Chefchaouen / Morocco
เมืองสีฟ้าที่งามที่สุดในโลก
การเดินทาง สายการบิน Turkish airlines บินตรงลงท่าอากาศยานนานาชาติ Istanbul Ataturk Airport จากนั้นต่อเครื่องไปลง Mohammed V International Airport ใน Casablanca แล้วจึงต่อรถบัสไปลงที่ Chefchaouen
ทำไมต้องไปเยือน
เมื่อผู้คนพูดถึงโมรอคโค ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกไปถึงเมืองชื่อดังอย่างมาราเกซ หรือคาซาบลังก้า ไม่ก็มองข้ามไปที่การท่องเที่ยวค้างแรมในทะเลทรายซาฮาร่ากันเลย แต่ทางตอนตะวันออกเหนือของประเทศที่หลาย ๆ คนไม่ค่อยได้ไปเยือน มีเมืองอยู่แห่งหนึ่งที่อุดมไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวซ่อนอยู่ท่ามกลางเทือกเขา rif นั่นก็คือเมืองสีฟ้านามว่าเชฟชาอูนนั่นเอง
เชฟชาอูนเป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่โต มีประชากรรวมทั้งบริเวณเขตรอบนอกอยู่ที่ราว 40,000 คน ถึงปัจจุบันจะไม่ได้เป็นเมืองใหญ่หรือเมืองการค้าหลัก แต่ตามประวัติศาสตร์แล้วที่นี่ถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศเลยทีเดียว เพราะก่อตั้งมากว่า 500 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1471 โดยในตอนแรกเมืองถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการฐานที่มั่นของชาวยิวและชาวมัวร์ที่ถูกขับไล่มาจากเสปน จากนั้นที่นี่ก็ถูกตั้งให้เป็นฐานที่มั่นเพื่อรับผู้อพยพมาจากเสปนเรื่อยมา
ที่จริงแค่ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ก็เพียงพอให้เป็นเมืองที่ควรค่าแก่การมาเยือนแล้ว แต่ในปี 1930 เมืองนี้ก็ยิ่งเพิ่มความพิเศษมากยิ่งขึ้น เมื่อชาวเมืองลงมติให้ย้อมสีของทั้งเมืองเป็นสีฟ้าสดใส สำหรับเหตุผลนั้นก็มีหลากหลายแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน บ้างก็ว่าทาตามความเชื่อในแบบยิวที่นับถือสีฟ้าเป็นสีของเทพเจ้า บ้างก็บอกว่าเป็นสีของท้องฟ้าและน้ำทะเล บางคนก็บอกว่าไม่มีความหมายอะไรหรอก แค่สวยดี แต่จะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่บ้านเรือนทุกหลัง รวมถึงกำแพงและพื้นถนนถูกระบายด้วยสีฟ้า น้ำเงินไปทั้งเมือง เป็นที่มาของชื่อเล่นว่า เมืองไข่มุกสีฟ้า นั่นเอง
ภายในเมืองมีมัสยิดอยู่หลายแห่งรวมถึงจุดชมวิวสวย ๆ ที่ต้องออกแรงเดินขึ้นเขาไปประมาณครึ่งชั่วโมงไปที่บริเวณมัสยิด Mosquée Bouzâafar จากตรงนั้นสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองจากมุมสูงได้อย่าเต็มตา โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ตก จะเห็นนักท่องเที่ยวมากมายอยู่รอบบริเวณมัสยิด รับรองว่าคึกคักไม่เปลี่ยวแน่นอน บางคนก็รอกันจนฟ้ามืดเพื่อชมเมืองสีฟ้าช่วงค่ำคืนกันเลยทีเดียว
ถ้ามาที่นี่อยากแนะนำให้พักบริเวณเมืองเก่าจะดีที่สุด เพราะสามารถเดินเที่ยวภายในเมืองสีฟ้าได้อย่างเต็มอิ่ม ตัวเมืองเก่าขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก สามารถเดินได้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าหากจะไปที่สถานีรถบัสอาจจะต้องใช้บริการรถTaxi ซึ่งก็ราคาไม่ได้แพงมาก ประมาณรอบละ 50-80 บาทเท่านั้น
ด้วยความที่เคยเป็นเมืองป้อมปราการมาก่อน ตัวเมืองจึงมีลักษณะเป็นเนินสูงชัน บ้านเรือนก็อยู่สูงไต่ระดับตามเนินไปเรื่อย ๆ ใครพักอยุ่สูงหน่อยก็ต้องลากกระเป๋าไกลหน่อย หรือจะเรียกให้โรงแรมมารับก็ได้ แล้วให้ทิปค่าเหนื่อยคนที่มาช่วยยกกระเป๋าเสียหน่อยก็โอเค ที่ด้านล่างของเมืองเก่าเป็นตลาดกลางเมือง สถานที่รวมของนักท่องเที่ยวนานาชาติ มีร้านอาหารเปิดอยู่มากมาย รวมถึงร้านของที่ระลึกต่าง ๆ ด้วย
กิจกรรม
โดนปกติการไปเที่ยวที่นี่กิจกรรมหลักก็ไม่พ้นเดินเล่นภายในตัวเมืองสีฟ้า ถ่ายรูปเก๋ ๆ ซึ่งมุมถ่ายรูปมีมากมายนับไม่ถ้วน รับรองว่าถ่าย 2-3 วันก็ไม่หมด ภายในเมืองมีร้านอาหารน่าสนใจหลายร้านเลย ควรลองอาหารพื้นเมืองชื่อดังอย่างทาจิน เป็นเนื้อสัตว์อบหม้อดินพร้อมกับสมุนไพรแบบโมรอคโค รสชาติจัดจ้านอร่อยมาก ๆ หรือจะลองชีสนมแพะที่มีเฉพาะที่นี่ก็ได้ กินแกล้มกับน้ำผลไม้อร่อยเหมือนกัน
ช่วงเวลาที่ควรไป
เนื่องจากเป็นประเทศในแถบแห้งแล้งและแดดจัด ควรไปเยือนในช่วงฤดูที่อากาศเย็นหน่อยจะดีกว่า ตั้งแต่ราวเดือนกันยายนถึงเดือนเมษายน อากาศยังเย็นสบาย สามารถเดินเที่ยวได้อย่างไม่เสียอารมณ์ ไม่ต้องคอยหลบแดดเป็นพัก ๆ
ภาษา โมร็อคคัน อารบิค
หน่วยเงิน Moroccan dirham (MAD)
เวลา ช้ากว่าไทย 7 ชั่วโมง
วีซ่า โมรอคโค
โมรอคโค วีซ่า 在 TravelKanuman / คา นู แมน 2เท้าชาวท่องโลก Facebook 的最讚貼文
Chefchaouen / Morocco เมืองสีฟ้าสุดจินตนาการ
ภาษา โมร็อคคัน อารบิค
หน่วยเงิน Moroccan dirham (MAD)
เวลา ช้ากว่าไทย 7 ชั่วโมง
วีซ่า โมรอคโค
การเดินทาง สายการบิน Turkish airlines บินตรงลงท่าอากาศยานนานาชาติ Istanbul Ataturk Airport จากนั้นต่อเครื่องไปลง Mohammed V International Airport ใน Casablanca แล้วจึงต่อรถบัสไปลงที่ Chefchaouen
ทำไมต้องไปเยือน
เมื่อผู้คนพูดถึงโมรอคโค ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกไปถึงเมืองชื่อดังอย่างมาราเกซ หรือคาซาบลังก้า ไม่ก็มองข้ามไปที่การท่องเที่ยวค้างแรมในทะเลทรายซาฮาร่ากันเลย แต่ทางตอนตะวันออกเหนือของประเทศที่หลาย ๆ คนไม่ค่อยได้ไปเยือน มีเมืองอยู่แห่งหนึ่งที่อุดมไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวซ่อนอยู่ท่ามกลางเทือกเขา rif นั่นก็คือเมืองสีฟ้านามว่าเชฟชาอูนนั่นเอง
เชฟชาอูนเป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่โต มีประชากรรวมทั้งบริเวณเขตรอบนอกอยู่ที่ราว 40,000 คน ถึงปัจจุบันจะไม่ได้เป็นเมืองใหญ่หรือเมืองการค้าหลัก แต่ตามประวัติศาสตร์แล้วที่นี่ถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศเลยทีเดียว เพราะก่อตั้งมากว่า 500 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1471 โดยในตอนแรกเมืองถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการฐานที่มั่นของชาวยิวและชาวมัวร์ที่ถูกขับไล่มาจากเสปน จากนั้นที่นี่ก็ถูกตั้งให้เป็นฐานที่มั่นเพื่อรับผู้อพยพมาจากเสปนเรื่อยมา
ที่จริงแค่ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ก็เพียงพอให้เป็นเมืองที่ควรค่าแก่การมาเยือนแล้ว แต่ในปี 1930 เมืองนี้ก็ยิ่งเพิ่มความพิเศษมากยิ่งขึ้น เมื่อชาวเมืองลงมติให้ย้อมสีของทั้งเมืองเป็นสีฟ้าสดใส สำหรับเหตุผลนั้นก็มีหลากหลายแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน บ้างก็ว่าทาตามความเชื่อในแบบยิวที่นับถือสีฟ้าเป็นสีของเทพเจ้า บ้างก็บอกว่าเป็นสีของท้องฟ้าและน้ำทะเล บางคนก็บอกว่าไม่มีความหมายอะไรหรอก แค่สวยดี แต่จะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่บ้านเรือนทุกหลัง รวมถึงกำแพงและพื้นถนนถูกระบายด้วยสีฟ้า น้ำเงินไปทั้งเมือง เป็นที่มาของชื่อเล่นว่า เมืองไข่มุกสีฟ้า นั่นเอง
ภายในเมืองมีมัสยิดอยู่หลายแห่งรวมถึงจุดชมวิวสวย ๆ ที่ต้องออกแรงเดินขึ้นเขาไปประมาณครึ่งชั่วโมงไปที่บริเวณมัสยิด Mosquée Bouzâafar จากตรงนั้นสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองจากมุมสูงได้อย่าเต็มตา โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ตก จะเห็นนักท่องเที่ยวมากมายอยู่รอบบริเวณมัสยิด รับรองว่าคึกคักไม่เปลี่ยวแน่นอน บางคนก็รอกันจนฟ้ามืดเพื่อชมเมืองสีฟ้าช่วงค่ำคืนกันเลยทีเดียว
ถ้ามาที่นี่อยากแนะนำให้พักบริเวณเมืองเก่าจะดีที่สุด เพราะสามารถเดินเที่ยวภายในเมืองสีฟ้าได้อย่างเต็มอิ่ม ตัวเมืองเก่าขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก สามารถเดินได้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าหากจะไปที่สถานีรถบัสอาจจะต้องใช้บริการรถTaxi ซึ่งก็ราคาไม่ได้แพงมาก ประมาณรอบละ 50-80 บาทเท่านั้น
ด้วยความที่เคยเป็นเมืองป้อมปราการมาก่อน ตัวเมืองจึงมีลักษณะเป็นเนินสูงชัน บ้านเรือนก็อยู่สูงไต่ระดับตามเนินไปเรื่อย ๆ ใครพักอยุ่สูงหน่อยก็ต้องลากกระเป๋าไกลหน่อย หรือจะเรียกให้โรงแรมมารับก็ได้ แล้วให้ทิปค่าเหนื่อยคนที่มาช่วยยกกระเป๋าเสียหน่อยก็โอเค ที่ด้านล่างของเมืองเก่าเป็นตลาดกลางเมือง สถานที่รวมของนักท่องเที่ยวนานาชาติ มีร้านอาหารเปิดอยู่มากมาย รวมถึงร้านของที่ระลึกต่าง ๆ ด้วย
กิจกรรม
โดนปกติการไปเที่ยวที่นี่กิจกรรมหลักก็ไม่พ้นเดินเล่นภายในตัวเมืองสีฟ้า ถ่ายรูปเก๋ ๆ ซึ่งมุมถ่ายรูปมีมากมายนับไม่ถ้วน รับรองว่าถ่าย 2-3 วันก็ไม่หมด ภายในเมืองมีร้านอาหารน่าสนใจหลายร้านเลย ควรลองอาหารพื้นเมืองชื่อดังอย่างทาจิน เป็นเนื้อสัตว์อบหม้อดินพร้อมกับสมุนไพรแบบโมรอคโค รสชาติจัดจ้านอร่อยมาก ๆ หรือจะลองชีสนมแพะที่มีเฉพาะที่นี่ก็ได้ กินแกล้มกับน้ำผลไม้อร่อยเหมือนกัน
ช่วงเวลาที่ควรไป
เนื่องจากเป็นประเทศในแถบแห้งแล้งและแดดจัด ควรไปเยือนในช่วงฤดูที่อากาศเย็นหน่อยจะดีกว่า ตั้งแต่ราวเดือนกันยายนถึงเดือนเมษายน อากาศยังเย็นสบาย สามารถเดินเที่ยวได้อย่างไม่เสียอารมณ์ ไม่ต้องคอยหลบแดดเป็นพัก ๆ