“ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” (?) (เราจะปฏิรูปประเทศกันอย่างไร)" โดย ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ 16 กุมภาพันธ์ 2557 17:55 น.
(หมายเหตุ : บทความนี้ เป็นบทความที่ ศ.ดร. อมร จันทรสมบูรณ์ เขียนขึ้นตาม “แนวทาง” ที่ได้ให้สัมภาษณ์แก่ FM TV ไปเมื่อกลางเดือนมกราคม 2557 เกี่ยวกับ “วิธีการแก้ปัญหาวิกฤตชาติ” ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ในปัญหานื้ ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์ (โดยคุณอัมภา) แก่ FM TV ไป 2 ครั้ง ในการให้สัมภาษณ์ครั้งแรก ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2556 เรื่อง "เกาะติดวิกฤตชาติกับ ศ.ดร.อมร" ซึ่งในครั้งนั้น ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์ เพื่อให้ท่านผู้ฟังมองไปถึง “สาเหตุ” ของปัญหาวิกฤตชาติที่เกิดจาก “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภา” ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของเรา (รัฐธรรมนูญที่นักกฎหมายและนักวิชาการของเราเขียนขึ้นมาเอง และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลกที่ใช้ระบบนี้)ซึ่งปรากฏว่า ได้มีท่านผู้ที่สนใจปัญหาการเมือง ได้คลิ๊กเข้าไปดูรายการของ FM TV ที่อยู่ใน you tube เป็นจำนวนถึงกว่าหนึ่งแสนราย
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งที่สอง เรื่อง "เจาะข่าววงในฯ ช่วง อ.อมร" ในราวกลางเดือนมกราคม 2557 เป็นการให้สัมภาษณ์ที่ผู้เขียนตั้งใจจะให้ท่านผู้ฟัง “คิด” ไปถึงวิธีการแก้ปัญหาวิกฤตชาติโดยการปฏิรูปประเทศไทยที่เป็นรูปธรรม แต่เนื่องจากความจำกัดของเวลาในการให้สัมภาษณ์ ทำให้ “สาระ” ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ดูจะไม่ครบถ้วนพอเพียง และได้มีผู้ที่รู้จักกับผู้เขียนจำนวนไม่น้อยสอบถาม “สาระ”เพิ่มเติมจากผู้เขียนซึ่งทำให้ผู้เขียนคิดว่า น่าจะต้องนำ “แนวทางการให้สัมภาษณ์ครั้งที่สอง”นี้มาเขียนเป็น “บทความ” เพื่อเพิ่มเติมข้อความที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์ และให้ท่านผู้อ่านมีโอกาสได้ทราบความเห็นของผู้เขียนให้ชัดขึ้น ซึ่งก็ได้แก่บทความนี้)
ก่อนอื่น ผู้เขียนขอแสดงความเสียใจแก่การเสียชีวิตและการบาดเจ็บของ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง (นายทวีศักดิ์ โพธิ์แก้ว ที่บริเวณมหาวิทยาลัยรามคำแหง) และของผู้ที่กล้าหาญและเสียสละทั้งหลายของมวลมหาประชาชน (นายวสุ สุฉันทบุตร ถูกลอบยิงเสียชีวิตที่สนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ; นายยุทธนา องอาจ การ์ดของ คปท.เสียชีวิตที่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ โดยถูกกราดยิงด้วยอาวุธสงคราม ; นายประคอง ชูจันทร์ จาก จ.ภูเก็ตที่บริเวณถนนบรรทัดทอง โดยการขว้างระเบิด ; และนายสุทิน ธราทิน แกนนำ กปท. กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ที่เสียชีวิตที่แยกวัดศรีเอี่ยม ถนนศรีนครินทร์ โดยถูกลอบยิงบนรถกระบะ ฯลฯ )
เขาเหล่านี้ได้ต่อสู้เพื่อให้ประเทศไทยพ้นจาก “ระบบเผด็จการของพรรคการเมืองนายทุน” ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลก รวมทั้ง ขอแสดงความเสียใจในการเสียชีวิตของตำรวจที่เสียชีวิตเพราะการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา (ด.ต.ณรงค์ ปิติสิทธิ จร.สน.ตลาดพลูโดยที่เรายังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ยิง)
นอกจากนั้น ผู้เขียนคิดว่า เราคนไทยทุกคนควรสงสารประเทศไทย สงสารที่ประเทศไทย ที่เรามีบุคคลที่อยู่ใน “ฐานะ” ที่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤตชาตินี้ได้ แต่บุคคลเหล่านี้ไม่ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาวิกฤตนี้ให้คนไทย ทั้งๆ ที่ตลอดเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ “สาเหตุของวิกฤตชาติ” ครั้งประวัติศาสตร์ของเรานี้ ได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดแจ้ง และคนไทยทุกคนได้ทราบเป็นอย่างดีแล้ว
ประเทศไทยขาด “Statesman” ที่จะแก้ปัญหาประเทศและยิ่งรอนานวัน ประเทศก็ยิ่งเสียหายมากขึ้นทุกๆ วัน ขณะนี้ปรากฏว่า “มวลมหาประชาชน” ได้ปิดกรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2557 โดยไล่ตามปิด “ประตู” และล่ามโซ่ใส่กุญแจสถานที่ราชการต่างๆ และในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราก็มีการเลือกตั้งทั่วไป ทั่วประเทศ ดังสถานการณ์เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ซึ่งเราก็ยังไม่ทราบว่า จะประกาศผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ได้เมื่อใด และไม่ทราบว่า การเลือกตั้งที่ทำไปแล้วนั้น จะมีผลใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ (โมฆะ) หรือไม่
และเวลาก็ผ่านไปเป็นเวลานานพอสมควร (กว่า 10 วันหลังการเลือกตั้ง) แต่เราก็ยังไม่รู้ว่า วิกฤตชาติครั้งนี้ จะยุติเมื่อไร และจะยุติลงอย่างไร และเมื่อยุติแล้ว เราก็ยังไม่รู้ว่าเราจะแก้ปัญหาวิกฤตชาติหรือจะปฏิรูป(ประเทศ)ได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ประเทศไทยและผลประโยชน์ของคนไทยส่วนรวม ต่างก็เสียหายทับถมเพิ่มขึ้นทุกวัน
● ความนำ “ ปฏิรูปก่อน เลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อน ปฏิรูป” (?)
ในการสัมภาษณ์ FM TV ครั้งแรก (เดือนธันวาคม) ผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่า ผู้เขียนดีใจที่ “วิกฤตชาติครั้งนี้ได้เกิดขึ้น และดีใจที่ “มวลมหาประชาชน” ได้มองไปถึง “การปฏิรูปประเทศ” เพราะถ้า “วิกฤตชาติ” ครั้งนี้ไม่เกิดขึ้น และเราไม่มี “การปฏิรูปประเทศ” แล้ว ในอนาคตอันไม่ไกลนักประเทศไทยก็คงจะล่มสลาย เพราะการทุจริตคอร์รัปชันและหนี้สาธารณะ (ทั้งในระบบและนอกระบบ )ที่ท่วมประเทศอย่างแน่นอนซึ่งเมื่อถึงขณะนั้น ก็เป็นการสายเกินไปที่จะแก้ไข
ในการให้สัมภาษณ์ FM TV ครั้งแรกนั้น ผู้เขียนไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่อง “การปฏิรูปประเทศ” เท่าใดนัก เพราะผู้เขียนเห็นว่าเป็นการเร็วเกินไปและซับซ้อนเกินไป;โดยในการให้สัมภาษณ์ครั้งแรก เกือบทั้งหมด จะเป็นการกล่าวถึงความเป็นจริงที่ว่า รัฐธรรมนูญของประเทศไทย ไม่ใช่การปกครองใน “ระบอบประชาธิปไตย” (ตามที่นายทุนนักการเมืองบอกกับเรา) แต่ระบอบการปกครองของเราเป็น “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ประเทศเดียวในโลก เพราะเรามีบทมาตราอยู่ 3 มาตราในรัฐธรรมนูญปัจจุบัย ที่ทำให้นายทุนเจ้าของพรรคการเมืองสามารถเข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐ ทำการทุจริตคอร์รัปชันและแสวงหาความร่ำรวยได้ ด้วยการลงทุนใช้เงินซื้อ ส.ส.เพื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลใน “ระบบรัฐสภา” และให้ ส.ส.ในสภาลงมติตามคำสั่งของตน (นายทุนของพรรคการเมือง)
(หมายเหตุ บทมาตรา 3 มาตราดังกล่าว ได้แก่ (1) บทมาตราที่บังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรคการเมือง (ม. 101 (3 )); (2) บทมาตราที่ให้อำนาจพรรคการเมือง มีมติปลด ส.ส.ให้พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส.ได้ถ้าไม่ลงคะแนนตามมติคำสั่งพรรค (ม. 106 (7)); และ (3) บทบังคับให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น (ม. 171 วรรคสอง))
นอกจากนั้นเราได้พูดถึงว่า เรา(คนไทย)จะหลุดพ้นจาก ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน”ประเทศเดียวในโลกนี้ได้อย่างไร ในเมื่อนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองที่ผูกขาด “อำนาจรัฐ” อยู่ ไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญ ให้เรา
ดังนั้น ในการสัมภาษณ์ FM TV ครั้งที่สอง (เดือนมกราคม) และในบทความนี้(เดือนกุมภาพันธ์) เราก็จะมาดูต่อไปว่า ถ้าเราต้องการ “ปฏิรูป(ประเทศ)” นอกเหนือไปจากการต้องการทำให้การปกครองประเทศของเราเป็น “ประชาธิปไตย” แล้วเราจะต้องทำอย่างไร
● แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะกำหนดว่า ในบทความนี้ เราจะพูดกันใน “หัวข้อหรือประเด็น” ใดบ้าง ผู้เขียนขอเริ่มต้นอารัมบท ด้วยการกล่าวถึง “ประเด็น” ที่ปรากฎอยู่ในหน้าสื่อมวลชน ที่เป็นเรื่อง hit ที่ถกเถียงขัดแย้งกันอยู่ระหว่าง “รัฐบาล” กับ “มวลมหาประชาชน”กันก่อน
ประเด็นนั้น ก็คือ เราจะ “ปฏิรูปก่อน การเลือกตั้ง” หรือจะ“เลือกตั้งก่อน การปฏิรูป” ซึ่งตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ดูเหมือนว่า ทุกฝ่ายมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ประเทศไทย มีความจำเป็นต้องมี“การปฏิรูปประเทศ” แต่ข้อขัดแย้งขณะนี้อยู่ที่ว่า จะ“ปฎิรูปก่อน การเลือกตั้ง” หรือจะ“ เลือกตั้งก่อน การปฏิรูป”
ถ้าเราอ่านข่าวในหน้าสื่อมวลชนในระยะหลังปีใหม่ (พ.ศ. 2557) นี้ คือ หลังจากที่นายกรัฐมนตรี” ได้ประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ปลายปีพ.ศ. 2556 เราก็จะพบว่า ขณะนี้ได้มีการเสนอ “รูปแบบ” เพื่อการปฏิรูปประเทศกันอย่างมากมายและหลากหลาย โดยหนังสือพิมพ์บางฉบับถึงกับกล่าวว่า “การปฏิรูปผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ฝ่ายรัฐบาล ก็เสนอให้ปฏิรูป โดยจัดตั้ง “สภาปฏิรูปประเทศ” ประกอบด้วย สมัชชาของผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ 2,000 คนเลือกกันเองให้เหลือ 499 คน ; ท่านเลขาธิการ กปปส. (“คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”) ก็เสนอให้มีการตั้ง “สภาประชาชน” มีสมาชิกจำนวน 400 คน โดย 300 คนมาจากตัวแทนสาขาอาชีพต่างๆ และอีก 300 คน กปปส. เลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิมาทำการปฏิรูป ; องค์การภาคเอกชน 7 องค์กรหลัก เสนอให้มีการออกพระราชกำหนด ให้ตั้ง “องค์กรปฏิรูป” ที่ประกอบด้วยผู้แทนของผู้ที่มีปัญหาขัดแย้งและผู้แทนภาคส่วนสังคม ; ปลัดกระทรวงยุติธรรม (นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์) ก็เสนอให้ตั้ง “คณะบุคคล” ประกอบด้วยผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งมีจำนวนไม่มากนักเพื่อเป็น “เวทีกลาง” สำหรับการกำหนดประเด็นในการปฏิรูปให้รัฐบาลที่จะเข้ามาใหม่ ดำเนินการ ; และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ ก็เสนอให้มีการตั้ง “คณะกรรมการ” ประกอบด้วยกรรมการ 3 ฝ่าย คือรัฐบาล ปชป. และ กปปส. อย่างละ 1 ใน 3 ฯลฯ
ผู้เขียนคิดว่า เรา (คนไทย) น่าจะกำลัง “หลง” ประเด็น เพราะเรากำลังเถียงกันว่า “รูปแบบ” ขององค์กรที่จะทำการ “ปฏิรูป (ประเทศ)” ควรจะเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้พิจารณาว่า “สาเหตุ” ปัญหาวิกฤตชาติของเรานั้นเกิดจากอะไร และเราได้แก้ “สาเหตุ” ที่ทำให้เกิดวิกฤตชาติครั้งนี้ไปแล้วหรือไม่ และถ้าเรามัวเถียงกันเรื่อง“รูปแบบ” ขององค์กรที่จะทำการ “ปฏิรูป (ประเทศ)” เราก็คงแก้ปัญหาวิกฤตชาติไม่ได้ การ “หลง” ประเด็นในครั้งนี้มีความสำคัญมาก และ (ตามความเห็นของผู้เขียน) อาจมีผลถึงกับทำให้ความมุ่งหมายของ “มวลมหาประชาชน” ในการล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” และทำการ “ปฏิรูป(ประเทศ)” ล้มเหลวได้
● “ปฏิรูปก่อน เลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อน ปฏิรูป” (?)
“ปฏิรูปก่อน เลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อน ปฏิรูป” มีความหมายอย่างไร ; ผู้เขียนคิดว่า วิธีการที่จะเข้าใจความหมายของประโยค 2 ประโยคนี้ ได้ดีที่สุด คือ วิธีการตั้ง “คำถาม” และดู “เหตุผล” จากการตอบ
แน่นอน ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการ “เลือกตั้งก่อน ปฏิรูป” และถ้าถามผู้เขียนว่า ทำไม ผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับการ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” ผู้เขียนก็จะตอบว่า เพราะการเลือกตั้งก่อนปฏิรูป (ซึ่งในครั้งนี้หมายถึง การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557) เป็น “การเลือกตั้งที่ไม่ใช่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย” เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่รัฐธรรมนูญ (ฉบับปัจจุบัน) พ.ศ. 2550 บังคับให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมือง และเมื่อได้รับเลือกตั้งมาแล้ว ส.ส.ก็ไม่มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.ได้ตามมโนธรรมของตน แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง กล่าวคือ ถ้า ส.ส.ไม่ออกเสียง(ในสภา)ตามมติของพรรคการเมือง รัฐธรรมนูญ ให้อำนาจพรรคการเมืองมีอำนาจมีมติให้ ส.ส.ต้องพ้นจากสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ได้ซึ่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเหล่านี้ ไม่ใช่หลักการของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย (แต่เป็นการเลือกตั้งใน “ระบอบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภา” ประเทศเดียวในโลก)
ถ้าจะถามผู้เขียนต่อไปว่า ถ้าเช่นนี้ หมายถึงว่า ผู้เขียนเห็นด้วยกับการ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ใช่หรือไม่ ผู้เขียนก็คงตอบว่า ไม่ใช่อีกเช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ “ข้อเท็จจริง”ว่า ในการปฏิรูป (ก่อนการเลือกตั้ง) นั้น ได้มีการยกเลิก บทมาตราที่บังคับให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมือง และบทมาตราที่ให้อำนาจพรรคการเมืองมีอำนาจมีมติให้ ส.ส.พ้นจากสมาชิกภาพของการเป็น ส.ส.ได้ ออกไปจากรัฐธรรมนูญแล้วหรือไม่; ถ้ายกเลิกไปแล้ว ผู้เขียนก็เห็นด้วยกับ “การปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”; แต่ถ้าการปฏิรูปนั้น ไม่ได้ยกเลิกบทมาตราดังกล่าว ผู้เขียนก็ไม่เห็นด้วย
จากคำตอบของผู้เขียนดังกล่าวต้น จะเห็นได้ว่า การตัดสินใจของผู้เขียนในการ “เลือก” การปฏิรูปก่อนหรือหลังการเลือกตั้งทั่วไป (วันที่ 2 กุมภาพันธ์) นั้น “เหตุผล” ของผู้เขียนไม่ได้อยู่ที่ว่า “การปฏิรูป” นั้นจะกระทำ “ก่อน” หรือ “หลัง” การเลือกตั้ง (และก็ไม่ได้อยู่ที่ประเด็นว่า “รูปแบบ” ขององค์กรที่จะทำการปฏิรูปที่เสนอโดยองค์กรใดหรือโดยผู้ใด ว่า องค์กรไหนจะดีกว่าหรือทำงานได้ผลมากกว่ากันไม่ว่าองค์กรนั้น จะเป็น “สภาประชาชน” ที่ประกอบด้วยผู้แทนจากนานาอาชีพ ฯลฯ ตามที่เลขาธิการ กปปส. เสนอ หรือจะเป็น “สภาปฏิรูปประเทศ” ที่ประกอบด้วยสมัชชา 2,000 คน และเลือกกันให้เหลือ 499 คนตามที่รัฐบาลเสนอ)
แต่ “เหตุผล” ในการที่ผู้เขียนตัดสินใจ เลือกหรือไม่เลือก “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” นั้น จะอยู่ที่ “คุณลักษณะ” ของการเลือกตั้งนั่นเอง ว่า การเลือกตั้งนั้นเป็นการเลือกตั้งใน “ระบอบประชาธิปไตย”หรือไม่; ถ้าไม่ใช่ ผู้เขียนก็ไม่สามารถยอมรับ “การเลือกตั้ง” นั้นได้ถ้าใช่ ผู้เขียนก็ยอมรับ ; นอกจากนั้น จะเห็นได้ว่า “เหตุผล” ของผู้เขียนก็จะไม่เกี่ยวข้องกับ “การปฏิรูปในเรื่องอื่นๆ” เพราะเป็นคนละเรื่อง คนละประเด็น แต่ผู้เขียนจะพิจารณาเพียงว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลง “คุณลักษณะ” ของการเลือกตั้งหรือไม่เท่านั้น
สิ่งที่แปลกสำหรับผู้เขียน ก็คือ ใน “การปฏิรูป” ตามที่พูดๆ กันอยู่นั้น ไม่ปรากฏว่า มีผู้ใด (รวมทั้ง กปปส.เอง) บอกว่า ในการปฏิรูปนั้น จะมีการยกเลิกบทมาตรา ในรัฐธรรมนูญ (3 มาตรา) ที่ทำให้เกิด “ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน” และทำให้ “การเลือกตั้ง” ของเรา ไม่เป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ออกไปจากรัฐธรรมนูญหรือไม่; ดังนั้น “การปฏิรูป” ของมวลมหาประชาชน และของ กปปส. จึงอาจไม่รวมถึงการยกเลิก “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ก็ได้
นี่คือ “เหตุผล” ง่ายๆ ที่ตรงไปตรงมา และขอให้ผู้อ่าน (หรือท่านผู้ฟัง) ก็ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน ว่า ภายใต้ “รัฐบาล”(ที่จะเข้ามาหลังการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ นี้หรือ จะเข้ามาหลังการเลือกตั้งครั้งใดๆ ก็ตาม) โดยที่รัฐธรรมนูญของเรา ยังคงเป็น “ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” อยู่ เราจะ “ปฏิรูป” หลังเลือกตั้งได้หรือไม่
การที่ผู้เขียนกล่าวในตอนต้นว่า การ “หลง” ประเด็นในครั้งนี้ (ตามความรู้สึกของผู้เขียน) มีความสำคัญมาก เพราะอาจมีผลทำให้ความมุ่งหมายของ “มวลมหาประชาชน” ในการล้มล้างระบอบทักษิณและการปฏิรูป (ประเทศ) ถึงกับล้มเหลวได้
ทั้งนี้ ก็เพราะว่า การตั้งประเด็นให้ “มวลมหาประชาชน” เลือกเอาระหว่าง “ปฏิรูปก่อน เลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อน ปฏิรูป” (?)จะทำให้ “มวลมหาประชาชน” มองไม่เห็นสาเหตุที่แท้จริง ของวิกฤตชาติ และเมื่อมองไม่เห็นถึงสาเหตุที่แท้จริงของวิกฤตชาติ แล้ว ก็จะนำไปสู่การเข้าใจ “วิธีการปฏิรูป (ประเทศ)” ที่ผิดพลาด ได้ ( หมายเหตุ เพราะตามความเป็นจริง การปฏิรูป (ประเทศ) นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำ “ก่อนหรือหลัง”การเลือกตั้ง (ทั่วไป) ตามที่พูดกัน แต่ในการปฏิรูป (ประเทศ) จะมีทั้ง “ส่วน” ที่ต้องทำก่อน การเลือกตั้งทั่วไป และ “ส่วน” ที่จะทำหลัง การเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป)
●“ระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทย” ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย “การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557” ไม่ใช่ “การเลือกตั้งที่เป็น Democratic Process”
“สาเหตุ” ที่แท้จริงของวิกฤตชาติ คือ ระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทย ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย และการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่ใช่การเลือกตั้งที่เป็น Democratic Process
สิ่งที่ผู้เขียนแปลกใจมาก ก็คือ ทำไม วงการนักกฎหมายและวงการนักวิชาการของเราซึ่งบางทีอาจจะ(เกือบ)ทั้งประเทศไทยจึงไม่รู้ว่า “การเลือกตั้ง”ที่กฎหมาย (รัฐธรรมนูญ) บังคับให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องสังกัดพรรคการเมือง และเมื่อได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แล้ว ส.ส.ก็จะไม่มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพรรคการเมืองและต้องปฏิบัติตามมติพรรค (มิฉะนั้น พรรคการเมืองสามารถมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ได้) “ นั้น ไม่ใช่ “การเลือกตั้ง ในระบอบประชาธิปไตย”
ทำไมวงการนักกฎหมายและวงการนักวิชาการของเรา จึงมองไม่เห็น ว่า “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ที่มาจากบทมาตรา 3 มาตราที่บัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ประเทศเดียวในโลกนั้นเป็น “สาเหตุ” โดยตรงของการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมโหฬารที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะในระบบเผด็จการนั้น ไม่มีการถ่วงดุลและการตรวจสอบระหว่างสถาบันฝ่ายบริหารและสภาผู้แทนราษฎร
ทำไม วงการนักกฎหมายและวงการนักวิชาการของเรา จึงมองไม่เห็นว่า ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” เป็น “สาเหตุ” โดยตรง ของการใช้นโยบายประชานิยมอย่างผิดๆ (จนประเทศจะล้มละลาย) เพียงเพื่อจะซื้อเสียงจากประชาชน เพื่อให้ตนเองได้เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐ และทำการทุจริตคอร์รัปชัน และแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของส่วนรวมต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ จนกว่าประเทศจะล่มสลาย
ผู้เขียนเชื่อว่า การที่สหรัฐอเมริกาหรือต่างประเทศบางประเทศ หรือแม้แต่นายบัน คี มุน (เลขาธิการสหประชาชาติ) ที่เขาสนับสนุนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นั้น เป็นเพราะต่างประเทศ ฯลฯ เขาคิดว่า “การเลือกตั้งของเรา” เหมือนกับ “การเลือกตั้งของประเทศของเขา” ที่เป็น Democratic Process
ทั้งนี้ เพราะไม่มีใครไปบอกกับเขาว่า การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นั้น เป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามหลักการสากลของ “การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย” เพราะตามรัฐธรรมนูญของเรา ผู้สมัครรับเลือกตั้งของเราถูกบังคับให้ต้องสังกัด “พรรคการเมือง” ไม่สามารถสมัครรับเลือกตั้งโดยอิสระได้ และเพราะไม่มีใครไปบอกเขา ว่าเมื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แล้ว ส.ส.ของเรา ไม่มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. ได้ตามมโนธรรมของตนเอง แต่ต้องออกเสียงตามมติสั่งการของ “พรรคการเมือง”เพราะรัฐธรรมนูญของเราได้ให้อำนาจแก่พรรคการเมืองให้มีมติปลด ส.ส.ให้พ้นจากสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ได้ ถ้า ส.ส.นั้นไม่ออกเสียงในสภาตามมติของพรรคการเมือง ฯลฯ
บทมาตราเหล่านี้ไม่ใช่ “หลักการของระบอบประชาธิปไตย Principle of Democracy” และไม่มีรัฐธรรมนูญของประเทศใดในโลก ที่มีบทมาตราเช่นนี้ (หมายเหตุ : ข้อเท็จจริงเหล่านี้ บรรดาสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาเองหรือนายบัน คี มุน (เลขาธิการสหประชาชาติ) หรือบรรดา Professors ของมหาวิทยาลัยต่างประเทศในประเทศต่างๆ ที่สนับสนุนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 อาจตรวจสอบดูได้จากตำรากฎหมายรัฐธรรมนูญ และตัวบทรัฐธรรมนูญของประเทศของเขาเอง)
แน่นอนว่า การที่ “รัฐบาล” ของเรา ไปขอให้ต่างประเทศเขาสนับสนุนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นั้นผู้เขียนเชื่อว่ารัฐบาลของเราคงไม่ได้บอกกับต่างประเทศ ว่า “การเลือกตั้งของเรา” เป็นอย่างไร และเนื่องจาก วงการกฎหมายและวงการวิชาการของเราก็ไม่รู้จัก “หลักประชาธิปไตย Principle of Democracy” ในการเลือกตั้งของระบอบประชาธิปไตย” ดังนั้นจึงไม่มีใครไปบอกเขา
ถ้าเรามีใครสักคนไปบอกต่างประเทศเขาว่า การที่เราไม่ต้องการให้มี “การเลือกตั้งทั่วไป” ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นั้น ก็เพราะเราต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกบทมาตราเหล่านี้ไปก่อน และทำให้การเลือกตั้งของเราเป็น “ประชาธิปไตย” และเมื่อเรายกเลิกมาตราเหล่านี้แล้วเราก็จะจัดให้มี “การเลือกตั้งทั่วไป” โดยเร็ว
ควรบอกเขาไปด้วยว่าใน “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุนฯ “ภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน” ของเราในช่วงเวลาที่ผ่านมากว่า 10 ปีนี้ ทำให้ บรรดา “นายทุนเจ้าของพรรคการเมือง” ที่ร่วมกันเข้ามาเป็นพรรครัฐบาล ในระบบรัฐสภาของเรา สามารถตกลงแบ่งโควตาตำแหน่ง “รัฐมนตรี” ระหว่างกัน และให้แต่ละพรรคการเมืองต่างมีโอกาสแสวงหาประโยชน์และทำการทุจริตคอร์รัปชันจากการบริหารงานในกระทรวงที่ตนเป็นรัฐมนตรีได้โดยอิสระ โดยที่พรรคการเมืองอื่นจะไม่เข้าไปก้าวก่าย นอกจากนั้น ถ้าหัวหน้าพรรคการเมืองเหล่านี้ยังไม่อยากเป็นรัฐมนตรี เขาก็สามารถเอาลูกเอาเมียมาเป็นรัฐมนตรีแทนตนได้ โดย ส.ส.ในพรรคการเมืองไม่มีสิทธิพูดอะไร เพราะส.ส.เหล่านี้ได้รับเงินพิเศษจากนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง เป็นประจำเดือนทุกเดือน
และระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ได้ทำให้ “นายทุนเจ้าของพรรคการเมือง” พรรคใหญ่ สามารถสั่งบริหารประเทศในฐานะที่เป็น “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” ได้ แม้ว่าตนเองจะต้องคดีอาญาและหนีไปอยู่ต่างประเทศ ดังที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
นี่คือ “ผล” ของการเขียน(ออกแบบ)รัฐธรรมนูญที่ขาด “ความรู้” และขาดประสบการณ์ของวงการกฎหมายและวงการวิชาการของไทย อันเป็น “ต้นเหตุ” ของการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมโหฬารของบรรดานายทุนเจ้าของพรรคการเมือง ในระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน (ฉบับเดียวในโลก)
ผู้เขียนเชื่อว่า เมื่อต่างประเทศเขารู้ความจริงข้อนี้ เขาคงจะแปลกใจมากเพราะเขาไม่คิดว่า ในโลกนี้ จะมีประเทศใดที่เขียน (ออกแบบ) รัฐธรรมนูญอย่างนี้และ ผู้เขียนก็เชื่อว่า เมื่อเขารู้ความจริงแล้ว เขาคงจะต้องถอนการสนับสนุนการเลือกตั้งของรัฐบาล ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ อย่างแน่นอน
ระบอบการปกครองของประเทศไทย ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ใช่ “ระบอบประชาธิปไตย”
ผู้เขียนคิดว่า ถ้าเราคนไทยตั้งใจจะแก้ปัญหาวิกฤตชาติ เราคงต้องระมัดระวัง อย่า “หลง” ประเด็นได้ง่ายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “องค์กรอิสระ” ที่ประสงค์ (หรืออยาก) จะชี้นำสังคม ก็ต้องระวังให้มาก มิฉะนั้น ท่านอาจจะชี้นำสังคมอย่างผิดๆ ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา เพราะคนที่ไม่หวังดีและตั้งใจแสวงหาประโยชน์จาก “ความไม่รู้” ของเรานั้น มีอยู่มากมายรอบๆ ตัวเร
สิ่งที่ผู้เขียนกังวลอย่างมาก ก็คือ การ “หลง” ประเด็นนี้จะ ทำให้การปฎิรูปประเทศไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแต่ไม่ประสบความสำเร็จ คือ เป็นการแก้ “ปัญหาเก่า” เพื่อสร้าง “ปัญหาใหม่” ที่(อาจ)เลวร้ายกว่าเก่า
(หมายเหตุ : และสำหรับ “ปัญหา” ที่จะกำลังถกเถียงกันอยู่ ในหน้าสื่อมวลชนอยู่ขณะนี้ (เดือนกุมภาพันธ์) ว่า การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมถาพันธ์ 2557 ที่ยังไม่เสร็จสิ้น จะดำเนินการต่อไปได้อย่างไรและจะมีผลใช้ได้หรือไม่ได้ (เป็นโมฆะ) เพียงใด (?) ผู้เขียนขอไม่มีความเห็น เพราะผู้เขียนไม่สามารถยอมรับ “การเลือกตั้งครั้งนี้” ได้ (ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเสร็จสิ้นหรือไม่) เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้เป็น “การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย”)
● เราจะปฏิรูปประเทศกันอย่างไร
เมื่อเราได้ทำความเข้าใจกับ “ประเด็น” ในอารัมภบทนี้แล้ว ต่อไปนี้ผู้เขียนขอให้ความเห็นใน “วิธีการแก้ปํญหาวิกฤตชาติ” ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของเรา โดยจะพูดต่อจาก “สาระ” ที่ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์ FM TV ไปแล้วในครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม โดยในการให้สัมภาษณ์ FM TV ครั้งที่สองและในบทความนี้ ผู้เขียนขอแบ่งสาระเป็น 3 หัวข้อ ดังนี้
ใน 2 หัวข้อแรก (คือ ข้อ 1 และ ข้อ 2) ผู้เขียนจะได้พูดถึง “ปัญหาวิกฤตชาติของเรา ”ว่า มีอะไรบ้าง และเราจะมีวิธีแก้ (การแก้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน) อย่างไร
ตามความเป็นจริง ปัญหาวิกฤตชาติของเรามี 2 ระดับ คือ ระดับแรก (หรือหัวข้อแรก) เราจะทำอย่างไรประเทศไทยจึงจะเป็น “ประชาธิปไตย” (ที่ไม่ใช่ “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลก);
ระดับที่สอง (หรือหัวข้อที่สอง) เราจะทำอย่างไร การบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยของเรา (ในระบบรัฐสภา) จึงจะมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้แก่ “การปฏิรูปประเทศไทย”
กล่าวคือเมื่อเราแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้การปกครองของเราเป็น “ประชาธิปไตย” แล้ว เราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนอื่น (นอกจาก 3 มาตราดังกล่าว) และแก้ไขกฎหมายที่สำคัญๆ ฉบับใดบ้าง เพื่อทำให้การบริหารประเทศของเรามีประสิทธิภาพ และไม่ให้มีปัญหาเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เช่น ปัญหา ส.ส.ขายเสียง (หรือรับซอง) ให้ยกมือสนับสนุนญัตติของรัฐบาล ฯลฯ เกิดขึ้นซ้ำอีก
หัวข้อที่ 3 ซึ่งผู้เขียนถือว่า เป็นหัวข้อที่สำคัญที่สุด ในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติคือ ใครจะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฏฐาธิปัติ และทำให้ อย่างไร การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของเรา จึงจะมีประสิทธิภาพ” จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญ (ฉบับปัจจุบัน “การปฏิรูป” เกิดขึ้นได้จริง เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “ทำอย่างไร เราจึงจะเป็นประชาธิปไตย” หรือ “ทำ) ทั้งสิ้น ดังนั้น ในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติเราจึงจำเป็นต้องมี “อำนาจรัฏฐาธิปัตย์” เพื่อที่จะแก้รัฐธรรมนูญ
ปัญหาของคนไทยมีอยู่ว่าโดยที่ขณะนี้ ระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2550 ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แต่เป็น “ระบอบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ประเทศเดียวในโลก และนายทุนพรรคการเมืองกำลังผูกขาดอำนาจรัฐอยู่
ถ้านายทุนพรรคการเมืองที่ผูกขาดอำนาจรัฐ ไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญที่จะทำให้ตนเองต้องสูญเสียอำนาจ เรา(คนไทย) จะแก้รัฐธรรมนูญ (ให้เป็นประชาธิปไตย) ได้อย่างไร
ผู้เขียนเห็นว่า ในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติครั้งนี้ สิ่งแรกที่จะต้องทำ คือ ต้องทำให้ปรากฏอย่างชัดเจน ว่าการปฏิรูป(ประเทศ)นั้น เป็นไปเพื่อ “ประโยชน์ส่วนรวม” ของคนไทยทั้งประเทศ และเมื่อปรากฏชัดแจ้งแล้วว่า “ประโยชน์ส่วนรวม” อยู่ที่ไหน “คนไทยทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติตัวปฏิบัติงานให้สมแก่ฐานะและหน้าที่เพื่อให้สำเร็จ “ประโยชน์ส่วนรวม”
หัวข้อที่ 1 ทำให้ระบอบการปกครองของประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย
● ทำไมนานาประเทศและเลขาธิการสหประชาชาติ (นาย บัน คี มุน) จึงไม่เข้าใจการกระทำของ “มวลมหาประชาชน” และตำหนิการขัดขวางการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ของ “มวลมหาประชาชน”
ผู้เขียนได้กล่าวในตอนต้นแล้ว ว่าการตั้งประเด็นให้ “มวลมหาประชาชน” เลือกเอาระหว่าง “ปฏิรูปก่อน เลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อน ปฏิรูป” (?)ได้ทำให้ “มวลมหาประชาชน” และคนทั่วไป มองไม่เห็น “สาเหตุ” ที่แท้จริงของวิกฤตชาติ และเมื่อมองไม่เห็นถึงสาเหตุที่แท้จริงของวิกฤตชาติ ก็จะนำไปสู่ การเข้าใจ“วิธีการปฏิรูป (ประเทศ)” ที่ผิดพลาด
เราลองมาดูสโลแกนของ “มวลมหาประชาชนที่ว่า “ปฏิรูป ก่อนเลือกตั้ง” (ที่อยู่บนผ้าคาดหัวของสมาชิกมวลมหาประชาชน) ประกอบกับการอธิบาย ของ “กปปส.” ที่ว่า การปฏิรูปประเทศของมวลมหาประชาชน จะกระทำด้วยการตั้ง “สภาประชาชน” ที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 400 คนโดยมาจากผู้แทนสาขาอาชีพต่างๆ 300 คน และสมาชิกอื่นที่ กปปส.เลือกมาอีก 100 คน (โดยจะมีการปฏิรูปในเรื่องต่างๆ เช่น กิจการตำรวจ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการทุกจังหวัด และฯลฯ)
ปัญหามีว่าสโลแกนของ “มวลมหาประชาชนและคำอธิบาย ของ “กปปส.” (ที่ว่า การปฏิรูปจะกระทำด้วยการตั้ง “สภาประชาชน”) ได้สร้างความเข้าใจ ใน “การกระทำ” ของมวลมหาประชาชนแก่บุคคลภายนอกได้ มากน้อยเพียงใด
ผู้เขียนเห็นว่าสโลแกนของมวลมหาประชาชนที่ว่า “ปฏิรูป ก่อนเลือกตั้ง” นอกจากจะไม่มีส่วนในการอธิบาย “การกระทำ” ของมวลมหาประชาชน ให้บุคคลภายนอกได้เข้าใจถึง “เหตุผล” ในการกระทำของมวลมหาประชาชนแล้ว แต่กลับจะสร้างความไม่แน่ใจและความสงสัยให้แก่คนจำนวนหนึ่งที่มองไปไกลกว่านั้น
ถ้ามวลมหาประชาชนจะขัดขวาง “การเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557”ผู้เขียนคิดว่า กปปส. ควรจะต้องให้เหตุผลว่า “การเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557” ไม่ถูกต้องอย่างไร;ไม่ใช่ให้เหตุผลว่า เพราะมวลมหาประชาชน ต้องการ “การปฏิรูป” ซึ่งเป็นคนละเรื่อง คนละประเด็น ; เหมือนกับถามว่าไปไหนมา ตอบว่า สามวาสองศอก
ถ้า “มวลมหาประชาชน” ต้องการการปฏิรูป “ก่อน” การเลือกตั้ง และขัดขวางการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ผู้เขียนก็คิดว่า กปปส.ควรจะต้องอธิบาย ว่า “การเลือกตั้ง” หลังการปฏิรูปจะดีกว่า หรือถูกต้องกว่า “การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ (ที่ทำ) ก่อนการปฏิรูป” อย่างไรซึ่งไม่ปรากฏว่า “กปปส.” มีคำอธิบายในเรื่องนี้แต่อย่างใด
คำว่า “การปฏิรูป” มีความหมายไม่แน่นอน สิ่งที่ “กปปส.” ระบุว่า จะมีการปฏิรูป (เช่น การเปลี่ยนแปลงการบริหารตำรวจ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ฯลฯ) ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าถ้าทำไปแล้วจะมีผลดีผลเสียในการบริหารอย่างไร เพราะยังไม่มีกระบวนการคีกษาวิเคราะห์หากแต่เป็นเพียง “ความเห็น” ของ กปปส.; คำว่า “การเลือกตั้ง”(ซึ่งหมายถึง การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557) ก็เช่นเดียวกันการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งทั่วไปที่กระทำขึ้นหลังจากที่รัฐบาลได้ยุบสภาเมื่อวัน 9 ธันวาคม 2556 อันเป็นวิธีการเปลี่ยนรัฐบาล ในกรณีที่มีวิกฤตในการบริหารประเทศที่กระทำกันใน “ระบบรัฐสภา” ทั่วๆ ไป ซึ่ง “กปปส.” ไม่ได้ให้เหตุผลว่า การที่ “มวลมหาประชาชน” ขัดขวางการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เป็นไปตาม “ระบอบประชาธิปไตย” อย่างไร หรือไม่ถูกต้องอย่างไร
ข้อที่สำคัญ ที่ทำให้ดูเหมือนว่า “มวลมหาประชาชน” และ กปปส. เอง อาจจะเป็นฝ่ายผิดพลาด ก็คือ การที่ กปปส. ได้เสนอให้มี “การปฏิรูปประเทศ”และมีแก้ไขกฎหมายต่างๆ ด้วยความเห็นชอบ โดย “สภาประชาชน” ซึ่งเป็นสภาที่มาจากบุคคลเพียงบางกลุ่ม” ฯลฯ ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามหลักการของประชาธิปไตย Principle of Democracy เนื่องจาก “สภาประชาชน” มิใช่ “สภา” ที่สมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดย ผู้มีสิทธิออกเสียงทั่วประเทศ
(หมายเหตุ: ซึ่งก็ปรากฏ “ข้อเท็จจริง” ให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลปัจจุบัน รวมทั้งนักกฎหมายฝ่ายรัฐบาล ก็ มิได้พลาดโอกาส ที่จะย้ำแสดงให้เห็นความผิดพลาดของ “มวลมหาประชาชน” และ กปปส. ในการเสนอครั้งนี้ โดยกลุ่มนักกฎหมายดังกล่าวได้จัดให้มีการอภิปรายขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ (กลางเดือนมกราคม 2557) และได้ยกประเด็นความไม่ถูกต้อง (ตามกระบวนการประชาธิปไตย) ของ “สภาประชาชน” ขึ้นมาแถลงให้ประชาชนเห็นเพียงแต่ว่า ในการอภิปรายดังกล่าว บุคคลเหล่านี้จะพูดถึงความผิดพลาดในข้อเสนอของ กปปส. เพียงด้านเดียว และจะหลีกเลื่ยงไม่พูดถึง “ระบบเผด็จการของพรรคการเมืองนายทุน” ที่รัฐบาลกำลังผูกขาดอำนาจรัฐอยู่ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่ “ระบอบประชาธิปไตย” เช่นเดียวกัน)
ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอาจสรุปได้ว่า ดูเหมือนว่า มวลมหาประชาชนต้องการ “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” ทั้งๆ ที่มวลมหาประชาชนยังไม่แน่ใจว่า “การปฏิรูป (ที่มวลมหาประชาชน ต้องการทำก่อนการเลือกตั้ง)” นั้น หมายถึงการปฏิรูปเรื่องอะไรและมีวิธีการปฏิรูปอย่างไรและยังไม่ทราบว่า “การเลือกตั้ง (ที่มวลมหาประชาชนต้องการหลังปฏิรูป)” หรือ “การเลือกตั้ง (ที่มวลมหาประชาชนไม่ต้องการก่อนปฏิรูป)” นั้น หมายถึง การเลือกตั้งลักษณะไหน
ผู้เขียนคิดว่า มวลมหาประชาชน และ กปปส. น่าจะต้องทำความกระจ่าง และสื่อให้บุคคลภายนอกได้เข้าใจ “เหตุผล” ในการกระทำของ “มวลมหาประชาชน” ให้ชัดเจนมากกว่านี้เป็นต้นว่า การที่มวลมหาประชายนไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง วันที่ 2กุมภาพันธ์ 2557 เป็นเพราะ “(มวลมหาประชาชนไม่ต้องการ) การเลือกตั้งที่ ส.ส.เป็นทาสนายทุน” หรือ “(ไม่ต้องการ) รัฐธรรมนูญที่เป็นระบบเผด็จการนายทุน” หรือ “(ต้องการ) รัฐธรรมนูญที่เป็นระบอบประชาธิปไตย” หรือ ฯลฯ
● การทำให้ระบอบการปกครองของประเทศไทยเป็น “ประชาธิปไตย”
ทำอย่างไร นานาประเทศและเลขาธิการสหประชาชาติ (นาย บัน คำ มุน) จึงจะรู้ “ความจริง” และเข้าใจการกระทำ ของ “มวลมหาประชาชน” อย่างถูกต้อง (ซึ่งจะช่วยให้ความมุ่งหมายของ “มวลมหาประชาชน” ในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติประสบความสำเร็จ)
คำตอบอย่างง่ายๆ ก็คือ มวลมหาประชาชน และ กปปส. จะต้องทำให้นานาประเทศ รวมทั้งคนไทยทั้งประเทศ มองเห็น “ความจริง” ที่ว่า “ระบอบการปกครองของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ใช่ ระบอบประชาธิปไตย” และ การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ก็ไม่ใช่ ” การเลือกตั้ง ที่เป็น Democratic Process”
ด้วยเหตุนี้มวลมหาประชาชน และ กปปส. จึงได้ขัดขวางการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เพราะต้องการทำให้ “การเลือกตั้ง(ทั่วไป)” เป็นไปตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยเสียก่อน แล้วจึงจะจัดให้มีการเลือกตั้ง (ทั่วไป)
สำหรับการเสนอ “วิธีการปฎิรูป(ประเทศ)” ของ มวลมหาประชาชน และ กปปส. (ว่าด้วย “สภาประชาชน”) ก็เช่นเดียวกัน ผู้เขียนก็เห็นว่ามวลมหาประชาชน และ กปปส. น่าจะต้องเปลี่ยนแปลง “ข้อเสนอ” ในวิธีการปฏิรูปเพื่อให้วิธีการปฏิรูป (ประเทศ) ของมวลมหาประชาชนเป็นไปตามหลักการของ Democratic Process (ซึ่งจะได้กล่าว ในหัวข้อต่อไป)
ขณะนี้ “มวลมหาประชาชน” ทราบอยู่แล้วว่า “สิ่งที่เราไม่ต้องการ” ก็คือ เราไม่เอา “ระบอบทักษิณ”
ความเลวร้ายของ “ระบอบทักษิณ” (ซึ่งนอกจากเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมโหฬาร ทั้งทุจริตทางตรง และทุจริตทางนโยบายด้วยการใช้ “สภา” ออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตนเอง เอากิจการสื่อสารของรัฐไปขายให้แก่ต่างชาติออกกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เอากิจการผูกขาดของรัฐไปให้แก่ตนเองและพรรคพวก ออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ฯลฯ) มีมากมายเพียงใด ท่านคงฟัง “ข้อเท็จจริง” ที่มวลมหาประชาชนได้นำมาเปิดเผยในการปราศรัยที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และในเวทีอื่นๆ นับเวลากว่า 2-3 เดือนนี้และทราบกันดีอยู่แล้ว ผู้เขียนคงไม่จำต้องนำมากล่าวซ้ำอีก และเราคงไม่ เอาระบอบทักษิณแน่ๆ
แต่ข้อที่น่าสังเกต ก็คือ สิ่งที่คนทั่วๆ ไปได้ยินจาก “คำปราศรัย” ในเวทีต่างๆ ของมวลมหาประชาชน เป็นต้นว่า “ระบอบทักษิณเป็นระบบเผด็จการนายทุน” “ระบอบทักษิณ เป็น “ระบอบนายทุนสามานย์”ฯลฯ แต่สิ่งที่ผู้เขียนไม่ได้ยิน ก็คือ การบอกว่า “ระบอบทักษิณ” เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และ อะไรที่เป็น “สาเหตุ” ที่ทำให้ทักษิณสามารถซื้อ ส.ส. และผูกขาดใช้อำนาจรัฐ ทำการทุจริตคอร์รัปชันและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากทรัพยากรของชาติได้มากมายถึงเพียงนั้น
ดูเหมือนว่า ขณะนี้ เราทราบเพียงแต่ว่า เราไม่เอา “ระบอบทักษิณ” เพราะการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมโหฬาร ซึ่งมีข้อเท็จจริงที่ยืนยันมากมาย แต่เราไม่ทราบว่า อะไรคือ “สาเหตุ” ที่ทำให้ระบอบทักษิณสามารถ ทำการทุจริตคอร์รัปชันได้อย่างมโหฬาร
ในการให้สัมภาษณ์ใน FM TVครั้งแรก เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2556 ที่ผ่านมานี้ผู้เขียนได้นำ “ปัญหา” เรื่องบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของเรา ที่ได้สร้าง “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” (ฉบับเดียวในโลก) มาเสนอต่อท่านผู้ฟัง ซึ่งก็เป็นที่ประหลาดใจมาก ที่ปรากฏว่า การให้สัมภาษณ์ FM TV ของผู้เขียนครั้งแรกนี้ ได้มีผู้สนใจเข้ามาอ่านคำให้สัมภาษณ์ของผู้เขียนนี้ถึงหนึ่งแสนคนเศษ (หมายเหตุ ทั้งที่ ผู้เขียนได้เคยเขียนบทความต่างๆ ในประเด็นนี้ เพื่อเตือนนักกฎหมายและนักวิชาการของเรา มานานแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้ว)
“ระบอบทักษิณ” เกิดจาก บทบัญญัติเพียง 3 มาตราในรัฐธรรมนูญของเรา ซึ่งทำให้ระบอบการปกครองของเรา เป็น “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” (ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลก ไม่มีรัฐธรรมนูญของประเทศใดเขียนอย่างนี้) และ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
ระบอบการปกครองของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญของไทยฉบับปัจจุบัน ไม่ใช่ “ระบอบประชาธิปไตย” และ “การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗”ไม่ใช่เป็น “การเลือกตั้งที่เป็น Democratic Process”
(เพราะเป็นการเลือกตั้งที่ “ผู้สมัครรับเลือกตั้ง” ของเราถูกรัฐธรรมนูญบังคับ ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง ไม่สามารถสมัครโดยอิสระได้ และเมื่อได้รับการเลือกตั้งมาแล้ว ส.ส.ของเราไม่มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ของ ส.ส. ได้ตามมโนธรรมของตนเองหากแต่ต้องใช้สิทธิออกเสียงในสภา ตามมติสั่งการของพรรคการเมือง
(หมายเหตุ อันที่จริงแล้ว “การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557” ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของเรา นอกจากจะไม่ใช่ Democratic Process แล้ว ยังเป็น Process ในทางตรงกันข้าม คือ เป็นกระบวนการที่ธำรงรักษา “ระบบผูกขาดอำนาจของพรรคการเมืองนายทุน” ไว้อีกด้วย)
ในการทำให้ “ระบอบการปกครองของประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย เราจำเป็นต้องยกเลิก บทมาตรา 3 มาตราในรัฐธรรมนูญ (ที่ทำให้ระบอบการปกครองของเราเป็น “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา”) และคงต้องยกเลิก “ก่อนการเลือกตั้ง(ทั่วไป)” ทำเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้นทำพรุ่งนี้ได้ก็ดี
ในการให้สัมภาษณ์ FM TV ครั้งแรก ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วว่าถ้าไม่ยกเลิก “บทมาตราของรัฐธรรมนูญ” ที่สร้าง “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน” ที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลกนี้แล้ว เลือกตั้งอีกกี่ครั้ง “ระบอบทักษิณ” ก็จะกลับมาอีก;เหมือนกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2540 โดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2550 เมื่อปี พ.ศ. 2550 ; ซึ่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2550 นอกจากจะมองไม่เห็นและไม่ได้ยกเลิก “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” (ประเทศเดียวในโลก) ในรัฐธรรมนูญ ฉบับ ปี พ.ศ. 2540 แล้ว แต่ยังกลับแก้ไขเพิ่ม “มาตรการ” ที่ทำให้ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นอีกด้วยดังนั้น ระบบทักษิณจึงได้กลับมาอีก (หมายเหตุ ในประเด็น “วิวัฒนาการ” ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ของประเทศไทยโปรดดูได้จากบทความของผู้เขียน ในการบรรยายที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556)
ดังนั้น การล้มล้างระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนนี้ออกจากตัวบทรัฐธรรมนูญ จึงเป็น “สิ่งแรก” ที่จะต้องทำในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติ การล้มล้างระบบเผด็จการนี้ออกจากรัฐธรรมนูญ เป็นการแก้ปัญหาที่สำคัญ มากกว่าการปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง หรือการไล่ตามจับการซื้อขายเสียงในการเลือกตั้งเป็นรายกรณีตามที่พูดๆ กันอยู่
● การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับปัจจุบัน) เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็น “ประชาธิปไตย”
เราต้องไม่ลืมว่าการบริหารประเทศของ“รัฐ Modern State” ”ในยุคปัจจุบันรัฐจำเป็นต้องมี “รัฐธรรมนูญ”(ลายลักษณ์อักษณ) เป็นกฎเกณฑ์ในการจัดระบบสถาบันการเมืองในการบริหารประเทศ ไม่ว่า จะเป็นรัฐธรรมนูญ (หรือธรรมนูญ) ฉบับชั่วคราว หรือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร (ที่เราตั้งใจจะใช้ต่อไปเป็นเวลานาน) ก็ตาม
ดังนั้น เราจึงไม่สามารถพูดถึง การเปลี่ยนแปลงการจัดระบบสถาบันการเมืองฯโดยไม่พูดถึง การยกเลิกหรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ได้
ผู้เขียนไม่ทราบว่า ท่านผู้อ่านได้สังเกตบ้างหรือไม่ว่า ในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติครั้งนี้ นักกฎหมายและนักวิชาการของเราไม่(ค่อย)ได้พูดถึง “การแก้รัฐธรรมนูญ” ;กล่าวคือ นักกฎหมายและนักวิชาการของเรา พูดถึง “ระบอบทักษิณ ว่า เป็นระบบเผด็จการนายทุนสามานย์” แต่นักกฎหมายและนักวิชาการของเราไม่พูดถึง (และไม่ตรวจดู) บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่ทำให้เกิดระบบทุนสามานย์ ; นักกฎหมายและนักวิชาการของเรา พูดถึง “การไม่เอาระบอบทักษิณ” แต่นักกฎหมายและนักวิชาการของเราไม่พูดถึงการยกเลิกบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่ทำให้เกิด “ระบอบทักษิณ”; และนักกฎหมายและนักวิชาการของเรา พูดถึง “การปฏิรูป” แต่นักกฎหมายและนักวิชาการของเราไม่พูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า เป็นความแปลกประหลาด อย่างหนึ่งในวงการกฎหมายและวงการวิชาการของเรา
แต่ไม่ว่า ความแปลกประหลาดในวงการกฎหมายและวงการวิชาการของเรา จะเกิดขึ้นเพราะเหตุใด ในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอพิจารณาต่อไปว่า ถ้าเราจะทำให้ “ระบอบการปกครองของประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย” เราจะแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย(ที่เกี่ยวข้อง) อย่างไร และเราจะใช้เวลานานประมาณเท่าใด ก่อนที่จะมี “การเลือกตั้งทั่วไป”
เราได้กล่าวแล้วว่า “สิ่งแรก”ที่เราต้องทำในการทำให้การปกครองของเราเป็น “ระบอบประชาธิปไตย” คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยการยกเลิกบทมาตรา 3 มาตรา ที่ทำให้ระบอบการปกครองของไทย เป็น “ระบอบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภา” และถ้าหากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญโดยนักการเมืองนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองที่ผูกขาดอำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบัน เราก็จำเป็นต้องมีการ “ปฏิวัติ” เพื่อให้ได้มาซึ่ง อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่อย่างไรก็ตาม เราต้องระลึกด้วยว่าอำนาจรัฐที่ได้มาโดย “การปฏิวัติ” นั้น เป็นเพียงอำนาจยกเว้น ที่ใช้เพื่อแก้ปัญหาประเทศในยามวิกฤต เป็นการเฉพาะคราวเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อเราได้ยกเลิกบทมาตรา (3 มาตรา) ที่สร้าง “ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ออกไปรัฐธรรมนูญแล้ว เราก็ต้องกลับเข้าไปสู่หลักการของการปกครองระบอบประชาธิไตย ที่นานาประเทศยอมรับกันเป็นสากลโดยเร็ว นั่นก็คือ การมี “สภาผู้แทนราษฎร” ที่มี สมาชิกมาจากเลือกตั้งทั่วไป ที่ ประชาชนทั้งประเทศ ทำการเลือกตั้ง
“การปฏิวัติครั้งนี้(หากมี) ก็จะเป็นการปฏิวัติ (หรือรัฐประหาร) ที่แตกต่างกับการปฏิวัติหรือรัฐประหารครั้งก่อนๆ เพราะเป็น “การปฏิวัติ” เพื่อทำให้การปกครองประเทศของเราเป็น “ประชาธิปไตย” และหลุดพ้นจาก “ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” (ประเทศเดียวในโลก) และเป็น “การปฏิวัติ” เพื่อล้มล้าง “รัฐบาล” ที่เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐโดยอาศัยการเลือกตั้งภายใต้ระบบเผด็จการตามรัฐธรรมนูญ ที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชันและไม่ยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การปกครองประเทศเป็น “ประชาธิปไตย”
เราต้องไม่ลืมว่า คนที่คิดอย่าง “ทักษิณ” และอยากจะทำอย่าง “ทักษิณ” คงมิใช่มีแต่เพียงทักษิณคนเดียว ไม่ว่าจะในปัจจุบันนี้หรือในอนาคต และผู้เขียนเองก็ไม่อยากจะคิดว่า แม้ในขณะปัจจุบันนี้ ก็อาจยังมี “นักการเมือง” บางคนที่คิดอยากร่ำรวยอย่างทักษิณอยู่อีกก็ได้ และมีความหวังว่า เมื่อได้ไล่ทักษิณออกไปแล้ว ตนเองจะได้เข้าแทนที่ (หมายเหตุ โปรดสังเกตว่า เพราะเหตุใด จึงมีการพูดว่า ไม่เอาระบอบทักษิณ และต้องการการปฏิรูป แต่ทำไม จึงไม่มีการพูดว่า จะยกเลิกบทมาตราที่ทำให้เกิด “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน” ออกไปจากรัฐธรรมนูญ)
ถ้าเราต้องการเพียงเท่านี้ คือต้องการให้ประเทศไทยเป็น “ประชาธิปไตย” (หมายถึง “ประชาธิปไตย” ตามหลักสากล ไม่ใช่ประชาธิปไตย ตามแบบของนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองบอกให้เราเชื่ออยู่ทุกวันนี้) โดยที่เรายังไม่พิจารณาถึง “การปฏิรูป” หรือ“การปฏิรูปประเทศ” ; นอกจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกบทมาตรา 3 มาตราดังกล่าวแล้วเราก็แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเพื่อให้มีความเป็นกลางและเป็นธรรมมากขึ้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มบทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรอาสาสมัครที่เป็นกลาง) และแก้ไข “กลไกเกี่ยวกับการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้นและเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ชอบรับใช้นักการเมืองนายทุน ฯลฯ เพียงเท่านี้ ผู้เขียนก็คิดว่า เราสามารถจัดให้มี “การเลือกตั้งทั่วไป” ได้ทันที
ผู้เขียนคิดว่า ระยะเวลาที่แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมาย จนกระทั่งมี “การเลือกตั้งทั่วไป” ได้ คงจะใช้เวลาไม่เกิน 90 วันหรือ 3 เดือน และเราก็จะมีรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2550) มาใช้บังคับได้
ในกรณีนี้ “มวลมหาประชาชน” บางส่วน ก็อาจไปรวมตัวกัน ตั้งเป็นพรรคการเมืองพรรคใหม่ และส่งผู้สมัครเข้ารับเลือกในการเลือกตั้งทั่วไป และพิสูจน์กับพรรคเพื่อไทยของรัฐบาลดูว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปนั้น พรรคการเมืองใดจะมีจำนวน ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งมากกว่ากัน
ซึ่งผู้เขียนเองก็อยากจะทราบเหมือนกันว่า ในขณะนี้ คือ เมื่อสังคมไทยได้รับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “ระบอบทักษิณ” ตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ดี แล้ว ผลหรือ Profileของการออกเสียงเลือกตั้งของผู้มีสิทธิออกเสียงของเราในการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า(หลังจากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯแล้ว) จะเป็นอย่างไร
ผู้เขียนคิดว่า เมื่อระบอบการปกครองของเราเป็นประชาธิปไตยแล้ว และถ้ามาตรการที่เป็น “กลไกเกี่ยวกับการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน” ที่ได้แก้ไขไปโดยการใช้ “อำนาจรัฏฐาธิปัติ” ที่ได้มาจากการปฏิวัติไปนั้นพอเพียงก็น่าจะเป็นที่คาดหมายได้ว่า การซื้อขายเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ก็จะลดน้อยลง เนื่องจากนักการเมืองนายทุน มองไม่เห็นโอกาสที่จะ “ถอนทุนคืน” แม้ว่าตนจะได้กลับเข้าคุมเสียงข้างมากของ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร และได้มาเป็นรัฐบาลก็ตาม
“ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” เป็น ต้นเหตุโดยตรง ของการทุจริตคอร์รัปชัน เพราะการผูกขาดอำนาจรัฐ เป็น “มูลเหตุจูงใจ” ที่ทำให้นายทุนเจ้าของพรรคการเมืองลงทุนซื้อเสียงในการเลือกตั้ง เพื่อให้พรรคการเมืองของตนได้เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐใน “ระบบรัฐสภา” และทำการทุจริตคอร์รัปชันและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของส่วนรวม
การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศไทยเป็น “ประชาธิปไตย” โดยล้มล้างระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน (ประเทศเดียวในโลก) จะเป็นการแก้ปัญหาวิกฤตชาติ ในส่วนสำคัญ แม้จะไม่ทั้งหมด
แต่ถ้าเรา (คนไทย) ต้องการจะ “ปฏิรูป (ประเทศ)” ไปด้วย เราก็ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นมากกว่านี้ และต้องการ “ความรู้” มากกว่านี้ แน่นอน ก่อนที่เราจะรู้ว่า เราจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอย่างไรเพื่อการปฏิรูป(ประเทศ) เราก็คงต้องรู้ก่อนว่า “การปฏิรูปประเทศ คือ อะไร” เพราะมิฉะนั้นเราคงแก้รัฐธรรมนูญไม่ถูกซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อไป ในหัวข้อที่สอง
● แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะผ่านหัวข้อแรกนี้ไป ผู้เขียนมีประเด็นอยู่ประเด็นหนึ่งที่อยากจะขอย้ำไว้ในการสัมภาษณ์ FM TV ครั้งที่สอง (หรือในบทความ) นี้เพราะประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมากสำหรับการปฏิรูป (ประเทศ) ที่เรากำลังจะต้องทำ ต่อไป
ประเด็นที่ผู้เขียนเป็นกังวลก็คือ มาตรฐานความรู้ทาง “กฏหมายมหาชน” ของ นักกฎหมายและนักวิชาการ ของเรา
เพราะเท่าที่ปรากฏในขณะนี้ (ตามความเห็นของผู้เขียน) ผู้เขียนมีความเห็นว่ามาตรฐานความรู้ทางกฏหมายมหาชน ของเราต่ำกว่ามาตรฐานของประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นอย่างมาก; เราคงจำได้ ในการให้สัมภาษณ์FM TVครั้งแรก ผู้เขียนได้กล่าวว่า รัฐธรรมนูญของประเทศไทยในปัจจุบันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แต่เป็น “ระบอบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” ด้วยบทมาตรา ในรัฐธรรมนูญ 3 มาตรา ( คือ (1) การบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง / (2) การให้อำนาจพรรคการเมืองไล่ ส.ส.ให้พ้นจากสมาชิกภาพของการเป็น ส.ส. ได้ / และ (3) การกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส.เท่านั้น) ซึ่งรัฐธรรมนูญทั่วโลกเขาไม่มีบทบัญญัติเช่นนี้เพราะขัดกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย Principle of Democracy โดยเขายึดถือว่า ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งนั้น จะต้องมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. ได้ตามมโนธรรมของตน และต้องไม่อยู่ภายใต้อาณัติและการมอบหมายใดๆ
เราเป็น “ระบอบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา” อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2535 จนถึง พ.ศ. 2557 คือรวมเป็นเวลา กว่า 20 ปีมาแล้ว
ประเด็นสำคัญ ที่ผู้เขียนอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟังระลึกไว้เสมอก่อนที่จะทำการ “ปฏิรูปประเทศ” ครั้งนี้ ก็คือ เราได้เขียนรัฐธรรมนูญที่เป็นระบบเผด็จการโดยนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง (ฉบับเดียวในโลก) นี้ขึ้นมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วโดยที่นักกฎหมายและนักวิชาการของเราทั้งประเทศ ไม่เคยรู้เลยว่า รัฐธรรมนูญที่เราเขียนขึ้นมานี้ เป็นรัฐธรรมนูญเพียงประเทศเดียวในโลกที่เขียนเช่นนี้ ทั้งนี้ โดยยังไม่ต้องพูดถึงว่า นักกฎหมายและนักวิชาการของเราจะรู้หรือไม่รู้ว่า สิ่งที่เราเขียนขึ้นมานี้จะขัดหรือไม่ขัดต่อหลักการของระบอบประชาธิปไตย Principle of Democracy หรือไม่
นี่คือ มาตรฐานความรู้ “กฎหมายมหาชน” ของนักกฎหมายและนักวิชาการโดยทั่วไปของประเทศไทยในปัจจุบัน
ที่น่าวิตกยิ่งกว่านั้น ก็คือ ขณะนี้ได้มี “ข้อเท็จจริง” ที่แสดงให้เห็นถึงสภาพความล้าหลังของมาตรฐานความรู้กฎหมายมหาชนของวงการกฎหมายและวงการวิชาการไทย ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่นการที่วงการกฎหมายและวงการวิชาการของเรา “หลง” ประเด็น ในเรื่องการปฎิรูป (ประเทศ) ในประเด็นที่ว่า เราจะเลือก “ปฏิรูป ก่อน การเลือกตั้ง” หรือ “ปฏิรูป หลัง การเลือกตั้ง” โดยที่วงการกฎหมาย และวงการวิชาการของเราจำนวนไม่น้อย ที่มิได้สังวรว่า ความสำคัญของประเด็นนี้ มิได้อยู่ที่ว่า จะทำ “การปฏิรูป” ก่อนหรือหลัง การเลือกตั้ง แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า ใครหรือนักการเมิองกลุ่มใดจะเป็นผู้ที่มาควบคุม “การปฏิรูป (ประเทศ) ”
หรือตัวอย่างเช่น การที่ได้มีองค์กรบางองค์กร หรือบุคคลบางคนได้เสนอให้มี “การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” (วันที่ 2 กุมภาพันธ์) โดยจัดตั้งองค์กรปฏิรูปขึ้น ด้วยการออกเป็น “พระราชกำหนด” บ้างหรือโดยทำเป็น “ประกาศของส่วนราชการ” บ้าง หรือโดยให้พรรคการเมืองทุกพรรคมาให้คำปฏิญาณร่วมกันก่อนการเลือกตั้งบ้างฯ ลฯ โดยที่องค์กรหรือบุคคลเหล่านี้ไม่ได้คำนึงถึง “ข้อเท็จจริง” ว่า “ผลงานขององค์กรปฏิรูปที่ตั้งขึ้นโดยพระราชกำหนด หรือโดยประกาศของส่วนราชการ ฯลฯ ตามที่ตนเองเสนอนั้น ย่อมสามารถถูกลบล้างได้ทั้งสิ้นหลังการเลือกตั้ง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ถ้าหากการปกครองของประเทศไทย ยังคงเป็น “รัฐบาล” ในระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา อยู่
ข้อเท็จจริงเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า มาตรฐานความรู้ของนักกฎหมายและนักวิชาการไทยอาจเป็นอุปสรรคแก่การ “ปฏิรูปประเทศ” ที่เราจำเป็นต้องทำ
ขณะนี้ คือ ขณะที่เรากำลังพูดว่า เราจำเป็นจะต้องทำการ “ปฏิรูป(ประเทศ)” แต่ก็จะเป็น “การปฏิรูป” ในขณะที่ มาตรฐานความรู้กฎหมายมหาชนของวงการกฎหมายและวงการวิชาการของไทย ยังคงเป็นไปตามที่ปรากฏให้เห็นอยู่นี้ปัญหามีว่าเราจะปฏิรูป(ประเทศ)กันอย่างไร(?)
หลักประชาธิปไตย คือ 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
รวมแถลงการณ์ค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม (อัพเดท 1 พ.ย. 2556)
Sat, 2013-11-02 11:16
หลายกลุ่มออกแถลงการณ์และจดหมายเปิดผนึก คัดค้านพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
กลุ่มอาจารย์และนักวิชาการในวิชาชีพไอที (1 พ.ย. 2556)
แถลงการณ์กลุ่มอาจารย์และนักวิชาการในวิชาชีพไอที
ตามที่สภาผู้แทนราษฎรภายใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลได้ผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. …. (พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) ในวาระที่สามเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 และมีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา ๓ ความบางส่วนว่า
“..หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งภาย หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง..”
ซึ่งพ.ร.บ.นิรโทษกรรมดังกล่าว แปลความหมายได้ว่ามีเจตนาและความมุ่งหมายที่จะลบล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตต่าง ๆ และให้คดีที่ยังค้างคาเป็นอันต้องยุติไป ให้ผู้กระทำความผิดในคดีทุจริต ทั้งในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ พ้นจากความรับผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงนั้น
พวกเราในฐานะ กลุ่มอาจารย์และนักวิชาการในวิชาชีพไอที เห็นว่าการผ่านพรบ.ดังกล่าวจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการต่อสู้คอร์รัปชันในประเทศไทยและทำลายกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ถ้อยคำในร่างมาตรา ๓ เป็นการส่งเสริมการกระทำทุจริต ส่งผลให้ผู้มีส่วนสมรู้ร่วมคิดทั้งตัวการ ผู้สนับสนุน และผู้ถูกใช้ให้กระทำ ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งจะทำให้คอร์รัปชันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนมิอาจประมาณความสูญเสียได้
2. การล้างผิดในคดีทุจริตเป็นการทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง สังคมไทยและโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนชาติ จะมีค่านิยมใหม่ว่าโกงแล้วไม่มีความผิด โกงแล้วล้วนได้แต่ผลดี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวทางสังคมอย่างใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ไขได้
3. ถ้อยคำในร่างกฎหมายดังกล่าวส่งผลเสียโดยตรงและอย่างรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากถูกตัดโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมให้ถึง ที่สุด หมดโอกาสที่จะได้ใช้ความจริงพิสูจน์ข้อกล่าวหาและลบล้างความระแวงแคลงใจของคนในสังคม ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของประเทศก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่สามารถทำให้สังคมเชื่อในคำตัดสิน และไม่สามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมาย เพื่อชดใช้และรับผิดต่ออาชญากรรมร้ายแรงที่กระทำต่อแผ่นดินและคนไทยทั้งประเทศได้
4. ถ้อยคำในร่างมาตรา ๓ ดังกล่าว เกี่ยวพันกับประเด็นสาธารณะนำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นล้างผิด ทำลายหลักสิทธิมนุษยชน และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นประเด็นที่พวกเราล้วนยึดถือเป็นหลักในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ พวกเราในฐานะครูบาอาจารย์ที่สังคมให้การยอมรับนับถือ ได้สังเกตเห็นปรากฎการณ์ทางสังคมเหล่านี้มาระยะเวลาหนึ่ง มองเห็นความสั่นคลอนทางสังคมในหมู่ลูกศิษย์ของพวกเรา ที่ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มสีใด แม้จะมีความเห็นทางการเมืองต่างกัน แต่ก็ล้วนลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้านประเด็นสาธารณะนี้ร่วมกันด้วยหัวใจบริสุทธิ์ พวกเราไม่สามารถปล่อยให้อนาคตของชาติเหล่านี้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวได้ พวกเราเห็นควรแสดงจุดยืนและตอกย้ำน้ำหนักให้ลูกศิษย์เหล่านั้นสามารถเชื่อมั่น ในหลักการเหล่านี้อย่างเต็มภาคภูมิ เชื่อมั่นในเราในฐานะอาจารย์ เชื่อมั่นว่าประเทศชาติจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ร่วมกัน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กลุ่มอาจารย์และนักวิชาการในวิชาชีพไอทีจึงขอยืนยัน คัดค้านการผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และเน้นย้ำจุดยืนว่าบรรดาคดีในฐานความผิดคอร์รัปชันและคดีอาญาทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องของกระบวนการยุติธรรมในสังคม
ลงชื่อกลุ่มอาจารย์และนักวิชาการในวิชาชีพไอที ดังต่อไปนี้
1. รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ สถาบันไอเอ็มซี
2. ผศ.ดร เกริก ภิรมย์โสภา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. ผศ.ดร.ธนารัตน์ ชลิดาพงศ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4. ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์ สุรฤกษ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
5. อ.เชษฐ พัฒโนทัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
6. ผศ.นครทิพย์ พร้อมพูล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
7. ผศ.ดร.สุกรี สินธุภิญโญ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
8. ผศ.ดร. จารุโลจน์ จงสถิตย์วัฒนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
9. รศ.ดร.พันธุ์ปิติ เปี่ยมสง่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
10. ผศ.ดร.เขมะฑัต วิภาตะวนิช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
11. รศ. ณัฐวุฒิ ขวัญแก้ว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
12. ดร.ธนาวินท์ รักธรรมานนท์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
13. ดร.พีระ ลิ่วลม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
14. รศ.ดร.อุศนา ตัณฑุลเวศม์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
15. ดร.มนต์ชัย โศภิษฐกมล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
16. รศ.ยืน ภู่วรวรรณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
17. อ.กรวิทย์ ออกผล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
18. ผศ.ดร.ชวลิต ศรีสถาพรพัฒน์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
19. ดร.วาธิส ลีลาภัทร มหาวิทยาลัยขอนแก่น
20. ดร.กรชวัล ชายผา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
21. ดร.วิชชา เฟื่องจันทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
22. ผศ.บุญฤทธิ์ กู้เกียรติกูล มหาวิทยาลัยขอนแก่น
23. อ.อภิศักดิ์ พัฒนจักร มหาวิทยาลัยขอนแก่น
24. รศ.ดร.ตรัสพงศ์ ไทยอุปถัมภ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
25. ดร.นราธิป เที่ยงแท้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
26. รศ.ดร.สรรพวรรธน์ กันตะบุตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
27. ดร.ศรัญญา กันตะบุตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
28. ดร.สุดสงวน งามสุริยโรจน์ มหาวิทยาลัยมหิดล
29. ดร.จักริน สุขสวัสดิ์ชน มหาวิทยาลัยบูรพา
30. ดร.อุรีรัฐ สุขสวัสดิ์ชน มหาวิทยาลัยบูรพา
31. ดร.เอกสิทธิ์ เทียมแก้ว มหาวิทยาลัยนเรศวร
32. อ.พรพจน์ หันหาบุญ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี
33. ดร.ปกป้อง ส่องเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
34. ผศ.วิรัตน์ จารีวงศ์ไพบูลย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
35. ดร.วนิดา พฤทธิวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
36. รศ. ดร. ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
37. ดร.ภิญโญ แท้ประสาทสิทธิ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
38. อ.โอภาส วงษ์ทวีทรัพย์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
39. อ.สุธน แซ่ว่อง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
40. ดร.ฐิติมา ศรีวัฒนกุล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
41. อ.อารยา ฟลอเรนซ์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
42. ดร.ประสิทธิ์ นครราช มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
43. ผศ.ดร.มงคล ปุษยตานนท์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
44. ผศ.ดร.บงกช สุขอนันต์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
45. อ.ชยพล เหมาะเหม็ง มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
46. รศ.ธีรวัฒน์ ประกอบผล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
47. ดร.รุ่งรัตน์ เวียงศรีพนาวัลย์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
48. ดร.อนันต์ลดา โชติมงคล ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
49. นายเจษฎา จงสุขวรากุล ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
50. อ.จินดาพร หมวกหมื่นไวย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
51. อ.ทัศนีย์ กรองทอง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
52. อ.พรพิมล ตั้งชัยสิน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
53. อ.จีระพร สังขเวทัย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
54. อ.นิรมิษ เพียรประเสริฐ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
55. อ.พนมยงค์ แก้วประชุม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
56. อ.สุทธิพงษ์ พงษ์วร สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
57. อ.สุชิรา มีอาษา โรงเรียนนครนายกวิทยาคม จ.นครนายก
58. อ.สุนันทา พุฒพันธ์ โรงเรียนบ้านน้ำอ้อม จ.ยโสธร
59. อ.เสาวลักษณ์ เจ่าสกุล โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น
60. อ.วรวุฒิ วงศ์วีระขันธ์ โรงเรียนบ้านมูลนาค จ.ขอนแก่น
61. อ.สิริศักดิ์ สีนวล โรงเรียนปิยะจิต กรุงเทพฯ
ขบวนการประชาชน เพื่อสังคมที่เป็นธรรม (1 พ.ย. 2556)
ในสถานการณ์ที่การเมือง สังคมไทยกำลังถกเถียงเรื่อง พรบ.นิรโทษกรรม ในขณะนี้
ซึ่งมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายคัดค้าน และล่าสุด สภาผู้แทน ฯ ได้ลงมติเห็นชอบในวาระ ๓ ไปแล้ว โดยต่อไปก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการของวุฒิสภา
สถานการณ์ดังกล่าว ได้ทำให้เกิดความตรึงเครียดของคนในสังคม ซึ่งกังวลว่า ร่าง พรบ.นิรโทษกรรม ฉบับดังกล่าว จะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) จึงขอแสดงจุดยืน ไม่เห็นด้วยต่อการผลักดัน ร่าง พรบ.นิรโทษกรรม ฉบับดังกล่าว จึงได้ออกแถลงการณ์ เพื่อแสดงจุดยืนในครั้งนี้
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
เชื่อมั่นในพลังประชาชน
บก.ลายจุด (1 พ.ย. 2556)
"จม ถึงคุณทักษิณ และ พรรคเพื่อไทย"
ผมไม่สามารถกล่าวแสดงความยินดีกับคุณทักษิณได้
แต่อยากให้กำลังใจคุณทักษิณทำสิ่งที่ยากลำบากนี้ให้สำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำครั้งนี้และมองไม่เห็นประโยชน์รวมถึงความเป็นไปได้ในการนำประเทศชาติกลับสู่ความสงบสุขดังที่คุณทักษิณกล่าว แต่ผมตระหนักอยู่เสมอว่าสิ่งที่ผมเห็นเบื้องหน้าในขณะนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่คุณทักษิณมองไม่ออก นี่คือสิ่งที่คุณทักษิณและพทได้คำนวนอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าจะต้องเผชิญกับต้นทุนและความเสียหายมากน้อยเพียงใด แต่นั่นไม่ทำให้ความมุ่งมั่นที่จะผลักดัน พรบ นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยนี้หยุดลง นั่นเพราะคุณเห็นว่านี่คือหนทางเดียวและไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจึงยืนยันเช่นนั้น
ภาพรวมที่ผมเห็นและที่คุณทักษิณเห็นไม่เท่ากัน และอาจให้ความสำคัญต่อสิ่งเหล่านั้นแตกต่างกัน ต่อจากนี้พรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณซึ่งเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้น และต้องประคับประคองสถานการณ์บ้านเมืองให้ไปถึงการลดความขัดแย้งและการเริ่มต้นใหม่ดังที่ได้ประกาศไว้ให้จงได้ หรือไม่ก็ใกล้เคียง
ไม่ต้องห่วงว่าเสื้อแดงที่เห็นต่างจะล้มรัฐบาลที่เราเลือกมากับมือ แต่ก็ไม่มีหลักประกันหรือข้อผูกพันใด ๆ ที่พวกเราจะต้องเลือกคุณเป็นรัฐบาลในทุกครั้งไป
บก.ลายจุด
แดงเพื่อประชาธิปไตย
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มวันใหม่ (1 พ.ย. 2556)
แถลงการณ์ร่วม กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มวันใหม่
เรื่อง การนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งสุดซอย
ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้มีมติในการประชุมพิจารณาวาระที่สองเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2556 ให้แก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติให้มีผลกับการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2556 ไม่ว่าจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ หรือผู้ถูกใช้ แต่ไม่รวมถึงการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งจะทำให้มีผลครอบคลุมไปถึงผู้นำฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารที่มีอำนาจสั่งการสลายการชุมนุม และแกนนำผู้ชุมนุมประท้วงทุกฝ่ายด้วย และในเช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติในการประชุมวาระที่สาม เป็นคะแนนเสียงเห็นชอบ 310 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง จากผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 314 คน รับร่างพระราชบัญญัติแล้วนั้น
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยมีความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวนี้เป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองและสวัสดิภาพของประชาชน ทั้งยังเป็นการบิดเบือนหลักนิติรัฐและประชาธิปไตย เพราะในสังคมที่ยึดถือไว้ซึ่งหลักนิติรัฐ หลักประชาธิปไตย หลักสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนั้น ประชาชนย่อมคาดหวังว่าตนจะสามารถแสดงออกและเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมืองได้โดยได้รับความคุ้มครองโดยรัฐและกฎหมายจากภยันตรายต่างๆ และผู้ใดที่ประทุษร้ายต่อประชาชนก็ผู้นั้นก็จะต้องได้รับโทษ ถ้าหากว่าการนิรโทษกรรมเปิดช่องให้แกนนำผู้ชุมนุมและผู้มีอำนาจสั่งการของภาครัฐได้หลุดพ้นจากความผิดและข้อกล่าวหาทั้งปวงด้วยแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดที่ต้องมาเหลียวแลต่อความเสียหายของประชาชนอีก คนที่ตายก็ตายเปล่า คนที่เจ็บก็เจ็บฟรี คนที่ยังอยู่ก็ต้องอยู่อย่างหัวหด ไม่กล้ามีปากเสียงเพราะไม่มีหลักประกันว่าตัวเองจะไม่ตายเปล่าหรือเจ็บฟรี สังคมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยย่อมไม่อาจยอมรับสภาพเช่นนี้ได้ และยิ่งเมื่อการกระทำดังว่านี้เป็นฝีมือของผู้แทนของประชาชนที่เคยรับปากไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทวงคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหาย และยังเป็นการกระทำโดยอาศัยอำนาจแห่งหลักนิติรัฐและประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญมาใช้อย่างบิดเบือนด้วยแล้ว ยิ่งยอมรับไม่ได้
กว่าแปดสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยของเราได้พยายามที่จะพัฒนาโครงสร้างแห่งระบอบประชาธิปไตยให้ทัดเทียมกับบรรดาประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เรามีทั้งรัฐธรรมนูญ มีรัฐสภา มีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีศาลและองค์กรอิสระที่คอยตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลมากมายเต็มไปหมด มีอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางเมืองหลวง แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยให้ความสำคัญและพัฒนาขึ้นอย่างจริงจังนั่นคือวัฒนธรรมแห่งระบอบประชาธิปไตย วัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจสูงสุด การปกครองด้วยหลักนิติรัฐ การส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการคุ้มครองสิทธิอันพึงมีพึงได้ของประชาชน ประเทศไทยจึงยังคงมีผู้ก่อรัฐประหารที่สามารถเชิดหน้าชูตาอยู่ในแวดวงการเมืองได้ ยังคงมีคนเรียกร้องให้ทหารปกครองประเทศแทนพลเรือน ยังคงมีนักการเมืองที่ลืมคำสัญญาที่ให้กับประชาชนอย่างง่ายดาย ยังคงมีพรรคการเมืองที่เป็นเพียงเครื่องมือพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้นำพรรคเหนือผลประโยชน์ของผู้เลือกตั้งพรรค และยังคงมีการนิรโทษกรรมให้กับแกนนำและผู้สั่งการเพื่อเป็นทางออกสำหรับชนชั้นนำด้วยกันเองโดยไม่เห็นหัวประชาชนผู้เสียหายอยู่ตราบจนทุกวันนี้ วัฒนธรรมประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งที่สังคมประชาธิปไตยขาดไม่ได้ และหนึ่งในวัฒนธรรมที่สังคมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยจะต้องคำนึงถึง คือ การไม่ยอมให้ผู้ใดที่บงการให้เกิดการทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยและประทุษร้ายต่อประชาชนผู้แสดงออกทางการเมืองสามารถลบล้างความผิดที่ตนมีและโทษที่ตนต้องรับได้
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยจึงขอประกาศว่า เราจะไม่ยอมรับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งสุดซอยฉบับนี้เด็ดขาด ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการพิจารณาหลังจากนี้หยุดยั้งการผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้จงได้ และขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยผู้ริเริ่มการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งสุดซอยในครั้งนี้ ทบทวนถึงบทบาทหน้าที่ของตนในฐานะพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้พิทักษ์รักษาระบอบประชาธิปไตยและผลประโยชน์ของประชาชน หากมีโอกาสได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติอีกครั้งจะต้องไม่กระทำการซ้ำรอยเดิม และยุติความพยายามใดๆ ที่จะนิรโทษกรรมให้กับแกนนำผู้ชุมนุม และผู้มีอำนาจสั่งการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนอีก
ทั้งนี้ กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยเคยแสดงจุดยืนต่อการนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองไว้ว่า จะต้องไม่นิรโทษกรรมให้กับแกนนำผู้ชุมนุมและผู้มีอำนาจสั่งการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน เพราะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการกระทำของมวลชนและผู้ใต้บังคับบัญชาจึงต้องรับผิดชอบสูงสุดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะต้องนิรโทษกรรมให้กับการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายมาตรา 112 เพราะมาตรานี้ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือโจมตีผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง จะต้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับต่างๆ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการโดยตรง จะต้องดำเนินการออกกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างเร่งด่วนที่สุด และจะต้องมีมาตรการเยียวยาแก่ผู้ได้รับนิรโทษกรรมในความเสียหายแก่ทรัพย์สิน อิสรภาพ และทางทำมาหาได้ และในวันนี้เรายังคงยืนยันในจุดยืนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
ขอให้ทุกท่านอย่ามองแต่เพียงว่าเราเรียกในครั้งนี้เพื่อแก้แค้นหรือเป็นการจองล้างจองผลาญอย่างไม่จบสิ้น สิ่งที่เรามุ่งหวังคือการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ทางการเมือง และการสร้างบรรทัดฐานแห่งสังคมประชาธิปไตยที่จะไม่ยอมให้ผู้ใดบงการประทุษร้ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด แล้วหาทางนิรโทษกรรมตัวเองในภายหลังอยู่เรื่อยไป เพื่อให้การเมืองไทยมีความเข้มแข็ง เราเชื่อมั่นว่า หากการเรียกร้องในครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ จะเป็นการยืนยันถึงความเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของประชาชน และจะเป็นก้าวที่สำคัญในการสร้างวัฒนธรรมแห่งระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงสืบต่อไป
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มวันใหม่
1 พฤศจิกายน 2556
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (31 ต.ค. 2556)
เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ตามจดหมายเปิดผนึก ดังนี้
จดหมายเปิดผนึก
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เรื่อง ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อสถานการณ์ทางการเมือง
ด้วยสิทธิมนุษยชนเป็นหลักการซึ่งนานาประเทศต่างให้การคุ้มครองรับรองว่า สำคัญยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ที่จะดำรงตนด้วยความปลอดภัย อิสรภาพ ความยุติธรรม และสันติภาพ และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ยังได้ยืนยันโดยปรารภไว้ว่า เป็นการจำเป็นที่สิทธิมนุษยชนควรได้รับความคุ้มครองโดยหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
นายกรัฐมนตรี ได้ปาฐกถาต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ ๒๔ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน สรุปความตอนหนึ่งได้ว่า สิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจของประชาธิปไตยเราไม่สามารถและต้องไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย และต้องสนับสนุนคุณค่าประชาธิปไตยด้วยการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งประชาธิปไตยยังไม่ใช่เพียงเสียงข้างมาก แต่เป็นการใช้อำนาจในวิถีทางที่เคารพต่อเสียงส่วนน้อยด้วย
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ทางการเมืองภายในราชอาณาจักรไทย ณ ปัจจุบัน อยู่ในสภาวะที่ละเอียดอ่อน ประชาชนอันเป็นองคาพยพที่สำคัญยิ่งของรัฐยังมีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะนับแต่ได้มีความขัดแย้งทางการเมือง การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างรุนแรง และการละเมิดต่อกฎหมายอันเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติรัฐซึ่งสำคัญยิ่งในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการโต้แย้งในการตรากฎหมาย และเนื้อหาแห่งร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พ.ศ. .... ในกระบวนการนิติบัญญัติของรัฐสภาเนื่องด้วยมีทั้งกระแสสนับสนุนและคัดค้านของประชาชนในสังคมและมีแนวโน้มจะเกิดความรุนแรง สุ่มเสี่ยงที่จะกระทบต่อความมั่นคง การดำรงอยู่ของหลักนิติรัฐหลักนิติธรรมหลัก ธรรมาภิบาล อันเป็นสาระสำคัญยิ่งในการดำรงไว้ซึ่งหลักสิทธิมนุษยชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตยเช่น การลบล้างความผิดร้ายแรงซึ่งได้กระทำโดยเจตนาล่วงละเมิดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย อาจนำไปสู่การเป็นเยี่ยงอย่างให้มีการละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนซ้ำอีกในอนาคต
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอให้ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ดังนี้
๑) การพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ ที่อยู่ในขั้นตอนของรัฐสภา จะต้องยึดถือหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรมหลักธรรมาภิบาล และหลักสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากลโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR)และที่ปรากฏในหลักการเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยการต่อต้านการไม่ต้องรับผิดของผู้ทำผิด (Set of Principles for the Protection and Promotion of Human Rights Through Action to Combat Impunity --- สหประชาชาติรับรองเมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๕) ดังนั้น การตรากฎหมายที่มีความละเอียดอ่อนสมควรมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย
๒) ควรเร่งรีบพิจารณาถึงสวัสดิภาพของประชาชนที่มิใช่ผู้นำทางการเมือง ไม่ว่าจะมีความเห็นทางการเมืองไปในทิศทางใด แต่ได้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในกระบวนการยุติธรรมขั้นพื้นฐาน อันได้แก่ การถูกจับกุม การถูกกักขัง การอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือการถูกจำคุกด้วยเหตุที่มีความเห็นแตกต่างทางการเมือง เพื่อให้เกิดผลเห็นเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ จึงเห็นสมควรเสนอเจตจำนงมายังท่านเพื่อร่วมกันยึดมั่นในหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรมหลักธรรมาภิบาล หลักสิทธิมนุษยชน และหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่สำคัญอย่างยิ่งจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนในการแก้ไขปัญหา
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย (31 ต.ค. 2556)
แถลงการณ์เครือข่ายนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย
พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมกำลังสร้างวิกฤติที่อาจจะนำหายนะมาสู่สังคมไทย เครือข่ายนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยอันเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มนักวิชาการทั่วประเทศ ที่ได้ช่วยเสนอทางออกให้แก่สังคมมาในวิกฤติต่างๆ มาหลายครั้งแล้ว ได้วิเคราะห์ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เห็นว่าสังคมไทยทุกภาคส่วนควรจะต้องร่วมกันแก้ไขวิกฤติดังกล่าว ดังนี้
หนึ่ง รัฐบาลคือเจ้าภาพหลักที่ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบ ด้วยเป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและวิสัยทางการเมืองการปกครอง อีกทั้งรัฐบาลนี้ก็ได้นำเสนอเป็นนโยบายมาตั้งแต่ที่ได้หาเสียงเลือกตั้ง ร่วมกับที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา นั่นก็คือนโยบายที่จะสร้างความปรองดอง แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจังในเรื่องนี้ กลับปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐสภา ที่ความจริงรัฐบาลก็คุมเสียงข้างมาก แต่ก็ได้ปล่อยให้ปัญหาได้สั่งสมมาถึงขนาดนี้ รัฐบาลจึงต้องเร่งแก้ไขให้ปัญหานี้ยุติโดยเร็ว เช่น ขอให้ ส.ส.ของรัฐบาลถอน พ.ร.บ.นี้เสียก่อน แล้วไปเริ่มกระบวนการสร้างความปรองดองทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อดึงมาสู่การสร้างความปรองดองทางการเมืองต่อไป
สอง พรรคการเมืองและนักการเมืองที่แตกแยกกันอยู่ ที่ต่างก็มีมวลชนเป็นแนวร่วมจำนวนมาก ต้องไม่นำมวลชนออกมาเผชิญหน้ากัน การชุมนุมต้องเป็นไปอย่างสงบสันติ สร้างความรู้ ใช้เหตุผล และมองอนาคตของชาติร่วมกัน รวมทั้งมวลชนของภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ ก็ควรจะมีวิจารณญาณแยกแยะผลประโยชน์ของชาติออกจากผลประโยชน์ของนักการเมือง ไม่สนับสนุนกับการเอาแพ้เอาชนะของนักการเมืองที่ใช้ประชาชนและความหายนะของชาติเป็นสะพานทอดไปเสวยสุขซึ่งอำนาจและความมั่งคั่ง รวมทั้งการอยู่เหนือกฎหมายโดยใช้เสียงข้างมาก
สาม ภาคเศรษฐกิจและสังคม ทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกับท้องถิ่น ภาคประชาสังคม และกลุ่มองค์กรประชาชน จะต้องเตรียมพร้อมหากรัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบเข้าแก้ไขปัญหา ทั้งนักการเมืองและรัฐสภาก็ไม่สนใจที่จะคลี่คลายวิกฤติ กระทั่งสุ่มเสี่ยงต่อการล่มสลายของระบบรัฐสภาและรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะโดยกลุ่มอำนาจหรือกลุ่มมวลชน องค์กรในภาคส่วนต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นจะต้องยับยั้งและต่อต้านการกระทำการดังกล่าวในแนวทางสันติ ได้แก่ การไม่ยอมรับและป้องกันไม่ให้การใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญเช่นนั้นบังเกิดขึ้น
ประเทศไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดี แม้ว่าจะมีวิกฤติทางการเมืองมาหลายครั้ง ก็ยังสามารถกลับฟื้นและพัฒนาประเทศมาได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจัยานุภาพที่สำคัญประการหนึ่งก็คือความรัก ความสามัคคี และความเอื้ออาทร ที่เรามีต่อกันมาอย่างยั่งยืน การนิรโทษกรรมโดยการฝืนความรู้สึกของคนจำนวนมาก รังแต่จะทำให้ความแตกแยกในบ้านเมืองจะเพิ่มขึ้น การดับวิกฤติครั้งนี้จึงควรทำที่ต้นตอคือต้องถอนหรือยับยั้ง พ.ร.บ.ฉบับนี้เสียก่อน แล้วไปเริ่มต้นกระบวนการสร้างความปรองดองด้วยปัจจัยานุภาพที่มีอยู่ในสังคมไทยนั้นต่อไป
ชมรมแพทย์ชนบท (31 ต.ค. 2556)
แถลงการณ์ชมรมแพทย์ชนบท ฉบับที่ 1 วันที่ 31 ตุลาคม 2556
ขอให้รัฐบาลยุติการผลักดันร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยในทันที
สืบเนื่องจาก ร่าง พรบ.นิรโทษกรรมที่มีการแปรญัตติวาระสองในชั้นกรรมาธิการที่เปลี่ยนหลักการจากการนิรโทษกรรมเฉพาะชาวบ้านผู้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง มาเป็นการนิรโทษโทษกรรมสุดซอยให้กลับทุกกลุ่มคนอย่างเหมาเข่ง ดังที่ปรากฏในร่างมาตรา 3 ที่ว่า "ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง"
ชมรมแพทย์ชนบทได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในสามสี่วันนี้ที่มีความน่าเป็นห่วงยิ่ง เพราะเป็นการประลองใจประลองกำลังครั้งสำคัญภายใต้การผลักดัน พรบ.นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งของรัฐบาลเพื่อไทยที่ได้รับการคัดค้านทั่วสารทิศ ที่แม้แต่พี่น้องเสื้อแดงก็ยังคัดค้านการนิรโทษแบบสุดซอยเหมาเข่ง ที่ปล่อยคนผิดทุกกรณียกเว้น ม.112 ให้พ้นผิด และขายฝันว่า พรบ.ฉบับนี้เป็นการ set zero หรือเริ่มต้นกันใหม่ เพื่อให้ประเทศก้าวเดินไปข้างหน้าได้ แต่แท้จริงกลับจะยิ่งสร้างความแตกแยกร้าวลึก เกิดผลข้างเคียงจากการนิรโทษกรรมที่อาจตีความล้างผิดอย่างกว้างขวางเกินกว่าเหตุ ส่งผลให้คนธรรมดาที่เสียชีวิตจากการชุมนุมต้องตายฟรี คนสั่งฆ่าหรือคนโกงกินคนที่ศาลตัดสินว่ามีความผิดกลับสามารถเดินยิ้มลอยนวลในสังคมได้ เป็นบาดแผลและเป็นชนวนสู่ความแตกแยกอีกยาวนาน
สถานการณ์การชุมนุมที่กรุงเทพในหลายพื้นที่ทั้งอุรุพงษ์ สวนลุม สามเสน สีลมหรืออนุสาวรีย์ จะมีความครุกกรุ่นและสุ่มเสี่ยงต่อความไม่แน่นอนสูง และในต่างจังหวัดกำลังจะมีการชุมนุมด้วยในหลายจังหวัดใหญ่ๆ ตำรวจเริ่มตรวจแหลกตั้งด่านสกัดไม่ให้ผู้คนเข้ากรุงเทพมาร่วมการชุมนุม รัฐบาลคงเพิ่มพื้นที่ที่จะประกาศ พรบ.ความมั่นคงเพิ่มเติมเพื่อควบคุมการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมคงไม่สนและยืนยันจะชุมนุมท้าทายอำนาจรัฐ อีกทั้งด้วยการสื่อสารในยุคโซเชียลมีเดียที่มีพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย จะทำให้สถานการณ์ในช่วงนี้มีความยากในการกุมสภาพ มีความไม่แน่นอนสูง มือที่หนึ่งสองสามต่างชิงไหวชิงพริบ ตามทฤษฎีไร้ระเบียบ ช่วงนี้นับเป็นช่วงเวลาที่เข้าสู่สถานะที่ยุ่งเหยิงจนไม่อาจทำนายอนาคตได้
ชมรมแพทย์ชนบทจึงขอเรียกร้องต่อสมาชิกและรัฐบาลดังนี้
1. ขอให้สมาชิกชมรมแพทย์ชนบท พี่น้องชาวโรงพยาบาลชุมชน พี่น้องชาวโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พี่น้องชาวกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งชาวไทยผูั้รักประเทศชาติทุกท่าน ทุกท่านต่างมีวิจารณญาณของตนเองต่อ พรบ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครใคร่ทำอะไรก็รีบทำ เพราะเราก็คือประชาชนเจ้าของประเทศคนหนึ่ง ประเทศชาติก็เป็นของเราด้วย อย่างน้อยก็ให้ความเห็น แชร์ความคิด เขียนป้ายบอกทัศนะและจุดยืนติดหน้าบ้านหน้าโรงพยาบาล แม้แต่ถ่ายรูปพร้อมป้ายจุดยืนส่วนบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ตามแต่ การกดดัน สส.ในพื้นที่ การสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ป่วยและญาติที่มารับบริการ หรือแม้แต่ร่วมการชุมนุม ด้วยความหวังว่า พลังมติมหาชนไม่เอานิรโทษกรรมเหมาเข่งจะทำให้ฝ่ายรัฐบาลยอมถอย ถอยก่อนที่จะเป็นชนวนไปสู่ความรุนแรงและการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ไม่อาจหวลกลับ
2. ขอให้รัฐบาลยกเลิกการผลักดัน พรบ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ในทันที แล้วกลับไปตั้งต้นที่ร่าง พรบ.นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทั่วไปที่กระทำความผิดจากการเข้าร่วมการชุมนุมเท่านั้น โดยไม่นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งแก่ระดับแกนนำ ดังที่เสียงของประชาชนทุกกลุ่มเรียกร้อง
ด้วยความเป็นแพทย์ ชมรมแพทย์ชนบทไม่อยากให้ต้องมีการสูญเสียใดๆอีกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ขอให้ทุกฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างมีสติ เดินหน้าสู่เป้าหมายด้วยสันติวิธี
นายแพทย์เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ
ประธานชมรมแพทย์ชนบท
31 ตุลาคม 2556
นิติราษฎร์ (31 ต.ค. 2556)
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อ่านแถลงการณ์นิติราษฎร์ ต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ห้องประชุม LT1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังนี้
ความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... และข้อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร
ตามที่นายวรชัย เหมะ กับคณะได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยมีหลักการและเหตุผลคือ ให้นิรโทษกรรมแก่ประชาชนที่กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมือง เพื่อเป็นการให้โอกาสแก่ประชาชนซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศ รักษาและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง อันจะเป็นรากฐานที่ดีของการลดความขัดแย้ง และสร้างความปรองดอง และต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติในวาระที่หนึ่งรับหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาและมีมติแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว โดยขยายการนิรโทษกรรมครอบคลุมไปถึง “บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมา ที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง” แต่ไม่นิรโทษกรรมให้แก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
เมื่อพิจารณาจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่งแล้ว พบว่าสภาผู้แทนราษฎรนิรโทษกรรมเฉพาะแก่ “บุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่การกระทำนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใดเพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการชุมนุม การประท้วง หรือการแสดงออกด้วยวิธีการใด ๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น” จากถ้อยคำดังกล่าว เมื่อพิจารณาประกอบกับหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ที่ถูกเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร จะเห็นได้ว่า สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนผู้กระทำการตามที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น โดยไม่นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม ทั้งไม่นิรโทษกรรมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 แต่อย่างใด และเมื่อพิจารณาประกอบกับชื่อของร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวที่ใช้ชื่อว่า “ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ....” แล้ว ยิ่งทำให้เห็นประจักษ์ชัดว่าร่างพระราชบัญญัติฯ นี้มุ่งหมายนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯได้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ให้รวมถึงบุคคลอื่นนอกจากประชาชน จึงเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมที่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่หนึ่ง อันเป็นการต้องห้ามตามข้อ 117 วรรคสามแห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้กระบวนการตราพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพราะข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ห้ามมิให้การแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติในวาระที่สองขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ
นอกจากประเด็นปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว คณะนิติราษฎร์เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ยังมีปัญหาในประการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1) การนิรโทษกรรมตามที่ปรากฏในร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ซึ่งครอบคลุมไปถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมอันนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนที่เข้าร่วมในการชุมนุมนั้น นอกจากจะไม่เป็นธรรมต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุมแล้ว ยังขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) การปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทำการละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกายของประชาชนรอดพ้นจากความรับผิดดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาในอดีตนอกจากจะเป็นการตอกย้ำบรรทัดฐานที่เลวร้ายให้ดำรงอยู่ต่อไปแล้ว ยังสร้างความเคยชินให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหาร ในการปฏิบัติต่อประชาชนในลักษณะดังกล่าวข้างต้นโดยไม่ต้องกังวลว่าตนจะต้องรับผิดในทางกฎหมายในอนาคต
2) ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้นนั้น กำหนดยกเว้นไม่นิรโทษกรรมให้แก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ถึงแม้ว่าการกระทำความผิดของบุคคลนั้นจะเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม การบัญญัติกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ย่อมขัดหรือแย้งกับหลักแห่งความเสมอภาคที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 30 เนื่องจากหลักดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐต้องปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญเหมือนกัน ให้เหมือนกัน และปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญแตกต่างกันให้แตกต่างกันออกไปตามสภาพของสิ่งนั้นๆ การนิรโทษกรรมตามความมุ่งหมายของร่างพระราชบัญญัตินี้มีสาระสำคัญอยู่ที่การยกเว้นความผิดให้แก่บุคคลที่กระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นจะเป็นความผิดฐานใด ดังนั้น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตัดมิให้ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ได้กระทำไปโดยมีความเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นการปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระอย่างเดียวกันให้แตกต่างกัน และขัดต่อหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ
3) เนื่องจากการนิรโทษกรรมในครั้งนี้ มีผลกับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งครอบคลุมเหตุการณ์จำนวนมาก มีบุคคลที่อาจได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้หลายกลุ่ม และบุคคลดังกล่าวถูกดำเนินคดีในขั้นตอนที่แตกต่างกัน จากเหตุหลายประการดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความซับซ้อนจนหลายกรณีไม่อาจระบุลงไปให้แน่ชัดได้ว่าบุคคลใดบ้างเข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรม ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล แล้วแต่กรณี มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว จึงอาจทำให้การวินิจฉัยไม่เป็นเอกภาพ ส่งผลให้เกิดความไม่เสมอภาคในชั้นของการบังคับใช้กฎหมายในท้ายที่สุด
4) ถึงแม้ว่ากระบวนการกล่าวหาบุคคลที่เกิดขึ้นโดยองค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 จะดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม และบุคคลที่ถูกกล่าวหาและถูกพิพากษาว่ามีความผิดสมควรได้รับคืนความเป็นธรรมก็ตาม แต่โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้มุ่งหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลที่กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งมีสภาพและลักษณะของเรื่องแตกต่างไปจากการกระทำของบุคคลที่ถูกกล่าวหาโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ประการสำคัญ ในสภาวการณ์ความขัดแย้งของสังคมขณะนี้ การเสนอให้นิรโทษกรรมแก่บุคคลดังกล่าวอาจเหนี่ยวรั้งให้การหาฉันทามติในการนิรโทษกรรมแก่ประชาชนเป็นไปอย่างล่าช้า หรือไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ทั้งนี้ การแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมให้กับบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการทำรัฐประหารสมควรกระทำด้วยการลบล้างผลพวงของรัฐประหารตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์
5) มีข้อสังเกตว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการนิรโทษกรรมให้กับการกระทำความผิดใด ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่พ.ศ. 2547 จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติที่ผ่านการรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ซึ่งนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 การกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการนิรโทษกรรมตั้งแต่พ.ศ. 2547 อาจส่งผลให้มีเหตุการณ์หรือการกระทำความผิดบางอย่างที่ไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหารเมื่อวันที่ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ด้วย
6) นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตด้วยว่า โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้กำหนดให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบต่อเนื่องมา ไม่ว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงนั้น เมื่อพิจารณาจากคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงย่อมทำให้รัฐต้องคืนสิทธิให้แก่ผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรม เช่น ในคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ได้รับนิรโทษกรรมแล้ว รัฐมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินที่ยึดมาตามคำพิพากษาให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา ถึงแม้ว่าคณะนิติราษฎร์จะเห็นว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาหรือถูกพิพากษาว่ากระทำความผิดโดยองค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการที่จะได้รับคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดไปโดยกระบวนการทางกฎหมายที่เชื่อมโยงกับการทำรัฐประหาร แต่การที่จะได้รับคืนทรัพย์สินดังกล่าวนั้นควรจะต้องเป็นไปโดยหนทางของการลบล้างคำพิพากษาตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร มิใช่โดยการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัติฯ นี้
ข้อเสนอคณะนิติราษฎร์
โดยเหตุที่ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ มีปัญหาบางประการดังกล่าวมาข้างต้นคณะนิติราษฎร์ จึงขอเสนอแนวทางแก้ปัญหา ดังต่อไปนี้
1) ต้องแยกบุคคลซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแต่กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง ออกจากบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
2) ให้ดำเนินการนิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแต่กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่นิรโทษกรรมให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง ตลอดจนการสลายการชุมนุมไม่ว่าจะได้กระทำการในฐานะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติการ และไม่ว่าจะกระทำในขั้นตอนใด ๆ ทั้งนี้ ตามร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้ง ที่คณะนิติราษฎร์ได้เคยเสนอไว้
3) สำหรับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ให้ลบล้างคำพิพากษา คำวินิจฉัย ตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาในทุกขั้นตอนที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำรัฐประหาร ทั้งนี้ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร
4) อย่างไรก็ตาม โดยเหตุที่ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ไม่ได้รับการพิจารณานำไปปฏิบัติจากผู้เกี่ยวข้อง ประกอบกับขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการนิรโทษกรรมอยู่ในระหว่างการพิจารณาในวาระที่สองของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้การนิรโทษกรรมแก่ประชาชนซึ่งกระทำความผิดหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอันเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองเป็นไปโดยรวดเร็วภายใต้ข้อจำกัดที่เป็นอยู่ คณะนิติราษฎร์จึงเสนอให้พิจารณาดำเนินการดังต่อไปนี้
4.1 เนื่องจากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติฯ จนขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ทำให้มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จึงไม่สามารถใช้เป็นฐานในการพิจารณาในวาระที่สองได้ ด้วยเหตุนี้ สภาผู้แทนราษฎรจึงสมควรแก้ไขความบกพร่องดังกล่าวโดยการลงมติว่ากระบวนการตราพระราชบัญญัติฯ นี้ขัดกับข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรข้อ 117 วรรคสาม เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตกไป
4.2 ให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติยกเลิกคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ชุดเดิม และมีมติตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาเพื่อเริ่มพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ในวาระที่สองใหม่
คณะนิติราษฎร์: นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
31 ตุลาคม พ.ศ. 2556
คณาจารย์และบุคลากร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (31 ต.ค. 2556)
แถลงการณ์คณาจารย์และบุคลากร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
เรื่อง การคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบยกเว้นความรับผิดในทุกกรณี
การที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่มีการแก้ไขมาตรา 3 ความว่า ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง หรือกล่าวโดยง่ายว่าเป็นการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบยกเว้นความรับผิดในทุกกรณี ในวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2556 นั้น
คณาจารย์และบุคลากรของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ตามรายนามที่แนบ ขอคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งจะทำให้บุคคลพ้นจากความรับผิดในทุกกรณี ทั้งนี้ พวกเราเห็นว่าผู้มีความผิดกรณีทุจริต และคอร์รัปชั่นซึ่งคือความผิดที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายอาญา อันได้แก่ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดที่เกี่ยวกับความยุติธรรม และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ไม่ควรได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับนี้ มิฉะนั้นแล้วจะทำให้การทุจริต คอร์รัปชั่น กลายเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องของสังคม
แม้ว่าการออกกฎหมายนิรโทษกรรมจะเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ในการใช้อำนาจดังกล่าวควรพิจารณาผลที่จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลที่จะกระทบต่อความยั่งยืนของฐานรากสังคม
31 ต.ค. 56
1.รศ.ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์
2.รศ.ดร.ธวัชชัย ศุภดิษฐ์
3.รศ.ดร.ระวีวรรณ เอื้อพันธ์วิริยะกุล
4.รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
5.รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน
6.ดร.จุฑารัตน์ ชมพันธุ์
7.ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต
พร้อมทั้งคณาจารย์และบุคลากรที่ลงนาม รวมจำนวนทั้งสิ้น 491 คน
สื่อเครือมติชน (31 ต.ค. 2556)
หมายเหตุมติชน : หยุดเพื่อส่วนรวม
ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิด เนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ.... หรือเรียกย่อๆ ว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เดิมมีหลักการตามที่ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และพวกเสนอ คือให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกสีเสื้อที่กระทำความผิดในเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง โดยหลักการดังกล่าวมีการตอกย้ำหลายครั้ง ทั้งที่เป็นมติของพรรคเพื่อไทย ทั้งที่เป็นคำอภิปรายในการพิจารณาวาระ 1 ของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว
แต่คณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาในมาตรา 3 ขยายขอบเขตการนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมถึงผู้สั่งการ และแกนนำการชุมนุม ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดโดยองค์กรที่ตั้งขึ้นหลังการรัฐประหาร 2549 ที่เรียกกันว่า "สุดซอย" หรือ "เหมาเข่ง" ซึ่งอาจมีแกนนำพรรคได้รับประโยชน์ด้วยและแตกต่างจากเนื้อหาเดิมที่เสนอต่อสภา จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
ข้อเสนอที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในเบื้องแรก คือนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชน ไม่รวมผู้สั่งการและแกนนำ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นการนิรโทษกรรมผู้สั่งการและแกนนำด้วย สังคมและสาธารณชน ไม่ได้รับรู้ ไม่ได้เตรียมความคิดมาก่อน ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ จึงเกิดปฏิกิริยาและคำถาม ทำให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งควรจะเป็นร่างกฎหมายที่นำไปสู่ความปรองดอง กลับกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดเหตุการณ์ตึงเครียด กระทั่งน่าหวาดวิตกว่า จะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงซ้ำรอยเดิม
"มติชน" มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การเมืองที่เกิดจากความเห็นต่าง และผลกระทบ ที่จะเกิดจากร่าง พร.บ.นี้ โดยเฉพาะคดีสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ซึ่งกระบวนการยุติธรรมกำลังทำหน้าที่พิสูจน์ข้อเท็จจริง บางคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน บางคดีอยู่ในชั้นอัยการ และบางคดีกำลังเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล ผลการพิสูจน์ข้อเท็จจริงแต่ละคดีจะออกมาเช่นไรย่อมขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรตีตนไปก่อนไข้หรือคาดการณ์ในเชิงลบ เพื่อใช้เป็นข้ออ้าง ปฏิเสธกระบวนการนี้
สังคมไทยผ่านความขัดแย้งอย่างรุนแรงมาแล้ว ขณะนี้อยู่ในห้วงเวลาการฟื้นฟูความบอบช้ำ เสียหายในด้านต่างๆ ไม่ใช่เวลาที่จะมาสร้างเงื่อนไข ผลักมิตรเป็นศัตรู เพิ่มบรรยากาศของความเป็นปฏิปักษ์
"มติชน" จึงขอเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลในฐานะพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ทบทวน ยุติ ระงับการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในแนวทางที่เป็นปัญหานี้ทันที และกลับคืนสู่แนวทางอันเป็นที่ยอมรับ หรือแนวทางที่สภารับหลักการในวาระที่ 1 โดยคำนึงถึงเหตุผลดังที่กล่าวมาข้างต้น และยึดถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันแท้จริงในการสร้างสังคมไทยให้กลับคืนสู่ความปรองดองอย่างแท้จริง
มติชน 31 ต.ค.2556
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน (30 ต.ค. 2556)
แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เรื่อง หยุดการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรม หยุดการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย
การแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรมที่กำลังบังเกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยนับว่าเป็นการกระทำที่ “บิดเบือน” ต่อหลักการสำคัญของกฎหมายนิรโทษกรรมที่ได้มีการนำเสนอไว้ในวาระแรกอย่างแจ้งชัด ความเร่งรีบต่อการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวก็ยิ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษอันบิดเบี้ยวฉบับนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธ
กฎหมายนิรโทษกรรมเป็นส่วนหนึ่งที่มีความจำเป็นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ประเด็นสำคัญของกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งพอจะเป็นที่ยอมรับกันได้อย่างกว้างขวางในชั้นต้นก็คือ การนิรโทษกรรมให้แก่บรรดามวลชนที่เข้าร่วมการชุมนุมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดหรือสีใดก็ตาม ซึ่งก็ได้เป็นส่วนสำคัญของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่เสนอในวาระแรกโดย ส.ส. ของพรรคเพื่อไทยเอง รวมทั้งการยืนยันว่าจะไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาผู้นำ ผู้สั่งการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ได้กระทำความผิดอย่างรุนแรงต่อการทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชนขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมาสู่การพิจารณาในวาระที่สอง พรรคเพื่อไทยก็ได้ปฏิบัติการ “ตระบัดสัตย์” ต่อหลักการที่นำเสนอมา
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มีความเห็นต่อกรณีดังกล่าว ดังต่อไปนี้
ประการแรก การออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งซึ่งทำให้บุคคลทุกฝ่ายพ้นไปจากความผิด จะเป็นการกระทำที่ทำให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยถูกซุกเข้าไปอยู่ใต้พรมอีกครั้งหนึ่ง นอกจากจะทำให้บุคคลซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามสามารถลอยนวลไปจากความผิดแล้ว สังคมไทยจะไม่ได้เรียนรู้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมาบังเกิดขึ้นได้อย่างไร และโดยกระบวนการอย่างไร และใครบ้างที่ควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ อันจะเป็นประเด็นสำคัญต่อการทำความเข้าใจและนำไปสู่การพยายามป้องกันไม่ให้ความรุนแรงได้บังเกิดซ้ำรอยขึ้นอีกในอนาคต
ประการที่สอง แม้กฎหมายนิรโทษกรรมอยู่ในอำนาจทางการเมืองของฝ่ายนิติบัญญัติก็ตาม แต่การใช้อำนาจในทางการเมืองก็ต้องตระหนักถึงผลกระทบที่จะติดตามมาจากการใช้อำนาจดังกล่าว ซึ่งกรณีการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรมโดยพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนว่ากำลังสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงการไม่เห็นด้วยในหมู่ญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ บรรดาแกนนำหรือนักการเมืองฝ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก็ต่างพร้อมเข้าสู่กระบวนการพิจาณาคดีเพื่อให้ความจริงปรากฏ ความพยายามในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งของพรรคเพื่อไทยจึงไม่อาจถูกมองไปเป็นอย่างอื่นได้นอกจากการมุ่งรับใช้ “นายใหญ่” แบบไม่ลืมหูลืมหา กระทั่งไม่สนใจว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวจะสร้างผลเสียเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด
ประการที่สาม แม้ว่าฝ่ายเสื้อแดงจำนวนหนึ่งอาจไม่อยากแสดงความขัดแย้งต่อพรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีความเห็นว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพันธมิตรกับฝ่ายตนเองมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ แต่ต้องพึงตระหนักว่าการจะสัมพันธ์กับพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดๆ ก็ตาม พรรคการเมืองก็จะต้องรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของบุคคลผู้ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรค หากพรรคการเมืองใดตัดสินใจดำเนินนโยบายของตนไปโดยเห็นแก่ผู้มีอำนาจภายในพรรคและไม่เห็นหัวฐานเสียงของพรรค ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้การสนับสนุนพรรคดังกล่าวต่อไป
มวลชนคนเสื้อแดงควรต้องตระหนักว่าพรรคเพื่อไทยก็จะอยู่ในภาวะเฉกเช่นเดียวกันกับพรรคการเมืองอื่นๆ หากยังคงดำเนินการไปในลักษณะที่ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเสียงเรียกร้องที่ได้บังเกิดขึ้น ทั้งต้องตระหนักว่าการปกป้องระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่การปกป้องพรรคเพื่อไทย หากมวลชนคนเสื้อแดงไม่สามารถกดดันให้พรรคเพื่อไทยทำการแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรมได้ก็แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยก็พร้อมจะทิ้งกลุ่มที่เป็นมวลชนของพรรคไปได้อย่างง่ายดายเช่นกัน พรรคการเมืองเช่นนี้ย่อมไม่สามารถฝากความหวังต่อการพัฒนาประชาธิปไตยต่อไปได้อย่างแน่นอน
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่ตระหนักถึงความจำเป็นของการออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้ร่วมกันกดดันและปฏิบัติการเพื่อยุติการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรมและการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย ด้วยการแสดงความเห็นคัดค้านและถอนตัวจากการมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นการแสดงถึง “อำนาจ” ของประชาชนในการกำกับนโยบายและทิศทางของพรรคการเมือง ทั้งนี้จะไม่เพียงเป็นการสั่งสอนพรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากยังจะเป็นบทเรียนให้กับพรรคการเมืองอื่นๆ ได้ตระหนักต่อไปถึงความสำคัญของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมืองต่อไปในวันข้างหน้า
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
30 ตุลาคม 2556
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ และภาคีภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุน (28 ต.ค. 2556)
แถลงการณ์
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ และภาคีภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุน คัดค้านล้างผิดคดีโกง
ตามที่กรรมาธิการเสียงข้างมากในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. …. (พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) มีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ความบาง ส่วนว่า “..หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง..” ซึ่งมองได้ว่ามีเจตนาและความมุ่งหมายที่จะลบล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตต่าง ๆ และให้คดีที่ยังค้างคาเป็นอันต้องยุติไป ให้ผู้กระทำความผิดในคดีทุจริต ทั้งในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ พ้นจากความรับผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงนั้น
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และสมาชิกองค์กรภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุน อาทิ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สำนักงานคณะ กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่งประกอบด้วยสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมนัก วิเคราะห์หลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เห็นว่ามติดังกล่าวจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการต่อสู้คอร์รัปชันที่ทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชน เอกชน รวมถึงภาครัฐที่รัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นแกนหลัก ได้พยายามขับเคลื่อนร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. เป็นที่ทราบว่าสถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทยมีความรุนแรงมากขึ้น ในทุกระดับ ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ตัวเลขจากการศึกษาพบว่าประเทศไทยสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปกับการทุจริตมากกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่สามารถนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้อย่างมาก
2. ถ้อยคำแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา ๓ เป็นการส่งเสริมการกระทำทุจริต ส่งผลให้ผู้มีส่วนสมรู้ร่วมคิดทั้งตัวการ ผู้สนับสนุน และผู้ถูกใช้ให้กระทำ ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งจะทำให้คอร์รัปชันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนมิอาจประมาณความสูญเสียได้
3. การล้างผิดในคดีทุจริตเป็นการทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง สังคม ไทยและโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนชาติ จะมีค่านิยมใหม่ว่าโกงแล้วไม่มีความผิด โกงแล้วล้วนได้แต่ผลดี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวทางสังคมอย่างใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ไขได้
4. มติแก้ไขเพิ่มเติมในร่างกฎหมายดังกล่าว ส่งผลเสียโดยตรงและอย่างรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากถูกตัดโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด หมดโอกาสที่จะได้ใช้ความจริงพิสูจน์ข้อกล่าวหาและลบล้างความระแวงแคลงใจของคนในสังคม ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของประเทศก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่สามารถทำให้สังคมเชื่อในคำตัดสิน และไม่สามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมาย เพื่อชดใช้และรับผิดต่ออาชญากรรมร้ายแรงที่กระทำต่อแผ่นดินและคนไทยทั้งประเทศได้
5. รัฐบาลได้เคยแสดงความมุ่งมั่นที่จะต่อต้านคอร์รัปชัน โดยนำส่วนราชการต่าง ๆ ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ให้คำมั่นว่าการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันถือเป็นภารกิจหน้าที่ และนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและข้าราชการทุกคน ทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ พร้อมกับได้วางยุทธศาสตร์ มาตรการต่างๆ รวมถึงสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม ทว่า การแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ขัดแย้งอย่างชัดแจ้งต่อคำประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาล ซึ่งส่งจะผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความพยายามต่างๆ ของรัฐบาลอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่ควรเกิดขึ้น
6. รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต (United Nations Convention against Corruption : UNCAC 2003) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 แต่ทว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ มีเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงว่าจะขัดแย้งและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ กรณีนี้อาจทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลกที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคดีอันเป็นความผิดฐานคอร์รัปชันภายหลังลงนามให้สัตยาบัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก
ด้วยเหตุผลดังกล่าว องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และสมาชิกองค์กรภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุนดังรายนามข้างต้น จึงขอยืนยันคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 เพื่อล้างผิดคดีทุจริต และเน้นย้ำจุดยืนว่า บรรดาคดีในฐานความผิดคอร์รัปชันทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องของกระบวนการยุติธรรมในสังคม และเพื่อให้การปราบปราบการทุจริตคอร์รัปชันเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังและน่าเชื่อถือ
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ขอให้คำมั่นว่าเราจะทำทุกอย่างที่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในสังคม และขอเชิญชวนให้ประชาชนผู้ต้องการเห็นสังคมไทยปราศจากคอร์รัปชันร่วมสนันสนุน ในการคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ครั้งนี้
เราจะเอาชนะคอร์รัปชันได้ด้วยพลังของสังคม
28 ตุลาคม 2556
หลักประชาธิปไตย คือ 在 ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์เป็น ... 的推薦與評價
หากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่ง หลัก นิติธรรม คือหลักการ พื้นฐานสำคัญของประเทศที่ยึดถือ หลักการ ปกคร องโดยกฎหมาย และคำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็น ... ... <看更多>
หลักประชาธิปไตย คือ 在 EP 5 หลักประชาธิปไตย - YouTube 的推薦與評價
EP.5 หลักประชาธิปไตย ผลิตโดย สำนักพัฒนาเครือข่ายการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ... <看更多>