กรณีศึกษา realme แบรนด์สมาร์ตโฟน ที่เติบโตเร็วสุดในโลก
realme X ลงทุนแมน
“โทรศัพท์มือถือ” กับ “กระเป๋าเงิน” ถ้าเลือกได้เพียงอย่างเดียว เราจะพกอะไร ?
ถ้าสำหรับคนรุ่นใหม่ คำตอบส่วนใหญ่คงจะโน้มเอียงไปทางโทรศัพท์มือถือ
เนื่องจากทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือ ไม่ได้เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ที่เอาไว้ใช้โทรเข้า-โทรออก
แต่กลับเป็นเหมือนศูนย์กลางที่เชื่อมต่อผู้ใช้งานเข้ากับสิ่งต่าง ๆ อย่างอัจฉริยะ สมกับชื่อสมาร์ตโฟน ที่ใช้เรียกกันในปัจจุบัน
ดังนั้นการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ตโฟน
คงไม่สามารถจะพัฒนาอยู่แค่ “สมาร์ตโฟน” เพียงอย่างเดียว
แต่ต้องสร้าง “อีโคซิสเต็ม” ที่เชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ตโฟนขึ้นมาด้วย
ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ใช้กลยุทธ์นี้ได้อย่างน่าสนใจก็คือ realme
แบรนด์สมาร์ตโฟนน้องใหม่ ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2018
แต่กลับกลายเป็น แบรนด์สมาร์ตโฟน ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก จนสามารถส่งมอบสมาร์ตโฟนจำนวน 100 ล้านเครื่อง ให้กับผู้ใช้งานทั่วโลกได้ภายในในระยะเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น
นอกจากนี้ ตามรายงานการจัดส่งสมาร์ตโฟนทั่วโลกของ Canalys ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ยังพบว่า realme ติด 1 ใน 5 แบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำในตลาดประเทศไทยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะกำลังเผชิญกับการระบาดของ COVID 19 ตลอด 2 ปี ก็ตาม ถือเป็นอีกหนึ่งการเติบโตของ realme ประเทศ
เรื่องราวของ realme เป็นอย่างไร ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
realme (เรียลมี) เป็นแบรนด์สมาร์ตโฟน ที่จับกลุ่ม “คนรุ่นใหม่”
ก่อตั้งโดย Sky Li ภายใต้แนวคิด Dare to Leap หรือ กล้าที่จะก้าวกระโดด
ซึ่ง realme ก็เรียกได้ว่ามีความกล้าอย่างแท้จริง
เนื่องจากสามารถบุกตลาดสมาร์ตโฟน ที่ก็เรียกได้ว่ามีเจ้าตลาดเดิมครองอยู่ก่อนแล้ว
และก็ใช้เวลาไม่นาน แบ่งเค้กก้อนนี้ออกมาได้บางส่วน
รวมทั้งยังสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์สมาร์ตโฟน อันดับ 7 ของโลก
ปี 2019 สร้างยอดขายไปได้กว่า 25 ล้านเครื่อง
ปี 2020 สร้างยอดขายไปได้กว่า 42 ล้านเครื่อง
และเมื่อรวมกับตัวเลขของครึ่งปีแรก ของปี 2021
ตอนนี้ realme ก็มียอดการส่งมอบสมาร์ตโฟน ทะลุ 100 ล้านเครื่องเป็นที่เรียบร้อย
ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ที่ก้าวมาถึงจุดนี้ โดยใช้เวลาน้อยที่สุดในโลกด้วย
แล้วอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของ realme ?
อย่างที่ได้กล่าวไป realme จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่
ดังนั้นสมาร์ตโฟนของ realme จึงเน้นพัฒนาให้มีคุณภาพสูงและล้ำสมัยอยู่ตลอด และยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AIoT (Artificial Intelligence of Things) ที่สามารถนำมาใช้งานร่วมกันกับสมาร์ตโฟนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมาพร้อมกับดีไซน์ โดดเด่นทันสมัย และในราคาที่คุ้มค่า
ซึ่งเมื่อประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม realme ถึงกลายเป็น แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ ภายในระยะเวลาไม่นาน
นอกจากนั้นแล้ว ช่องทางการจัดจำหน่ายของ realme ยังเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
โดย realme จะมุ่งเน้นไปที่การจัดจำหน่ายแบบออนไลน์ มากกว่าการสร้างร้านค้าขนาดใหญ่
เพื่อลดอุปสรรคในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคให้เหลือน้อยที่สุด
และนี่ก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ realme สามารถขยายตลาดไปได้อย่างรวดเร็ว เจาะได้มากถึง 61 ตลาดทั่วโลก โดยติด 5 อันดับแรกในตลาดมากถึง 13 แห่ง
อันดับ 1 ในตลาดฟิลิปปินส์และบังคลาเทศ
อันดับ 4 ในตลาดอินเดียและรัสเซีย
และอันดับ 5 ในตลาดภูมิภาคยุโรป
อย่างไรก็ตาม การที่จะออกแบบสินค้าและสร้างสรรค์บริการให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้
แน่นอนว่าทีมงานผู้อยู่เบื้องหลัง ย่อมต้องเป็นคนรุ่นใหม่ เหมือน ๆ กัน
ซึ่งพนักงานของ realme ก็เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์และตลาดเป็นอย่างดี
ที่สำคัญพวกเขายังมีความเชื่อมั่นอันแรงกล้า จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร ที่สร้างความเป็นผู้นำให้กับพนักงาน ช่วยให้กล้าตัดสินใจ และเกิดการพัฒนาศักยภาพของตัวเองอยู่เสมอ
แล้วก้าวต่อไปของ realme คืออะไร ?
แน่นอนว่า realme ไม่ได้จะหยุดอยู่ที่ความสำเร็จเพียงเท่านี้
โดยบริษัทได้ตั้งเป้าการส่งมอบสมาร์ตโฟน ให้ได้ถึง 300 ล้านเครื่อง ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า
ซึ่งการที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ realme ก็ได้วางกลยุทธ์เอาไว้ 2 ประการ
เริ่มจากการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-สูง ด้วยผลิตภัณฑ์เรือธง หรือ GT Series ซึ่งได้รับการขนานนามว่า เป็นสมาร์ตโฟน realme ที่ดีที่สุด
อย่าง realme GT 5G ก็ถือเป็นสมาร์ตโฟนเครื่องแรก ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 12 Beta 1 และซิปเซตล้ำสมัย Snapdragon 888 5G
เสริมด้วยหน้าจอที่ลื่นไหล ซึ่งมีอัตราการรีเฟรช 120Hz
เทคโนโลยีการชาร์จที่รวดเร็ว แบตเตอรี่เต็มภายในเวลา 35 นาที
รวมถึงการออกแบบ ที่ได้รับความร่วมมือจากดีไซเนอร์ระดับโลก Naoto Fukasawa
แม้ว่าจะมีการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างจัดเต็ม แต่ realme ก็ยังคงรักษาราคาให้อยู่ในระดับที่เข้าถึงได้
ซึ่งสำหรับประเทศไทย สมาร์ตโฟน GT Series นี้ก็เพิ่งเปิดตัวไปในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ต่อมาก็คือ การเจาะไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานให้มากขึ้น ผ่านกลยุทธ์ “1+5+T”
โดย 5 หมายถึง หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ AIoT ของ realme
ประกอบด้วย True Wireless Stereo, อุปกรณ์สวมใส่, โทรทัศน์, ลำโพงอัจฉริยะ และแล็ปท็อป
ส่วน T ย่อมาจาก TechLife ซึ่งเป็นการค้นหาพาร์ตเนอร์ ที่มีนวัตกรรมล้ำสมัยจากทั่วโลก เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพทางเทคโนโลยี โดยเน้นไปที่สินค้า 3 หมวดหลัก ๆ ได้แก่ Smart Entertainment, Smart Care และ Smart Connect
ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องสอดคล้องกัน ทั้งดีไซน์และมาตรฐานคุณภาพ
โดยที่เครือข่ายการเชื่อมต่อทุกอย่าง จะมารวมกันอยู่ในแอปพลิเคชัน realme Link บนสมาร์ตโฟนของ realme ซึ่งเป็นที่มาของ “1” ในกลยุทธ์นี้
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ สมาร์ตโฟน realme จะเป็นศูนย์กลาง ที่รวมอีโคซิสเต็ม AIot ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ เราก็คงจะเห็นแล้วว่า
การเริ่มต้นจากแบรนด์เล็ก ๆ จนก้าวมาสู่ความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว
นอกจากจะอาศัยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งแล้ว
realme ยังมี ‘ความกล้า’ อยู่ในสัญชาตญาณของตัวเองมาโดยตลอด
กล้าเสี่ยง กล้าตัดสินใจ กล้าเผชิญกับอุปสรรค และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง
และในเมื่อ ‘ความกล้า’ สามารถทำให้ realme ประสบความสำเร็จได้ คุณก็สามารถทำได้เช่นกัน
โดยที่ผ่านมา realme ประเทศไทย ได้จัดงาน realme Empower The Next Gen’ Fan Festival อย่างเต็มรูปแบบในไทยมาแล้ว โดยชวนคนรุ่นใหม่ NEXT GEN มาปลดปล่อยความกล้าและความสามารถบนเวทีทั้งด้าน E-Sport การเเข่งขันเต้น ออกแบบเเฟชั่นดีไซน์ รวมถึงกิจกรรมประกวดถ่ายรูปสุดสร้างสรรค์ ตามสโลแกนของแบรนด์อย่าง ‘Dear to Leap’ กล้าที่จะกระโดดและกระโดดไปให้ไกลกว่าจุดที่ยืน
ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง และมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนอย่างมาก
มาปีนี้ realme กลับมาอีกครั้ง เลยอยากชวนคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่กล้าจะแสดงออก ยืนหยัดในการเป็นตัวของตัวเอง มาร่วมกันในแคมเปญ How Dare You Be You
โดยถ่ายภาพ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวความกล้าของตัวเองผ่านโซเชียลมีเดีย
ซึ่งหากเรื่องราวผู้กล้าคนไหนโดนใจ ก็จะถูกคัดเลือกนำไปโปรโมต ในปารีส ลอนดอน และบาร์เซโลนา
สำหรับผู้กล้าที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจ realmeTH
ไม่แน่ว่า อาจจะกลายเป็น 1 ใน 100 ล้านแฟนคลับของ realme ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในความกล้าให้กับคนอีกหลายล้านคนก็เป็นได้..
Reference:
-https://www.counterpointresearch.com/global-smartphone-share/
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過21萬的網紅SawEsanBanthung,也在其Youtube影片中提到,ลูกอิสานของแท้ อยู่กินง่ายๆๆ หาอยู่หากิน ตามท้องทุ่ง...
อย่าง หมายถึง 在 KIM Property Live Facebook 的最讚貼文
บิทคอยน์จะมาหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ บล็อกเชนคือของจริง!
ล่าสุดผมได้ Live พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของเงินดิจิตอลกับพี่ซันเจ CEO ของ Cryptomind ที่เป็นสื่อออนไลน์ด้านคริปโตเคอเรนซี่และเป็นบริษัทที่ปรึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนให้กับองค์กรชั้นนำ
เรียกว่าได้อัพเดทสถานการณ์กูรูในวงการเลยทีเดียว สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังสนใจเกี่ยวกับบิทคอยน์, คริปโตเคอเรนซี่หรือว่าบล็อกเชน บอกเลยครับว่าควรค่าแก่การรับชมอย่างยิ่งหรือถ้าคลิปยาวไปดูไม่ไหว วันนี้ผมสรุปมาให้อ่านกันครับ
เริ่มต้นที่ภาพรวมที่ผ่านมา มุมมองทางด้านของคริปโตเคอเรนซี่ถูกมองในด้านลบ โดยกูรูหลายคนมองว่าเป็นสิ่งที่หลอกลวงด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคริปโตเคอเรนซี่นั้นก็ยังคงอยู่ ผมสารภาพว่าตอนที่มันขึ้นไปที่เกือบ 20,000 เหรียญ แล้วมันก็ร่วงลงมานั้นผมคิดว่ามันจบแล้ว แต่ตอนนี้ก็ขึ้นมาที่กว่า 19,000 เหรียญ
บล็อกเชนมันดูเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ต่างจากทองคำที่คุณสัมผัสได้ หรือบริษัทที่มันยังมีสินค้าให้คุณเห็น แต่บิทคอยน์มันดูไม่มีตัวตน ไม่น่าเชื่อถือ
พี่ซันเจอธิบายว่า ก่อนอื่นต้องแยกคำว่า “บล็อกเชน” กับ “บิทคอยน์” ออกจากกันก่อน บล็อกเชนเปรียบเสมือนเทคโนโลยีที่เก็บข้อมูลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สามารถตรวจสอบได้ สามารถ tracking ได้ว่าข้อมูลส่งไปทางไหนบ้าง
ส่วนถ้ากล่าวถึงประวัติของบิทคอยน์นั้นเกิดจากมีคนกลุ่มหนึ่งหรือองค์กรหนึ่งที่เห็นปัญหาเรื่องของการเงิน ที่รัฐบาลพิมพ์เงินมากมาย อุ้มแต่บริษัทใหญ่ จึงทำให้คนสนใจบิทคอยน์มากขึ้น เพราะว่าเชื่อในหลักการตัวมันเองที่บิทคอยน์จะมี 21 ล้านอัน เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทุก ๆ 4 ปี และมีการขุดที่ยากขึ้นเมื่อใกล้จะหมด ไม่มีคนใดเข้าไปเปลี่ยนแปลงระบบมันได้
จุดเริ่มต้นการใช้บิทคอยน์แต่ก่อนเป็นตัวแลกเปลี่ยนสำหรับคนเล่นเกมส์ที่อยากซื้อของกันแต่พอใช้เงินจริงมันยุ่งยาก จึงแลกเปลี่ยนกันด้วยบิทคอยน์แล้วต่อมามีการใช้ในธุรกิจสีเทา เช่น คาสิโนออนไลน์ ซื้อขายอาวุธสงคราม เป็นต้น
หลายคนเคยบอกว่าบิทคอยน์นั้นจะไม่กลับมาแล้วตอนที่ร่วงไป 7,000 เหรียญ แต่พอมาถึงช่วงนึง มีคนใช้งานมันได้จริงและมีมูลค่าจริง ๆ เหมืองที่ขุดบิทคอยน์ก็ลงทุนไปหลายล้านเหรียญ รวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัทก็ซื้อบิทคอยน์เป็นทุนสำรองด้วย อาจจะเป็นการเก็งกำไรหรือเป็นการเก็บมูลค่าสินทรัพย์นั่นเอง
เมื่อบริษัทใหญ่ๆเริ่มเก็บบิทคอยน์แล้ว อาจมองได้ว่ารัฐบาลประเทศเล็ก ๆ อาจจะเก็บบิทคอยน์เป็นทุนสำรองเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศที่ค่าเงินของเขามีปัญหา เหมือนบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ของประเทศเขาเลย ถ้าเกิดแบบนั้นจริง ๆ มูลค่าของบิทคอยน์จะสูงมากและในปีนี้บล็อกเชนก็ได้ถูกยอมรับมากขึ้น
มาพูดถึงนักวิเคราะห์กันบ้างครับ ถ้าพูดถึงเรื่องบิทคอยน์นั้นก็มีความเห็นทั้ง 2 ด้าน ด้านที่เชื่อก็เชื่ออย่างสุดใจ เช่นโรเบิร์ต คิโยซากิ ที่เมื่อก่อนเขาจะเน้นให้เก็บทองคำและแร่เงิน แต่ปีนี้ได้ให้ค่ากับบิทคอยน์เยอะมาก แล้วบิทคอยน์จะมาเปลี่ยนธุรกรรมการเงินของปัจจุบันได้จริงไหม?
พี่ซันเจตอบว่าปัจจุบันเราได้เห็น Sharing Economy (เช่น Airbnb Uber Grab) กันเยอะ ถ้าในส่วนของบิทคอยน์ก็จะทำ peer to peer ช่วงแรกอาจจะเป็นการ payment ก่อน พอเราใช้กันสักพักก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเวิร์คเนื่องจากราคามันไม่เสถียร แต่เป้าหมายหลักคือให้ถ่ายโอนกันง่ายขึ้นแค่นั้น
มุมมองของ เรย์ ดาลิโอ เขามองว่าบิทคอยน์หรือ Digital Currency อันอื่น ที่สร้างมาตรฐานของตัวเองได้ ภายใน 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีข้อดีบ้างข้อที่คล้าย ๆ ทองคำ คือมีการเก็บมูลค่าได้ ที่หลายคนยอมรับกันมากขึ้น เพราะเห็นว่าเหมือนว่าจะพังแต่ก็กลับมาได้ทุกครั้งและการถ่ายโอนก็เร็วขึ้น ศูนย์ซื้อขายก็เริ่มเยอะมากขึ้น
ปีนี้เปรียบเสมือนเป็นจุดเปลี่ยนของโลก เพราะเหตุการณ์หลายๆอย่างก็เกิดขึ้น อย่างเช่น ไวรัสโควิด19 แล้วคนก็หันมาสนใจสินทรัพย์ดิจิตอลมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ bitcoin อย่างเดียว คนก็จะศึกษากันมากขึ้นว่าใน Sector นี้ มีสิทธิ์ทรัพย์อะไรอีก อาจจะเป็น Ethereum ที่ทำเรื่อง Smart Contract
ทุกอย่างเริ่มมีนวัตกรรม อย่างเช่น แต่ก่อน Facebook นั้น เป็นเพียงแค่ Social Media ธรรมดา แต่พอช่วงหลังก็มีการ Live ขายของมากขึ้น จึงเกิดแนวคิดที่จะสร้าง Libra เพื่อเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยน ก็เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่เห็นประโยชน์ของมีสกุลเงินต่าง ๆ
ในวงการอสังหาก็เช่นกัน ถ้ากองทุน REIT เปลี่ยนเป็น Digital Assets ก็สามารถซื้อขายผ่าน Exchange ได้เลย เช่นมีเหรียญตัวนึงที่สามารถมีมูลค่าเท่ากับสินทรัพย์นั้นได้เลยและมีปันผลตลอด อาจจะมีปันผลทุกวันเลยก็ได้ เพราะถ้าเป็น Digital Assets มันสามารถทำได้ทันที
แล้วถ้ารัฐบาลของแต่ละประเทศสร้างเหรียญดิจิตอลของตัวเอง จะมีผลกับการสร้างเหรียญดิจิตอลแบบดั้งเดิมไหม เพราะการสร้างเหรียญของรัฐบาลจะมีเสถียรกว่าทั้งที่อยู่ในเทคโนโลยีบล็อกเชนเหมือนกัน?
พี่ซันเจตอบว่าการที่แต่ละประเทศจะสร้างเหรียญมานั้น อย่างเช่น libra หรือ Digital หยวน กับเหรียญดิจิตอลแบบดั้งเดิม จะมีจุดยืนที่แตกต่างกัน คือการที่จะใช้เงินดิจิตอลของแต่ละประเทศ เป้าหมายคือการจับจ่ายใช้สอย ถ้าในส่วนของ Crypto นั้น จะเป็นส่วนของอุดมการณ์มากกว่า และเรื่องของการทำ platform เช่น Binance
มาถึงตอนนี้แล้ว เราไม่ต้องพูดถึงว่า บล็อกเชน นั้นจริงไม่จริงแล้วเพราะว่ารัฐบาลยังใช้เทคโนโลยีนี้มาใช้สร้างเหรียญของตนเองเลย หรือใช้เทคโนโลยีนี้มาสร้างแอพพลิเคชั่น ด้วยความโปร่งใสของมัน ความแก้ไขไม่ได้ของมัน ซึ่งมองว่าในอนาคตคนนั้นจะต้องกระจาย หมายถึง คนคนนึง อาจจะมีเหรียญไว้ใช้งานหลายเหรียญ เช่น ดิจิตอลหยวน เอาไว้ใช้แลกเปลี่ยนอย่างเดียว ส่วนตัว bitcoin นั้นก็เก็บไว้เพื่อลงทุนสร้างมูลค่าของมัน
ซึ่งตอนนี้ อาจมองได้ว่า ใครจะออกเหรียญของตัวเองก็ได้ แต่ต้องมี Network เป็นของตัวเองด้วย ไม่ใช่ออกมาแต่ไม่มีคนใช้ ก็ไม่มีค่าเช่นกัน บล็อกเชนหรือบิทคอยน์อาจจะมองเหมือนงานศิลปะที่คนมองไม่เหมือนกัน บางคนบอกว่ามันแพงแล้ว บางคนบอกว่ามันยังไปได้อีก แต่คนที่เข้าใจก็จะซื้อมัน ซึ่งบล็อกเชนนั้นอาจจะได้ใช้เฉพาะคนบางกลุ่ม แต่คนในกลุ่มนั้นมีความเชื่อร่วมกัน ก็ทำให้เหรียญนั้นมีค่าได้
โอกาสของบล็อกเชน สำหรับคนไทยเป็นยังไงบ้าง?
พี่ซันเจมองว่าโดยภาพรวมแล้วคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจบล็อกเชน จะมีแค่องค์กรใหญ่ ๆ อย่าง SCG ที่ใช้งาน
การใช้บล็อกเชนนั้น สามารถมาประยุกต์ใช้ได้หลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน อสังหาฯ ประกัน ธุรกิจสื่อ การเลือกตั้ง ซึ่งจะไปสอดคล้องกับ Smart City ด้วย อาจเปรียบเทียบได้ว่า การมาของบล็อกเชนนั้น เหมือนกับช่วงที่เราใช้อีเมลช่วงเริ่มแรกด้วยซ้ำ สามารถต่อยอดได้อีกเยอะ จึงเป็นประโยชน์ต่อเรื่องพวกนี้ด้วย การสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ด้วยบล็อกเชนมาเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
สรุปสถานการณ์ปัจจุบัน สำหรับคริปโตเคอเรนซี่นั้นก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะอยู่ในสถานะไหนในอนาคต
แต่สำหรับบล็อกเชน บอกได้เลยครับว่า “มาแน่ ๆ” เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับและนำมาประยุกต์ใช้จากองค์กรใหญ่ ๆ ทั้งรัฐและเอกชนทั่วโลก
เพราะฉะนั้นถ้าคุณต้องการหาโอกาสในอนาคต คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องชอบหรือลงทุนในบิทคอยน์และคริปโตเคอเรนซี่ แต่คุณจำเป็นต้องศึกษา “บล็อกเชน”
เพื่อน ๆ มีคิดความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
.
แอดปลา
แจ้งข่าว สัมมนารอบต่อไป
อสังหา 3in1 (อสังหาให้เช่า+อสังหาทางด่วน) รุ่น 10
วันที่ 9-10 มกราคม 2564
ดูรายละเอียดที่ลิงค์ในคอมเมนท์ครับ
อย่าง หมายถึง 在 I Love Japan TH Facebook 的最佳解答
#รีวิวอาชีพวิศวะในญี่ปุ่น 🇯🇵
อาชีพนี้เป็นอาชีพที่รีวิวลำบากมาก😂
เพราะเมื่อพูดถึงสายอาชีพวิศวะ หรือ เอ็นจิเนียร์นี่มันกว้างมากกกกก วิศวะมีหลายสายมาก แต่ละสายก็แตกต่างกันออกไปอีก
ไม่ว่าจะเป็นวิศวะเครื่องกล วิศวะ โยธา ฯลฯ
ถ้าลงละเอียด คงจะเยอะมาก
เพราะฉะนั้น โพสนี้ ขอโพสในภาพรวมจากประสบการณ์ตัวเองที่เคยพบเจอและทำงานกับวิศวะญี่ปุ่นในโรงงานมาก่อนละกันนะคะ
(ผิดพลาดประการใด ขออภัยในที่นี้ด้วย)
อย่างที่หลายๆคนก็รู้ว่า
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแห่งเทคโนโลยี
มีความเป็นต้องการวิศวกรมาก
ในขณะเดียวกันวิศวกรที่ญี่ปุ่นก็มีมากเช่นกัน
หลายคนถูกส่งไปประจำที่สาขาในต่างประเทศ
หรือทำงานในบริษัทดังๆ อย่าง โตโยต้า พานาโซนิค ฯลฯ
ใครที่เป็นวิศวะฯในบริษัทใหญ่ๆ สกิลดีๆ ดังๆ เงินเดือนสูงๆ
ในทางกลับกัน วิศวะฯในบริษัทขนาดเล็ก
ก็อาจจะเฉยๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร
ส่วนฐานเงินเดือนก็ค่อนข้างกว้าง แล้วแต่บริษัทเลย
แต่ถ้าเทียบกับอาชีพโดยทั่วไปแล้ว
ก็ถือว่าค่อนข้างดีและมั่นคง
แต่ถ้าถามว่า คณะวิศวะป๊อบในหมู่นักเรียนชายมั้ย
(หมายถึง เป็นอาชีพในฝันที่อยากเป็นมั้ย)
ก็ถือว่าค่อนข้างป๊อบ
ส่วนสำหรับสาวๆ👩🏻
ถ้าถามว่าอาชีพวิศวะป๊อบไหม
ก็มีทั้งป๊อบและไม่ป๊อบ
ไม่ถึงกับเป็นอาชีพที่สาวๆกรี๊ดมากๆ แบบหมอ หรือนักดับเพลิง
แต่ก็ไม่แย่ ดูมั่นคงกว่าฟรีแลนส์หรือสายอาชีพบริการ
พูดง่ายๆคือเฉยๆ
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยทำงานในบริษัทสายผลิต
ต้องเจอกับวิศวกรเยอะ
รู้สึกว่าหนุ่มวิศวกรญี่ปุ่น
ส่วนใหญ่ทำงานหนัก ดื่มเก่ง
(อันนี้อาจจะทุกสายอาชีพรึเปล่านะ555)
เป็นอาชีพที่ไม่ได้สบาย เหนื่อย
ทำงานไม่เป็นเวลา
เวลาโรงงานมีปัญหา หรือเครื่องจักรมีปัญหา
ก็ต้องรีบแจ้นไปจัดการทันที
มีความเป็นผู้ชายสูง จริงจัง
มีไปbusiness trip บ่อยๆ เพราะต้องไปเยี่ยมโรงงานลูกค้า แก้ปัญหาเฉพาะหน้าบ่อย ฯลฯ
ส่วนวิศวะญี่ปุ่น ที่มาเมืองไทย
(อันนี้ไม่ทุกคนนะคะ จากที่เรารู้จัก)
ส่วนใหญ่จะทำงานในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่ผู้ชายเยอะ
เพราะได้มาไทย ที่พวกนางชอบเลย
คือ ไปนวด และก็ไปเที่ยวคาราโอเกะ
(ตอนเราไปทำงานที่ไทยกับนายญี่ปุ่น บางทีชอบไล่ให้เรากลับโรงแรมก่อน และพวกเขาแอบไปต่อกันเอง5555)
แต่ย้ำ ไม่ใช่ทุกคนนะคะ
บางคนที่แต่งงานแล้ว ก็อาจจะไม่ทำ
และก็ดื่มเก่งมาก เหมือนเป็นธรรมเนียนยังไงไม่รู้
ชอบชวนดันไปดื่ม วันนี้ดื่มหนักมาก
แต่วันรุ่งขึ้นยังสามารถมาทำงานได้
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แถมไม่มาสายด้วย
ต่อไป
มาดูอิมเมจของหนุ่มวิศวะฯ สำหรับสาวญี่ปุ่น
1. มักถูกมองว่าเป็นคนจริงจัง และเป็นพวกสัตว์กินพืช (เรียบร้อย ไม่รุกก่อน)
2. ส่วนใหญ่ที่ทำงาน มักจะมีแต่ผู้ชาย ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องมีชู้สักเท่าไหร่
3. เก่งเลข ดูฉลาด
4. ดูไม่ค่อยสะอาด เนื่องจากเป็นวิศวะ บางทีเสื้อผ้ายับ รองเท้าก็จะเลอะเทอะ บางคนไม่โกนหนวด หัวยุ่ง ไม่ค่อยดูแลตัวเอง
5. วิศวะฯส่วนใหญ่เอ็นเตอร์เทนไม่ค่อยเก่ง คุยด้วยบางทีก็น่าเบื่อ
6. ถ้าได้ไปทำงานในบริษัทเล็กๆ หรือบริษัทที่แบล็คๆหน่อย เงินเดือนก็จะน้อย ทำงานก็หนัก ไม่ค่อยอยากเป็นแฟนด้วย
พูดถึงเรื่องเงินเดือนกันบ้าง
เฉลี่ย วิศวะจะได้เงินเดือนประมาณ 3.9 แสนเยน
+ โบนัส ก็แล้วแต่บริษัท
รวมๆแล้ว ต่อปีก็ประมาณ 5.72 ล้านเยน
(หมายเหตุ ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ และบริษัทที่ทำงานด้วย ถ้าเด็กจบใหม่ อาจไม่ถึง)
พูดฐานเงินเดือนที่ต่ำสุดจะอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านเยนต่อปี
สูงที่สุด จะอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านเยนต่อปี สำหรับบริษัทใหญ่ๆ
ถ้าให้พูดถึงวิศวะฯทั้งหมด
ในญี่ปุ่น สายที่ป๊อบที่สุด
และเงินดีที่สุดเห็นจะเป็นสาย IT Engineer
(ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน)
แต่ IT ก็แยกออกเป็นหลายสายด้วย
ขึ้นอยู่กับว่าสายไหน
แต่รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6 ล้านเยนต่อปี
แต่ถ้าเก่งๆ หรือทำในหน้าที่สำคัญๆ บางทีก็สูงถึง
13 ล้านเยนต่อปีเลย
สายวิศวะ ไม่ค่อยมีอะไรที่แปลกหรือแตกต่างจากวิศวะที่ไทยมาก
หลักๆ ก็ประมาณนี้ค่าาาา
อย่าง หมายถึง 在 SawEsanBanthung Youtube 的最讚貼文
ลูกอิสานของแท้ อยู่กินง่ายๆๆ หาอยู่หากิน ตามท้องทุ่ง