่องนั้น เขาจะได้ประโยชน์อะไร
คุณค่า/แก่นธรรมที่เขาควรได้ คืออะไร
(ถ้าเขาได้แก่นธรรม ได้คุณค่า ที่เหลือ
เขาจะไปศึกษาค้นหาแสวงหาด้วยตนเอง
เรียนแล้วได้ passion คนเราไปต่อเอง ถ้าไม่คือจบ)
3) ใช้กระบวนการอะไรที่จะพาเด็กเข้าถึงแก่นธรรม
(ต้องไม่ใช้บรรยาย เทศน์ บอกท่องให้จำ)
4) จะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเข้าถึงแก่นธรรมหรือคุณค่า
จากเรื่องที่เรียนนั้นๆ
(ประเมินผลที่สมรรถนะ เขาสามารถทำอะไรได้ จากสิ่งที่เขารู้ เขาทำ และคุณค่า รวมถึงการได้สะท้อนความรู้สึกนึกคิดออกมา จากพฤติกรรมเชิงบวกที่แสดงออกมา เป็นความรู้ขาออก ซึ่งเครื่องมือการสอนที่หลากหลายได้กล่าวไว้ข้างต้น จะประเมินผลชัดเช่นเจน)
.
หากการสอนหลักธรรม พระพุทธศาสนา
เด็กไม่เกิดสมรรถนะทางการเรียนรู้พระพุทธศาสนา
ขาดความสามารถในการ “นำธรรมไปทำ”
นั่นคือ ความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวง
.
ผลเสียหายใหญ่หลวงที่ตามมา คือ
เด็กเขาจะเบื่อ วิชานี้ เบื่อพระ เบื่อพระพุทธศาสนา
แค่เห็นหน้าพระ ผู้สอน วิชานี้ (ส่วนใหญ่เป็น)
เขาตั้งชุดความคิด (mindset) อกุศล ลบๆ รอแล้ว
นั่นคืออะไรรู้ไหมครับ “การสอนผิดวิธี”
และไม่เหมาะสมกับเด็ก และความสนใจใฝ่รู้ (ฉันทะ)
คือบ่อนทำลายศรัทธาของเด็กเยาวชนที่มีต่อ
พระพุทธศาสนา เลยทีเดียว.. จบเลย !
.
นี่คือการทำร้ายความรู้สึกของเด็กเยาวชน
ไม่ให้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา
โดยไม่มีเจตนา (อวิชชา) แบบเนียนที่สุด
และน่ากลัวที่สุด
เพราะเด็กยาวชนเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย
จบเลย !! ลงท้ายก็กล่าวโทษเด็ก
.
ปัจจุบรนเยาวชนส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าวัดอยู่แล้วครับ
การสอนแบบผิดวิธี ยิ่งไปกดทับความรู้สึกเด็กเพิ่มเติม
แทนที่การศึกษาพระพุทธศาสนา
จะต้องจัดกระบวนการทำลายอวิชชา-ตัณหา
เพื่อเสริมสร้าง ปัญญา-กรุณา
กลับไปตอกหมุดเสริมอวิชชา-ตัณหา ให้หนักไปอีก
.
วิชาพระพุทธศาสนาไม่ใช่วิชาที่จะจับเด็กมานั่งฟัง
“เน้นท่องจำๆ ตัวหนังสือเพียงอย่างเดียว”
(ส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะพระสอน)
“การจำหลักธรรม” เป็นขั้นต้นของปัญญาขั่นต่ำสุด
การเรียนรู้เด็กต้องจำอยู่แล้ว
การสอนให้จำ มีหลายวิธี เช่น
ให้เด็กท่องจำเลย ให้เรียนรู้ด้วยการลงมือทำ
และอีกหลายวิธีการ
แต่ความรู้สึกในวิธีการจำนั่นต่างหาก สำคัญ
.
ปัจจุบันปัญหาคือ การสอน “หยุดแค่จำ” ครับ
การคิดขั้นสูง (โยนิโสมนสิการ) ให้เด็กคิดเป็น
ไม่ได้ฝึกคิดค้นหาความความจริง สืบสาวเหตุ
แยกแยะ สร้างสรรค์ความดี (ลงมือทำ)
ซึ่งขัดแย้งกับการสอนพระพุทธศาสนา
ที่มีเป้าหมายสอนให้คนเกิดปัญญา
คิดให้ถูกวิธี (อุปายมนสิการ)
คิดให้เป็นระบบ (ปถมนสิการ)
คิดให้มีเหตุผล (การณมนสิการ)
คิดดีให้เป็นกุศล (อุปปาทกมนสิการ)
โดยใช้โยนิโสมนสิการ คือเครื่องมือ
ในการพัฒนาการคิดที่หลากหลาย หรือ
เครื่องมือที่หลากหลายเหมาะสมกับเด็ก เป็นต้น
.
พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์เหมือนกัน
ตรงที่ ต้องทดลอง ต้องปฏิบัติ เรียนฟิสิกส์
เคมี ชีววิทยา แล้วครูไม่พาเด็กทำ Lab
ก็ไม่แตกต่างจากอ่านตำราทฤษฎีปั่นจักรยาน 3 ปี
แต่ไม่เคยปั่นจักรยานเลย เด็กก็ไม่รู้จริง
ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น เอาไปใช้ต่อไม่ได้
เพราะขาดประสบการณ์การทดลอง (Lab)
พระพุทธศาสนาก็เช่นกัน ต้องทำ ต้องสัมผัส
จึงจะเห็นความจริง เข้าใจความจริง เห็นคุณค่า
ถ้าเขาไม่เห็นคุณค่า จะนำไปใช้จริงกับตนเอง
และใช้กับผู้อื่นได้อย่างไร
.
หากเด็กเรียนแล้วไม่ได้เกิดประโยชน์
เรียนแล้วไม่มีความหมาย หรือคุณค่าต่อชีวิตเขา
เด็กเยาวชนมีสิทธิที่จะไม่อยากเรียนก็ได้
เพราะเรียนไปแล้ว มีแต่ “ความทุกข์”
เกิดความเครียด เซ็ง รู้สึกน่าเบื่อหน่าย..ฯลฯ
และเมื่อเด็กเยาวชนปฏิเสธพระพุทธศาสนา
.
อนาคตวันข้างหน้าเด็กเยาวชนเหล่านี้
เขาจะมาทำนุ บำรุง ดูแล รักษา และปกป้อง
พระพุทธศาสนาต่อไปไว้ได้อย่างไร
เพราะตัวเขาเข้าไม่ถึง “แก่นธรรมคุณค่า”
ของพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด
.
คำถามบอกทิศ คำตอบบอกทาง
.
ใครละทำให้เด็กเยาวชนเข้าไม่ถึงคุณค่า
ของแก่นธรรมสาระเรื่องนั้นๆ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้สอน พระสอนศีลธรรม
(ยังไม่รวมถึงรากแก้วต้นแบบ คือ ผู้ปกครอง)
เป็นตัวแปรหลักสำคัญในเรื่องนี้
เพราะเป็นผู้จัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
แต่การจัดการศึกษาพัฒนาผู้เรียนคงไม่ใช่กล่าวถึง
อยู่แค่ตัวผู้สอนเพีงประการเดียว
และมีเหตุผล ปัจจัยอะไรบ้างเกี่ยวข้อง
กับสิ่งที่เยาวชนเขาเรียกร้องคือ ผู้รับผลกระทบ
.
...ตัวหลักสูตรสาระ เนื้อหาเรียนเยอะ
เน้นความรู้ อันนี้ก็น่าเห็นใจครูครับ
ตัวชี้วัดเยอะ บีบรัดครู ครูเครียด เด็กก็เครียด
...แต่ที่หนักกว่าหลักสูตรแกนกลาง ก็คือ
“หลักสูตรธรรมศึกษา” ของแม่กองธรรม (คณะสงฆ์)
หนักว่าหลักสูตรแกนกลางอีก ก็บังคับให้สอบอีก
หนักกว่าอีก ก็พาเด็กทุจริตสอบเสียเอง
..วิธีการสอน ..ตัวผู้สอนเอง และ
..การวัดประเมินผล เน้นจำสอบ ฯลฯ คือเหตุปัจจัย
ถ้าเหตุปัจจัยดี จะต่อว่ากล่าวโทษเด็กไปใย
.
ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้นึกถึงประโยคที่ Dr. Heidi Hayes Jacobs (2010) ได้เคยเสนอคำถามไว้ ในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน สู่ศตวรรษที่ 21 ไว้ 3 ข้อว่า
✅ What do we cut? เราควรตัดสิ่งใดออกไปบ้าง?
✅ What do we keep? เราควรเก็บรักษาสิ่งใดไว้บ้าง?
✅ What do we create? เราควรสร้างสรรค์สิ่งใดบ้าง?
.
สรุปคือ วิชาพระพุทธศาสนา
ควรจะต้อง ตัด-เก็บ-สร้างสรรค์สิ่งใดบ้าง?
ที่สอดคล้องและเหมาะสมต่อการนำไปใช้จริง
ของเด็กเยาวชนในสภาวะการณ์ปัจจุบัน
.
เมื่อเป็นเช่นนี้ หวังว่าผู้ใหญ่ คณะสงฆ์
ต้องมีความใจกว้างมากพอ มีความเมตตาสูง
อย่ากล่าวโทษต่อว่าเด็กลูกหลานว่า ไม่ดี หัวรุนแรง
“ฟังเสียงหัวใจของเขาอย่างลึกซึ้ง” โดยไม่ตัดสิน
อาจจะทราได้ว่า เขาทุกข์มากแค่ไหน
“เขาต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหน
ที่ต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องกับความทุกข์
กับความอยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำ
ที่เขาไม่ได้ก่อขึ้น”
.
เมตตาทบทวน แก้ไขปัญหาที่สั่งสมมานาน
ควรตัด - เก็บ - สร้างสรรค์อะไรใหม่
เพื่อให้เด็กเยาวชน “ได้นำธรรมไปทำจริง”
ให้มีความสอดคล้องกับสภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
.
ผมเตือนพระ มา 2-3 ปี หลายเวที ระวังนะท่าน
.
เรื่องนี้ผมเตือนสติพระสอน ลูกศิษย์หลายเวที
หากท่านไม่ปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีการสอน
เพื่อให้มีความสอดคล้องเหมาะสมกับเด็ก
จัดการเรียนรู้ให้ตอบสนองความสนใจใฝ่รู้ของเด็ก
ท่านอาจไม่มีโอกาสได้เข้าไปสอนในโรงเรียนอีกเลย
เพราะการจัดการเรียนรู้ของท่านไม่มีคุณภาพพอ
ที่จะบ่มเพราะปัญญา ศีลธรรม ความสุขให้กับผู้เรียนได้
สถานศึกษาขาดความมั่นใจ ไม่นิมนต์อีกเลย
และเด็กเยาวชนจะไม่อยากเรียนพุทธศาสนา
เขาจะออกมาเรียกร้องพวกท่านนะ ! !
2-3 ปี ที่ผมเคยพูดไว้หลายเวทีหลายจังหวัด ก็เกิดขึ้น
.
คำถามคือ พระเอง ครูผู้สอนเอง
จะทำให้ห้องเรียนพระพุทธศาสนา
เป็นห้องเรียนที่มีชีวิต
เป็นห้องเรียนที่ความสุขในการเรียนรู้ ใฝ่รู้
เป็นห้องเรียนที่มีความหมาย
และมีคุณค่าต่อผู้เรียนได้อย่างไร
.
การจะช่วยบ่มเพราะปัญญา คุณธรรม ความสุข
ให้กับเด็กเยาวชน อยากสอนให้เป็นคนดี
อย่างน้อยๆ ผู้สอน / พระเอง ต้องมีของ D 4 อย่างกับตัว
D1 : #มีความประพฤติดี
—— อย่าหนีสอน ทิ้งห้องเรียน ไม่รับผิดชอบหน้าที่ รักการสอน เป็นแบบอย่างที่ดีของคุณธรรมด้านต่างๆ จะสอนอบายมุข ยังสูบบุหรี่อยู่เลย ท่าที การจัดการอารมณ์ตนเองให้เป็น มีสติ ฯลฯ สรุป จรณะ (soft skills) ท่านต้องมีดี ถึงจะสอนเขาให้ได้ดี นึกถึงพระสารีบุตรที่เห็นแบบอย่างที่ดี จากพระอัสสชิ แล้วปฏิบัติตามครับ ชัดเจนสุด
D2 : #แผนการสอนดี
—— พระต้องเขียนแผนเป็น และต้องเป็นแผนเน้นกระบวนการใฝ่รู้ (AL) มากกว่า การท่องจำสอบ
เด็กเยาวชน ไม่ใช่ก้อนหิน ขอนไม้ เขามีความรู้สึก
พระไม่ใช่จะพูด จะทำอะไร ตามใจตนเอง
เกิดลูกเขาเป็นอะไรขึ้นมา รับผิดชอบไหวไหม
หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแล้วเข้าห้องสอน ขาดการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่เข้าถึงแก่นธรรม คุณค่า ถ้าแบบนั้นสอนเด็กให้เชื่อง อันตรายมาก จำหลักได้แต่เข้าไม่ถึงแก่นธรรมเรื่องนั้นๆ เด็กเอาไปใช้จริงไม่ได้ สอนแค่จำ คืออะไร มีเท่าไร อะไรบ้าง (knowledge) เอาแค่จำสอบ สอนพุทธะต้องตื่นรู้ การตื่นรู้ต้องฝึกฟัง ให้ทำ ตั้งคำถามสอนคิด เปิดโอกาสให้คิด มากกว่าการสอนให้เชื่อตาม ถ้าไม่ได้ฝึกสมองคิด พัฒนาปัญญาเด็ก เมื่อเจอปัญหาในชีวิต เขาจะแก้ปัญหา (ทุกข์) ไม่ได้
D3 : #สอนดี
—— มีความเมตตา บรรยากาศอบอุ่น สนุก เร้า ท้าทาย เดินให้ทั่วถึงเด็ก ปรับจากห้องเรียนเงียบ ต่างคนต่างทำ เป็นห้องเรียนชีวิต มีความหมาย เรียนเป็นกลุ่ม สอนกันเป็นทีม ทำหน้าที่เป็นโค้ช ใช้คำถาม คือสอนคิด ใช้คำถามกระตุ้นส่งเสริมการคิดสู่ปัญญา ให้มองเห็นความจริงของชีวิต ฯลฯ...
D4 : #เด็กคุณภาพดี
—— เด็กต้องเป็นเจ้าของการเรียนรู้ เด็กได้ฝึกฟัง (สุตะ) ได้ฝึกคิด (จินตะ/โยนิโสมนสิการ) ได้ฝึกทำ (ภาวนา/ลงมือปฏิบัติ) นำไปสู่เกิดสมรรถนะ ทักษะ คุณธรรม ศีลธรรม และผลการเรียนดี
.
ทักษะ วิธีการสอน สำคัญกว่าเนื้อหาที่สอนก็จริง
แต่ที่สำคัญกว่าทักษะ วิธีการสอน คือ
จรณะ ความประพฤติ คุณธรรมของท่าน
ความประพฤติไม่ดี ก็สอนเด็กได้ไม่ดี
ลูกเป็นอย่างที่พ่อแม่/ผู้ปกครองเป็น
ศิษย์เป็นอย่างที่ครูเป็น
ต้องมีทั้งจรณะ (soft skills) วิชาการ (hard skills)
ควบคู่ผสานสอนเหนี่ยวนำกันไป
.
ให้กำลังใจพระสอนศีลธรรม และผู้สอน
มั่นฝึกฝนพัฒนาการสอนครับ
รักการสอน รักการพัฒนาเด็กเยาวชน
เป็นแบบอย่างของความดี ความงาม ความจริง
ให้กับเด็กเยาวชนลูกศิษย์
ศีลธรรม คือรากฐานความสุขของสังคม
คนขาดศีลธรรม คือ โรคป่วยของสังคม
ช่วยเด็ก บ่มเพาะเด็กเยาวชนต่อไป
ด้วยจิตใจที่เมตตาของท่านครับ
「สัมมาทิฐิ」的推薦目錄:
- 關於สัมมาทิฐิ 在 Drama-addict Facebook 的最佳解答
- 關於สัมมาทิฐิ 在 Capt.Benz Facebook 的最佳解答
- 關於สัมมาทิฐิ 在 DjFiat LinkCorner Facebook 的精選貼文
- 關於สัมมาทิฐิ 在 พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ : สัมมาทิฐิที่แท้จริงก็คือ ทุกอย่างสงบ 'no ... 的評價
- 關於สัมมาทิฐิ 在 สัมมาทิฎฐิ ทะลุมิติมายา ตอนที่ 1 การผจญภัยของศิลา - YouTube 的評價
- 關於สัมมาทิฐิ 在 โครงการสรุปสถานการณ์รอบปีและสัมมาทิฐิวิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ ... 的評價
- 關於สัมมาทิฐิ 在 สัมมาทิฐิ... | พระพุทธเจ้า, คำคมการใช้ชีวิต, คำสอน ... 的評價
สัมมาทิฐิ 在 Capt.Benz Facebook 的最佳解答
Ep.61 - "ความอยาก บาป/ ไม่บาป ?"
.
คำถาม แต่ละคำถามเนี่ย
‘อภิธรรม’ เลย
คือ…
“โหย…”
“ต้องอธิบายอย่างลึกซึ้งเลย”
………………………..
ถามว่า ’ความอยาก’ บาปมั้ย?
คุณอยากเรื่องอะไร?
ความอยากเนี่ย
.
จริง ๆ เนี่ย
มันประกอบด้วยบารมี
ก่อนจะอยากได้เนี่ย
คุณจะต้องมีความตั้งมั่นก่อน
ตั้งสัจจะก่อน
เป็นสัจจะบารมีก่อน
.
ว่า “เราจะเอาสิ่งนี้”
“เราอยากได้สิ่งนี้”
มันต้องตั้งสัจจะ
.
พระพุทธเจ้า
‘อยาก’ ตรัสรู้มั้ย?
‘อยาก’ พ้นทุกข์มั้ย?
เป็นความอยากมั้ย?
.
อ้าว…
แล้วความอยากพ้นทุกข์
งี้ความเลวมั้ย?
ไม่เลว!
.
ความอยากของพระพุทธเจ้าเนี่ย
ทำให้เราทุกคนเนี่ย
ได้รู้
ได้เห็นธรรมะ
ถูกจัดแบ่งออกเป็นหมวดหมู่
เป็นภาค ๆ ส่วน ๆ
แล้วเราก็เข้าใจมันมากขึ้น
ง่ายขึ้น
ถูกปะ?
.
เพราะฉะนั้น
ความอยากมันไม่เกี่ยว
ว่าเลว ไม่เลว
ดี ไม่ดี
ความอยากเป็นกิเลสมั้ย?
มันไม่เกี่ยว
.
สิ่งที่มันเกี่ยวคือ
‘คุณอยากอะไร?’
ไอ้ปลายทางตรงนั้น
มันคืออะไร
ความอยากอย่างแรก
ที่คุณมีเกิดขึ้นแน่นอนเลย
“สัจจะบารมี”
.
อย่างที่สองคือ
“อธิษฐานบารมี”
แล้วระหว่างขั้นตอน
จากจุดที่อยาก
ไปจนสู่จุดที่แบบ
ได้ในความอยากนั้น
ถึงเป้าหมายตรงนั้น
นี่ “วิริยะบารมี” นะครับ
‘ความเพียร’ นะครับ
คนล่วงทุกข์ได้
เพราะความเพียร
.
งั้นเพราะฉะนั้น
ถามว่า “ความอยาก บาปมั้ย?”
อยากอะไรล่ะครับ?
ถ้าคุณอยากฆ่าคนเนี่ย
xxx ก็ตอบได้
บุญหรือบาปล่ะ?
.
แต่ถ้าอยากทำความดี
บุญหรือบาปล่ะ?
แต่ถ้าความอยาก
มันเกินเลยไป
จนถึงว่าทำบุญ
เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์
พระพุทธเจ้า ไม่ได้บอกว่า
ทำบุญทำทาน เพื่อขึ้นสวรรค์
.
ท่านบอกว่าทำทาน
เพื่อละกิเลสตัวโลภ
แต่มาเท่าไหร่
เก็บไว้ใช้พอสมควร
เก็บไว้สำรองพอสมควร
แล้วก็แบ่งปัน
เอาหลัก “โภควิภาค” อะ
แบ่งเป็น 4 ส่วน
.
รายได้ที่ได้มา
1. ใช้จ่าย 2. เก็บสำรองไว้ 3 กับ 4
อันนี้เอาไปลงทุน ลงทุนในไหน
ลงทุนในชีวิต กับลงทุนในทางธรรม
เข้าใจปะ?
.
การลงทุนในทางธรรมก็คือ
ลงทุนเพื่อละกิเลส
คุณก็ต้องให้ทาน
คุณก็ต้องบริจาค
ให้ผู้ที่ด้อยกว่า
คุณอยู่ที่ว่าคุณอยากอะไร
.
ถ้าอยากชั่ว คุณก็บาปสิ
ไม่น่าถามเลย อยากได้ผัวเขา
นี่เ-ี้ยแน่นอน
ไม่ต้องไปถามใครเลย
คุณถามตัวเอง
ถามแม่คุณก็ได้
ถามรอบ ๆ ตัว
“แม่จ๋า”
“หนูอยากได้ผัวเขา”
“บาปมั้ย?”
ถ้าแม่คุณ
“อุ๊ย..! สุดยอดลูก”
แม่คุณบ้าแล้ว
.
มันผิดด้วยศีลด้วยธรรม
มันไม่ได้
ผิดศีลก็ผิด
กฎหมายก็ผิด
เชิดหน้าชูตาได้เหรอ?
“ฉันอยากได้ผัวเขา”
.
มันดูพื้นฐานว่า
สิ่งนั้นน่ะ ทำให้ใครเดือดร้อนรึเปล่า
“สจิตฺตปริ โยทปนํ”
ทำใจใส ๆ ประพฤติเช่นนั้น
ทำให้ใจใสรึเปล่าล่ะ?
“สัพฺพปาปสฺส อกรณํ”
‘บาปทั้งหลายอย่าทำ’
“กุสลสฺสูปสมฺปทา”
‘ขึ้นชื่อว่ากุศล ทำซะ’
“เอตํ พุทธานสาสนํ”
ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด
ก็บอกแบบนี้เหมือนกันหมด
.
เอาสามข้อนี้ไปใช้
แค่นั้นพอ
เส้นกั้นของความอยากดี
กับความอิจฉาริษยา
มันอยู่ที่ว่าจิตคุณเนี่ย
มันคิดดีกับเขามั้ย
.
ถ้าเอาเห็นเขาเป็นไอดอล
“ปูชาจ ปูชนียานํ”
เห็นไอดอลแล้วทำตาม
นี่ไม่ใช่ความอิจฉา นี่เป็นมงคลด้วยซ้ำ
แต่ถ้าคุณ เห็นไอดอลปุ๊บแล้วคุณ
“เ-ี้ย”
“กูจะต้องเอามึงลงมาให้ได้”
“มึงมีตังค์ 10 ล้านใช่มั้ย”
“100 ล้าน ใช่มั้ย”
“กูจะทำให้มึง-ิบหายให้ได้”
“มึงมีผู้ติดตาม 2 ล้านใช่มั้ย”
“กูจะทำให้มึง-ิบหายให้ได้”
.
อย่างนี้มัน
ไม่ใช่ความอยากที่ดีไง
มันเป็นความบ่อนทำลาย
มันเป็นความอิจฉาริษยา
แล้ววิธีแก้อิจฉา
ง่ายนิดเดียว
.
คุณทำดีของคุณต่อไป
ไม่ใช่หน้าที่คุณเลย
ที่คุณจะต้องแบบว่า
ลดความเก่งลง
ลดสิ่งที่มึงสร้าง
ลงไป
.
ไม่ใช่..
ไม่ใช่หน้าที่คุณ
มันเป็นหน้าที่ของเขาด้วยซ้ำ
คนที่อิจฉาริษยา
ต้องพัฒนาตัวเองตามมา
‘เมตตา’ ไป
.
เราต้องการความเจริญฉันใด
มนุษย์ทั่วไป
ก็ต้องการความเจริญฉันนั้น
เรามีหน้าที่เดียว
แนะแนวทาง
.
เชื่อก็ดี
เชื่อก็มา
ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ
นี่คือ ‘เมตตา’ นะ
มันต้องเริ่มต้นจาก ‘เมตตา’
แล้วไป ‘กรุณา’
‘กรุณา’ คือความสงสาร
เมตตากรุณาต้องไปด้วยกัน
เข้าใจเขา
เข้าใจว่า
อ๋อ…
โอเค
มันเป็นอย่างนี้
เขาเปลี่ยนแปลงได้
‘มุทิตา’
ยินดีด้วย
แต่ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ยังคงคิดชั่วเหมือนเดิม
ก็…
‘อุเบกขา’ แล้วกัน
ตัวใครตัวมัน
ไอ้-่า
จิตเราเป็นยังไง
ต่อเขาล่ะ?
จิตเราคิดดีหรือคิดร้าย?
ถ้าเอาเขาเป็นตัวอย่าง
เอาเป็นต้นแบบ
นั่นจิตดี
แต่ถ้าเอาเขา
มาเป็นแบบ
คู่แข่งคู่อาฆาต
จองล้างจองผลาญ
ทำลาย แขวะ
นี่ไม่ใช่
ความเพียรที่ถูกต้อง
นี่มิจฉาทิฐิ
จริง ๆ พระพุทธเจ้าบอก
ถ้าจะพูดให้ลึกซึ้ง
บารมี 10 เนี่ย
ทำไปเถอะ
ทำทุกอย่างได้
แต่ต้องทำ
อยู่ใน ‘สัมมาทิฐิ’
สัมมาทิฐิ ก็คือ
ความคิดเห็นที่
ถูกต้อง
ถูกควร
ทาน - การให้
เป็นสัมมาทิฐิ
เป็นมิจฉาทิฐิได้มั้ย?
ให้เพื่อเป็นหน้าเป็นตา
เนี่ยมิจฉาทิฐิ
ตั้งใจ
ตั้งใจจะฆ่ามัน
เนี่ย
มิจฉาทิฐิ
บารมีมันเกิดหมดนะ
เพียงแต่ว่า
บารมีของเรา
เป็นสัมมาหรือมิจฉา
เท่านั้นเอง
…………………………….
ทุกข์มันคือผลลัพธ์
สุขมันคือผลลัพธ์
ทุกสิ่งทุกอย่าง
มันคือผลลัพธ์หมด
เราต้องการอยู่อย่างเดียวเท่านั้น
ต้องการสุข
นั่งตรงนี้ไม่สบาย
ไปนั่งตรงนั้น
เพราะคิดว่า
ตรงนั้นจะสบาย
สบายปุ๊บ
นั่งตรงนั้นจะเป็นสุข
ไม่สุขกายก็สุขใจ
มีอยู่แค่นั้น
เปิดร้านกาแฟตรงอื่นไม่ได้
มาเปิดตรงนี้
เพราะคิดว่ามันจะสุข
นอนคอนโดนั้นไม่ได้
ต้องมานอนที่บ้าน
คิดว่าบ้านนี้
มันจะสุขกว่า
ท้ายที่สุด
คนเราต้องการความสุข
เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเกิดว่า
ทะเยอทะยานโดยที่
มันแบบ
ต้องแข่ง
ต้องอาฆาต
ต้อง…
ฆ่าฟันคู่แข่ง
ต้องอะไร ๆ ๆ
ทุกข์หรือสุข?
#ผู้กองเบนซ์
ปล. บาป ไม่ บาป ขึ้นกับ ‘คุณอยากอะไร?’
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
*ติดต่องานวิทยากร,อบรมสัมมนา,สนับสนุนช่อง โทร 094-449-9464 (คุณจี้)
ช่องยูทูป : ผู้กองเบนซ์ - Capt.Benz
blockdit : ผู้กองเบนซ์ - Capt.Benz
IG : capt.benz
Line OA : @ captbenz
twitter : @ captbenz
สัมมาทิฐิ 在 DjFiat LinkCorner Facebook 的精選貼文
วันนี้คือวันที่พระพุทธเจ้าสอน โลกให้รู้จัก วิชาที่สำคัญที่สุด "วิชาจัดการทุกข์"
เป็นครั้งแรก...
อาสาฬหบูชาคืออะไร? อาสาฬห แปลว่า 8 + บูชา แปลว่าการบูชาเดือน 8
ความสำคัญคือ:
1.พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมะเป็นครั้งแรก (ปฐมเทศนา)
ให้กับ เหล่า ปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5
2. พระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ ครบ รัตนตรัยเป้นครั้งแรก
พระโกณฑัญญะ หนึ่งในปัญจวัคคีย์เมื่อฟังธรรม ก็เกิดดวงตาเห็นธรรม
บรรลุพระโสดาบัน และกราบทูลขออุปสมบท
3.พระพุทธเจ้า ทรงแสดง "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" กุญแจสำคัญที่
ไขความลับ และ ดับ "ทุกข์"
ธัมมจักกัปวัตตนสูตร พูดเกี่ยวกับอะไร:
มีหลักๆ อยู่ 2 เรื่อง
เรื่องที่ 1. "ทางสายกลาง"
การใช้ชีวิต หรือการใดๆ ไม่ควรย่อหย่อน หลงเพลิน มัวเมาสบายกายเกินไป (กามสุขัลลิกานุโยค) หรือ ทรมาน ทำตนให้ลำบากจนเกินไป (อัตตกิลมถานุโยค) ควรใช้ทางสายกลาง ก็คือ มรรค เพื่อไม่ให้หลงไปสุดโต่ง
เรื่องที่ 2. "ความทุกข์คืออะไร" (อริยะสัจ 4)
*ทุกข์ ที่มีอยู่ คืออะไร กำหนดรู้ ให้เห็นตัวปัญหาชัดๆ
*แล้วทุกข์นั้น เกิดได้ยังไง (สมุทัย)
*ทุกข์นั้น ดับได้อย่างไร (นิโรธ)
* และหนทางที่เข้าเกณฑ์ 8 อย่างนี้ (มรรค)ในการดับทุกข์ ซึ่งจะไม่สุดโต่ง
เป็นทางสายกลางนั่นคือ:
1 มีปัญญา เข้าใจถูก เห็นถูกตาม ความเป็นจริง (สัมมาทิฐิ)
2 คิดดี (สัมมาสังกัปปะ)
3 พูดดี พูดจริง พูดสิ่งมีประโยชน์ ถูกกาลเทศะ (สัมมาวาจา)
4 ทำดี ทำสิ่งดี มีประโยชน์ ถูกกาละเทศะ(สัมมากัมมันตะ)
5 เลี้ยงชีพด้วยสิ่งที่ถูก ที่ควร (สัมมาอาชีวะ)
6 มีความเพียรพยายาม โดยเฉพาะ เพียรละชั่ว หมั่นทำดี(สัมมาวายามะ)
7 มีสติ ระลึกรู้ตัวเสมอ (สัมมาสติ)
8 แน่วแน่ ตั้งมั่น (สัมมาสมาธิ)
"ทุกข์ ควรกำหนดรู้.
สมุทัย ควรละเสีย
นิโรธ ควรทำให้แจ้ง
มรรค มีองค์แปด ควรลงมือปฏิบัติ"
ความไม่สุดโต่ง ไม่ติดสุข หรือ ติดทุกข์มากจนเกินไป ด้วยทางสายกลาง
(มัชฌิมาปฏิปทา)
อ่านเพิ่มเติม: https://th.wikipedia.org/wiki/วันอาสาฬหบูชา
สัมมาทิฐิ 在 สัมมาทิฎฐิ ทะลุมิติมายา ตอนที่ 1 การผจญภัยของศิลา - YouTube 的推薦與評價
สัมมาทิฏฐิ ทะลุมิติมายา ตอนที่ 1 : การผจญภัยของศิลา การ์ตูนแอนิเมชัน “สัมมาทิฏฐิ ทะลุมิติมายา” นำเนื้อหามาจากพระนิพนธ์ ในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ... ... <看更多>
สัมมาทิฐิ 在 โครงการสรุปสถานการณ์รอบปีและสัมมาทิฐิวิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ ... 的推薦與評價
โครงการสรุปสถานการณ์รอบปีและ สัมมาทิฐิ วิทยาเขตเฉลิม พระเกียรติจังหวัดสกลนคร. ... <看更多>
สัมมาทิฐิ 在 พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ : สัมมาทิฐิที่แท้จริงก็คือ ทุกอย่างสงบ 'no ... 的推薦與評價
เพราะฉะนั้น สัมมาทิฐิตัวนี้ ในความหมายทั่วไปเราแปลว่าความเห็นถูกต้อง หรือความเห็นชอบ มันแปลได้อยู่ แต่ว่าอยากจะให้เข้าใจว่า มันไม่ได้มีความหมายว่าถูกหรือผิดอย่างที่พวกเราเข้าใจ. อีก ... ... <看更多>