กรณีศึกษา JP บริษัทยาและอาหารเสริมครบวงจร ที่กำลังจะ IPO
JP X ลงทุนแมน
หากพูดถึงบริษัทผู้ผลิตยาและอาหารเสริมที่เก่าแก่ในเมืองไทย
หนึ่งในนั้นก็น่าจะมี บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ที่ทำธุรกิจเวชภัณฑ์กว่า 70 ปี
แล้วใครจะคิดว่าจุดเริ่มต้นของบริษัทแห่งนี้
จากที่เคยเป็นร้านขายยาเล็ก ๆ ย่านตึกแถวหัวลำโพงชื่อว่า “อั้งง่วนเฮง สุภาพโอสถ”
ปัจจุบันจะกลายเป็นบริษัทผู้ผลิตยาและอาหารเสริมรายใหญ่ มีโรงงานผลิตถึง 2 โรงงาน
และกำลังเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เร็ว ๆ นี้ โดยใช้ชื่อย่อหุ้นว่า JP
ที่น่าสนใจคือ JP ดำเนินธุรกิจอยู่ 2 รูปแบบ
แบบแรก คือ ธุรกิจรับจ้างผลิตยา และอาหารเสริมให้แก่บริษัทต่าง ๆ
แบบที่สอง คือ ธุรกิจยา และอาหารเสริมในแบรนด์ของตัวเอง
แล้วบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ ทั้งรับจ้างผลิต และมีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง
มีข้อได้เปรียบในการทำธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจยาและอาหารเสริมในเมืองไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งเหตุผลสำคัญมาจากจำนวนผู้สูงอายุในเมืองไทยที่กำลังเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี
พ.ศ. 2550 ประเทศไทยมีผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 7 ล้านคน โดยคิดเป็น 10.7% จากจำนวนประชากรทั้งหมด
พ.ศ. 2563 ประเทศไทยมีผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 12 ล้านคน คิดเป็น 18.4% จากจำนวนประชากรทั้งหมด
อธิบายความเป็นจริง ณ วันนี้
หากเราเห็นคนในประเทศไทย 100 คน ก็จะมีผู้สูงอายุจำนวน 18 คน
เมื่อจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปี
ความต้องการยาและอาหารเสริมก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
เพราะธรรมชาติได้ระบุแล้วว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น
ภูมิคุ้มกันและสภาพร่างกายก็จะถูกเวลากัดกร่อนให้อ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 ก็ทำให้ใครหลาย ๆ คนเปลี่ยนไป
หันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม
แล้วคนที่ได้ประโยชน์จากปรากฏการณ์เหล่านี้ ก็คือบริษัทที่ทำธุรกิจยาและอาหารเสริม
ซึ่ง JP ก็เติบโตตามเทรนด์นี้เช่นกัน
พ.ศ. 2561 รายได้รวม 352 ล้านบาท กำไรสุทธิ 12.4 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 3.5%
พ.ศ. 2562 รายได้รวม 366 ล้านบาท กำไรสุทธิ 23.6 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 6.4%
พ.ศ. 2563 รายได้รวม 463 ล้านบาท กำไรสุทธิ 31.1 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 6.7%
จะเห็นว่าทั้งรายได้และกำไรของบริษัทฯ ที่ผ่านมาเติบโตตามเทรนด์สุขภาพที่เกิดขึ้น
แต่หากเราไปดูโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ ก็จะพบข้อมูลที่น่าสนใจ
เพราะข้อมูลล่าสุดในปี พ.ศ. 2563 ระบุว่า
ธุรกิจรับจ้างผลิตมีสัดส่วน 54% ธุรกิจแบรนด์สินค้าตัวเอง 21%
และ 2563 เป็นปีแรกที่บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ใหม่คือ แอลกอฮอล์ทำความสะอาด คิดเป็น 19%
(สัดส่วนรายได้ที่เหลือคือธุรกิจซื้อมาขายไปและอื่น ๆ)
ความน่าสนใจก็คือ หากย้อนกลับไปช่วงเริ่มต้นของบริษัทฯ
ธุรกิจหลักที่สร้างรายได้เกือบทั้งหมด
คือเป็นผู้รับจ้างผลิตยาและอาหารเสริมหรือ OEM ให้บริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ
ซึ่งหากจะให้ธุรกิจยั่งยืน ก็ไม่ควรจะพึ่งพากลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป
ทำให้ที่ผ่านมา บริษัทฯ ก็มีการผลิตสินค้ายาและอาหารเสริมเป็นของตัวเอง
โดยปัจจุบันมีถึง 3 แบรนด์ จับกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป
COX : สินค้าประเภทยาแผนปัจจุบัน
EVITON : อาหารเสริมประเภทโภชนเภสัชเพื่อความงาม
สุภาพโอสถ : อาหารเสริมประเภทโภชนเภสัชเพื่อสุขภาพ
โดยทั้ง 3 แบรนด์ของบริษัทฯ ก็มีช่องทางการขายที่หลากหลาย
อย่างเช่น TV Home Shopping ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านขายยาทั่วประเทศ โรงพยาบาลและคลินิก และช่องทางออนไลน์ เป็นต้น
ที่น่าติดตามต่อจากนี้ก็คือ แผนธุรกิจในอนาคต
เพราะเมื่อบริษัทฯ เข้า IPO แล้ว ก็จะเน้นทำธุรกิจแบรนด์ตัวเองมากขึ้นอย่างเข้มข้น
อย่างเช่น แบรนด์สุภาพโอสถ
ก็จะมีการผลิตสินค้าใหม่อย่างน้อย 4 - 6 รายการต่อปี
โดยล่าสุดได้ประกาศว่าในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ บริษัทฯ มีแผนจดทะเบียนสินค้าใหม่
ประเภทยาแผนปัจจุบันจำนวน 6 ผลิตภัณฑ์
ต้องบอกว่าวิธีคิดการทำธุรกิจของ JP เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างในการทำธุรกิจที่ยั่งยืน
และน่าสนใจเลยทีเดียว
เพราะในขณะที่หลาย ๆ บริษัทเลือกที่จะหยุดนิ่ง
เพราะคิดว่าธุรกิจหลักมั่นคงสามารถเติบโตได้เรื่อย ๆ ทุกปี
ไม่จำเป็นต้องออกแรงให้เหนื่อยเพิ่มและลงทุนในธุรกิจใหม่
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะสำเร็จหรือล้มเหลว
แต่.. ในโลกธุรกิจการเลือกจะหยุดนิ่ง ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
การเลือกจะเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา เพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ
ก็จะทำให้บริษัทนั้นต่อยอดความแข็งแกร่งไปได้เรื่อย ๆ
เหมือนอย่างที่ JP กำลังใช้เป็นแนวคิดหลักในการทำธุรกิจจากวันนี้ไปถึงอนาคตข้างหน้านั่นเอง..
References
-แบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
-http://www.dop.go.th
同時也有4部Youtube影片,追蹤數超過0的網紅CarDebuts,也在其Youtube影片中提到,ยอดขายรถยนต์ Isuzu D-MAX 2020 อีซูซุ ดีแมกซ์ นำห่าง Toyota Hilux Revo โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ในยอดขายรถกระบะปิกอัพ ประจำเดือนพฤษภาคม และ 5 เดือนแรกของป...
「แบรนด์ ประเทศไทย」的推薦目錄:
แบรนด์ ประเทศไทย 在 Ohlalastory Facebook 的最佳貼文
“ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค” จับมือ “แบรนด์ ซันโทรี่”
รวมพลัง “ONE SUNTORY เคียงข้างคนไทย สู้ภัยโควิด-19”
.
.
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เป็นคลัสเตอร์ใหญ่เกิดขึ้น ทำให้ยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรงพยาบาลสนามและชุมชนที่มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 หลายแห่งกำลังประสบกับปัญหาภาวะขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือซันโทรี่ ตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้ร่วมมือกันจัดกิจกรรม “ONE SUNTORY เคียงข้างคนไทย สู้ภัยโควิด-19”
.
.
ส่งมอบผลิตภัณฑ์น้ำดื่มอควาฟิน่า และแบรนด์ซุปไก่สกัด รวมมูลค่า 1,350,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ รวม 49 แห่งใน 36 จังหวัด และ 32 ชุมชน ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในกรุงเทพมหานครผ่านโครงการ “เรื่องเล่าแบ่งปัน” ของรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบความห่วงใยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนาม รวมถึงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนในชุมชน โดยมอบผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม และอาหารเสริมสุขภาพไว้บริโภค
.
.
ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย และแบรนด์ ซันโทรี่ ประเทศไทย ขอร่วมส่งมอบกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ และขอขอบคุณการเสียสละของฮีโร่ด่านหน้าทุกท่าน รวมถึงจะยืนหยัดอยู่ข้างคนไทยฝ่าวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ไปด้วยกัน
.
.
#OneSuntory #สู้ภัยโควิด19 #ohlalastory
แบรนด์ ประเทศไทย 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
โอวัลติน และ ชา ทไวนิงส์ มีเจ้าของเดียวกัน คนนั้นคือใคร ? /ลงทุนแมน
“ดื่มโอวัลติน คุณค่าดีดี เพื่อทุกวันของชีวิต”
“ทไวนิงส์ ชาอังกฤษ ที่คัดสรรและปรุงชาจากใบชาคุณภาพสูงชั้นเลิศจากทั่วโลก เพื่อให้คุณ”
ทั้ง 2 แบรนด์นี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางประวัติความเป็นมา ผลิตภัณฑ์ หรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เลยแม้แต่น้อย แต่รู้ไหมว่า สิ่งที่ทั้ง 2 แบรนด์มีเหมือนกัน นั่นคือ ตอนนี้มี “เจ้าของ” เป็นบริษัทเดียวกัน
แล้วทำไมถึงมีเจ้าของ เป็นบริษัทเดียวกัน เรื่องราวนี้มีที่มาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ก่อนอื่นเลย ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทั้งโอวัลตินและทไวนิงส์
แต่เดิมเป็นบริษัทที่มีต้นกำเนิด อยู่คนละยุคสมัยกัน
เริ่มต้นกันที่ แบรนด์ชาอังกฤษ “ทไวนิงส์ (Twinings)” ถือว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ชาที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศอังกฤษ มีอายุมากกว่า 300 ปี
บริษัท ทไวนิงส์ ก่อตั้งโดย คุณโธมัส ทไวนิงส์ ที่มีประสบการณ์ในการนำเข้าใบชา จากประเทศจีนสู่ประเทศอังกฤษ ต่อมาเขาได้ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจร้านนำเข้า ผสมใบชา และคั่วกาแฟ เป็นของตัวเอง ภายใต้ชื่อของ TOM'S COFFEE HOUSE ในปี ค.ศ. 1706
และหลังจากที่คุณโธมัสเสียชีวิตไป ลูกหลานของตระกูลทไวนิงส์ ก็ได้สานต่อในเรื่องของการนำเข้า-ส่งออกใบชา รวมถึงการนำผลิตภัณฑ์ชา ไปมอบให้กับราชวงศ์ของอังกฤษ
ซึ่งต่อมา ธุรกิจได้พัฒนาจนกลายเป็น บริษัทผลิตชา ทไวนิงส์
ที่มีโลโกเป็นตรารับรอง พระราชทานจากพระนางเจ้าวิกตอเรีย
ส่วนแบรนด์เครื่องดื่มมอลต์สกัดเข้มข้น “โอวัลติน (Ovaltine)”
มีต้นกำเนิดมาจากกรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1904
ซึ่งว่ากันว่า เป็นเครื่องดื่มมอลต์สกัดจากข้าวบาร์เลย์ ที่ดัดแปลงมาจากสูตรของ คุณจอร์จ วานเดอร์ นักเคมีชาวสวิส ที่คิดค้นสูตรเครื่องดื่มสารอาหาร “Ovo-Maltine” ซึ่งมาจากส่วนผสมหลัก ได้แก่ มอลต์ (Malt) และ ไข่ (Ovum)
สุดท้ายแล้ว เรื่องราวที่แตกต่างกันของทั้ง 2 แบรนด์ ก็ได้มาบรรจบกัน
ภายใต้การเข้าซื้อกิจการ โดยบริษัท Associated British Foods
แล้วบริษัท Associated British Foods คือใคร ?
บริษัท Associated British Foods เดิมชื่อว่า “Allied Bakeries Limited” ก่อตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ.1935 โดยคุณการ์ฟิลด์ เวสตัน ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
คุณการ์ฟิลด์ มีความตั้งใจที่จะสร้างบริษัทที่เน้นการลงทุน แบบเข้าซื้อกิจการเกี่ยวกับร้านขนมปัง
จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านมาถึงปี ค.ศ. 1960 บริษัท Allied Bakeries Limited มีการเข้าซื้อกิจการร้านอบขนมปัง มากกว่า 10 บริษัท และสามารถบริหารจนประสบความสำเร็จได้
จากนั้น Allied Bakeries Limited ต้องการขยายการเข้าซื้อกิจการ ไปยังธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
จึงได้เริ่มเข้าซื้อบริษัทน้ำตาลอังกฤษ บริษัทผลิตไข่ไก่ ฟาร์มไข่ไก่
พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Associated British Foods” ในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ Associated British Foods ยังต้องการเป็นผู้ครอบครองธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งแต่ต้นน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ
ซึ่งธุรกิจปลายน้ำอย่าง บริษัทจัดจำหน่ายและห้างสรรพสินค้า ก็ได้ถูก Associated British Foods กว้านซื้อไปหลายบริษัทแล้ว
Associated British Foods จึงขาดแต่ บริษัทต้นน้ำอย่างผู้ผลิต
Associated British Foods เลยสร้างบริษัทที่ทำการวิจัยเอนไซม์และจุลินทรีย์ เพื่อการแปรรูปอาหาร
รวมถึงการเข้าซื้อแผนกวิจัยเอนไซม์และจุลินทรีย์ ของบริษัทยาชื่อดังจากสวิตเซอร์แลนด์ อย่าง “Novartis”
ซึ่ง Novartis แต่เดิมเป็นผู้พัฒนาสูตรเครื่องดื่มมอลต์สกัดของบริษัท “โอวัลติน” อยู่แล้ว จึงทำให้ Associated British Foods ประกาศเข้าซื้อบริษัท โอวัลติน ในปี ค.ศ. 2002
(หมายเหตุ: สำหรับโอวัลติน ที่มีการจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา จะดำเนินงานภายใต้บริษัท Nestlé)
แต่เท่านั้นยังไม่พอ
Associated British Foods ยังต้องการที่จะเพิ่มความหลากหลายของแบรนด์
เพื่อทำให้พอร์ตสินค้าของบริษัท สามารถเข้าไปอยู่ในทุก ๆ ครัวเรือนได้
เลยทำให้ในปี ค.ศ. 2010
บริษัทได้เข้าซื้อธุรกิจใบชายอดนิยม ที่มีประวัติยาวนานอย่าง ทไวนิงส์
ทั้งนี้ Associated British Foods ไม่ได้มีเพียงแค่แบรนด์โอวัลตินและทไวนิงส์
แต่บริษัทยังมีแบรนด์ในเครือ อีกกว่า 26 แบรนด์ อาทิ
น้ำมันประกอบอาหารตรา Mazola หรือขนมปังยี่ห้อ Sunblest
และยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า ที่โด่งดังในอังกฤษ อย่าง “Primark” อีกด้วย
เพียงแต่สินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ที่ว่ามานี้
จะเน้นการทำตลาดในประเทศแถบยุโรป ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา
จึงทำให้เราที่อยู่ในประเทศไทย อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตากันสักเท่าไร
แล้วผลประกอบการของ Associated British Foods ที่ผ่านมา เป็นอย่างไร
ปี 2018 รายได้รวม 680,904 ล้านบาท กำไร 59,932 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้รวม 689,634 ล้านบาท กำไร 61,372 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้รวม 606,834 ล้านบาท กำไร 39,894 ล้านบาท
ปีล่าสุด ที่รายได้และกำไรลดลง เป็นเพราะผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19
แต่ด้วยกลยุทธ์ของบริษัท ที่เน้นความหลากหลายของสินค้า ด้วยราคาที่จับต้องได้
เพื่อต้องการจะเข้าไปมีส่วนร่วม ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค
ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ของบริษัท จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ขายได้เรื่อย ๆ
ทำให้ยอดขายของบริษัท ไม่ได้รับผลกระทบหนักเหมือนธุรกิจอื่น ๆ
สำหรับประเทศไทย
Associated British Foods ได้เข้ามาเริ่มเปิดกิจการ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987
โดยจัดตั้งบริษัท เอบี ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ โอวัลตินและทไวนิงส์ เป็นหลัก
บริษัท เอบี ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ปี 2018 รายได้รวม 9,479 ล้านบาท กำไร 2,036 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้รวม 9,518 ล้านบาท กำไร 2,031 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้รวม 8,242 ล้านบาท กำไร 1,697 ล้านบาท
ปัจจุบัน Associated British Foods มีมูลค่าบริษัทกว่า 794,000 ล้านบาท
ซึ่งถ้าสมมติ บริษัทเข้ามาจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Associated British Foods ก็จะใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ
เป็นรองเพียงบริษัท ปตท. และ ท่าอากาศยานไทย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://twiningsmoment.com/thailand/
-https://www.abf.co.uk/
-https://www.abf.co.uk/documents/pdfs/2020/ar2020/ar2020.pdf
-https://ovaltine.co.th/about
แบรนด์ ประเทศไทย 在 CarDebuts Youtube 的最佳解答
ยอดขายรถยนต์ Isuzu D-MAX 2020 อีซูซุ ดีแมกซ์ นำห่าง Toyota Hilux Revo โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ในยอดขายรถกระบะปิกอัพ ประจำเดือนพฤษภาคม และ 5 เดือนแรกของปี 2563
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ ประจำเดือนพฤษภาคม 2563 มียอดการขายรวมทั้งสิ้น 40,418 คัน ลดลง 54.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่ง มีอัตราการเติบโตลดลง 65.1% และตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ มีอัตราการเติบโตลดลง 47.4% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกัน ของปีที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่า สถานการณ์การขายของเดือนพฤษภาคม มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากเดือนเมษายนที่ผ่านมา สืบเนื่องจากการที่รัฐบาล ได้ทยอยประกาศผ่อนปรนมาตรการควบคุม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้บางธุรกิจที่ได้รับการผ่อนปรน เริ่มทยอยกลับมาดำเนินงาน ซึ่งส่งผลในเชิงบวก ให้กับตลาดรถยนต์ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ยังคงอยู่ในช่วงของการค่อยๆฟื้นตัว ทำให้ผู้บริโภค ยังมีความระมัดระวัง ในการใช้จ่ายอยู่ รวมถึงภาครัฐฯ ยังได้ออกมาตรการดูแลและเยียวยา เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ด้วย
ส่วนตลาดรถยนต์สะสม 5 เดือน มีปริมาณการขาย 270,591 คัน ลดลง 38.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่ง มีอัตราการเติบโตลดลง 42.2% ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ มีอัตราการเติบโตลดลง 35.6% เป็นผลกระทบมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบ ต่อตลาดรถยนต์ไทย แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศและทั่วโลก ต่อเนื่องกันถึง 5 เดือน
สำหรับเดือนมิถุนายนนี้ จากการที่ภาครัฐฯ ได้ดำเนินการผ่อนคลายให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้ในระยะที่ 3 และการควบคุมสถานการณ์เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศ และได้มีการคลายล็อกระยะที่ 4 มีผลบังคับใช้วันที่ 15 มิถุนายน โดยให้กิจการและกิจกรรมอีกหลายประเภทกลับมาดำเนินธุรกิจได้ภายใต้มาตรการที่ภาครัฐกำหนดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน และเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ตามประชาชนยังต้องเฝ้าระวัง และป้องกันการใช้ชีวิตตามมาตรการความปลอดภัยเพื่อป้องกันการเกิดการแพร่ระบาดรอบ 2 ดังนั้นแนวโน้มของตลาดรถยนต์ในเดือนมิถุนายนจะมีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง
ปริมาณการจำหน่ายรถกระบะ Pure Pickup ประจำเดือนพฤษภาคม 2563
มีปริมาณการขาย 20,567 คัน ลดลง 46.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อันดับ 1 Isuzu D-MAX 8,955 คัน ลดลง 32.5% ส่วนแบ่งตลาด 43.5%
อันดับ 2 Toyota Hilux Revo 7,830 คัน ลดลง 48.4% ส่วนแบ่งตลาด 38.1%
อันดับ 3 Mitsubishi Triton 1,403 คัน ลดลง 48.2% ส่วนแบ่งตลาด 6.8%
อันดับ 4 Ford Ranger 1,109 คัน ลดลง 72.8% ส่วนแบ่งตลาด 5.4%
อันดับ 5 Nissan Navara 837 คัน ลดลง 55.4% ส่วนแบ่งตลาด 4.1%
อันดับ 6 MG Extender 240 คัน ไม่มีขายในปีก่อน ส่วนแบ่งตลาด 1.2%
อันดับ 7 Chevrolet Colorado 147 คัน ลดลง 87.9% ส่วนแบ่งตลาด 0.7%
อันดับ 8 Mazda BT-50 Pro 42 คัน ลดลง 87.6% ส่วนแบ่งตลาด 0.2%
อันดับ 9 Tata Xenon 4 คัน ลดลง 88.9% ส่วนแบ่งตลาด 0.0%
อันดับ 10 CP Foton Tunland 0 คัน ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนแบ่งตลาด 0.0%
ในเดือนนี้ Isuzu D-MAX สามารถกลับมาครองอันดับ 1 โดยมียอดขายมากกว่า Toyota Hilux Revo 1,000 กว่าคัน ทั้งนี้ คาดว่าในเดือนพฤษภาคม กลุ่มเป้าหมาย รอการเปิดตัว Hilux Revo รุ่นปรับโฉมใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวไป เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ทำให้ต้องรอดูยอดขายในเดือนต่อๆไปว่า Hilux Revo จะกลับมานำ D-MAX ได้อีกครั้งหรือไม่ ส่วนอันดับ 3 และ 4 Mitsubishi Triton ก็ยังคงนำ Ford Ranger อยู่ที่เกือบ 300 คัน ในเดือนพฤษภาคมนี้ และดูเหมือนว่า Triton อาจจะยึดตำแหน่งที่ 3 ได้ในระยะยาว อย่างน้อย ก็ในช่วงที่รอ Ranger เปิดตัวเจนเนอเรชั่นใหม่ในปีหน้า MG Extender ก็ยังคงประสบปัญหาในด้านยอดขายเช่นเดิม ด้วยยอดจำหน่ายเพียง 240 คัน ในขณะที่อันดับ 10 Foton Tunland มาพร้อมภาพลักษณ์ของแบรนด์ใหม่ CP Foton ที่ต้องรอดูกันว่า แบรนด์ CP จะช่วยกระตุ้นยอดขาย ได้มากแค่ไหน
ปริมาณการจำหน่ายรถกระบะ Pure Pickup ใน 5 เดือนแรก ของปี 2563
มีปริมาณการขาย 122,848 คัน ลดลง 35.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อันดับ 1 Isuzu D-MAX 52,757 คัน ลดลง 19.2% ส่วนแบ่งตลาด 42.9%
อันดับ 2 Toyota Hilux Revo 43,509 คัน ลดลง 37.8% ส่วนแบ่งตลาด 35.4%
อันดับ 3 Mitsubishi Triton 9,589 คัน ลดลง 38.1% ส่วนแบ่งตลาด 7.8%
อันดับ 4 Ford Ranger 8,006 คัน ลดลง 60.5% ส่วนแบ่งตลาด 6.5%
อันดับ 5 Nissan Navara 5,751 คัน ลดลง 46.0% ส่วนแบ่งตลาด 4.7%
อันดับ 6 Chevrolet Colorado 1,591 คัน ลดลง 71.8% ส่วนแบ่งตลาด 1.3%
อันดับ 7 MG Extender 818 คัน ไม่มีขายในปีก่อน ส่วนแบ่งตลาด 0.7%
อันดับ 8 Mazda BT-50 Pro 739 คัน ลดลง 70.6% ส่วนแบ่งตลาด 0.6%
อันดับ 9 Tata Xenon 88 คัน ลดลง 54.6% ส่วนแบ่งตลาด 0.1%
อันดับ 10 CP Foton Tunland 0 คัน ลดลง 100% ส่วนแบ่งตลาด 0.0%
สำหรับยอดขายสะสมใน 5 เดือนแรก อันดับต่างๆ ยังเหมือนกับยอดขายประจำเดือน ยกเว้นอันดับ 6 และ 7 คือ Chevrolet Colorado และ MG Extender ที่มีการสลับตำแหน่ง โดยมี Isuzu D-MAX นำห่างอันดับ 2 อย่าง Toyota Hilux Revo ถึงเกือบ 1 หมื่นคัน ด้วยส่วนแบ่งตลาด มากถึง 42.9% หรือเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดรถกระบะใหม่ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันระหว่าง 2 อันดับแรก น่าจะเข้มข้นรุนแรงมากขึ้น ตั้งแต่เดือนมิถุยายนนี้เป็นต้นไป จากการเปิดตัวของ Toyota Hilux Revo รุ่นปรับโฉมใหม่
แบรนด์ ประเทศไทย 在 CarDebuts Youtube 的最讚貼文
เปิดตัวในไทย 2020 Toyota CHR by Karl Lagerfeld Limited Edition Thailand โตโยต้า ซีเอชอาร์ รุ่นพิเศษ โฉมใหม่ล่าสุด ราคา 1.219 ล้านบาท
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จับมือ Karl Lagerfeld ดีไซน์เนอร์วงการแฟชั่นระดับโลก นำเสนอ Toyota C-HR BY KARL LAGERFELD รุ่น LIMITED EDITION ที่มีจำนวนจำกัด เพื่อสร้างสรรค์ปรากฏการณ์ใหม่ ในด้านการออกแบบ ที่ผสมผสานศาสตร์แห่งยนตรกรรม เข้าไว้กับศิลปะ ในด้านแฟชั่นได้อย่างลงตัว ตอกย้ำความเป็นต้นแบบ ของผู้นำเทรนด์ในด้านดีไซน์อย่างแท้จริง เริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2563
อีกบทบาท แห่งการเข้าสู่การเป็น “องค์กรแห่งการขับเคลื่อน” (Mobility Company) หนึ่งในแนวคิดที่ท้าทาย คือ การผลิตยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่า ของโตโยต้า (Ever-better Cars) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ “ยานพาหนะ” แห่งความสมบูรณ์แบบ ที่เหนือความคาดหมาย ส่งผลให้ Toyota C-HR มีการออกแบบที่เต็มไปด้วยความประณีต โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร มาพร้อมกับ 4 เทคโนโลยี ที่ถือได้ว่า เป็นมาตรฐานระดับโลก ของรถยนต์โตโยต้า
นอกจากนี้ Toyota C-HR คือรถซับคอมแพคเอสยูวีรุ่นแรก และรุ่นเดียวในประเทศไทย ที่ได้รับรางวัล การรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ระดับ 5 ดาว จากการทดสอบการชนรถใหม่ในอาเซียน หรืออาเซียน เอ็นแคป (ASEAN NCAP) ภายใต้การประเมินผลแบบใหม่ สำหรับปี พ.ศ. 2560 – 2563 ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ Toyota C-HR ประสบความสำเร็จ มียอดขายสะสม ตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2561 ถึงกุมภาพันธ์ของปีนี้ มากกว่า 28,700 คัน
ในปัจจุบัน ลูกค้ากลุ่ม SUV มีความต้องการรถยนต์ที่มีความโดดเด่น แฟชั่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร ให้ความมั่นใจในการขับขี่ และการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ โตโยต้าจึงให้ความสนใจ ในการพัฒนารถยนต์ในกลุ่ม SUV ให้มีสไตล์ที่สะท้อนภาพลักษณ์ บุคลิกของผู้ขับขี่ ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะ Toyota C-HR ที่ได้รับการออกแบบ ให้มีดีไซน์โดดเด่น ทันสมัย มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ระบบความปลอดภัย และสมรรถนะการขับขี่ที่มั่นใจ ซึ่งสามารถสะท้อนความเป็นผู้นำ ทั้งด้านดีไซน์ และเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี จึงเป็นที่มา ของการจับมือกับแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ที่มีแนวคิด ในการนำเสนอผลงานเหมือนกัน อย่าง KARL LAGERFELD ที่มีความกล้า ในการสร้างสรรค์เทรนด์ใหม่ๆอยู่เสมอ”
Toyota C-HR ก่อเกิดจากแนวคิด ในการที่จะกล้าเปลี่ยนแปลง และพัฒนายนตรกรรมให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น น่าหลงใหล ด้วยเส้นสายที่เฉียบคม ภายใต้ความท้าทาย ในทุกข้อจำกัดของการดีไซน์ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอันเป็นที่สุด ตามมาตรฐานระดับโลกของโตโยต้า ผ่านประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมเหนือใคร สอดคล้องกับแนวคิดของ KARL LAGERFELD ดีไซน์เนอร์ผู้เป็นตำนานแห่งวงการแฟชั่น ซึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลกมากมาย ที่มีความกล้าสร้างสรรค์เทรนด์ใหม่ๆ รวมทั้งมีเอกลักษณ์ในการออกแบบ และไม่เคยล้าสมัย เหมาะกับทั้งหญิงและชาย และใส่ใจในความประณีตและคุณภาพ ดังคำที่เคยกล่าวไว้ว่า “แฟชั่น…นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเสื้อผ้า แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง”
ด้วยความเชื่อ และ DNA ที่คล้ายกัน ของทั้ง 2 แบรนด์ ในการสรรสร้างสิ่งที่ดีที่สุด ก่อเกิดเป็นความร่วมมือ ที่จะปฏิวัติทุกการดีไซน์ โดยการผสมผสาน ศาสตร์ของการผลิตยนตรกรรม เข้าไว้กับศิลปะในด้านแฟชั่น จึงเป็นที่มาของ Toyota C-HR BY KARL LAGERFELD รุ่น LIMITED EDITION ที่ถูกยกระดับความโดดเด่นให้มากยิ่งขึ้น จากการคิดค้นอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ได้มา ซึ่งการผสมผสานอย่างลงตัว ที่สุดของสีขาวและสีดำ ด้วยวัสดุเกรดพรีเมี่ยมที่ดีที่สุด เฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น กับการออกแบบทั้งภายนอกและภายใน รวมทั้งหมด 12 จุดด้วยกัน ได้แก่
ดีไซน์ภายนอก
- หลังคาสีขาวมุก พร้อมชุดตกแต่งหลังคาสีดำ
- กระจกมองข้างสีขาวมุก
- ไฟตัดหมอกหน้า แบบ LED
- ชุดสเกิร์ตข้างสีขาวมุก
- ชุดสปอยเลอร์กันชนหน้าสีขาวมุก พร้อมชุดตกแต่งกันชนหน้าสีดำ
- ชุดสปอยเลอร์กันชนหลังสีขาวมุก พร้อมชุดตกแต่งกันชนหลังสีดำ
- ล้ออัลลอย 17 นิ้ว สีดำเงา
- สติ๊กเกอร์สีขาวมุก ตกแต่งข้างรถ ด้วย Logo KARL LAGERFELD
- สัญลักษณ์ KARL LAGERFELD บริเวณท้ายรถ
ดีไซน์ภายใน
- ภายในตกแต่งสีทูโทน พร้อมสัญลักษณ์ KARL LAGERFELD
- เบาะหนังสีทูโทนเกรดพรีเมียม พร้อมสัญลักษณ์ KARL LAGERFELD
- สคัฟเพลท C-HR by KARL LAGERFELD
แบรนด์ ประเทศไทย 在 ท่องเที่ยวสะดุดตา sadoodta Youtube 的最讚貼文
สะดุดตาได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรม "กอดป่ากอดทะเล" กับ เต้ย และ อเล็กซ์ เรนเดล และเยาวชนกว่า3,000 คน ร่วมกันอนุรักษ์ทะเลกระบี่ ตามไปดูกันว่าสนุกสนานแค่ไหน ทั้งสนุกและได้ความรู้การดูแลสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องไปพร้อมๆกัน
อเล็กซ์ผู้ร่วมก่อตั้ง ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาประเทศไทย (EEC Thailand) ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, จังหวัดกระบี่, บริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด, มูลนิธิกระบี่ยั่งยืน, บริษัท เจ.ซี.เจ. จํากัด และภาคประชาชน เปิดโครงการ #กอดป่ากอดทะเล โครงการสิ่งแวดล้อมศึกษา ภายใต้แนวคิด "มนุษย์และธรรมชาติคือสิ่งเดียวกัน"
กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกับเยาวชนและประชาชนในพื้นที่ เปิดโครงการที่แรก จังหวัดกระบี่ มีน้องนักเรียนและผู้สใจเข้าร่วมกว่า 3,000 คน ในตลอด3วันในการทำกิจกรรมอนุรักษ์ เรียนรู้ไปด้วยกัน
#กอดป่ากอดทะเล
#กระบี่
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาชม และ อย่าลืมคอมเเม้นท์กันด้านล่างด้วยนะ
ดูแล้วอย่าลืมกดติดตามนะครับ ลิงค์นี้เลย https://bit.ly/2FHD17U
ติดตามเราได้ที่ ท่องเที่ยวสะดุดตา
บล๊อกเกอร์คู่รักสายท่องเที่ยวที่จะพาไปทุกจุดสะดุดตา
อินสแกรม : https://www.instagram.com/sadoodtafanpage/
เฟสบุ๊ค : https://www.facebook.com/sadoodtafanpage/
เว็บไซต์ : http://www.sadoodta.com