【美國的前身|北美十三殖民地】
美國經常被人說是世界一哥,不過一哥原來曾經是別人的殖民地!
十三殖民地,是指英國於1607至1733年在北美洲大西洋沿岸建立的一系列殖民地,這十三個殖民地只是英屬美洲殖民地的一部分。每個殖民地本身有自身的自治體制,大多數居民亦在殖民地中擁有自己的土地,十三殖民地最後成為美國獨立時的立國基礎,並於1776年美國獨立戰爭後建立美國。
經過多年的英國統治,加上當時北美地區沒有戰爭出現,令北美洲殖民者認為不再需要英國軍隊保護。加上英國為了維護本土利益,向殖民地分別在1764和1765年頒布《食糖條例》《印花稅法》,要求殖民地大量購買英國的食糖、咖啡、酒等商品,以及對所有印刷品直接徵稅,加重北美洲殖民者負擔。但因為殖民地區在英國議會沒有代表席位,於是北美歐裔殖民們中斷了與英國商人貿易往來。雖然英國一度廢除印花稅法,但隨後又用其他方式提高關稅,令北美各地歐裔殖民對英國統治地位展開激烈討論,英國為了保障國家利益,於是調兵至波士頓。
1770年,一名英軍軍官購買假髮後回營,假髮店的店員Edward Garrick誤會軍官沒有付錢,於是向軍官喊叫,軍官解釋之後打算離去,但他的下屬Hugh White為軍官抱不平,於是和Edward Garrick發生口角,最後英兵打傷店員,圍觀的民眾十分憤怒,立刻包圍Hugh White。英軍率領士兵解救懷特,民眾向他們丟擲石頭,英軍情急之下向羣眾開火,事件引致五名平民死亡,令殖民地開始抵制英國進口。
1774年,英國政府針對麻薩諸塞省(現今美國麻省),通過一系列旨在加強對美國控制的「強制法案」,激化起雙方矛盾,十二個地區的殖民會議選派代表,在費城召開大陸會議(第十三個加入者為喬治亞省,於第二次會議加入),通過宣言,建立大陸議會,決定要改變英國宗主國同與殖民地的關係,引致起美國革命出現,當時的十三殖民地包括:
- 特拉華殖民地 (Delaware Colony)
- 賓夕法尼亞省 (Province of Pennsylvania)
- 新澤西省 (Province of New Jersey)
- 喬治亞省 (Province of Georgia)
- 康涅狄格殖民地 (Connecticut Colony)
- 麻薩諸塞省 (Province of Massachusetts Bay)
- 馬里蘭省 (Province of Maryland)
- 南卡羅來納省 (Province of South Carolina)
- 新罕布什爾省 (Province of New Hampshire)
- 弗吉尼亞殖民地(Colony and Dominion of Virginia)
- 紐約省 (Province of New York)
- 北卡羅來納省 (Province of North Carolina)
- 羅得島與普洛威頓斯莊園 (Colony of Rhode Island and Providence Plantations)
美國國旗旗面是由13道紅白相間的寬條所組成,亦正正代表建國初期的十三殖民地!
------------------
◆ 每日分享知識、每月提供課程
◆ Beginneros網站:https://www.beginneros.com/
◆ Youtube:https://goo.gl/OEJrGt
◆ Instagram:@beginneros
◆ 冷知識投稿:http://goo.gl/zEYS3q
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
pennsylvania colony 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
ประวัติศาสตร์กฎหมายสหรัฐอเมริกา : กลุ่มกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common law)
ประวัติศาสตร์กฎหมายสหรัฐอเมริกา นี้ผู้เขียนจะกล่าวถึง ประวัติความเป็นมาของสหรัฐอเมริกา กฎหมายสหรัฐอเมริกาคริสต์ศตวรรษ ที่ 17 กฎหมายสหรัฐอเมริกาคริสต์ศตวรรษ ที่ 18 กฎหมายสหรัฐอเมริกาเมื่อประกาศอิสรภาพ ดังนี้
1.ประวัติความเป็นมาของสหรัฐอเมริกา
ชาวอังกฤษได้เข้าไปตั้งรกรากอยู่ในดินแดนที่เป็นสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยแยกย้ายกันไปตั้งหลักแหล่งในท้องถิ่นต่างๆรวมกัน 13 กลุ่ม กล่าวคือ ชนชาวอังกฤษได้เข้าไปอยู่ใน Virginia เมื่อ ปี ค.ศ. 1607 ที่ Plymouth เมื่อ ปี ค.ศ. 1620 ที่ Massachusetts เมื่อปี ค.ศ. 1630 ที่ Maryland เมื่อปี ค.ศ. 1632 นอกจากนี้ยังมีชนชาวฮอลันดาไปตั้งหลักแหล่งที่ New York แต่ได้กลายเป็นชาวอังกฤษไปเมื่อปี ค.ศ. 1664 กลุ่มชาวสวีเดน ไปตั้งหลักแหล่งที่ Pennsylvania แล้วกลายเป็นอังกฤษเมื่อ ปี ค.ศ. 1681 จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1722 จึงมีชนชาติต่างๆ (ส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษหรือได้กลายมาเป็นชนชาติอังกฤษในภายหลัง) ไปตั้งรกรากอยู่รวม 13 กลุ่ม
การที่ชนชาติต่างๆหรือชาติเดียวกันก็ตามไปรวมกันอยู่จำนวนมาก ก็จำต้องมีกฎหมายเพื่อนำมาใช้บังคับให้เกิดความสงบเรียบร้อยความคิดที่จะนำกฎหมายมาใช้บังคับนี้ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1607 ในขณะที่ชนชาวอังกฤษกลุ่มแรกได้เข้าไปตั้งรกรากอยู่ในสหรัฐอเมริกา โดยในปี ค.ศ. 1808 ได้มีคดีสำคัญเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นและคดีดังกล่าวนี้ได้เป็นคดีที่ถือเป็นบรรทัดฐานต่อมา ซึ่งคดีนั้นเรียกว่า “Cavil’s case”
Cavil’s case ได้วางหลักเกณฑ์ไว้ในคำพิพากษาว่า “โดยหลักการแล้วถ้ามีกรณีพิพาทเกิดขึ้นให้นำเอา Common law ของอังกฤษมาใช้บังคับ เพราะผู้ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเป็นชนชาวอังกฤษอยู่แล้วและดินแดนที่เข้าไปตั้งรกรากอยู่ยังไม่มีอารยธรรม ดังนั้นการนำเอา Common law มาใช้บังคับจึงมีความจำเป็น นอกจากนั้นยังให้นำเอากฎหมายที่เคยมีอยู่ก่อนแล้วมาใช้บังคับประกอบด้วย เพื่อเพิ่มเติมหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลง Common law ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในขณะนั้น
อย่างไรก็ตามหลักการของ Cavil’s case มีข้อจำกัดบางประการ กล่าวคือ แม้ว่าจะให้นำเอา Common law ของอังกฤษมาใช้บังคับได้ก็จริง แต่การนำมาใช้บังคับนั้นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า มาตรการหรือกฎเกณฑ์ต่างๆของCommon law นั้นจะต้องมีความเหมาะสมต่อสภาพการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของการดำรงชีวิต (Colony) ชนในกลุ่มทั้ง 13 กลุ่มได้ด้วย
2.กฎหมายสหรัฐอเมริกาคริสต์ศตวรรษ ที่ 17
กฎหมายสหรัฐอเมริกาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 แม้ว่าจะได้มีการยอมรับเอา Common law มาใช้ในสหรัฐอเมริกา โดยถือหลักการของ Cavil’s case ก็ตาม แต่การนำมาใช้ก็ต้องมีข้อจำกัด คือ จะต้องมีความเหมาะสมต่อสภาพการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของการดำรงชีวิตของชนในแต่ละกลุ่ม 13 กลุ่มด้วย ดังนี้
2.1 การใช้ Common law ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเมื่อพิจารณาหลัก Common law ให้ความสำคัญกับหลักพิจารณาคดีมากความไม่เหมาะสมต่อสภาพการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของการดำรงชีวิตของชนในแต่ละกลุ่ม 13 กลุ่ม คือ
2.1.1. การขาดความรอบรู้ของนักกฎหมายในการนำ Common law มาใช้บังคับ
การนำมาใช้ในสหรัฐอเมริกาได้เกิดปัญหาข้อขัดข้องขึ้นเพราะผู้ที่อพยพเข้าไปในสหรัฐอเมริกา ไม่มีนักกฎหมายที่มีความรอบรู้เพียงพอในกระบวนการของ Common law ทำให้เกิดความยุ่งยากในการนำเอา Common law มาใช้ ยิ่งกว่านั้นในส่วนที่เกี่ยวกับกฎหมายสาระบัญญัติของ Common law ก็เป็นเรื่องกฎหมายที่บัญญัติขึ้น ในขณะที่อังกฤษมีการปกครองระบบ feudalism ซึ่งไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ได้ใช้การปกครองระบ บ feudalism เหมือนในอังกฤษในขณะนั้นและปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาใหม่ๆซึ่ง Common lawไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นๆอย่างได้ผล
2.1.2 การยึดมั่นและเชิดชูหลักเสรีภาพส่วนบุคคลกลุ่มชน 13 กลุ่ม
เหตุผลที่ไม่อาจนำ Common law มาใช้ได้อย่างเต็มที่อีกประเด็นหนึ่งการที่กลุ่มต่าง 13 กลุ่มยึดมั่นและเชิดชูหลักเสรีภาพส่วนบุคคล ส่วน Common law เป็นกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองความมั่นคงและประโยชน์ของกษัตริย์ ดังนั้นชนกลุ่ม 13 กลุ่มในสหรัฐอเมริกาจึงไม่นิยมใช้ Common law มากนัก
2.2 การแก้ไขข้อบกพร่อง โดยการจัดทำประมวลกฎหมาย (Code)
ถึงแม้ว่าโดยหลักการในสหรัฐอเมริกาจะยอมรับ Common law ก็จริง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การนำกฎหมายมาใช้บังคับขึ้นอยู่ความพอใจของผู้พิพากษา เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว กลุ่มชนชาวอังกฤษต่างๆ 13 กลุ่ม ได้จัดทำประมวลกฎหมายขึ้น (Code) ขึ้นได้แก่ Code ของ Massachusetts เมื่อปี ค.ศ. 1634 และของ Pennsylvania ในปี ค.ศ. 1682 แต่อย่างไร Code ที่จัดทำนั้นยังไม่นับว่าเป็น Code ในรูปสมัยใหม่แบบ Code Napoleon ของประเทศฝรั่งเศส แต่ก็ได้แสดงให้เห็นว่ากลุ่มชนชาวอังกฤษต่างๆ 13 กลุ่มในสหรัฐอเมริกานั้นมีความนิยมกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งแตกต่างกับความนิยมของอังกฤษที่ไม่นิยมกฎหมายลายลักษณ์อักษร
3.กฎหมายสหรัฐอเมริกาคริสต์ศตวรรษ ที่ 18
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 สถานการณ์ต่างๆทั้งทางด้านการดำรงชีพและทางเศรษฐกิจของประชานเริ่มมีสภาพดีขึ้น รวมทั้งความรู้สึกต่อต้านอังกฤษของกลุ่มต่างๆลดน้อยลง ทำให้ความพยายามที่จะยอมรับอิทธิพลจากประเทศภาคพื้นยุโรปลดน้อยลงและนอกจากจะไม่ยอมรับแล้วยังมีความหวาดระแวงบางประการ เช่นในขณะนั้นมีความหวาดระแวงต่ออิทธิพลของประเทศภาคพื้นยุโรปที่เข้ามาจากลุยเซียน่า และแคนาดาของฝรั่งเศส เป็นต้น ทำให้ชนชาวอังกฤษ กลุ่มต่างๆในสหรัฐอเมริกาหันมานิยมกฎหมาย Common law ของอังกฤษแต่การนำกฎหมายมาใช้ยังไม่ค่อยจะถูกหลัก Common law นักเพราะผู้พิพากษาในฐานะที่มีความรู้สึกว่าเป็นชาวอังกฤษได้รับการศึกษากฎหมาย Common law น้อยมาก และมีการศึกษาน้อยมากทำให้การศึกษากฎหมายไม่กว้างขวางถึงแม้ว่าจะได้มีการจัดพิมพ์ตำรากฎหมาย เช่น Commentaries on Laws of England ของ Blackstone ที่ Philadelphia เมื่อ ปี ค.ศ. 1771 -1772 เพื่อให้การศึกษากฎหมายได้แพร่หลายออกไปก็ตาม
4.กฎหมายสหรัฐอเมริกาเมื่อประกาศอิสรภาพ
สหรัฐอเมริกาได้ประกาศอิสรภาพเมื่อปี ค.ศ. 1776 และได้รอบรวมกลุ่มต่างๆขึ้นเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุด เมื่อ ปี ค.ศ. 1783 การสถาปนากลุ่มต่างๆขึ้นเป็นสหรัฐอเมริกาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการ ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายด้วย โดยได้รับความช่วยเหลือของประเทศฝรั่งเศส และฝรั่งเศสได้กลายเป็นมิตรและเป็นสัมพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองและถ่วงดุลย์อำนาจของอังกฤษซึ่งยังมีความรู้สึกเป็นศรัตรูกับสหรัฐอเมริกาเราะการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาแยกต่างห่างจากอังกฤษ
จากความต้องการที่จะต่อสู้กับอิทธิพลของอังกฤษ รวมทั้งแนวคิดที่จะจัดทำกฎหมายแห่งชาติขึ้น ทำให้เกิดความนิยมที่จะจัดทำประมวลกฎหมายขึ้นตามแบบของฝรั่งเศสและกฎหมายที่ทำขึ้นในรูปกฎหมายลายลักษณ์อักษร ได้แก่รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศใช้ใน ปี ค.ศ. 1787 นอกจากนี้ที่ New-Orleans ภายหลังการเข้ารวมเป็นสหรัฐ ได้ยอมรับประมวลกฎหมายแบบของฝรั่งเศสเป็นกฎหมายแห่งรัฐ
5.กฎหมายสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 19
ระยะนี้ความนิยมกฎหมายในสหรัฐอเมริกาขัดแย้งกันระหว่างความนิยมระบบกฎหมาย Common law ของอังกฤษกับความนิยมกฎหมายในรูปประมวลกฎหมาย (ระบบกฎหมาย Civil law) ของประเทศฝรั่งเศส แต่ดูเหมือนว่าความนิยมกฎหมายในรูปประมวลกฎหมายได้รับความนิยมมาก ดังจะเห็นได้ว่าใน ปี ค.ศ. 1836 คณะกรรมาธิการนิติบัญญัติแห่งรัฐ Massachusetts ได้ขอให้จัดทำประมวลกฎหมายประจำรัฐขึ้น รัฐ New York ได้จัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเป็นลายลักษณ์อักษร ในปี ค.ศ. 1864 นอกจากนี้มลรัฐต่างๆอีกหลายมลรัฐมีแนวโน้มสนับสนุนระบบกฎหมายแบบประมวลกฎหมาย (Civil law) มากขึ้น โดยห้ามไม่ให้อ้างอิงคำพิพากษาของศาลอังกฤษที่ตัดสินไว้ภายหลัง ค.ศ. 1776 ซึ่งเป็นปีที่สหรัฐอเมริกาประกาศเอกราช
ความตื่นตัวในลักษณะที่ให้ความนิยมต่อกฎหมายในรูปประมวล เห็นได้เด่นชัดยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการแปลตำรากฎหมายที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสในขณะนั้น คือ ตำราของ Pothier และ Domat ออกเป็นภาษาอังกฤษ และมีขบวนการเรียกร้องให้มีการจัดทำประมวลกฎหมายขึ้นในสหรัฐอเมริกา
6.ชัยชนะของอิทธิพล Common
เพื่อพิจารณาศึกษาพื้นฐานเบื้องหลังเราต้องยอมรับว่าคนที่เข้าไปตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา เป็นชาวอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีความคุ้นเคยกับภาษา ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมต่างๆของอังกฤษ ย่อมมีความนิยมกฎหมายอังกฤษมากกว่ากฎหมายอื่น ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับระบบกฎหมายอังกฤษ แต่สามารถศึกษากฎหมายอังกฤษได้สะดวก เนื่องจากสามารถศึกษาได้จากตำราหรือหนังสือภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของตนอยู่แล้ว เช่น ตำราของนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ คือ Kent และ Story นอกจากนี้สำนักกฎหมายต่างๆในสหรัฐอเมริกาภายหลังการประกาศเอกราช ต่างก็นิยมที่จะนำเอาCommon law ของอังกฤษมาสอนเป็นหลัก
ดังนั้นถึงแม้ว่ามีการแข่งขัน ระหว่าง Common law ของอังกฤษกับระบบกฎหมายในรูปประมวลกฎหมาย (ระบบกฎหมาย Civil law) เป็นเวลานาน 50 ปี ระบบ Common law ของอังกฤษได้รับชัยชนะไปในที่สุดและรัฐต่างๆในสหรัฐอเมริกาต่างนำเอา Common law ของอังกฤษมาใช้ ยกเว้น New-Orleans ซึ่งกลายมาเป็นมลรัฐ Louisiana ในปี ค.ศ. 1812 ยังคงต้องใช้ระบบประมวลกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส
แต่เมื่อพิจารณาจากวิวัฒนาการทางกฎหมายที่เกิดจากการแข่งขันระหว่างระหว่าง Common law ของอังกฤษกับระบบกฎหมายในรูปประมวลกฎหมาย (ระบบกฎหมาย Civil law) ทำให้สหรัฐอเมริการับเอา ระหว่าง Common law ของอังกฤษ มาใช้ก็จริง แต่ก็เป็น Common law ที่เป็นลักษณะเฉพาะและผิดแผกต่างกับ Common law ของอังกฤษ แต่เป็น Common law ของสหรัฐอเมริกาที่มีความใกล้เคียงกับกลุ่มกฎหมายโรมัน (กลุ่มประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย หรือ ระบบกฎหมาย Civil law) มากกว่าอังกฤษเพราได้รับอิทธิพลดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
7.การจัดทำประมวลกฎหมายอเมริกา
เนื่องจากกฎหมายที่ออกใช้บังคับทั้ง สหพันธรัฐ คือ federal laws) และ State laws มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงได้รวบรวมกฎหมายเข้าด้วยกัน ทั้งกฎหมายของมลรัฐและกฎหมายสหพันธรัฐ ทั้งนี้เพื่อให้กฎหมายมีระเบียบเรียบร้อยและทำให้เกิดความสะดวกแก่ประชาชนและผู้พิพากษาทั้งหลาย การรวบรวมกฎหมายในรูปแบบประมวลกฎหมายนโปเลียน เรียกว่า Revised Laws หรือ Consolidated laws แต่บางครั้งก็นิยมเรียกว่า Code เช่น United State Code Annotated (U.S.C.A.) ซึ่งเป็นกฎหมายสหพันธรัฐ (federal law)
ข้อสังเกต คำว่า Code ในที่นี้มีความหมายแตกต่างกับ Code ตามความหมายของกลุ่มกฎหมายภาคพื้นยุโรปภายใต้อิทธิพลกลุ่มกฎหมายโรมัน เพราะการจัดทำ Code ของสหรัฐอเมริกาได้จัดทำใช้วิธีเรียงตามตัวอักษร ไม่ได้จัดทำขึ้นเป็นหมวดหมู่โดยจัดแบ่งกฎหมายแต่ละลักษณะออกจากกันเหมือนประมวลกฎหมายภาคพื้นยุโรป
จากการจัดทำประมวลกฎหมายแบบประมวลกฎหมายแบบประมวลกฎหมายนโปเลียนของฝรั่งเศส ได้รับความสนใจในสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน ดังจะเห็นได้ว่ามลรัฐต่างๆได้จัดทำประมวลกฎหมายแพ่ง (Civil code) ขึ้นได้แก่ Califernia,NorthDagota, South Dagato,Georgia,Montana นอกจากนี้มลรัฐต่างอีก 25 รัฐ ได้จัดทำประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งของมลรัฐ และบางมลรัฐยังได้จัดทำประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของมลรัฐขึ้นอีกด้วย ซึ่งการจัดทำในรูปประมวลกฎหมายเหล่านี้ แต่ยังไม่ใช่ประมวลกฎหมายที่สมบูรณ์แบบของระบบกฎหมายของภาคพื้นยุโรป เพราะประมวลกฎหมายเหล่านี้บัญญัติขึ้นจากหลักกฎหมายที่เกิดจากคำพิพากษาของศาล ยิ่งกว่านั้นศาลเองเวลานำกฎหมายมาใช้ แทนที่จะตีความกฎหมายตามลายลักษณ์อักษรที่กฎหมายได้วางไว้เป็นหลัก กลับอ้างหลักคำพิพากษาบรรทัดฐานในคดีเรื่องก่อนๆมาเป็นหลัก ทำให้ระบบกฎหมายของสหรัฐอเมริกาบางมลรัฐซึ่งถึงแม้ว่าจะได้ทำขึ้นเป็นประมวลกฎหมายลายลักษณ์อักษร ไม่มีคุณค่าและความศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ควร คงมีแต่ มลรัฐ Louisiana ประมวลกฎหมายและวิธีการใช้กฎหมายของศาลยังคงเป็นไปตามแบบของยุโรป คือ แบบประมวลกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส จึงอาจกล่าวได้ว่ามลรัฐ Louisiana รวมอยู่ในกลุ่มกฎหมายโรมัน
8.การจัดทำกฎหมายเอกรูป คือ ประมวลกฎหมายพาณิชย์
เนื่องจากแต่ละมลรัฐต่างก็มีกฎหมายของตน จึงทำให้เกิดมีปัญหาการขัดกันของกฎหมายระหว่างรัฐขึ้น และทำให้เกิดความลำบากทั้งต่อประชาชน ผู้พิพากษา และนักกฎหมายทั่วไป จึงได้มีความพยายามที่จะจัดทำกำหมายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้น โดยให้สามารถนำมาเป็นแบบอย่างให้ใช้ได้ในมลรัฐต่างๆทุกมลรัฐในสหรัฐอเมริกาขึ้น โดยมีการประชุมแห่งชาติของคณะกรรมการเพื่อกฎหมายเอกรูปของรัฐ (The Nation Conference of Commissioners on Uniform State Law) ซึ่งมีการประชุมครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1892 จากความริเริ่มของ American Bar Association แต่กระทั่ง ค.ศ. 1912 จึงมีผู้แทนตามทางราชการของทุกมลรัฐเข้าร่วมประชุมด้วย นอกจากนี้ยังมีองค์กรทางกฎหมายที่สำคัญอีกองค์กรหนึ่ง คือ American Law Institue ทำให้มีการจัดทำประมวลกฎหมายพาณิชย์ (Commercial Code) ขึ้นสำเร็จใน ปี ค.ศ. 1952 มีทั้งหมด 400 มาตรา
ประมวลกฎหมายพาณิชย์ได้รับการยอมรับทุกมลรัฐในสหรัฐอเมริกา (ยกเว้นรัฐ Louisiana) นอกจากประมวลกฎหมายพาณิชย์ ยังมีการจัดทำกฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายลักษณะพยาน ขึ้นมาอีกด้วย ต่อมาในปี ค.ศ. 1962 ที่ประชุมของ The Nation Conference of Commissioners on Uniform State Law ได้เสนอให้ยอมรับกฎหมายเอกรูป 68 ฉบับ
pennsylvania colony 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳解答
pennsylvania colony 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
pennsylvania colony 在 大象中醫 Youtube 的最佳貼文
pennsylvania colony 在 Pennsylvania Colony - Historycentral.com 的相關結果
The Pennsylvania Colony was a royal colony. It was founded under a charter given to William Penn. Penn was granted the charter as a place for Quakers to ... ... <看更多>
pennsylvania colony 在 Pennsylvania Colony - Mr. Nussbaum 的相關結果
Pennsylvania was founded in 1681 by William Penn. Penn was issued a land grant by King Charles II largely because of a significant debt owed to his father, ... ... <看更多>
pennsylvania colony 在 Province of Pennsylvania - Wikipedia 的相關結果
The Province of Pennsylvania, also known as the Pennsylvania Colony, was a British North American colony founded by William ... ... <看更多>