"ว่าด้วยองคมนตรี"
คําว่า “องคมนตรี” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า “น. ผู้มีตำแหน่งที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์”
องคมนตรีมีมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะแรกนั้นยังไม่ได้เรียกว่า “องคมนตรี” แต่จะใช้คำว่า “ปรีวีเคาน์ซิล”
“ปรีวีเคาน์ซิลลอร์” “ปรีวีเคาน์ซิลเลอร์” หรือ “สภาที่ปฤกษาในพระองค์” ส่วนคำว่า “องคมนตรี” เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน
ทั้งนี้ ในรายงานการประชุมเสนาบดีวันที่ 27 สิงหาคม รัตนโกสินทรศก 111 (พ.ศ.2435) และใน “ประกาศการพระราชพิธีศรีสัจปานกาล พระราชทานพระไชยวัฒน์องค์เล็กแลเครื่องราชอิศริยาภรณ์ แลตั้งองคมนตรี” รัตนโกสินทรศก 111 ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า “องคมนตรี” แล้ว
ตามหลักฐานที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 1 วันอาทิตย์ เดือนเจ็ด ขึ้น 2 ค่ำ ปีจอ ฉศก จุลศักราช 1236 แผ่นที่ 1 หน้า 2-3 ได้ลงพิมพ์ “ประกาศที่ 3 ว่าด้วยตั้งเกาน์ซิล และพระราชบัญญัติ” ความว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า
“…ราชการผลประโยชน์บ้านเมืองสิ่งใดที่จะเกิดขึ้น แลการที่ยังรกร้างมาแต่เดิมมากนั้น ถ้าจะทรงจัดการแต่พระองค์เดียว ก็จะไม่ใคร่สำเรจไปได้ ถ้ามีผู้ที่ช่วยกันคิดหลายปัญญาแล้ว การซึ่งรกร้างมาแต่เดิมก็จะได้ปลดเปลื้องไปได้ทีละน้อยๆ ความดีความเจริญก็คงจะบังเกิดแก่บ้านเมือง จึ่งได้ทรงจัดสันข้าทูลอองธุลีพระบาทซึ่งมีสติปัญญาโปรดเกล้าฯ ตั้งไว้เปนที่ปฤกษาแห่งสมเดจพระเจ้าอยู่หัว…”
และในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 1 วันอาทิตย์ เดือน 8 ขึ้นค่ำ 1 ปีจอ ฉศก จุลศักราช 1236 แผ่นที่ 5 หน้า 46 ได้ลง “ประกาศการในที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน” และ “ประกาศว่าด้วยปฤกษาจัดการในเคาน์ซิลออฟสเตด คือที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน” รวมทั้ง “ประกาศว่าด้วยการปรีวีเคาน์ซิล” นอกจากนั้น ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 1 วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 10 ค่ำ ปีจอ ฉศก จุลศักราช 1236 แผ่นที่ 17 หน้า 158-161 ได้ลงประกาศ “พระราชบัญญัติ ปรีวีเคาน์ซิลคือที่ปฤกษาในพระองค์”
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรียังคงเป็นไปตามเดิม ทรงแต่งตั้งองคมนตรีขึ้นใหม่ตามพระราชอัธยาศัย แต่ทั้งนี้ ทรงตั้งประเพณีไว้อย่างหนึ่ง คือในเดือนมีนาคม ให้กระทรวงมุรธาธรทำบัญชีผู้ที่ได้รับพระราชทานพานทองเครื่องยศ ในคราวพระราชพิธีฉัตรมงคลเดือนพฤศจิกายน ขึ้นทูลเกล้าฯถวาย เพื่อทรงเลือกเป็นองคมนตรี แล้วจะทรงตั้งเป็นองคมนตรีในวันที่ 4 เมษายน เนื่องในพระราชพิธีศรีสัจปานกาล (พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา) ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งองคมนตรีเพิ่มใหม่เป็นประจำทุกปี เป็นผลให้จำนวนองคมนตรีในรัชกาลนี้มีถึง 233 คน และอยู่ในตำแหน่งจนสิ้นรัชกาล
ครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยึดแบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรีตามแบบเดิม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้องคมนตรีทั้งหมดที่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นองคมนตรีในรัชกาลของพระองค์ แต่มีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย คือทรงเลือกผู้ที่ไม่ได้พระราชทานเครื่องยศชั้นพานทองเป็นองคมนตรีด้วย องคมนตรีในรัชกาลนี้จัดสรรเป็นสัดส่วนระหว่างพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการคือ อภิรัฐมนตรี เสนาบดี ราชเลขาธิการ พระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าพระยา พระยา และราชครู มารวมกัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯตั้งองคมนตรีในการพระราชพิธีศรีสัจปานกาลในเดือนเมษายนของทุกปี จนถึงพุทธศักราช 2472 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนแปลงการตั้งองคมนตรีมาตั้งในพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรีจะต้องเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณและรับพระราชทานสัญญาบัตรองคมนตรีก่อน จึงจะถือว่าเป็นองคมนตรีโดยสมบูรณ์
เนื่องจากองคมนตรีมีจำนวนมากไม่สะดวกในการเรียกประชุม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้ง “สภากรรมการองคมนตรี” ขึ้น ตามพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตราขึ้นใช้แทนพระราชบัญญัติปรีวีเคาน์ซิลคือที่ปฤกษาในพระองค์ จุลศักราช 1236 และทรงคัดเลือกองคมนตรีที่ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ จำนวน 40 คน เข้ามาเป็นกรรมการองคมนตรีเพื่อทำหน้าที่ “ประชุมปรึกษาหารือข้อราชการตามแต่จะโปรดเกล้าฯพระราชทานลงมาให้ปรึกษา”
นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริให้สภากรรมการองคมนตรีเป็นที่ประชุมตัวอย่างสำหรับการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเสรี
ตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สภากรรมการองคมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่และประชุมอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงได้มีการประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พุทธศักราช 2475 เป็นผลให้องคมนตรีและสภากรรมการองคมนตรีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 พ้นจากตำแหน่งและหน้าที่ไป
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เสด็จขึ้นครองราชย์นั้นยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ และจะต้องเสด็จฯไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงมีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้น มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ทรงเป็นประธาน และพระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) ร่วมเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีอำนาจหน้าที่ตามประกาศตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ณ วันที่ 16 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 ดังนี้
“…โดยมีข้อตกลงว่า ในการลงนามในเอกสารราชการนั้น ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทั้งสองคนเป็นผู้ลงนาม…”
ครั้นถึงพุทธศักราช 2490 ได้มีประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ซึ่งมีรายละเอียดที่บัญญัติไว้ดังนี้
“มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำหรับถวายคำปรึกษาในราชการแผ่นดิน”
“มาตรา 10 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับในราชอาณาจักรหรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง จะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้แต่งตั้งอภิรัฐมนตรีขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถ้าพระมหากษัตริย์มิได้ทรงตั้งหรือไม่สามารถจะทรงตั้งได้ ก็ให้อภิรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินในหน้าที่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทันที” และ
“มาตรา 13 อภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งประจำมีห้านาย เป็นผู้บริหารราชการในพระองค์ และถวายคำปรึกษาแด่พระมหากษัตริย์”
อภิรัฐมนตรีจึงเป็นทั้งที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ และเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปในขณะเดียวกัน
ต่อมา วันที่ 23 มีนาคม พุทธศักราช 2492 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 มาตรา 13 ได้บัญญัติเกี่ยวกับองคมนตรีไว้ดังนี้
“พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรีคนหนึ่งและองคมนตรีอีกไม่มากกว่าแปดคน ประกอบเป็นคณะองคมนตรี คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้”
นับเป็นรัฐธรรมนูญไทยฉบับแรกที่บัญญัติถึงคณะองคมนตรีและหน้าที่ของคณะองคมนตรี อันเป็นการวางรากฐานบทบาทและหน้าที่ของคณะองคมนตรีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
Search