"ถ้าไม่เจรจาให้ดี การแบนยาฆ่าหญ้าไกลโฟเซต อาจลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ระดับ WTO ได้"
(โพสต์ยาวมาก แต่ลองอ่านดูนะครับ เรื่องสำคัญทีเดียว)
หลายสำนักข่าวพยายามเชื่อมโยงปัญหาเรื่องที่สหรัฐอเมริกาประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษี หรือ GSP ของไทย ว่าเกี่ยวข้องกับการที่เราไปแบนสารเคมีทางการเกษตร โดยเฉพาะสารไกลโฟเซต ซึ่งทางสหรัฐอเมริกาส่งจดหมายแย้งมาว่า ให้พิจารณาเรื่องนี้ใหม่ เนื่องจากสารนี้มีความปลอดภัยในการใช้สูง ไม่ควรจะไปแบนสาร และจะมีผลกระทบต่อสินค้าทางการเกษตรของสหรัฐอเมริกาที่นำเข้าสู่ไทยด้วย
ผมเชื่อว่า การตัด GSP ครั้งนี้ยังไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ไทยแบนสารไกลโฟเสต แต่น่าจะเป็นจากเหตุผลอื่นซึ่งอเมริกาเขาเตรียมการกันมาหลายเดือนแล้ว (เช่น หาเรื่องกีดกันทางการค้าด้วยปัญหาแรงงานประมง) ในการออกประกาศครั้งนี้
ประเด็นสำคัญที่ต้องคุยกันคือ คนไทยจำนวนมากไม่เข้าใจว่า การที่เราไปแบนสารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ตัวนั้น ไปเกี่ยวข้องกระทบอะไรกับเรื่องการนำเข้าสินค้าทางการเกษตร จากประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ
และเรื่องนี้ ถ้าไม่เจรจากันให้ดีๆ มันจะไม่ใช่แค่ปัญหาทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศ แต่อาจลุกลามไปถึงข้อพิพาทในระดับองค์การการค้าโลก หรือ WTO ได้เลยนะครับ
เริ่มจาก การที่เราชอบพูดกันว่า "แบนสารเคมี" นั้น ความจริงแล้วมันคือการยกระดับอันตรายของสารเคมีจาก "วัตถุอันตรายชนิดที่ 3" ไปเป็น"วัตถุอันตรายชนิดที่ 4"
"วัตถุอันตรายชนิดที่ 3" นั้น หมายถึง วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง ต้องได้รับใบอนุญาต ควบคุมโดยการขึ้นทะเบียนและขออนุญาตประกอบกิจการ ... ซึ่งสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในกลุ่มนี้
ส่วน "วัตถุอันตรายชนิดที่ 4" นั้นหมายถึง วัตถุอันตรายที่ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง ควบคุมโดยการห้ามประกอบกิจการใดๆ ... ซึ่งผลของการลงมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่ผ่านมา โดยมีกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้เสนอเรื่องนั้น ทำให้ "ยาฆ่าหญ้าไกลโฟเซต" ถูกจัดอยู่ในวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 นี้ด้วย
ผลจากการแบนสารไกลโฟเซตด้วยการกำหนดให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 จึงไม่เพียงแต่กระทบการใช้หรือการจำหน่ายในประเทศเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อ "การนำเข้าสินค้าทางการเกษตร" จากต่างประเทศ อีกด้วย
ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 387 พ.ศ. 2560 เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.อาหาร 2522 นั้น ในข้อ 4 ระบุว่า "อาหารที่มีสารพิษตกค้าง ต้องมีมาตรฐาน โดยตรวจไม่พบวัตถุอันตรายทางการเกษตร ชนิดที่ 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551 ตามบัญชีหมายเลข 1 แนบท้ายประกาศนี้" (ปัจจุบัน บัญชี 1 ท้ายคำประกาศนี้ ยังไม่ได้บรรจุไกลโฟเซตไว้ในรายชื่อ แต่จะต้องใส่เพิ่มเติมหลังจากวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ไปแล้ว)
ดังนั้น การที่ประเทศไทยใช้แนวทาง zero tolerate ต่อวัตถุอันตรายชนิด 4 แล้วไปประกาศให้สารไกลโฟเซตเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ด้วย จึงส่งผลกระทบกับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของสหรัฐ รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่มีการใช้ไกลโฟเซตมายังประเทศไทยในอนาคต
ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ประเทศไทยนำเข้าจากประเทศเหล่านี้ เป็นจำนวนมากนั้น ได้แก่ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ฝ้าย ข้าวบาร์เลย์ และผักผลไม้อื่นๆ อีกหลายชนิด ... แค่ประเทศสหรัฐประเทศเดียว ก็มีการนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวสาลี กาแฟ แอปเปิ้ล และองุ่น มูลค่าถึง 51,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุว่า ในปี 2561 ประเทศไทยนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐมีมูลค่าสูงถึง 7.3 หมื่นล้านบาท)
จากภาพแผนที่ จะเห็นว่า เกือบทุกประเทศทั่วโลกไม่ได้แบนการใช้ไกลโฟเซต แถมยังนิยมใช้ไกลโฟเซตกันในปริมาณที่มหาศาลอีกด้วย เนื่องจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ขององค์กรต่างๆ เช่น หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (EPA) ประเมินแล้วว่าไม่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ สอดคล้องกับความคิดเห็นทางวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานอื่นทั้งญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และองค์การเกษตรแห่งสหประชาชาติ
โดยทั่วไป มักจะพบการตกค้างของไกลโฟเซตได้บ้างในสินค้าการเกษตร ซึ่งมักจะอยู่ในระดับที่ไม่เกินค่า MRL (มาตรฐานสารตกค้างสูงสุด maximum residue level) ที่กำหนดโดยมาตรฐานนานาชาติ Codex ประกอบกับคุณสมบัติด้านความปลอดภัยสูงของไกลโฟเซต (LD50 > 5,000 mg/kg) อยู่แล้วด้วย
ดังนั้น ประเทศไทยเราจะต้องเจอกับปัญหาการนำเข้าสินค้าทางการเกษตรที่เราจำเป็นต้องใช้ แต่มีการตกค้างของไกลโฟเซต ซึ่งจะต้องไม่มีหลงเหลือแม้แต่น้อย ตามหลัก zero tolerance ที่เรากำหนดไว้
ปัญหานี้จะไม่ได้เกิดขึ้นแต่กับประเทศคู่ค้าหลัก อย่างสหรัฐอเมริกา จนทางการสหรัฐถึงกับต้องส่งจดหมายมาเตือน ให้ทบทวนประเด็นเรื่องสารไกลโฟเซตนี้โดยเฉพาะ (ซึ่งเราได้เปรียบดุลการค้าเขาประมาณปีละ 2 หมื่นกว่าล้านดอลลาร์) แต่แหล่งข่าวทางการทูต บอกว่าประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา และแคนาดา ก็จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีของไทยในเรื่องนี้เช่นกัน
แล้วทางออกของประเทศไทยคืออะไร ? ก็คงต้องหาทางเจรจากับแต่ละประเทศเพื่อหาทางออกของเรื่องนี้ หลังจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่ให้สารไกลโฟเซตเป็นวัตถุอันตรายชนิด 4
ทางออกแรก คือ การแก้มติคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อให้ไกลโฟเซต กลับเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เหมือนเดิม
หรือทางออกที่ 2 คือ สร้างข้อยกเว้นให้กับสารตัวนี้เป็นกรณีพิเศษ แทนที่จะห้ามมีตกค้างแม้แต่น้อยในอาหารที่นำเข้า (ทำนองเดียวกันกับกรณีของพืชจีเอ็มโอ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด ฝ้าย ที่ประเทศไทยห้ามเกษตรกรเพาะปลูก แต่กลับนำเข้าจากต่างประเทศมาขายได้)
หรือทางออกที่ 3 คือเลียนแบบประเทศเวียดนาม ที่จะเริ่มแบนไกลโฟเซทในปีหน้า แต่กำหนดให้การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบทางการเกษตรนั้นอ้างอิงตามมาตรฐาน Codex ไม่ได้กำหนดให้เป็น zero tolerance เหมือนของ ก. สาธารณสุข เรา
แต่ถ้าเราดื้อดึง ไม่ยอมใช้ทางออกใดเลย ก็จะกลายเป็นข้ออ้างให้ประเทศต่างๆ เขาสามารถจะตอบโต้ทางการค้ากับเราได้ ไม่ว่าจะเรื่องการตัดสิทธิพิเศษทางการค้า หรือการนำขึ้นร้องเรียนเป็นข้อพิพาทกับองค์การการค้าโลก หรือ wto (ซึ่งถ้าถึงวันนั้น แล้วเราใช้เอกสารชี้แจงโดยอ้างมั่วๆ เกี่ยวกับเรื่องความกังวลในการบริโภคอาหารที่มีไกลโฟเสทตกค้างอยู่ ว่าจะก่อมะเร็งแล้วก็ เราได้แพ้คดีที่ wto ได้แน่ๆครับ)
สรุปคือ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ครับ เตือนมาหลายครั้งแล้วว่า ถ้าอยากแบนยาฆ่าแมลงแบบคลอไพริฟอส ก็แบนไปเลย
แต่มาแบนไกลโฟเซทที่มีพิษต่ำสุดในยาฆ่าหญ้าทั้งหมด แบบนี้แล้ว ผลกระทบตามมามันใหญ่หลวงนัก ทั้งต่อเกษตรกรในประเทศเอง ลามไปจนถึงการค้าระหว่างประเทศแบบนี้ (และถึงวันนี้ ผมไม่คิดว่าคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้ อย่างคุณอนุทิน คุณมนัญญา เหล่าเอ็นจีโอและสื่อมวลชนที่สนับสนุน จะออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรครับ)
ปล. แล้วอย่ามามั่วว่า ที่สหรัฐอเมริกาออกมาปกป้องไกลโฟเซต เพราะอยากจะขายยาฆ่าหญ้าตัวนี้ เนื่องจากไทยนำเข้าไกลโฟเซตจากสหรัฐเป็นปริมาณที่น้อยมากๆ คือเพียง 11 ตันใน 10 ปี แต่ความจริงแล้วนำเข้าจากประเทศจีนถึง 4.7 แสนตันใน 10 ปี
อาร์เจนตินา อาหาร 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最佳貼文
"ถ้าไม่เจรจาให้ดี การแบนยาฆ่าหญ้าไกลโฟเซต อาจลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ระดับ WTO ได้"
(โพสต์ยาวมาก แต่ลองอ่านดูนะครับ เรื่องสำคัญทีเดียว)
หลายสำนักข่าวพยายามเชื่อมโยงปัญหาเรื่องที่สหรัฐอเมริกาประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษี หรือ GSP ของไทย ว่าเกี่ยวข้องกับการที่เราไปแบนสารเคมีทางการเกษตร โดยเฉพาะสารไกลโฟเซต ซึ่งทางสหรัฐอเมริกาส่งจดหมายแย้งมาว่า ให้พิจารณาเรื่องนี้ใหม่ เนื่องจากสารนี้มีความปลอดภัยในการใช้สูง ไม่ควรจะไปแบนสาร และจะมีผลกระทบต่อสินค้าทางการเกษตรของสหรัฐอเมริกาที่นำเข้าสู่ไทยด้วย
ผมเชื่อว่า การตัด GSP ครั้งนี้ยังไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ไทยแบนสารไกลโฟเสต แต่น่าจะเป็นจากเหตุผลอื่นซึ่งอเมริกาเขาเตรียมการกันมาหลายเดือนแล้ว (เช่น หาเรื่องกีดกันทางการค้าด้วยปัญหาแรงงานประมง) ในการออกประกาศครั้งนี้
ประเด็นสำคัญที่ต้องคุยกันคือ คนไทยจำนวนมากไม่เข้าใจว่า การที่เราไปแบนสารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ตัวนั้น ไปเกี่ยวข้องกระทบอะไรกับเรื่องการนำเข้าสินค้าทางการเกษตร จากประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ
และเรื่องนี้ ถ้าไม่เจรจากันให้ดีๆ มันจะไม่ใช่แค่ปัญหาทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศ แต่อาจลุกลามไปถึงข้อพิพาทในระดับองค์การการค้าโลก หรือ WTO ได้เลยนะครับ
เริ่มจาก การที่เราชอบพูดกันว่า "แบนสารเคมี" นั้น ความจริงแล้วมันคือการยกระดับอันตรายของสารเคมีจาก "วัตถุอันตรายชนิดที่ 3" ไปเป็น"วัตถุอันตรายชนิดที่ 4"
"วัตถุอันตรายชนิดที่ 3" นั้น หมายถึง วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง ต้องได้รับใบอนุญาต ควบคุมโดยการขึ้นทะเบียนและขออนุญาตประกอบกิจการ ... ซึ่งสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในกลุ่มนี้
ส่วน "วัตถุอันตรายชนิดที่ 4" นั้นหมายถึง วัตถุอันตรายที่ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง ควบคุมโดยการห้ามประกอบกิจการใดๆ ... ซึ่งผลของการลงมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่ผ่านมา โดยมีกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้เสนอเรื่องนั้น ทำให้ "ยาฆ่าหญ้าไกลโฟเซต" ถูกจัดอยู่ในวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 นี้ด้วย
ผลจากการแบนสารไกลโฟเซตด้วยการกำหนดให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 จึงไม่เพียงแต่กระทบการใช้หรือการจำหน่ายในประเทศเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อ "การนำเข้าสินค้าทางการเกษตร" จากต่างประเทศ อีกด้วย
ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 387 พ.ศ. 2560 เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.อาหาร 2522 นั้น ในข้อ 4 ระบุว่า "อาหารที่มีสารพิษตกค้าง ต้องมีมาตรฐาน โดยตรวจไม่พบวัตถุอันตรายทางการเกษตร ชนิดที่ 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551 ตามบัญชีหมายเลข 1 แนบท้ายประกาศนี้" (ปัจจุบัน บัญชี 1 ท้ายคำประกาศนี้ ยังไม่ได้บรรจุไกลโฟเซตไว้ในรายชื่อ แต่จะต้องใส่เพิ่มเติมหลังจากวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ไปแล้ว)
ดังนั้น การที่ประเทศไทยใช้แนวทาง zero tolerate ต่อวัตถุอันตรายชนิด 4 แล้วไปประกาศให้สารไกลโฟเซตเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ด้วย จึงส่งผลกระทบกับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของสหรัฐ รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่มีการใช้ไกลโฟเซตมายังประเทศไทยในอนาคต
ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ประเทศไทยนำเข้าจากประเทศเหล่านี้ เป็นจำนวนมากนั้น ได้แก่ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ฝ้าย ข้าวบาร์เลย์ และผักผลไม้อื่นๆ อีกหลายชนิด ... แค่ประเทศสหรัฐประเทศเดียว ก็มีการนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวสาลี กาแฟ แอปเปิ้ล และองุ่น มูลค่าถึง 51,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุว่า ในปี 2561 ประเทศไทยนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐมีมูลค่าสูงถึง 7.3 หมื่นล้านบาท)
จากภาพแผนที่ จะเห็นว่า เกือบทุกประเทศทั่วโลกไม่ได้แบนการใช้ไกลโฟเซต แถมยังนิยมใช้ไกลโฟเซตกันในปริมาณที่มหาศาลอีกด้วย เนื่องจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ขององค์กรต่างๆ เช่น หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (EPA) ประเมินแล้วว่าไม่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ สอดคล้องกับความคิดเห็นทางวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานอื่นทั้งญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และองค์การเกษตรแห่งสหประชาชาติ
โดยทั่วไป มักจะพบการตกค้างของไกลโฟเซตได้บ้างในสินค้าการเกษตร ซึ่งมักจะอยู่ในระดับที่ไม่เกินค่า MRL (มาตรฐานสารตกค้างสูงสุด maximum residue level) ที่กำหนดโดยมาตรฐานนานาชาติ Codex ประกอบกับคุณสมบัติด้านความปลอดภัยสูงของไกลโฟเซต (LD50 > 5,000 mg/kg) อยู่แล้วด้วย
ดังนั้น ประเทศไทยเราจะต้องเจอกับปัญหาการนำเข้าสินค้าทางการเกษตรที่เราจำเป็นต้องใช้ แต่มีการตกค้างของไกลโฟเซต ซึ่งจะต้องไม่มีหลงเหลือแม้แต่น้อย ตามหลัก zero tolerance ที่เรากำหนดไว้
ปัญหานี้จะไม่ได้เกิดขึ้นแต่กับประเทศคู่ค้าหลัก อย่างสหรัฐอเมริกา จนทางการสหรัฐถึงกับต้องส่งจดหมายมาเตือน ให้ทบทวนประเด็นเรื่องสารไกลโฟเซตนี้โดยเฉพาะ (ซึ่งเราได้เปรียบดุลการค้าเขาประมาณปีละ 2 หมื่นกว่าล้านดอลลาร์) แต่แหล่งข่าวทางการทูต บอกว่าประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา และแคนาดา ก็จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีของไทยในเรื่องนี้เช่นกัน
แล้วทางออกของประเทศไทยคืออะไร ? ก็คงต้องหาทางเจรจากับแต่ละประเทศเพื่อหาทางออกของเรื่องนี้ หลังจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่ให้สารไกลโฟเซตเป็นวัตถุอันตรายชนิด 4
ทางออกแรก คือ การแก้มติคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อให้ไกลโฟเซต กลับเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เหมือนเดิม
หรือทางออกที่ 2 คือ สร้างข้อยกเว้นให้กับสารตัวนี้เป็นกรณีพิเศษ แทนที่จะห้ามมีตกค้างแม้แต่น้อยในอาหารที่นำเข้า (ทำนองเดียวกันกับกรณีของพืชจีเอ็มโอ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด ฝ้าย ที่ประเทศไทยห้ามเกษตรกรเพาะปลูก แต่กลับนำเข้าจากต่างประเทศมาขายได้)
หรือทางออกที่ 3 คือเลียนแบบประเทศเวียดนาม ที่จะเริ่มแบนไกลโฟเซทในปีหน้า แต่กำหนดให้การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบทางการเกษตรนั้นอ้างอิงตามมาตรฐาน Codex ไม่ได้กำหนดให้เป็น zero tolerance เหมือนของ ก. สาธารณสุข เรา
แต่ถ้าเราดื้อดึง ไม่ยอมใช้ทางออกใดเลย ก็จะกลายเป็นข้ออ้างให้ประเทศต่างๆ เขาสามารถจะตอบโต้ทางการค้ากับเราได้ ไม่ว่าจะเรื่องการตัดสิทธิพิเศษทางการค้า หรือการนำขึ้นร้องเรียนเป็นข้อพิพาทกับองค์การการค้าโลก หรือ wto (ซึ่งถ้าถึงวันนั้น แล้วเราใช้เอกสารชี้แจงโดยอ้างมั่วๆ เกี่ยวกับเรื่องความกังวลในการบริโภคอาหารที่มีไกลโฟเสทตกค้างอยู่ ว่าจะก่อมะเร็งแล้วก็ เราได้แพ้คดีที่ wto ได้แน่ๆครับ)
สรุปคือ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ครับ เตือนมาหลายครั้งแล้วว่า ถ้าอยากแบนยาฆ่าแมลงแบบคลอไพริฟอส ก็แบนไปเลย
แต่มาแบนไกลโฟเซทที่มีพิษต่ำสุดในยาฆ่าหญ้าทั้งหมด แบบนี้แล้ว ผลกระทบตามมามันใหญ่หลวงนัก ทั้งต่อเกษตรกรในประเทศเอง ลามไปจนถึงการค้าระหว่างประเทศแบบนี้ (และถึงวันนี้ ผมไม่คิดว่าคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้ อย่างคุณอนุทิน คุณมนัญญา เหล่าเอ็นจีโอและสื่อมวลชนที่สนับสนุน จะออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรครับ)
ปล. แล้วอย่ามามั่วว่า ที่สหรัฐอเมริกาออกมาปกป้องไกลโฟเซต เพราะอยากจะขายยาฆ่าหญ้าตัวนี้ เนื่องจากไทยนำเข้าไกลโฟเซตจากสหรัฐเป็นปริมาณที่น้อยมากๆ คือเพียง 11 ตันใน 10 ปี แต่ความจริงแล้วนำเข้าจากประเทศจีนถึง 4.7 แสนตันใน 10 ปี