คนหน้าตาดีมีความสุขมากกว่า?
ประสบความสำเร็จกว่ามั้ย?
*****************
ฝากซับ 🙏🏻🥺:
YT: https://www.youtube.com/DjFiat
IG: https://instagram.com/fiatography?utm_medium=copy_link
Tiktok: https://vt.tiktok.com/ZGJBf2PVf/
วิจัยหลายอันพบว่า คนเราไบแอส จริง คนหน้าตาดี คนชอบ ดึงดูดความสนใจ ถูกเหมารวม ด่วนสรุปไปเลยว่า น่าเชื่อถือ ซื่อสัตย์ นิสัยดี เป็นคนดี สุขภาพดี มีความสุข
ซึ่งนั่นคือ “เฮโล เอฟเฟค” หลุมพรางความคิดเห็นว่าดูดี ก็เหมารวมไปว่าดีหมดทุกอย่าง
All that glitter is not gold (อะไรที่เปล่งประกายเรืองรอง ไม่ใช่ทองล้ำค่าเสมอไป)
การด่วนเหมารวม ทำให้คนหน้าตาดีได้รับ อภิสิทธิ์ความวามตั้งแต่เด็ก คนเลือกปฏิบัติดีกว่า ได้โอกาสดีกว่า เลยมีโอกาสสำเร็จมากกว่า ได้เงินเดือนมากกว่า คนเข้าหามากกว่า เลยมีโอกาสให้เลือกมากกว่า
เศรษฐีทำธุรกิจประสบความสำเร็จ ใน Fortune 500 - นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งล้ำในประวัติศาสตร์ ผู้นำประเทศที่สร้างความเปลี่ยนแปลงระดับโลก ครอบครัวที่มีความสุข แต่ละคนหล่อ/สวยระดับโลกรึเปล่า?
ถ้าหน้าตาดี แล้วมีความสุข ทำไมเรายังเห็นดารา นายแบบ นางแบบ หน้าตาดี หย่าร้าง เสพติด ทำร้ายตัวเอง?
หน้าตาดีแค่ช่วยเพิ่มโอกาส แต่ไม่ได้การันตีผลลัพธ์ และความสุขในชีวิต
คนหน้าตาดีหลายคนประสบความสำเร็จ ส่วนนึงเป็นเพราะตัวเขาเก่ง ดี เองจริงๆ แต่สำคัญที่สุด คือ การลงมือทำจริง ไม่ทิ้งโอกาสที่ได้
หย่าร้าง คือ 在 Trainer Nalisa ชีวิตยิ่งใหญ่ ถามใจให้เป็น Facebook 的最佳貼文
บ่อยครั้งที่..
มี #ความคิด ว่า
การที่เขาเลือกที่จะแต่ง
หรือ จดทะเบียนสมรสกับเรา
.
มันเป็น เพราะ #เขารักเราจริง
.
เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงนะ
คงไม่เห็น การ #หย่าร้าง
ให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ หรอก
.
ซึ่ง #ความจริง “ความรัก” ไม่ใช่
สิ่งที่อยู่ #ภายนอก ที่ถูกแปลมา
จากที่ใครเขาทำอะไรกับเรา
.
แต่มีคือ “ความสบายใจ” ที่เกิดขึ้น
ที่จะอยู่ #ภายใน ใจของเราทั้งคู่
เวลาอยู่ด้วยกัน
.
แต่ไม่ว่า สุดท้ายมันจะเป็นยังไง
เราจะได้อยู่ด้วยกันไหม
.
ความรักจริงๆ ก็แค่ ความสุขใจ
เห็นเขาเติบโต ไปได้ดี
มีความสุข ในแบบที่เขาต้องการ
.
นั้นแหละ คือ คนที่รักเราจริง
.
🗣 เรียนรู้ #วิธี “มองคนให้ออก” และ “เลือกคนให้เป็น”
จะได้มีความสุขจริงๆ กับเขาสักที
กดลิงก์ นี้ “พูดคุย” กันนะคะ
ที่ https://bit.ly/3dVH4zK
หรือ Add LINE : @trainernalisa
.
.
#ชีวิต #ใจ #สำคัญ
#คำคม #รักตัวเอง
#ดารา #ปู #ปูไปรยา
หย่าร้าง คือ 在 Wannasingh Prasertkul (วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล) Facebook 的最讚貼文
#ทีมEstonia มะครับ
ลองดู ขอนำเสนอบ้างครับ ไม่เคยไปอยู่ แต่เคยไปถ่ายรายการมาค่อนข้างประทับใจ ใครมีข้อมูลเพิ่มก็มาแชร์กัน
Estonia ประเทศเล็กๆ อดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งตอนนี้ไฮเทคมาก จุดเด่นอยู่ที่ระบบดิจิดอลที่ดีเกือบที่สุดในโลก และมีรัฐบาลแบบ E-Government (อันนี้ข้อมูลที่ได้มาเมื่อปี 2019 นะครับ ไปมาปีนั้น) เขียนไว้ครั้งแรกที่
https://web.facebook.com/wannasingh/posts/2069733896397754
ข้อเสีย หน้าหนาวอากาศแย่ฮะ (บางคนอาจจะชอบ) ท้องฟ้าครึ้ม ชวนหดหู่มาก ธงชาติเขาสามสี สีขาวคือพื้นหิมะ สีดำคือต้นไม้ที่ไม่มีใบในหน้าหนาว สีฟ้าคือท้องฟ้าครับ
-------------------------------------------------
E Government คือ?
- 99% ของการใช้บริการของภาครัฐ สามารถทำออนไลน์ได้ ตั้งแต่เลือกตั้งออนไลน์ จ่ายภาษี จดทะเบียนรถ จดทะเบียนบริษัท ทำHealthCare เช็คเกรดลูกที่โรงเรียน ไปจนถึงเช็คกรุ๊ปเลือดของผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน ฯลฯ (มีแค่สามสิ่งที่กฏหมายจงใจให้ทำออนไลน์ไม่ได้คือ แต่งงาน หย่าร้าง และซื้อขายที่ดิน เพราะถือว่าเป็นเรื่องความเสี่ยงสูง ต้องมายืนยันด้วยตัวเอง)
-ทุกอย่างนี้ทำผ่าน one stop portal คือเวปไซต์กลางแห่งเดียวของรัฐบาล ที่ทำการเชื่อมต่อ ฐานข้อมูลทุกชนิดจากทุกหน่วยงานเข้าด้วยกันผ่านระบบส่วนกลางที่ชื่อว่า X Road
-รัฐธรรมนูญของเอสโทเนียระบุเอาไว้ว่าการเข้าถึง Free Internet เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน เพราะฉะนั้น ไปไหนก็มี Free Wifi ให้ใช้แทบทุกหย่อมหญ้า ใช้ได้แทบทุกที่
-ประชาชนทุกคนมีบัตรประชาชนที่สามารถเอาไว้ใช้ยืนยันตัวตนของตัวเองในโลกออนไลน์ได้ (ใช้พร้อมกับรหัสส่วนตัว) + คอมพิวเตอร์แทบทุกเครื่องใน Estonia จะมีเครื่องอ่าน Smart Card แบบที่มีชิปฝังอยู่ในตัว
- ข้อมูลแทบจะทุกอย่างของประชาชนทุกคนจะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลออนไลน์ตั้งแต่เกิดยันตาย ภายใต้รหัสประจำตัวประชาชน
- การใช้ลายเซ็นดิจิตอลโดยใช้บัตรประชาชนและรหัสส่วนตัว ถือว่ามีผลบังคับใช้ทางกฏหมายเหมือนลายเซ็นจริงๆ
-ตัวรัฐบาลเองก็พยายามลดการใช้เอกสารกระดาษให้เหลือ 0% ลดขั้นตอนเชิงราชการลงให้น้อยที่สุด แม้แต่ตัวรัฐบาลเองก็มีการทำงานแบบ e carbinet ซึ่งเน้นการประหยัดเวลาด้วยเครื่องมือออนไลน์ เช่น ประชุมออนไลน์เป็นหลัก และก่อนประชุมจะมีการส่งหัวข้อที่จะโหวตให้ก่อน ถ้าเกิดว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันตั้งแต่ก่อนประชุมแล้ว เวลาประชุมจริงก็ข้ามเรื่องนั้นไปเลย เอาเวลาไปคุยเรื่องอื่นๆแทน
-ระบบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริการของภาครัฐ ID เดียวกันนี้สามารถใช้บริการธนาคารเอกชน ขึ้นรถเมล์รถแท็กซี่ หรือแม้กระทั่งสะสมแต้มในร้านค้าต่างๆ เพราะมีการเชื่อมระบบฐานข้อมูลของทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนเข้าหากัน ทำให้บัตรประชาชนใบเดียวสามารถทำหน้าที่แทนบัตรจำนวนมากที่คนประเทศอื่นๆต้องพกได้
นอกจากนี้ยังมีโปรเจคล้ำๆอื่นๆอีกมากมายที่กำลังพัฒนาอยู่เช่น ให้พ่อแม่กดเลือกตั้งแต่ตอนลูกเกิดเลยว่าจะเข้าเรียนโรงเรียนไหน เพื่อที่จะสามารถวางแผนพัฒนาโรงเรียนให้เพียงพอต่อความต้องการของสังคมเมื่อเด็กโตขึ้นมาถึงวัยเรียนจริงๆ
โดยไอเดียทั้งหมดก็เพื่อให้ทุกอย่างที่มักจะกินเวลาเยอะ กลายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกที่สุด เพื่อที่ทุกคนจะได้เอาเวลาไปทำสิ่งที่มีประโยชน์และอยากทำแทน
แต่แน่นอนว่าในระบบที่ทุกคนมีฐานข้อมูลออนไลน์ละเอียดยิบขนาดนี้ ก็ย่อมมีความเสี่ยงในหลายๆรูปแบบตามมา ซึ่งในระยะเวลาสามสิบปีที่เอสโทเนียพัฒนาระบบนี้มา ก็ทำให้มีมาตรการรับมือแต่ละข้ออย่างชัดเจน
รัฐหรือบริษัทไหนจะเอาข้อมูลส่วนตัวเราไปทำอะไรไหม?
- แนวคิดที่เจ๋งมากๆของระบบ E government นี้ก็คือว่า มันไม่ได้มีรากฐานมาจากแนวคิดว่ารัฐเป็นเจ้าของข้อมูลของประชาชน หรือรัฐมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างของเราเพื่อรักษาความมั่นคงหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ในทางกลับกัน ระบบนี้มองว่าประชาชนทุกคนยังเป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองอยู่ และรัฐเปรียบเสมือนเป็นเพียงผู้ให้บริการเชิงฐานข้อมูล ส่วนเราจะเลือกเปิดเผยข้อมูลส่วนไหนให้ใครบ้างก็เป็นสิทธิของเรา ถ้าให้เปรียบก็คงจะเหมือนกับธนาคาร ที่ถึงแม้ธนาคารจะเป็นผู้เก็บเงินไว้ แต่ความเป็นเจ้าของก็ยังเป็นของเราอยู่ดี ซึ่งในเชิงปฏิบัติแปลว่า
- เราสามารถเลือก block ข้อมูลบางส่วนที่เราไม่อยากให้ใครรู้เลยได้
- ทุกครั้งที่มีคนเข้ามาดูข้อมูลของเรา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แพทย์ หรือว่าทนาย เราจะได้รับการเตือนจากระบบทันที ทั้งชื่อของคนที่มาดู วันเวลาที่เข้ามา และจำนวนข้อมูลที่ถูกเปิดเผยไป ซึ่งประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ตามกฏหมายที่จะเรียกร้องขอคำอธิบายจากเจ้าหน้าที่ ถึงเหตุที่ต้องเข้ามาดูข้อมูล และหากไม่พอใจคำอธิบาย สามารถนำไปฟ้องต่อในชั้นศาลได้
- ทุกหน่วยงานจะมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลบนพื้นฐานของสิ่งที่ "ต้องรู้" เท่านั้น (Need to know Basis) เช่นไปรษณีย์อาจจะเข้าถึงที่อยู่ของเราได้ แต่ไม่มีสิทธิดูข้อมูลสุขภาพเรา เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบริการของหน่วยงาน และตัวระบบได้ออกแบบไว้ให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้ตามหน่วยงานที่ตัวเองสังกัดเท่านั้น และต้องอธิบายได้ทุกครั้งว่าเข้าไปดูข้อมูลเหล่านั้นทำไม ไม่เช่นนั้นอาจถูกไล่ออกหรือทำโทษได้
ทุกอย่างเป็นดิจิตอลไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอ ? ถ้ารัฐโดน Hack จะทำไง
จริงๆ Estonia เคยโดน Cyber Attack ครั้งใหญ่มาแล้วหนหนึ่งในปี 2008 ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้พัฒนาระบบไปในทิศทางที่ Decentralized มากๆคือ
- ไม่ได้เก็บฐานข้อมูลไว้ในที่ใดที่เดียว แต่เก็บไว้อย่างกระจายมากๆ ทำให้การ Hack ส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบไม่สามารถสร้างความเสียให้กับระบบโดยรวมได้
- มีการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ คือไม่ได้เก็บข้อมูลใน Server เดียว แต่กระจายระบบไปยัง Network ของคอมพิวเตอร์จำนวนมากที่ช่วยกันสอดส่องและสนับสนุนระบบพร้อมๆกัน (แบบBitCoin) ทำให้ hack ยากมาก
- มีการตั้งหน่วย Cyber Defense ขึ้นมาอย่างจริงจัง มีการTrainและRecruit hackerทั้งหลายเข้าไปช่วยทำงาน และรับอาสาสมัคร Cyber Defense Unit จำนวนมากมาช่วยงาน
****** และอีกด้านนึงที่น่าสนใจมากๆคือ Estonia ได้เปิดโครงการชื่อ e-Residency ที่ให้คนจากที่ไหนก็ได้บนโลก สมัครเข้ามาเป็น "ประชากรออนไลน์" ของประเทศ ซึ่งไม่ได้แปลว่าให้วีซ่ามาอาศัยอยู่ในEstonia แต่หมายความว่าสมาชิกจะสามารถจดทะเบียนธุรกิจ เปิดบัญชี จ่ายภาษี ฯลฯ ทำทุกอย่างออนไลน์ได้ราวกับว่าเขาเป็นคนEstonia โดยที่ไม่จำเป็นต้องเคยมาเยือน Estonia เลยก็ได้ โดยทุกอย่างสามารถทำผ่านบัตร ID Card ไม่ต่างอะไรกับที่ชาวเอสโทเนียใช้
มุมมองนี้น่าสนใจมากๆคือ เขามองประเทศและรัฐบาลขของเขาเป็น "Service" ที่กำลังแข่งขันกับรัฐบาลอื่นๆทั่วโลกเพื่อดึงดูดให้คนมาทำธุรกิจในประเทศเขา ซึ่งจุดขายสำคัญของเขาก็ระบบที่โคตรจะมีประสิทธิภาพ และการที่ทุกอย่างสามารถทำ Online ได้ ซึ่งสิ่งนี้ได้ดึงดูดให้บริษัท Startup ทั้งหลายจากทั่วทุกมุมโลกไปเริ่มธุรกิจของตัวเองที่ Estonia (หลายคนอาจะไม่รู้ว่า Skype จริงๆก็มาจาก Estonia) และตัวรัฐบาลเองก็มีแนวคิดชัดเจนที่ไม่ยึดติดกับการแบ่งชนชาติ แบ่งชายแดน แต่กลับตัวเองให้น่าดึงดูดที่สุดสำหรับประชากรโลกมากที่สุด และเขาตั้งใจจะเป็น The world biggest virtual country ในขณะที่ในเชิงกายภาพเขามีขนาดเล็กนิดเดียว
ซึ่งนี่อาจจะเป็นหน้าต่างที่เราจะสามารถเห็นโลกในอีก50-100ปีข้างหน้าก็ได้ โลกที่มนุษย์ทกคนไม่ได้ถูกจำกัดให้ต้องเป็นสมาชิกของสังคมตามพื้นที่ที่เราเกิด แต่เราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากจะเป็นสมาชิกของสังคมไหนตามมุมมอง วัฒนธรรม ค่านิยม และวิถีชีวิตของเรา ทำให้ผมเฃื่อว่าแนวคิดที่กำลังนำการพัฒนาของ Estonia อยู่ในตอนนี้เป็นสิ่งที่มองการไกลเป็นอย่างมา