เอาละครับ ผมรอจนมีคนมาสร้างหลักฐาน
เพื่อที่จะพิสูจน์สิ่งที่ผมพูดดังต่อไปนี้แล้ว
วันนี้ผมจะมาพูดอธิบายต่อครับว่า
คนรุ่นก่อนได้ทำอะไร
ที่เป็นตัวผลักให้ผู้ประท้วงอยู่ในสภาพฝาชนหลัง
จนเขาต้องออกมาเดินประท้วงนะครับ
-------------------------------
ก่อนที่ผมจะอธิบายจุดยืนของทางฝั่งเขา
ผมจะขอพูดเรื่องที่จะทำให้มีคนจำนวนมากทั้งสองฝั่ง
มาด่าว่าผมก่อนครับ
.......................
.............
......
....
...
..
.
........... การเลือกตั้ง ......... และรัฐสภา
....... มันไม่ใช่ประชาธิปไตยในตัวของมันเองครับ
...... มันเป็นแค่หนึ่งในวิธีการ
ที่ **อาจจะ** นำมาสู่ประชาธิปไตย
ซึ่งมันอาจจะทำให้ประเทศชาติเป็นเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ก็ได้
ขึ้นอยู่กับกระบวนทั้งระหว่างและหลังการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งเป็นการออกเสียงประเภทหนึ่ง
แต่ไม่ใช่การออกเสียงทั้งหมดที่เป็นการเลือกตั้ง
ซึ่งจริงๆแล้ว ถ้าในท้ายสุด
มันมีกระบวนการอะไรสักอย่าง
ที่ทำให้ผู้คนสามารถออกเสียงและใช้สิทธิเสียงของตัวเองได้
มันก็สามารถเป็นประชาธิปไตยได้ ต่อให้ไม่มีการเลือกตั้งก็ตาม
---------------
ทีนี้ เรามานิยามกันก่อนว่า
จุดประสงค์สูงสุดของประชาธิปไตยนั้นคืออะไร?
มันคือการที่เสียงของทุกคนนั้นมีค่าเท่ากัน
และเป็นสิ่งที่สามารถใช้ผลักดันนโยบายต่างๆของสังคมได้
ซึ่งถ้าเราจะดูจากตรงนี้เอง
เราก็จะเห็นกันได้นะครับว่า ระบบสภาผู้แทนนะ
จริงๆแล้วมันไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้ด้วยซ้ำ
เพราะผู้แทนที่อยู่ในสภา
ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องลงเสียงตามผู้ที่เลือกตนมา
หรือเลือกตามเสียงส่วนใหญ่เสมอไป
อันเป็นเหตุให้สิทธิเสียงของคนกลุ่มหนึ่งนั้น
ไม่มีค่าขึ้นมาทันที
สาเหตุเดียวที่เรายังใช้ระบบผู้แทนในสภากัน
เพราะวิทยาการสมัยก่อน
มันไม่เอื้ออำนวยต่อการทำ Direct หรือ Liquid Democracy
แล้วเราก็ใช้ต่อๆกันมา
ก็เพราะเรายังเห็นกันว่ามันเพียงพอต่อการเป็นประชาธิปไตยแล้ว
และการที่ "เสียงของเขานั้นไร้ค่า"
<<== นี่แหละครับ คือต้นเหตุแท้จริงของการที่เขาต้องมาประท้วง
----------------------------
ตรงนี้ผมจะขอจงใจพูดว่า
นี่เป็นความผิดของผู้ใหญ่
ในฝั่งอนุรักษ์นิยมโดยรวมนะครับ
เวลาที่คนฝั่งอนุรักษ์นิยมเลือกใคร
มันจะมีส่วนของความรู้สึกบูชา
ที่มันเป็นผลพลอยมาจากวัฒนธรรมแบ่งชนชั้นอยู่
เวลาที่เยาวชนเลือกใคร ...... เช่นคนเสื้อส้ม
มันเลยจะมีมุมมองอยู่ว่า ที่เขาเลือกคนๆนั้น เพราะเขาบูชา
....... ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่ครับ ....... อย่างน้อยก็ไม่ทั้งหมด
สาเหตุหลักๆที่เขาเลือกคนเสื้อส้ม
เพราะ "เป็นคนที่พูดกับเขารู้เรื่องสุด"
ถ้าเทียบกันกับผู้สมัครคนอื่นๆ
อย่างถ้าเราเน้นมาที่รัฐมนตรี
เราจะเห็นแต่คนอายุ 50+ เกือบทั้งหมด
ซึ่ง ...... อีกไม่กี่ปีผมก็จะอายุ 40 แล้ว
ผมยังทนความล้าหลังตกโลกของคนพวกนี้ไม่ได้เลย
นับประสาอะไรกับคนช่วงอายุราว 20 ที่จะต้องมาทน
เขาอยากได้คนมีความสามารถอย่าง Audrey Tang มาอยู่ในสภา
หรืออย่างน้อยก็คนที่พูดกันรู้เรื่อง
แต่กลับมีแต่คนที่ไม่ได้พยายามทำความเข้าใจอะไรในตัวพวกเขาเลย
การที่เขาไม่ได้เลือกผู้ใหญ่เหล่านั้น
ก็เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่สามารถที่จะมาเป็น "ตัวแทน" ให้เขาได้
เขาถึงได้ไปเลือกคนที่เขาคิดว่าเข้าใจพวกเขาได้มากสุด
..... เพื่อให้เขามาเป็น "ตัวแทน" ของเขาครับ
-----------------
ทีนี้นะครับ กรณีที่คนเสื้อส้มถูกตัดสิทธิทางการเมืองนะ
เราสามารถมาเถียงกันได้ว่า เขาผิดจริงหรือไม่
........ แต่ ........ ความจริงที่เกิดขึ้นและคุณปฏิเสธไม่ได้
คือการที่เสียงคนจำนวนไม่น้อยได้หายไปจากสภาแล้ว
....... ซึ่ง จริงๆแล้วมันไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นคนเสื้อส้มก็ได้
อย่างสมมุตินะครับว่า
ถ้าในสภายังมีคนที่เขาเชื่อว่ายังเป็นตัวแทนเสียงของเขาอยู่
หรือมีการเลือกตั้งซ่อมสำหรับคนที่เลือกคนเสื้อส้ม
เพื่อให้พวกเขา "มีตัวแทนเสียง" ในสภาอยู่
มันก็จะไม่เป็นการผลักกดดันพวกเขาจนถึงระดับนี้
เวลาที่คนฝั่งอนุรักษ์นิยมดูสถานการณ์นะ
เขาถือว่า เอ้า มันก็มีการเลือกตั้งแล้วไง
มันจะไม่เป็นประชาธิปไตยได้ยังไง?
เด็กพวกนี้ออกมาเดินขบวนแบบนี้
มันจะต้องมีคนเสี้ยมหนุนหลังสิ
...... โดยไม่ได้สนใจเลยว่า
คนฝั่งผู้ประท้วงที่ถือเอาประชาธิปไตยเป็นคุณธรรมสูงสุดนั้น
เขาได้ถูกเหยียบย่ำสิทธิและจิตใจจนถึงขีดสุดแล้ว
........ ความรู้สึกของเขานั้น
ไม่ได้ต่างอะไรกับความรู้สึกของผู้ภักดี
เวลาเห็นคนด่าว่า ร.9 หรือพระเทพเลย
เท่านั้นไม่พอ
พอคนเสื้อส้มถูกตัดสิทธิทางการเมือง
ยังมีคนมาเฮฮาเย้วๆสมน้ำหน้ากันด้วยซ้ำ
ซึ่งตรงนี้ ....... มันเป็นเรื่องพิสูจน์ด้วยครับว่า
คนฝั่งอนุรักษ์นิยมนะ
ไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์และสิทธิของพวกเขา
อันเป็นเหตุให้เขาถูกกดดันจนหลังชนฝา
และต้องออกมาประท้วง "เพื่อแสดงสิทธิเสียง" ของตัวเองครับ
---------------------------
ในกลุ่มผู้ประท้วงนะครับ
มันจะมีคนอยู่ 3 กลุ่มหลักๆด้วยกัน
กลุ่ม (1) ผมขอเรียกว่ากลุ่มกระแสหลัก
คือกลุ่มที่ขอให้เอาพระราชอำนาจมาอยู่ใต้กฏหมาย
กลุ่ม (2) คือกลุ่มที่ผมอธิบายไปคราวก่อน
คือไม่ยอมรับพระราชอำนาจเลย
ผมเรียกว่า กลุ่มประชาธิปไตยสุดฝา
และกลุ่ม (3) คือกลุ่มที่แยกรัฐบาลกับสถาบันออกจากกัน
ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากสถาบันทั้งนั้น
ซึ่งจุดร่วมของคนทั้งสามกลุ่มนั้นคือ
การที่เสียงของเขาได้หายไป
และต้องลงมาเพื่อสู้บนถนน
เพราะสภาไม่มีที่ให้เสียงของเขานั้นไปถึงแล้ว
....... ทีนี้นะครับ ....... ปัญหานั้นมีอยู่ว่า
เมื่อผู้ใหญ่อนุรักษ์นิยม
ไม่ได้เห็นว่า การละเมิดสิทธิเสียงนั้นเกิดขึ้น
การเลือกตั้งก็เกิดขึ้นแล้ว มันจะเป็นปัญหาได้ยังไง
เขาก็ได้โยงตีความไปแล้วว่า
มันเป็นเรื่องของคนกลุ่ม (1) และ (2)
...... ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม
คนกลุ่มนี้ได้เชื่อไปแล้วว่าพระราชอำนาจนั้นอยู่เหนือกฏหมาย
โดยกลุ่ม (1) พยายามจะเรียกร้อง
ทำให้มันถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยแต่แรก
ส่วนกลุ่ม (2) คือมีคนที่พยายามจะโค่นลงมาให้ได้
..... แต่ ..... ปัญหาก็จะมีต่ออีกว่า
ฝ่ายผู้ใหญ่อนุรักษ์นิยม มีข้ออ้างพูดได้ต่อว่า
พระราชอำนาจอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอยู่แล้ว
เขาก็เลยไม่เห็นว่า
ข้อเรียกร้องกลุ่ม (1) มันจะมีประเด็นอะไรให้มาพูด
เลยกลายเป็นว่าเขาเห็น
คนกลุ่ม (2) เป็นตัวแทนผู้ประท้วงทั้งหมดแทน
คือการตีความเอาฝั่งเดียวแล้วว่า
"ม็อบจะมาโค่นพระราชอำนาจลง"
โดยไม่ได้สนจุดยืนและตัวตนของคนกลุ่ม (1) และ (3) เลย
....... ซึ่งตรงนี้พิสูจน์ได้นะครับ
จากการดูข่าวฝั่งรัฐบาลที่เกิดขึ้น 1-2 วันมานี้เอง
...... มันพอๆกันกับอเมริกาสมัยที่คนดำกับผู้หญิงไม่มีสิทธิเลือกตั้งเลย
-------------------------------
แล้วพอเราพูดกันถึงเรื่องสิทธิออกเสียงกัน
ผมเชื่อนะครับว่า มีผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยจะต้องมาพูดว่า
เด็กก็อยู่ส่วนเด็ก เป็นนักเรียนนักศึกษาก็เรียนไปสิ เด็กจะมารู้อะไร
.......... ซึ่งเป็นความคิดที่โคตรจะล้าหลังเอามาก
มองไม่เห็นถึงศักยภาพของคนรุ่นใหม่
และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในโลก
ซึ่งตรงนี้ถ้าจะให้มาอธิบายละเอียดมันจะยาว
ผมอาจจะมาพูดวันหลัง
แต่ขอพูดสรุปสั้นๆว่า
มันเป็นหนึ่งในตัวการที่พิสูจน์ครับว่า
คุณไม่ได้ให้ค่ากับสิทธิที่เขาควรจะมี
ซึ่งขนาดผมไม่ได้เลือกคนเสื้อส้ม
ผมเองก็ยังอึดอัดทนไม่ได้เลย
เพราะคนที่สามารถเป็นตัวแทนเสียงแทนผมได้ก็ไม่ได้มีอยู่ในสภา
------------------------------------
ท้ายสุดตรงนี้
ผมขอพูดกับทางฝั่งผู้ประท้วงครับ
**ถ้า** เรายังถือว่าตัวแทนในสภาเป็นสิ่งสำคัญต้องมีอยู่
นอกจากการลดอำนาจของอีกฝ่าย
อีกสิ่งหนึ่งที่คุณสามารถทำได้
คือการเพิ่มอำนาจของตัวเอง
สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำคือ
ให้คุณยื่นข้อเสนอดังต่อไปนี้ครับ
ให้เสริมที่นั่งในสภาขึ้นอีก 250 ที่นั่ง
เป็นที่นั่งสำหรับคนรุ่น U-25
โดยมีกฏว่า ผู้สมัครทุกคนจะต้องมีอายุต่ำกว่า 25
และมีแต่คนอายุต่ำกว่า 25 เท่านั้นที่จะมีสิทธิเลือก
และถ้าฝั่งผู้ใหญ่เห็นว่าไม่เป็นธรรม
ก็ให้เสนอสร้างที่นั่ง O-50
สำหรับคนกลุ่มอายุเกิน 50 เข้าไปด้วย
เพื่อให้เสียงของทุกคนนั้น
มีค่าในสภามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
....................
.............
........
.....
...
..
.
........ ถึงแม้ผมจะเห็นว่า
ระบบตัวแทนในสภานี่ก็ล้าหลังแล้วก็ตาม
และคนในอีก 50 ปีต่อมา
จะมาบอกว่าคนรุ่นเรานี่ล้าหลังมาก
แล้วเขาจะมาขอให้ทำของอย่างอื่น
ที่เขาเชื่อว่า เป็นประชาธิปไตยมากกว่าสิ่งที่คนยุคนี้เชื่อแทนครับ
「liquid democracy」的推薦目錄:
- 關於liquid democracy 在 โอตาคุบริโภคมาม่า Facebook 的最讚貼文
- 關於liquid democracy 在 泰華眼裡的泰國 Taihua Lin Facebook 的精選貼文
- 關於liquid democracy 在 黃之鋒 Joshua Wong Facebook 的最佳貼文
- 關於liquid democracy 在 Liquid Democracy In Simple Terms - YouTube 的評價
- 關於liquid democracy 在 Liquid Democracy - GitHub 的評價
- 關於liquid democracy 在 Liquid Democracy - 首頁 | Facebook 的評價
liquid democracy 在 泰華眼裡的泰國 Taihua Lin Facebook 的精選貼文
Brings me tears...no matter where we are in the world, those of us who are fighting for greater democracy and frickin basic human rights...are always met with the same brutal force of a scared government and their military force (police).
But even while being hit in the head with rubber bullets, batons, sprayed with a blue chemical liquid from water cannons, being shot at, and bombarded with tear gas...protestors always still remember our humanity.
World famous ambulance seen in Hong Kong from last year when hundreds of thousands of TRUE HKers parted to allow an ambulance to go through.
Same scene in Bangkok yesterday. There are so many other scenes from Bangkok these past few days that resemble what we’ve experienced in Hong Kong. That’s why us HKers stand with you in Thailand!
Solidarity with pro-democracy movements worldwide.
#StandWithThailand
#StandWithHongKong
#StandWithBelarus
#save12hkyouths
liquid democracy 在 黃之鋒 Joshua Wong Facebook 的最佳貼文
【回應黑警正研究引入電槍】
In the new year, Beijing and HK Gov choose not to answer HongKongers’ demands. Instead, they plan to escalate police brutality against HKers by arming HK police with new electroshock weapons like stun guns and net guns.
Over the past 7 months, new weapons have been used to target pro-democracy fighters, from sponge grenades, water cannons, sonic cannons, liquid barricade rounds, flashbangs, AR15, MP5, SIG516. But any political reforms promised? Zero! Any police held accountable for their police violence? None!
According to Amnesty’s reports, over 500 people were tasered to death in the past decade. Tasers can also stop the heart and kill. Not to mention that HK Police never follow any so-called “safety instructions” since the outbreak of Hong Kong protests.
Doubtless that HK police is going to treat HongKongers like prey and wage war on democracy movements in Hong Kong. I call on world leaders should not work with the notorious HK Police nor export those electroshock weapons to Hong Kong.
Despite a tough fight ahead, HongKongers won't be scared off. Just like many democractic and civil rights movements worldwide, our quest for democracy and freedoms is determined and cannot be deterred.
https://twitter.com/joshuawongcf/status/1217317973100072960
liquid democracy 在 Liquid Democracy - GitHub 的推薦與評價
As a non-profit association, we work on innovative ideas and open-source projects for more democratic participation. - Liquid Democracy. ... <看更多>
liquid democracy 在 Liquid Democracy - 首頁 | Facebook 的推薦與評價
Wir verlosen Fake-Tattoo-Sets, mit denen ihr im neuen Jahr Diskussionen rund um die digitale Demokratie so richtig in Schwung bringen könnt! ... <看更多>
liquid democracy 在 Liquid Democracy In Simple Terms - YouTube 的推薦與評價
... <看更多>