รถบรรทุก ขับด้วยตัวเอง จะเปลี่ยนโลกการขนส่ง ไปตลอดกาล /โดย ลงทุนแมน
นอกจากรถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าแล้ว
พัฒนาการของรถไร้คนขับ ก็เป็นอีกนวัตกรรมที่คนทั่วโลกต่างจับตามอง
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ขับขี่ได้โดยไม่ต้องจับพวงมาลัยของ Tesla และ Audi
หรือแม้แต่รถมินิแวนไร้คนขับของ Waymo บริษัทในเครือ Alphabet
แต่รู้หรือไม่ว่านอกเหนือจากการเดินทางในชีวิตประจำวันแล้ว ผู้พัฒนานวัตกรรมไร้คนขับก็กำลังขับเคี่ยวกันในอุตสาหกรรมการขนส่งเพื่อพัฒนา “รถบรรทุก” ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
แล้วนวัตกรรมรถบรรทุกไร้คนขับนี้ ส่งผลต่อระบบการขนส่งสินค้าอย่างไร
และกำลังพัฒนาไปถึงระดับไหนแล้ว ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
สินค้าแทบทุกชิ้นที่อยู่รอบตัว ต่างต้องเคยผ่านการขนส่งด้วยรถบรรทุกก่อนมาถึงมือเรา
อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคคิดเป็นสัดส่วนจากรถบรรทุกกว่า 2 ใน 3 นั่นจึงทำให้อุตสาหกรรมรถบรรทุกในประเทศแห่งนี้ มีมูลค่ากว่า 25 ล้านล้านบาท
และด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซ
ที่ปัจจุบัน ต่างหันมาแข่งขันกันในเรื่องความเร็วในการจัดส่ง
โดยเฉพาะบริการ “Same Day Delivery” หรือบริการจัดส่งสินค้าภายในวันเดียว
เหล่าคนขับรถขนส่งสินค้ารวมไปถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ จึงต้องทำงานหนักมากขึ้น
เพราะต้องเพิ่มความเร็วในการขนส่งตามนโยบายของบริษัท รวมถึงต้องทำงานเกินเวลา
นั่นจึงทำให้อาชีพคนขับรถบรรทุก มีจำนวนชั่วโมงการทำงานอยู่ที่ 10 ถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน เลยทีเดียว
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนขับรถส่งสินค้าของ Amazon.com ออกมาประท้วงเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
หรือแม้แต่การนัดกันหยุดงานและออกมาชุมนุมในประเทศเกาหลีใต้ของคนขับรถรับส่งและรถบรรทุกสินค้าหลายบริษัท หนึ่งในนั้นก็คือ Coupang บริษัทอีคอมเมิร์ซเกาหลีใต้ เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
แล้วทำไม บริษัทเหล่านี้ไม่จ้างพนักงานขับรถบรรทุกเพิ่ม ?
เหตุผลสำคัญที่บริษัทไม่นิยมจ้างพนักงานขับรถมาเพิ่ม ไม่ใช่เพียงเพราะต้นทุนค่าจ้างที่จะสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่ด้วย
อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกามีการประเมินไว้ว่า คนขับรถบรรทุกขาดแคลนมากกว่า 60,000 ตำแหน่ง และจะขาดแคลนมากขึ้นกว่านี้อีกเป็นเท่าตัว ในอีก 5 ปีข้างหน้า
นั่นก็เพราะว่าผู้ประกอบอาชีพขับรถบรรทุก มีอายุเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูงและกำลังทยอยเกษียณอายุกันแต่กลับไม่มีคนวัยหนุ่มสาวเข้ามาทดแทน เพราะความนิยมในอาชีพเหล่านี้น้อยลงไปทุกที
นวัตกรรมขับเคลื่อนอัตโนมัติ จึงจะมีบทบาทสำคัญ ในการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมรถบรรทุก
เพราะระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมง จึงสามารถขนส่งได้
แม้ในช่วงนอกเวลางานของคนขับรถซึ่งจะเข้ามาช่วยร่นระยะเวลาการขนส่งสินค้าทั้งระบบให้รวดเร็วขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สตาร์ตอัปรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติสัญชาติอเมริกันที่ชื่อ TuSimple ได้ทดลองขนส่งแตงโมโดยเดินทางผ่าน 3 เมือง เป็นระยะทาง 1,530 กิโลเมตร ผลปรากฏว่าใช้เวลาน้อยกว่ารถบรรทุกแบบดั้งเดิมที่มีคนขับถึง 42% หรือจาก 24 ชั่วโมง เหลือเพียง 14 ชั่วโมง
นอกจากเวลาที่ใช้น้อยลงแล้ว พลังงานและแรงงานก็ถูกใช้น้อยลงด้วยเช่นกัน
ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้ต้นทุนค่าขนส่งลดลงในระยะยาว ซึ่งถ้าพัฒนาไปถึงขั้นที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์ ก็จะลดต้นทุนได้ถึง 50% แม้ว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาที่สูงในช่วงแรกก็ตาม
และเมื่อรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนแบบใช้ไฟฟ้า
นวัตกรรมดังกล่าวจึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถบรรทุกจะมีความท้าทายที่มากกว่ารถยนต์
ทั้งในเรื่องของน้ำหนักตัวรถที่มากกว่าและตัวรถที่มีขนาดใหญ่กว่า รวมถึงการพัฒนาระบบเซนเซอร์และระบบคาดการณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ ก็ต้องทำให้ตอบสนองได้เร็วกว่า และประมวลผลไปได้ล่วงหน้ากว่ารถยนต์เป็นเท่าตัว
เมื่อดูความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีไร้คนขับของรถบรรทุก
จากระบบการแบ่งระดับของเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติที่กำหนดโดย SAE International
ที่เริ่มจากระดับ 0 คือเป็นยานยนต์คนขับ 100%
ไปจนถึงระดับ 5 ที่เป็นยานยนต์ไร้คนขับ 100%
ในปัจจุบันรถบรรทุกไร้คนขับส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า
โดยระดับ 3 ที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า “Conditional Automation” ซึ่งรถจะขับเคลื่อนได้เองเลย
แต่ยังมีคนขับนั่งไปด้วยเผื่อต้องควบคุมพวงมาลัยในกรณีฉุกเฉิน
ในกรณีของรถบรรทุก จะใช้ระบบเพิ่มเติมที่เรียกว่า “Platoon” ซึ่งคือการที่ให้รถบรรทุกวิ่งตามกันเป็นขบวน โดยแต่ละคันจะเชื่อมต่อด้วยระบบแบบไร้สายเพื่อให้รถคันหลังตอบสนองตามคันที่นำขบวน
สำหรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 3 ของรถบรรทุกในช่วงแรกจะเป็น Platoon แบบมีคนขับ
คือรถบรรทุกทุกคันในขบวนยังมีคนขับนั่งไปด้วย และจะใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ Platoon นี้บนทางหลวงเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ถนนโล่งและเป็นระยะทางยาว พอเข้าสู่ถนนปกติที่พลุกพล่าน ก็จะสลับมาให้คนขับรถแทน
ในระยะต่อมา ก็จะถูกพัฒนาไปเป็นระบบ Platoon แบบไร้คนขับ
โดยจะมีคนนั่งหลังพวงมาลัยเฉพาะในรถที่นำขบวนเท่านั้น
ส่วนรถคันอื่นจะขับเคลื่อนเองแบบไร้คนขับ
แต่ยังคงใช้ระบบนี้เฉพาะบนทางหลวงเหมือนเดิม ซึ่งช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้เฉลี่ย 10%
ระบบ Platoon แบบมีคนขับ เริ่มทดลองสำเร็จเมื่อปี 2016
จากโครงการ European Truck Platooning Challenge
โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง Daimler, Volvo และ Scania ที่เป็นบริษัทในเครือ Volkswagen ซึ่งสามารถทำสถิติขบวนรถบรรทุกที่วิ่งได้ระยะทางไกลสุดในโครงการนี้ ด้วยระยะทาง 2,000 กิโลเมตร จากประเทศสวีเดน ผ่านเดนมาร์ก เยอรมนี ไปถึงปลายทางที่เนเธอร์แลนด์
ก่อนที่ปีต่อมา Scania และ Toyota เริ่มทดลองระบบ Platoon แบบไร้คนขับได้สำเร็จในประเทศสิงคโปร์
และปัจจุบัน บริษัทส่วนใหญ่กำลังพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถบรรทุก
ให้เข้าสู่ระดับ 4 ซึ่งใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีระบบเชื่อมต่อกันเป็นขบวนแล้ว
และไม่ต้องมีคนขับรถเลยในช่วงที่เป็นทางหลวง รวมถึงในบางเส้นทางที่มีการบันทึกข้อมูลไปแล้ว
แต่คนขับรถจะมีบทบาทในช่วงเส้นทางที่ซับซ้อนมาก และยังต้องมีคนขนของขึ้นลงรถตามจุดต้นทางและปลายทางอยู่
McKinsey คาดการณ์ว่ารถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับ 4 หรือ “High Automation” จะสามารถพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์อย่างน้อยภายในปี 2025 ถึง 2027
หลังจากนั้นจึงจะเริ่มเข้าสู่ระดับสูงสุดที่ระดับ 5 หรือ “Full Automation”
ที่ยานยนต์จะขับเคลื่อนได้เองแบบไร้คนขับโดยสมบูรณ์
และบริษัทที่เป็นผู้นำในตลาดรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติในปัจจุบัน
อ้างอิงจากการวิเคราะห์ของ Bloomberg ก็คือ TuSimple, Aurora และ Waymo
TuSimple เป็นสตาร์ตอัปนวัตกรรมไร้คนขับที่โฟกัสรถบรรทุกอย่างเดียวมาตั้งแต่แรก และมีการพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในรถบรรทุกที่ก้าวหน้าที่สุดในขณะนี้ โดย TuSimple ตั้งเป้าว่าจะวางระบบขนส่งด้วยรถบรรทุกไร้คนขับได้ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาในอีก 3 ปีข้างหน้า
ส่วน Aurora และ Waymo เริ่มต้นมาจากการพัฒนารถยนต์และรถให้บริการรับส่งคน ก่อนที่จะเข้ามาสู่ตลาดรถบรรทุก ซึ่งผู้ก่อตั้ง Aurora ก็คืออดีตทีมบริหารจาก Waymo และ Tesla นั่นเอง
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่หลายบริษัทตัดสินใจเลือกพัฒนารถบรรทุกควบคู่ไปด้วย
ก็เป็นเพราะว่า ด้วยความที่รถบรรทุกใช้ขนส่งสิ่งของที่ไม่มีชีวิต
และการมุ่งเน้นในการพัฒนารถบรรทุก ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ไร้คนขับอย่างสมบูรณ์ อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมรถบรรทุก ก่อนยานยนต์อื่น ๆ นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.mckinsey.com/industries/travel-logistics-and-infrastructure/our-insights/distraction-or-disruption-autonomous-trucks-gain-ground-in-us-logistics
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-05-01/waymo-tusimple-aurora-inside-the-race-to-build-self-driving-trucks
-https://www.vox.com/recode/2020/7/1/21308539/self-driving-autonomous-trucks-ups-freight-network
-https://www.weforum.org/agenda/2020/03/self-driving-trucks-will-change-the-world-more-than-you-might-think/
-https://techsauce.co/tech-and-biz/6-level-autonomous-car
-https://www.theverge.com/2016/4/7/11383392/self-driving-truck-platooning-europe
-https://www.engadget.com/2017-01-25-singapore-full-scale-autonomous-truck-platooning-trial.html
-https://www.cnbc.com/2021/05/19/tusimple-self-driving-trucks-saved-10-hours-on-24-hour-run.html
同時也有5部Youtube影片,追蹤數超過14萬的網紅Mars Hartdegen,也在其Youtube影片中提到,?? Construction of the Da Lat–Thap Cham Railway began in 1908, a decade after it had first been proposed by Paul Doumer, then Governor General of Fren...
「network infrastructure」的推薦目錄:
- 關於network infrastructure 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於network infrastructure 在 BorntoDev Facebook 的最讚貼文
- 關於network infrastructure 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於network infrastructure 在 Mars Hartdegen Youtube 的精選貼文
- 關於network infrastructure 在 一二三渡辺 Youtube 的最讚貼文
- 關於network infrastructure 在 Mars Hartdegen Youtube 的精選貼文
- 關於network infrastructure 在 Network Infrastructure Automation (NIA) - YouTube 的評價
network infrastructure 在 BorntoDev Facebook 的最讚貼文
⏰ เมื่อก่อนเวลาเราจะสร้างเว็บนึงขึ้นมา เราก็ต้องมี Server เพื่อใช้ทำ Hosting ต่างๆ และต้องเสียค่าติดตั้งและค่าเช่าพื้นที่ Server ซึ่งบางทีเราอาจจะไม่ได้ใช้งานมันอย่างเต็มประสิทธิภาพก็ได้ แถมเรายังต้องมีความรู้เรื่อง Hardware และ Network ประมาณนึงเลย หรืออาจจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเพื่อคอยดูแลไม่ให้มันพังไปตามกาลเวลาอีก
.
🔥 ปัญหาเหล่านั้นจึงเป็นที่มาของ Serverless Computing นั่นเอง! แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ใช้ Server เลยนะ แต่เปลี่ยนไปเป็นการใช้บริการ Server จากผู้ให้บริการแทน ซึ่งเราไม่ต้องรู้เรื่อง Hardware หรือ Network ก็สามารถใช้งานได้ มันง่ายมากเลย
.
☁️ Serverless Computing เป็นการประมวลผลแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งทำให้โปรแกรมเมอร์เขียนโค้ดได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าจะล่ม แถมยังคิดค่าบริการตามการใช้งาน Service ไหนที่ไม่ได้ใช้มันก็จะไม่คิดตัง และสามารถขยายเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างอิสระ เพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้น
.
👉 ตัวอย่างเช่น เว็บข่าวเว็บนึงปรกติแล้วจะมีผู้ใช้บริการไม่เกิน 20,000 คนต่อวัน แต่หากวันไหนมีประเด็นข่าวที่กำลังเป็นที่สนใจในตอนนั้น มันอาจจะทำให้คนเข้ามาใช้บริการเว็บมากขึ้น มันอาจจะทำให้ Server รับไม่ไหว และล่มได้
.
🌈 แต่ถ้าหากเราเปลี่ยนมาใช้ Serverless Computing มันสามารถปรับได้อย่างอัตโนมัติ ถ้าช่วงไหนที่คนเข้าเว็บเยอะมันก็จะคิดตังเยอะแค่ในช่วงนั้นๆ แถมยังมีคนดูแลที่เชี่ยวชาญจึงทำให้ Server ไม่ล่มได้ง่ายๆ อีก ดูแล้วกับการที่เราเช่า Server ทิ้งไว้และจ่ายเงินเยอะๆ แถมยังต้องมานั่งดูแลอีก เปลี่ยนมาใช้ Serverless Computing ให้ชีวิตง่ายขึ้นดีกว่า!
.
✨ปัจจุบันมีผู้ให้บริการ Serverless Computing เช่น AWS Lambda ซึ่งรองรับหลายภาษา, Google Cloud, Azure จาก Microsoft , IBM Cloud เป็นต้น
.
⭐ ข้อดี
มีประสิทธิภาพ
ยืดหยุ่น สามารถปรับแต่งได้ตามการใช้งาน
ราคาถูก
ลดภาระด้าน Infrastructure
.
💥 ใครอยากอ่านเต็มๆ จิ้มลิงค์ได้เลยจ้า >> https://www.cloudflare.com/th-th/learning/serverless/what-is-serverless/
.
borntoDev - 🦖 สร้างการเรียนรู้ที่ดีสำหรับสายไอทีในทุกวัน
network infrastructure 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
กรณีศึกษา เส้นทางการเติบโตของ LINE SHOPPING ที่น่าจับตามอง
LINE SHOPPING X ลงทุนแมน
47 ล้านคน คือจำนวนผู้ใช้ LINE ในประเทศไทย
ตัวเลขนี้ กำลังบอกกับเราว่า LINE ได้กลายเป็น App Chat แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทย
ทุกเพศทุกวัย ทุกอาชีพ ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด
และที่สำคัญคือ “ทุกเวลา”
แต่ในคำว่า “ทุกเวลา” หลายคนอาจยังไม่รู้
จริง ๆ แล้ว LINE ยังมีอีกหนึ่งแพลตฟอร์ม ที่กำลังเติบโตอย่างน่าสนใจ
นั่นคือ LINE SHOPPING โดยภายในเวลาแค่ 2 ปี มีจำนวนผู้ใช้เติบโตขึ้นถึง 2 เท่า
ความน่าสนใจของเรื่องนี้ก็คือหากเทียบกับ E-Commerce ยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ในบ้านเรา
LINE SHOPPING ไม่ค่อยโฆษณาและทำตลาดเชิงรุกมากนัก
แต่ก็ยังมีตัวเลขเติบโตได้อย่างน่าสนใจ
คำถามก็คือแล้ว LINE SHOPPING สร้างความต่างจาก E-Commerce เจ้าอื่น ๆ อย่างไร
ลงทุนแมนจะวิเคราะห์ให้ฟัง
เราเคยสังเกตบ้างไหม LINE เป็นเสมือนความคุ้นเคยบนโทรศัพท์มือถือของเรา
ตื่นเช้ามาก็ต้องดู Chat, หากหิวก็สั่ง LINE MAN, อยากนอนดูซีรีส์ละครก็ LINE TV
จะเห็นว่าวิธีคิดของ LINE คือทำให้คนไทยใช้เวลากับแพลตฟอร์ม LINE ให้มากที่สุด
ด้วยการสร้าง Life Infrastructure หรือโครงสร้างพื้นฐานชีวิตประจำวันบนโลกออนไลน์
แล้วหนึ่งในพฤติกรรมที่คนไทยต้องทำเกือบทุกวันก็คือ “ช็อปออนไลน์” นั่นเอง
ความน่าสนใจมันเลยมาอยู่ตรงนี้ โดยช่วงที่ผ่านมา LINE ได้ล่วงรู้พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ
เพราะรู้หรือไม่ว่า ในโลกของธุรกิจ E-Commerce ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด
กว่า 60% จะมาปิดการขายกันที่ Social Commerce
อธิบายสั้น ๆ ก็คือหาก 100 คนซื้อสินค้าในออนไลน์
จะมีถึง 60 คนเลยทีเดียว ที่จะมาสนทนา, ตกลงราคา, โอนเงิน, แจ้งสลิปส่งสินค้า
ผ่านทาง IG, Facebook และ LINE นั่นเอง
สรุปก็คือ LINE มองว่า Social Commerce เป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมการช็อปปิงของคนไทยไปแล้ว
ทีนี้ LINE ก็มองว่าตัวเองถือเป็นส่วนสำคัญในโลกของ E-Commerce ที่เติบโต
แล้วทำไม LINE ไม่ทำให้ตัวเองกลายเป็นสังคมขนาดใหญ่ในการซื้อ-ขายสินค้า
ก็เลยเป็นที่มาของ LINE SHOPPING ที่เป็น Social Commerce อย่างเต็มรูปแบบเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
โดยมีเป้าหมายช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของคนขายออนไลน์มือสมัครเล่น, ธุรกิจขนาดเล็ก
ไปจนถึงแบรนด์ยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ซึ่งนั่นแปลว่า LINE SHOPPING ก็จะมีสินค้าให้เลือกช็อปสารพัดมากมาย จากการรวบรวมร้านค้าที่ใช้ LINE ในการขายอยู่แล้ว
ที่น่าสนใจคือ LINE SHOPPING ถือเป็นพื้นที่รวมดีลร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ
ให้คนสามารถค้นหาร้านค้าและช็อปได้ง่าย ๆ และทุก ๆ ครั้งในการช็อป
ก็จะมีการแจก LINE POINTS ที่ให้ลูกค้าสะสมโดย 1 POINT = 1 บาท
เพื่อใช้เป็นส่วนลดในการช็อปครั้งต่อ ๆ ไป
ฟังดูผิวเผินอาจไม่เห็นความแตกต่างหากเทียบกับ E-Commerce ยักษ์ใหญ่รายอื่น ๆ
เพียงแต่.. จุดตัดมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก
อย่างแรกที่เห็นชัดเจนสุดคือในขณะที่ E-Commerce ยักษ์ใหญ่มีเว็บไซต์และ App เป็นของตัวเอง
เพื่อให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลด แต่สำหรับ LINE SHOPPING เลือกจะตัดวงจรนี้ทิ้งออกไป
แล้วเลือกจะฝังตัวอยู่ในหน้า Wallet Tab ใน App ของ LINE
ที่ทุกคนก็น่าจะมีติดอยู่ในเครื่องโทรศัพท์มือถือกันอยู่แล้ว
และนี่ก็เป็นที่มาของความ “ต่าง” ที่สอง
ปฎิเสธไม่ได้ว่าคนไทยทุกคนที่โหลด App LINE ก็เพื่อแช็ตสนทนาเรื่องทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน
หนึ่งในนั้นก็คือการเจรจาซื้อ - ขายสินค้า หรือที่เรียกว่า Chat Commerce
ก็เลยทำให้ตอนนั้น LINE พัฒนาฟีเจอร์การใช้งานเกี่ยวกับซื้อ - ขาย
ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความนิยมอย่างสูง
จากนั้นก็พัฒนา MyShop ที่มีฟีเจอร์มากมายเพื่อเป็นตัวช่วยร้านค้าให้สะดวกสบายในการทำธุรกิจ
เป้าหมายก็เพื่อให้ LINE SHOPPING กลายเป็นศูนย์รวมแหล่งร้านค้านั่นเอง
จะเห็นว่า LINE SHOPPING เลือกจะพัฒนาหลาย ๆ อย่าง
เพื่อไปเสริม “จุดแข็ง” ตัวเองคือ Chat Commerce ซึ่งก็ถือว่าเป็นอะไรที่มาถูกทาง
แล้วหากสรุปข้อดีโมเดลธุรกิจ LINE SHOPPING ก็น่าจะมี 3 ข้อหลัก ๆ
1.ไม่ได้จำกัดแค่อยู่ในแพลตฟอร์มตัวเองแต่เป็นเครื่องมือให้ผู้ที่ขายใน LINE, Facebook, IG อยู่แล้วสามารถขายสินค้าได้สะดวกและง่ายขึ้นผ่านทาง LINE SHOPPING ซึ่งก็อยู่ใน Wallet Tab ของ LINE
ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องโหลด App ใหม่
2. แล้วการมี LINE SHOPPING อยู่ในหน้า Wallet Tab ก็ทำให้นักช็อปเจอร้านค้าต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
3. การผสมผสานจุดแข็งของ Social Network เข้ากับจุดแข็งของ E-commerce
หากสังเกต LINE SHOPPING นำเรื่อง Points, Coupons,
จนถึงการนำระบบสั่งซื้อใน E-commerce มาใช้ในแพลตฟอร์มตัวเอง
ข้อดีคือร้านค้าไม่จำเป็นต้องส่งออเดอร์ลูกค้าไปที่ Marketplace อื่น ๆ
ซึ่งจะทำให้เสียค่าคอมมิชชันอีกต่อหนึ่ง
เพราะฉะนั้นเราสามารถใช้ Marketplace ทำหน้าที่ในการหาลูกค้าให้ร้านค้าได้อย่างเต็มตัวแทน
ส่วนอีกข้อที่เป็นเอกลักษณ์ของ LINE SHOPPING ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ก็คือ “ปฏิสัมพันธ์เชิงบวก”
เคยสังเกตกันบ้างไหม ทุกครั้งที่เราแช็ต LINE คุยกับใครสักคน
เราจะรู้สึกให้ความสนใจคนที่เราสนทนาด้วยเป็นพิเศษหากเทียบกับการแช็ตในช่องทางอื่น ๆ
ก็ไม่ต่างกันหากเราเป็นคนซื้อสินค้าใน LINE SHOPPING ก็จะรู้สึกเป็นกันเองกับร้านค้า
ผลดีก็คือร้านค้าปิดการขายได้ง่าย แถมลูกค้ายังรู้สึกเสมือนร้านค้าเป็นเพื่อนมากกว่าขายสินค้าให้กัน
สิ่งที่ร้านค้าได้ก็คือ มิตรภาพและความไว้ใจของลูกค้า
สังเกตุได้ว่าเราจะจำชื่อร้านค้าที่เราซื้อด้วยใน LINE ได้มากกว่าเวลาเราซื้อจากเว็บไซท์ E-commerce Marketplace เหมือนกับเราได้พูดคุยและซื้อจากร้านค้าโดยตรง มากกว่าซื้อผ่านห้าง
นั่นก็เพราะพื้นฐานของ Social ที่เป็นแพลตฟอร์มให้เราได้มีการพูดคุยสื่อสารกันผ่าน Content
จนทำให้เกิด Influencers ในยุคปัจจุบัน
ต่างจาก Marketplace ที่เป็นเหมือนห้างที่ต้องการให้เรารู้สึกว่าได้ซื้อจากห้างมากกว่า นั้นเอง
ผลที่ตามมาคือ ลูกค้าก็จะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำเรื่อย ๆ เป็นการรักษาฐานลูกค้าเก่า
ที่ใช้ต้นทุนน้อยกว่ามาก หากเทียบกับการไปค้นหาลูกค้าใหม่ ที่ต้องใช้เงินเพื่อทำตลาดใหม่นั่นเอง
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้ LINE SHOPPING สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
จนเวลานี้ครบรอบ 2 ปี มีจำนวนร้านค้ากว่า 1 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้งาน 6 ล้านคนต่อเดือน
แต่จริง ๆ แล้วหากนับจำนวนคนไทยที่เคยใช้ LINE SHOPPING
ทั้งการกดจาก service icon หน้า Wallet จนถึงจากช่องทางอื่น ๆ ที่ร้านค้าเอาไปโปรโมตแล้วแนบลิงก์เพื่อมาจบการขายใน LINE SHOPPING มีจำนวนถึง 9 ล้านรายเลยทีเดียว
ในความสำเร็จของ LINE SHOPPING ณ วันนี้
ในมุมของ ลงทุนแมน ความน่าสนใจมันเพิ่งจะเริ่มต้นต่างหาก
ถ้าถามว่าหัวใจของธุรกิจบนโลกดิจิทัลไม่ว่าจะเป็นโมเดล Social Media, Subscription
หรือแม้แต่ Social Commerce คนที่ได้เปรียบที่สุด
ก็คือคนที่สามารถสร้างแพลตฟอร์มที่มีผู้คนจำนวนมากอาศัยอยู่
หรือพูดง่าย ๆ ใครที่สร้างสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คน คนนั้นย่อมมีโอกาสที่ดีกว่า
แล้ว LINE ในประเทศไทย ก็มีตรงนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ใช้งาน 47 ล้านคน
จนถึง Ecosystem อื่น ๆ ของตัวเอง เช่น LINE TV และ LINE MAN ที่มีจำนวนผู้ใช้หลายล้านคนเช่นกัน
สิ่งที่น่าคิดต่อมาก็คือในอนาคต LINE SHOPPING จะทำอย่างไร
ให้ตัวเองสามารถเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้
เพราะอย่าลืมว่า LINE SHOPPING นั้นฝังตัวเป็นส่วนหนึ่งของ App Chat
ต่างจาก LINE TV และ LINE MAN ที่เริ่มด้วยการเป็น Application ที่แยกออกมาต่างหาก
ขณะเดียวกัน LINE SHOPPING ก็จะพัฒนาให้การซื้อ - ขาย ง่ายขึ้น
ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ ณ วันนี้เราเห็น E-marketplace ออกเครื่องมือโฆษณาเพื่อทำเงินจากร้านค้า
โจทย์คือ LINE ที่มีธุรกิจเกี่ยวกับการโฆษณาและ Business Model นี้อยู่แล้ว
จะพัฒนาช่องทางหารายได้นี้อย่างไร
และถ้าทำสำเร็จเมื่อถึงวันนั้น LINE SHOPPING
ก็อาจกลายเป็น Social Commerce ที่ทรงอิทธิพลในเมืองไทย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่าติดตามต่อไปนี้ก็คือ LINE SHOPPING จะใช้ประโยชน์ตรงนี้ได้ดีแค่ไหน
ในวันที่ E-Commerce ยักษ์ใหญ่รายอื่น ๆ ไม่มีเหมือนกับตัวเอง
ที่สำคัญหาก LINE SHOPPING ทำให้ Social Commerce ของตัวเอง
เป็นส่วนหนึ่งในการช็อปปิงประจำวันของคนไทยได้สำเร็จ
ก็จะช่วยให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยมหาศาล
เมื่อถึงวันนั้น ระบบเศรษฐกิจไทย ก็จะถูกอัปเกรดความแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยอัตโนมัติ..
References:
-ข้อมูลจากบริษัท LINE ประเทศไทย จำกัด
-ฝ่ายธุรกิจ E-Commerce LINE ประเทศไทย
network infrastructure 在 Mars Hartdegen Youtube 的精選貼文
?? Construction of the Da Lat–Thap Cham Railway began in 1908, a decade after it had first been proposed by Paul Doumer, then Governor General of French Indochina, and proceeded in stages. Due to the difficulty of the mountainous terrain west of Sông Pha—where the Ngoan Muc Pass rose into the Central Highlands—construction proceeded slowly, requiring several rack railway sections and tunnels to be built. The railway was 84 km (52 mi) long, and rose almost 1,400 metres (4,600 ft) along a winding route with three rack rail sections and five tunnels. The railway tracks finally reached Da Lat in 1932, 24 years after construction had begun. Another railway station existed at the time, operated by the SGAI, a company that had managed the operation of the railway until that time. The job of designing and constructing a new railway station to replace the old one was given to French architects Moncet and Reveron, who submitted a proposal designed by Reveron in 1932. The new station would follow the Art Deco style popular at the time, but would incorporate some characteristics of a Cao Nguyen communal house of Vietnam's Central Highlands, specifically with its high, steep roofs. Construction of the new station began in 1935, directly supervised by Moncet, and was completed three years later in 1938, becoming one of the first colonial-style buildings to be erected in the area.
A JNR Class C12 steam locomotive at Da Lat Railway Station
Throughout the Vietnam War, the Da Lat–Thap Cham line—as with the entire Vietnamese railway network—was a target of bombardments and sabotage. Relentlessly sabotaged and mined by the Viet Cong, the line gradually fell out of use, with regular operations coming to an end in 1968. Following the Fall of Saigon in April 1975, the railway was dismantled to provide materials for the repair of the main line. In the 1990s, however, a 7 km (4.3 mi) section of the line between Da Lat Railway Station and the nearby village of Trại Mát was restored and returned to active use as a tourist attraction.
A 2002 planning document listed the restoration of the entire Da Lat–Thap Cham railway as a priority for infrastructure development for Da Lat and Lâm Đồng Province, including the upgrading of Da Lat Railway Station to handle passenger and cargo transportation. The proposed renewal received the backing of provincial and local governments, and the national government indicated that private companies would also be allowed to participate in the reconstruction of the railway. The project would also include a connection to the North–South Railway at Thap Cham, allowing trains to circulate between Da Lat and the rest of the country for the first time since the Vietnam War. In December 2009, four rail cars restored to look like the rail cars used on the Da Lat–Thap Cham line in the 1930s were put into use on the Da Lat–Trai Mat tourist railroad, carrying signage reading "Dalat Plateau Rail Road".
network infrastructure 在 一二三渡辺 Youtube 的最讚貼文
It was formally announced to assume the car name to be "Nissan and GT-R", and was begun the early reservation order on September 26. It came to walk on the road besides the skyline though a current tradition was succeeded to in consideration of the balance of Infiniti and G when selling it out of Japan. Opening a global site (six national languages including Japanese) to the public was begun on the same day, too.
Two from which installation of Nissan high performance center in 160 places in the whole country that does sales and after-sales service was announced at the same time
GT-R was first open to the public in Fuji Television Network "New report premiere A" on October 21. At this point, the mask was still given to the bumper.
Founder R35 type(2007-)
Impressive advertisement: THE LEGEND IS REAL
The sales price in Japan began selling from 7.77 million yen on the vicinity and December 6. "Premium edition" with which "Black edition" in which a special interior color and the leather seat in addition to the base model can be chosen in a Japanese specification and the BOSE premium sound system and the antitheft device are equipped normally is prepared.
Design etc.
The total length and the width, etc. have increased greatly by the R34 type as an initial model of the third generation GT-R in this R35GT-R seen Takehone the design though De Zain is suppressed.
It is equipped with the speed meter, the tachometer, and the display of the number of gears at 340 km/h in the car. (It was a bytalk, and the method that was the right in the left the speed meter as said by the tachometer for R34GT-R was adopted. )Moreover, it became more large-scale than MFD from which multi function display (MFD) that was able to be called one of the features of R34 type skyline GT-R even by this R35 type was installed in the R34 type equipped with continuation and more multifunctional. Polyphonic digital to develop Grantsurismoshirez took charge of the design of the MFD screen.
The start and the stop of the engine are done with a red button that exists in the center console. When the door is opened from the outside, the doorknob is a storage type, and it pushes in a knob, the knob that has projected from the other side is pulled, and the opened shape is taken.
Drive train
...past ATTESA E-TS.. following 3. Moreover, the clutch, the transmission, and the transfer are put behind the vehicle, and "Independent type transaxle 4WD" integrated with Riyadef is adopted. It is called, "Premium midship package" together with the engine arranged in the reception desk midship. Moreover, because it has machine type 1.5WayLSD (Rimiteddosrippdef) in Riadef, running in the circuit is easy.
It exists a lot, and alpha Romeo in the FR age etc. also have the one that the clutch and the transfer were distributed to rear, and the rear-wheel-drive car of the transaxle : about transaxle type 4WD though it has been achieved by delivery Ford and RS200 by it in the 1980's. As "Independent type transaxle 4WD" to make the clutch, the transmission, and the transfer become independent by the set because the clutch is installed in the engine side in the drive train of RS200, it becomes the first in the world, and Nissan is acquiring the patent for this. This was achieved by adopting the drive shaft made of carbon FRP light, Inarsha few, the vibrational absorption high. Moreover, it is called "VDC-R" because of GT-R that does a weather resistant super-car in Shilshi, has three modes, and it equips it with the slipping sideways prevention mechanism of a special tuning.
The transmission adopts six velocity automatic transmission. The six plate dual clutch system of Bolgwarnar can be adopted, it provide with the multiplate wet clutch at 1, 3, five velocities, and 2, 4, and each six velocities, and it change the speed automatically in the velocity.
Limiter
It has the speed limiter release function of the domestic production first car synchronized with the navigation system (The Ministry of Land, Infrastructure and Transport has been approved). It can put on the speed at 180 km/h or more by entering a specific area in the circuit (Sendai Highland race way, Fuji speedway, and Suzuka Circuit, etc.) that Nissan registered, and operating the navigation (In this case, if prescribed maintenance is done at the high performance center, the guarantee can be continued though the message of "The thing that becomes off the subject of the guarantee is approved" purport appears). The speed of the vehicle comes to be memorized in the memory installed in the limiter at any time, the system that can check it when the limiter cutting by an illegal means maintains it is taken, and when injustice comes to light, it becomes off the subject of the guarantee.
network infrastructure 在 Mars Hartdegen Youtube 的精選貼文
??
Construction of the Da Lat–Thap Cham Railway began in 1908, a decade after it had first been proposed by Paul Doumer, then Governor General of French Indochina, and proceeded in stages. Due to the difficulty of the mountainous terrain west of Sông Pha—where the Ngoan Muc Pass rose into the Central Highlands—construction proceeded slowly, requiring several rack railway sections and tunnels to be built. The railway was 84 km (52 mi) long, and rose almost 1,400 metres (4,600 ft) along a winding route with three rack rail sections and five tunnels. The railway tracks finally reached Da Lat in 1932, 24 years after construction had begun. Another railway station existed at the time, operated by the SGAI, a company that had managed the operation of the railway until that time. The job of designing and constructing a new railway station to replace the old one was given to French architects Moncet and Reveron, who submitted a proposal designed by Reveron in 1932. The new station would follow the Art Deco style popular at the time, but would incorporate some characteristics of a Cao Nguyen communal house of Vietnam's Central Highlands, specifically with its high, steep roofs. Construction of the new station began in 1935, directly supervised by Moncet, and was completed three years later in 1938, becoming one of the first colonial-style buildings to be erected in the area.
A JNR Class C12 steam locomotive at Da Lat Railway Station
Throughout the Vietnam War, the Da Lat–Thap Cham line—as with the entire Vietnamese railway network—was a target of bombardments and sabotage. Relentlessly sabotaged and mined by the Viet Cong, the line gradually fell out of use, with regular operations coming to an end in 1968. Following the Fall of Saigon in April 1975, the railway was dismantled to provide materials for the repair of the main line. In the 1990s, however, a 7 km (4.3 mi) section of the line between Da Lat Railway Station and the nearby village of Trại Mát was restored and returned to active use as a tourist attraction.
A 2002 planning document listed the restoration of the entire Da Lat–Thap Cham railway as a priority for infrastructure development for Da Lat and Lâm Đồng Province, including the upgrading of Da Lat Railway Station to handle passenger and cargo transportation. The proposed renewal received the backing of provincial and local governments, and the national government indicated that private companies would also be allowed to participate in the reconstruction of the railway. The project would also include a connection to the North–South Railway at Thap Cham, allowing trains to circulate between Da Lat and the rest of the country for the first time since the Vietnam War. In December 2009, four rail cars restored to look like the rail cars used on the Da Lat–Thap Cham line in the 1930s were put into use on the Da Lat–Trai Mat tourist railroad, carrying signage reading "Dalat Plateau Rail Road".
network infrastructure 在 Network Infrastructure Automation (NIA) - YouTube 的推薦與評價
... <看更多>