รู้จัก เคไลฟี ผู้เป็นประธานสโมสรปารีส และ beIN /โดย ลงทุนแมน
พอพูดชื่อ “นาสเซอร์ อัล เคไลฟี” หลายคนอาจสงสัยว่าเขาคือใคร ?
แต่คนที่เคยดูฟุตบอลน่าจะเคยได้ยินชื่อนี้บ้าง
เพราะเขาเป็นประธานสโมสรฟุตบอล ประธานสโมสร ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (Paris Saint-Germain) ที่ล่าสุดเพิ่งกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของ ลิโอเนล เมสซิ
แต่กว่าจะมาเป็นวันนี้ของ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี
ชีวิตของเขานั้นไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เด็ก
และยังเคยเล่นเทนนิสเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
จนได้เป็นนักเทนนิสทีมชาติอีกด้วย
แล้ว อัล เคไลฟี ทำอย่างไร จนก้าวมาเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในวงการกีฬา
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
นาสเซอร์ อัล เคไลฟี (Nasser Al-Khelaifi) เป็นชาวกาตาร์
เกิดในปี 1973 อัล เคไลฟี เกิดในครอบครัวที่ทำประมงหาเลี้ยงชีพเป็นหลัก
แม้จะไม่ได้เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ อัล เคไลฟี ก็มุ่งมั่นเล่าเรียน จนจบปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์จาก Qatar University และปริญญาโทด้านพาณิชย์นาวีจาก University of Piraeus
อีกจุดเด่นของ อัล เคไลฟี นอกเหนือจากการศึกษาคือ การเล่นกีฬา โดยเฉพาะเทนนิส ซึ่งกลายเป็นจุดสำคัญของความสำเร็จในชีวิตเขา ในเวลาต่อมา
อัล เคไลฟี เคยได้ดีในการเล่นเทนนิส ถึงขนาดก้าวไปเป็นนักเทนนิสระดับอาชีพ และเป็นตัวแทนทีมชาติกาตาร์ ลงแข่งขันทัวร์นาเมนต์ Davis Cup ซึ่งเป็นการแข่งขันรายการใหญ่ในระดับนานาชาติ
พออายุเริ่มมากขึ้น เขาก็เลิกเล่นในสนาม และมาดำรงตำแหน่งประธานสหพันธ์เทนนิสกาตาร์ในช่วงปี 2008-2011
นอกจากนั้น เขายังได้รับเลือกเป็น รองประธานสหพันธ์เทนนิสเอเชีย (Asian Tennis Federation) แห่งเอเชียตะวันตกอีกด้วย
ด้วยความสนใจ และประสบการณ์ที่คลุกคลีในวงการกีฬาของเขา
ทำให้ อัล เคไลฟี สามารถนำมันมาต่อยอดในการทำธุรกิจด้วยในเวลาต่อมา
จุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญของเขาเกิดขึ้นในปี 2011 เมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานของ Qatar Sports Investments หรือ QSi ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมกีฬาและนันทนาการ ทั้งในประเทศการ์ตาและต่างประเทศ
โดย QSi นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Qatar Investment Authority ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของกาตาร์ ที่ปัจจุบัน มีทรัพย์สินภายใต้กองทุนมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท
ในปีเดียวกับที่ อัล เคไลฟี เข้ามาบริหาร QSi ทางกองทุนก็เข้าไปลงทุนซื้อหุ้นของ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (Paris Saint-Germain) สโมสรฟุตบอลอาชีพชั้นนำในฝรั่งเศส
ในเวลานั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ของปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง คือ Colony Capital, Morgan Stanley และ Butler Capital Partners ซึ่งทั้ง 3 บริษัทนั้นเป็นบริษัทจัดการลงทุน โดย 2 รายแรกนั้นเป็นของสหรัฐอเมริกา ส่วนรายหลังนั้นเป็นของฝรั่งเศส
โดยบริษัทจัดการลงทุนกลุ่มดังกล่าว ประกาศที่จะขายสโมสรให้แก่นักลงทุนที่สนใจ เพื่อเข้ามาช่วยทำให้ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เป็นสโมสรฟุตบอลชั้นนำ
และก็เป็น QSi ที่ได้เข้ามาซื้อหุ้นต่อจากนักลงทุนกลุ่มเดิม โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 4,300 ล้านบาท
ต้องยอมรับว่า นับตั้งแต่ที่ อัล เคไลฟี เข้ามาบริหารปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ทำให้สโมสรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากขึ้น ทั้งในและนอกสนาม
โดยเฉพาะในเรื่องการตลาดและการโปรโมตสโมสร ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนออกมาจากสถิติยอดขายเสื้อฟุตบอลของปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วงที่ผ่านมา
ในปี 2011 เคยขายเสื้อฟุตบอลได้เพียงราว ๆ 250,000 ตัว
ในปี 2019 สโมสรขายเสื้อได้กว่า 1,000,000 ตัว
เขายังถือเป็นส่วนสำคัญในการพยายามเซ็นสัญญานักฟุตบอลชื่อดังระดับโลกหลายคน ให้มาเล่นให้สโมสรอีกด้วย โดยล่าสุดก็คือ ลิโอเนล เมสซิ อดีตกองหน้าชื่อดังจากบาร์เซโลนา
สำหรับหลายคนที่อาจจะไม่ได้ติดตามโลกฟุตบอล ก็อาจจะยังมีคำถามว่า สโมสรปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง แห่งนี้มีความน่าสนใจอย่างไร
ลองมาดูสถิติที่น่าสนใจ ของปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่ อัล เคไลฟี เป็นผู้บริหาร
- เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลก ซึ่งในฤดูกาล 2019-2020 มีรายได้ประมาณ 21,000 ล้านบาท
- เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก จากการจัดอันดับของ Forbes โดยมีมูลค่ากว่า 84,000 ล้านบาท
- เป็นสโมสรฟุตบอลที่ทำสถิติซื้อผู้เล่นแพงที่สุดในโลก คือ เนย์มาร์ กองหน้าทีมชาติบราซิล จากบาร์เซโลนา ด้วยมูลค่าประมาณ 8,700 ล้านบาท ในปี 2017
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ไม่เพียงแต่บริหารสโมสรฟุตบอลเท่านั้น อัล เคไลฟี ยังเป็นประธาน และซีอีโอของ beIN Media Group
โดย beIN Media Group คือ ช่องรายการบันเทิงและกีฬาทางโทรทัศน์ ที่ออกอากาศในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และเอเชีย จำนวนทั้งหมด 43 ประเทศ
beIN Media Group ยังเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลรายการสำคัญ ๆ ในปัจจุบัน อย่างเช่น ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฟุตบอลโลก 2022 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024
เป้าหมายของ อัล เคไลฟี คือ ต้องการที่จะสร้าง beIN Media Group ให้กลายเป็นสื่อที่ดังในด้านบันเทิงและกีฬาระดับโลก
และแน่นอนว่า อีกเป้าหมายสำคัญของเขา
ก็คือสร้างปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก
จากเรื่องราวชีวิตของ อัล เคไลฟี จะเห็นว่า
แม้ว่า อัล เคไลฟี ไม่ได้เกิดมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง
แต่เขาสามารถเอาจุดเด่น ความสนใจ และประสบการณ์ในด้านกีฬา
มาต่อยอดในการบริหารธุรกิจสื่อ บริหารทีมฟุตบอล ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างดี..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.beinmediagroup.com/
-https://www.forbes.com/teams/paris-saint-germain/?sh=79bf9d4f51f4
-https://en.wikipedia.org/wiki/Nasser_Al-Khelaifi
-https://en.wikipedia.org/wiki/Paris_Saint-Germain_F.C._ownership_and_finances
-https://en.wikipedia.org/wiki/Qatar_Sports_Investments
-https://en.calameo.com/read/005694409c40bbd67d588
-https://en.wikipedia.org/wiki/Al_Jazeera_Media_Network
-https://www.beinsports.com/th/%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81-1/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/nasser-al-khelaifi-named-as-most-influentia-6/1468678
-https://en.wikipedia.org/wiki/Paris_Saint-Germain_F.C.
-https://en.wikipedia.org/wiki/2022_FIFA_World_Cup_broadcasting_rights
-https://www.premierleague.com/news/2184867
同時也有19部Youtube影片,追蹤數超過5,140的網紅Ghost Island Media 鬼島之音,也在其Youtube影片中提到,Taiwan’s next referendum will soon vote on activating the nation’s fourth nuclear plant, as well as constructing a natural gas plant on an algal reef ...
「university of paris」的推薦目錄:
- 關於university of paris 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於university of paris 在 Scholarship for Vietnamese students Facebook 的精選貼文
- 關於university of paris 在 Wannasingh Prasertkul (วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล) Facebook 的最讚貼文
- 關於university of paris 在 Ghost Island Media 鬼島之音 Youtube 的最佳貼文
- 關於university of paris 在 Ghost Island Media 鬼島之音 Youtube 的最佳解答
- 關於university of paris 在 Ignatius My Youtube 的最佳貼文
- 關於university of paris 在 The American University of Paris - Home | Facebook 的評價
- 關於university of paris 在 8 THINGS I WISH I KNEW BEFORE COMING TO AUP (THE ... 的評價
university of paris 在 Scholarship for Vietnamese students Facebook 的精選貼文
#ApplyQuote Chia sẻ kinh nghiệm du học ở Bỉ & Pháp
Bạn Thu Le trong group Scholarship Hunters đã chia sẻ cực kì chi tiết về việc apply du học tại Bỉ 🇧🇪 , Pháp 🇫🇷 cũng như kinh nghiệm sống và làm việc ở châu Âu của mình. Các bạn nào quan tâm thì đọc ngay bài viết siêu hay ho dưới đây nhé! Bạn ý cũng là cựu học sinh lớp học bổng HannahEd mới có thêm học bổng toàn phần chính phủ Đan Mạch vừa sang lại châu Âu học tuần này đó ❤️
——-
Mình học cử nhân BBA tại KU Leuven Bỉ và sau đó đc trg chọn học thêm IBBA tại KEDGE Pháp theo ctr Double Degree 4 năm 2 bằng ĐH (Mình là ng đầu tiên cũng là duy nhất tham gia ctr này cho đến thời điểm hiện tại). Trước khi học BBA tại KUL thì mình học ISB-UEH hệ Western Sydney University đc 1 năm, trong tgian này mình tự học thêm SAT và tham gia thêm mấy hđnk để improve application. Mình tn trg chuyên tỉnh lẻ GPA 8.9-9.0-9.1 và có giải HSGQG môn t. Anh và IELTS 7.5.
1️⃣ Tại sao mình chọn Bỉ 🇧🇪 ?
Thật ra nhà mình hướng đi Úc vì có ng thân bên đó nhưng cá nhân mình thấy du học Úc đắt và ko biết liệu học xong có thể xin việc ở lại để bù khoản tiền đấy ko. Nên mình đã chọn Châu Âu. Cộng thêm từ cấp 2 mình đã học thêm t. Pháp nên cũng muốn học ở French-speaking country để trau dồi thêm. Sau khi nghiên cứu thì mình chọn học ctr BBA dạy bằng tiếng Anh ở KUL (70% vì ranking - năm đấy trg rank #35 tgioi theo The Higher Education, 20% vì location của trg ngay tại Brussels trái tim của EU dễ du lịch, mtrg international và có nhiều job opportunities, 10% vì dân Bỉ nói t. Anh rất ok ko như dân Pháp và curriculum chỉ có 3 NĂM lại nhìn khá toàn diện, kiểu học mỗi thứ 1 tí rất hợp vs đứa chưa định hướng đc major như mình 😂)
Link ctr BBA dành cho bạn nào muốn tham khảo thêm:
https://feb.kuleuven.be/eng/prospective-students/bachelor-of-business-administration (Overall info)
https://onderwijsaanbod.kuleuven.be//opleidingen/e/SC_53266472.htm (Curriculum)
Entry requirements:
Tn cấp 3, IELTS 6.5 (ko có skill nào dưới 5.5) hoặc TOEFL 90, SAT Math 530 hoặc 570 trở lên cho fast admission track, ACT 21 hoặc 23 trở lên cho fast admission track
Học phí: 1750 EUR (tầm 48tr VNĐ)
📍 Câu hỏi mình hay nhận đc là trg có xét điểm tổng ko hay là điểm em vừa đủ thì có đc nhận ko hay nên càng cao càng tốt? --> Với kinh nghiệm làm student ambassador và guide bao nhiêu svien VN vào KUL mấy năm nay thì mình khẳng định là nếu bạn vừa đủ điểm như ycau IELTS 6.5 + SAT Math 530 (trg ko xét điểm tổng đâu) thì bạn auto đc nhận nhé. Dù ranking trg cao nhưng quan điểm của Bỉ là education is for everyone nên đầu vào rất dễ, as long as you meet the entry requirements. Giáo dục của Bỉ theo kiểu đào thải dần, nếu bạn ko siêng năng và ko pass đủ credits thì sẽ ko đc học tiếp. That's why lớp mình năm đấy vào tận >300 bạn nhưng đến cuối cùng chỉ tn đúng tgian tầm 30 bạn (có bạn đã bị trg expell, có bạn đúp lớp, có bạn transfer sang hệ UAS - hogeschool, có bạn chuyển trg luôn)
Năm nay trg có thêm ngành mới là Bachelor of Science in Business Engineering https://feb.kuleuven.be/eng/prospective-students/bachelor-of-business-engineering/overview --> bạn nào là dân Kĩ thuật nhưng vẫn muốn có kiến thức nền về Kinh doanh có thể tham khảo ctr này 😉
📍 Học xong BBA làm gì?
Đa số các bạn sẽ chọn học lên tiếp 1 năm MBA (Master of Science in Business Administration, not professional MBA) với tầm 12 specializations như Finance, Marketing, Strategy, Logistics, International Relations, Information System (ngành này dễ kiếm việc hơn các ngành còn lại✌️) etc. vì BBA khá là chung. Cộng thêm ở Bỉ mng đều tn Master rồi mới bắt đầu xin việc. Kiểu như đây là 1 việc rất tự nhiên ấy 😁
Một phần nhỏ khác sẽ đi làm như mình, nhưng sẽ về nước làm vì Bỉ rất rất coi trọng bằng cấp. Nhưng mình vẫn apply đc chương trình MA của Citibank (Management Trainee) nên du học Bỉ cũng ko hẳn lỗ nhỉ? 😜
2️⃣ Chuyển tiếp sang Pháp 🇫🇷 học Double Degree và đi làm tại Paris
Sau 2 năm học thì mình có option đi exchange vào năm 3 hoặc đi Double Degree (năm đấy thì mới có ctr này lần đầu). Mình đc chọn đi exchange tại Peking University 🇨🇳 và học Double Degree tại KEDGE bên Pháp. Mình đã rất băn khoăn vì exchange thì 1 sem sẽ về là học thêm 1 sem nữa sẽ tốt nghiệp và lên MBA luôn. Trong khi Double Degree thì mình phải học thêm 3 sem và đi làm 6 tháng. Nhưng cuối cùng mình đã chọn đi Pháp, dù vô cùng thích Bắc Đại, vì mình biết thứ mình thiếu trên CV lúc ấy là kinh nghiệm làm việc và chỉ có học Double Degree mình mới có thể đi làm mà job market ở Pháp lại dynamic hơn Bỉ rất nhiều. (Plus, nếu trong trg hợp sau này về VN thì ít ra du học Pháp có tiếng hơn dh Bỉ, và còn có thể xin Working Holiday Pass ở Sing nữa)
Ở Pháp mình học tại KEDGE - 1 business school rank #2 ngành IBBA (https://student.kedge.edu/programmes/international-bba/curriculum) và ko hề trả hphi (trong khi các bạn bthg sẽ trả tầm 10kEUR/ năm) trong khi đc học 1 curriculum vô cùng practical (E-Business, Digital Marketing, Luxury Strategy, Chinese Business, etc.) mà còn đc ăn ké corporate network siêu xịn của trg 🤩 Lúc ở Pháp mình còn đc làm 1 start-up chuyên về parfum ở Entrepreneurship Hub của trg và gặp rất nhiều bạn quốc tế (mang tiếng học ở Pháp nhưng lớp mình chỉ có 1 ng Pháp, còn lại đều là các bạn học Double Degree từ Mỹ/ Ireland/ UK/ TBN/ Đức/ Nga chả khác gì học ở English-speaking country nhé 👏) Trong tgian này mình còn đc nhận Erasmus+ grant nên tính ra ăn ở rẻ hơn bên Bỉ khá nhiều.
Hết 3 sem ở Pháp, mình khá stress vì phải tìm internship abroad, outside Việt Nam và Bỉ. Ở Pháp thì mình ko tự tin lắm vì tiếng Pháp ko sõi nhưng nhờ network của trg, mình đã land 1 offer tại Euler Hermes (Allianz Group) tại Paris và 1 offer tại Singapore (mình tự tìm). Mình quyết định lên Paris làm internship vì lương cao hơn, lại có housing allowance từ Chính phủ nên sẽ sống thoải mái hơn. Bạn nào cần các database tìm jobs tại Pháp và Singapore 🇸🇬 có thể inb mình share nhé.
🍀 Góc qcao nhỏ cho cty cũ: Euler Hermes tại Paris là headquarter luôn nên cviec mình làm rất nhiều và đa dạng, mỗi ngày đều làm với các regional managers từ Pháp, Đức, Hà Lan, Ý, Anh, Bắc Âu, Bắc Mỹ và APAC để cùng manage các customer transformation projects. Tgian ở đây mình đã học đc rất nhiều kiến thức mà khi pvan với Citibank các Heads đều rất impressed và highly appreciated. Vì là HQ nên Euler Hermes có nhiều job offers tiếng Anh lắm nên bạn nào sau này có tìm việc ở Pháp mà t. Pháp hạn chế thì keep EH in mind nhé 😁
3️⃣ Chi phí ăn ở
🇧🇪🇧🇪🇧🇪 Leuven - Mấy bạn lưu ý dùm mình là chỉ mang tính tham khảo nha, vì mình rời Bỉ cũng 2 năm r ah
Dù học ở Brussels nhưng mình ở Leuven (cách Brussels 30' đi tàu cực nhanh) vì giá cả rẻ hơn
🏠Tiền nhà: ~250EUR (trong khi ở Brussels tầm ~350EUR trở lên)
🚉Tiền đi lại: Thẻ bus năm 50EUR (đi khắp vùng Flanders), thẻ tàu zone Leuven - Brussels tầm 20EUR/ tháng
🍱Tiền ăn: ~20-25EUR/ tuần nếu tự nấu (khuyến khích đi Colruyt và Lidl thay vì Carrefour hay Delhaize nếu muốn tk tiền nhé), 1 bữa ăn ở trg tầm 5EUR --> Tổng 1 tháng tự nấu tầm 100EUR, nếu ăn ngoài thì 200EUR nhé
📱Tiền điện thoại: 15EUR/ tháng
💳Chi phí phát sinh khác (shopping): ~100EUR
➡️ Tổng chi phí ăn ở 1 tháng: 450EUR trở lên (Mình hồi đó dùng tầm 350EUR thui vì mình toàn ở nhà tự học ít lên lớp :)))
🇫🇷🇫🇷🇫🇷 Marseille - nơi mình học
🏠Tiền nhà: 360EUR, nhà nước trợ cấp 210EUR (bạn dhs nào cũng đc, ít nhiều tùy điều kiện chỗ bạn ở, vùng bạn sống và thu nhập của bạn) còn 150EUR
🚉Tiền đi lại: 18.3EUR/ tháng (bus, tram, train, v.v)
🍱Tiền ăn (mình ở trg nhiều nên ăn trong canteen là đa số): 50EUR/ tuần
📱Tiền điện thoại: 15EUR/ tháng
💳Chi phí khác: ~100EUR
➡️Tổng chi phí ăn ở 1 tháng: 480EUR trở lên (mình có thêm Erasmus grant cover nữa nên chẳng còn bao nhiêu)
🇫🇷🇫🇷🇫🇷 Paris - thành phố hoa lệ nơi mình làm
🏠Tiền nhà: 480EUR (chính phủ trợ cấp tầm 110EUR tùy vùng như đã nói) còn 370EUR
🚉Tiền đi lại: 350EUR/ năm (tất cả 5 zones toàn Paris) - cty trả 50%, vùng mình ở trả thêm 50% --> 0 đồng :))
🍱Tiền ăn: lúc còn đi làm ở cty 20EUR/ tuần vì tiền ăn cty cũng trả :)), lúc lockdown wfh thì mình ăn 40EUR/ tuần
📱Tiền điện thoại: 15EUR/ tháng
💳Chi phí khác: 100EUR
➡️ Tổng chi phí ăn ở 1 tháng: 675EUR (Mình đi thực tập có lương 1200EUR gross nên cover hết đc khoản này và còn dư cũng kha khá)
Post của mình cover vài điểm chính mà các bạn hay hỏi như trên. Nếu bạn nào còn câu hỏi nào khác có thể cmt hoặc inb mình nhé ☺️
P/s: Nếu mng muốn học hỏi knghiem làm sao để highlight bộ hồ sơ xin học bổng (và cả job) của bản thân thì có thể hỏi chuyên gia Hoa Dinh nha 😉 C Hoa mát tay và có tâm lắm luôn í, biết gì là nhiệt tình share hết ko giấu nghề tí nào 🥰
Link gốc bài viết: https://www.facebook.com/groups/scholarshiphunter/permalink/2773883066202400/
❤ Tag và chia sẻ bài viết đến bạn bè em nhé ❤
#HannahEd #duhoc #hocbong #sanhocbong #scholarshipforVietnamesestudents
university of paris 在 Wannasingh Prasertkul (วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล) Facebook 的最讚貼文
ขีดจำกัดของโลก 9 ประการ
เรื่องโลกร้อนเป็นแค่ 1 ใน 9 เท่านั้น ! มีอีก 8 ตัว! คุณพระ!!
-----------------------
เมื่อไม่นานมานี้ได้ดูสารคดีเรื่อง Breaking Boundaries: The Science of Our Planet ใน netflix [ https://www.imdb.com/title/tt14539726/?ref_=nv_sr_srsg_0 ] น่าสนใจมาก
หนังพูดเรื่อง The 9 planetary boundaries หรือขีดจำกัดของโลก 9 อย่างที่มนุษย์กำลังสร้างผลกระทบโดยตรง และถ้าข้ามขีดอันตรายไปเมื่อไหร่ จะเกิดผลกระทบลูกโซ่ที่ทำลายระบบนิเวศของโลกอย่างหวนกลับมาไม่ได้อีกต่อไป
ซึ่งในบรรดา 9 อย่างนี้ เรารู้จักเรื่องโลกร้อนดีที่สุด แต่ที่เหลือ มีหลายอันที่มีคนพูดถึงน้อยมากๆ
ขีดจำกัดทั้ง 9 นี้ มีที่มาจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ นำโดย Johan Rockstrom [นามสกุลโคตรเท่] แห่งมหาวิทยาลัย Stockholm และวิล สเตฟเฟน (Will Steffen) จากมหาวิทยาลัย Australian National University เอางานวิจัยยาวนานกว่า 5 ทศวรรษ มาสรุปเป็นกระบวนการรักษาสมดุลของโลกให้เราเห็นชัดเจน 9 ประการ โดย Rockstrom เองเป็น presenter ของสารคดีชิ้นนี้ด้วย
นอกจากจะทำความรู้จักขีดจำกัดทั้ง 9 อย่างนี้แล้ว งานวิจัยก็ยังบอกเราด้วยว่าตอนนี้มนุษย์อยู่ในขีดอันตรายระดับไหนแล้วในแต่ละหัวข้อ
-----------------------
สถานการณ์: [Code Red] วิกฤติแล้วจ้า ฉิบหายแล้ว มี 2 ข้อ
1. Biodiversity loss [การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ] : สถานการณ์ วิกฤติ
- ว่าด้วยการสูญพันธ์ของสัตว์และพืช ใช่ 50 ปีที่ผ่านมา อัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ หลักๆมาจากการสูญเสียที่อยู่อาศัยจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เพื่อผลิตอาหาร น้ำ และทรัพยากร
- ต่อปี อัตราการสูญพันธุ์ในปัจจุบัน อยู่ที่ 1,000 ต่อ 1,000,000 ชนิด ต่อปี [0.1%] โดยอัตราการสูญพันธุ์ที่ปลอดภัย อยู่ที่ ไม่เกิด 10 ต่อ 1,000,000 ชนิดต่อปี [ 0.001%] เท่ากับเราเลย limit ที่ปลอดภัยมาแล้ว 100 เท่า!
2. Nitrogen Cycle and Phosphorus Cycle [ วงจรไนโตรเจนและฟอสฟอรัส] : สถานการณ์ วิกฤติ
- ใช้แล้วครับ ไนโตรเจนกับฟอสฟอรัส ในปุ๋ยเคมี NPK นี่แหล่ะ
- เรื่องนี้มีคนรู้น้อยมาก หลักๆคือการที่มนุษย์ผลิตอาหารมากขนาดนี้ เราต้องใช้ปุ๋ยจำนวนมหาศาล เราไปเก็บไนโตรเจนมาจากชั้นบรรยากาศ และขุดฟอสฟอรัสมาจากในดิน แล้วในกระบวนการเกษตร สารเหล่านี้โดนเก็บไว้ในพืชแค่นิดเดียว ที่เหลือไหลลงน้ำลงทะเล หรือกลายเป็นมลพิษในอากาศ
- ซึ่งผลพวงก็มีเช่น ปุ๋ยลงน้ำไปทำให้เกิด Algae Bloom [สาหร่ายเติบโต] ซึ่งพอตายทับถมกัน ก็ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลงเรื่อยๆ จนบางที่กลายเป็น "Dead Zone" หรือจุดที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอยู่ได้อีกแล้ว เพราะขาดออกซิเจน ซึ่งทั่วโลกพบอยู่หลายร้อยแห่งแล้ว ปล่อยไปเรื่อยๆจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำระบบนิเวศพังทั้งระบบ
- ตอนนี้เราใช้ไนโตรเจนกับฟอสฟอรัสเพื่อผลิตอาหาร เกิดขีดจำกัดที่นักวิทยาศาสตร์กำหนดไว้ ประมาณ 2 เท่าในทุกๆปี
-----------------------
สถานการณ์: [Code Yellow] ต้องเฝ้าระวัง หากไม่เปลี่ยนแปลง วิกฤติแน่
3. Deforestation Land use Changes การตัดไม้ทำลายป่า และการเปลี่ยนแปลงผืนโลก : สถานการณ์ เฝ้าระวัง
- คือการเปลี่ยนป่าเป็นพื้นที่การเกษตรหรือเลี้ยงสัตว์[การผลิตเนื้อ ใช้ที่ดินเยอะมาก] ซึ่งนำไปสู่ทั้งความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ [ข้อ 1. ] และเป็นการปล่อยคาร์บอนที่ถูกกักเก็บไว้ในต้นไม้กลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งก็ไปสร้างปัญหาภาวะโลกร้อนต่อ รวมถึงการเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นกรดอีกด้วย
- ป่าคือ Carbon Sink หรือตัวดูดซับคาร์บอนที่ดีที่สุดที่เรามีอยู่ในธรรมชาติ การสูญเสียป่า คือการสูญเสียระบบจัดการคาร์บอนของดาวโลก
- การสูญเสียพื้นที่ป่าในประเทศหนึ่ง อาจสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศในระดับโลก (เช่นป่า Amazon เป็นต้น)
4. Climate Change ภาวะโลกร้อน : สถานการณ์ เฝ้าระวัง
- ตัวโหดที่ทุกคนรู้จักดี ตอนนี้เราผ่านจุดที่คาร์บอนในชั้นบรรยากาศ อยู่ที่ 418 ppm [Parts per million] ซึ่งอาจจะนำไปสู่โลกที่อุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 2 องศา ซึ่งเป็นสิ่งที่ Paris Agreement ในปี 2015 ตั้งใจจะทำให้ได้ แต่อย่างไรระดับคาร์บอนได้ออกไซด์ก็ไม่มีทีท่าจะลดลงมาสักกะที ถ้าหากว่าเกิน 500 ppm ขึ้นไป และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราอาจจะจบที่ร้อนชึ้น 4-8 องศา ซึ่งนั่นคือ Game Over แน่นอน
- ตอนนี้น้ำแข็งทะเลในขั้วโลกเหนือลดลงจนไม่น่าจะหวนกลับมาได้แล้ว ทำให้เรายิ่งไม่มีพื้นที่สีขาวมาสะท้อนแสงอาทิตย์กลับไป
- น้ำแข็งในกรีนแลนด์ละลายเร็วขึ้นกว่าที่คาดการเอาไว้ 3-4 เท่า ถ้ากรีนแลนด์ละลายหมด น้ำทะเลจะสูงขึ้น 7 เมตร
- ตอนนี้ขั้วโลกได้ที่เชื่อว่าละลายได้ยากมาตลอด เริ่มมีอาการแปรปรวนให้เห็น ถ้าละลายหมด น้ำจะสูงขึ้นหลายสิบเมตร
- จุดที่เราจะย้อนกลับไม่ได้ ใกล้เข้ามาทุกที
-----------------------
สถานการณ์: [Code Green] ยังปลอดภัยอยู่ ต้องรักษาระดับเอาไว้
5. Freshwater Use การใช้น้ำจืด : สถานการณ์ ยังปลอดภัย
- เป็นตัวแปรที่ link กับเรื่อง climate change + ระบบการจัดการน้ำของมนุษย์ ซึ่งได้เปลี่ยนวงจรที่น้ำจืดแปรสภาพและไหลเวียนตามธรรมชาติไปโดยสิ้นเชิง การชลประทานนำไปสู่การเปลี่ยนในการไหลของแม่น้ำ การถางป่านำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของวงจรไอน้ำ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและส่วนใหญ่เปลี่ยนแล้วแก้คืนไม่ได้
- ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่วิกฤติ แต่ก็ต้องระวังดีๆ หากเราเปลี่ยนวงจรน้ำจืดไปเรื่อยๆอย่างไม่คิดถึงผลกระทบที่ตามมา อาจจะส่งผลลูกโซ่ต่อเนื่อง สร้างความเสียหายในแบบที่เรายังคาดไม่ถึงได้
6. Ocean Acidification การเป็นกรดของมหาสมุทร : สถานการณ์ ยังปลอดภัย
- ประมาณ 25-30% ของคาร์บอนที่เราปล่อยออกมา ถูกดูดซับโดยน้ำในมหาสมุทร ซึ่งผลพวงของมันก็คือทำให้น้ำทะเลมีความเป็นกรดมากขึ้น ซึ่งก็ไปทำให้ในน้ำมี แคลเซียมคาร์บอเนต ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สิ่งมีชีวิตในทะเล ทั้งปะการัง ทั้งกุ้ง หอย ปู แพลงตอนบางประเภท หรืออะไรก็ตามที่มีเปลือก ใช้ในการสร้างเปลือกป้องกันตนเอง
- พอสัตว์เหล่านี้โตไม่ได้ ก็กระทบบ่วงโซ่อาหาร ในทะเลก็มีปลาน้อยลงเรื่อยๆ
- ตอนนี้น้ำทะเลของเรา มีความเป็นกรดมากขึ้น 30% เมื่อเทียบกับตอนก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม
- อันนี้ link กับเรื่อง Climate change ในเชิงมีสาเหตุร่วมกัน แต่ถือเป็นคนละมาตรวัดกัน
- ถึงยังปลอดภัยอยู่ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนเรื่องปล่อยคาร์บอนกัน มันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆต่อไป
7. Stratospheric ozone depletion การสลายตัวของชั้นโอโซน : สถานการณ์ ยังปลอดภัย
- อย่างที่รู้กัน โอโซนช่วยกัน UV [ultraviolet] ไม่ให้เข้าสู่บรรยากาศโลก ถ้าไม่มีโอโซนเราก็จะเป็นมะเร็งผิวหนังกันหมด และระบบนิเวศโลกก็จะพัง
- อันนี้เป็นข้อเดียวที่สถานการณ์ดีขึ้นมาก นับตั้งแต่มีการค้นพบปัญหารูโอโซนบริเวณขั้วโลก และมีการระบุชัดเจนว่าสารเคมีชนิดไหนที่เป็นต้นเหตุ นานาชาติก็มีการตกลงแบนสารเหล่านั้นร่วมกันผ่าน Montreal Protocol จนได้ผลนำสถานการณ์อันตรายมาสู่ระดับที่ปลอดภัยได้
- เป็นความหวังของหมู่บ้าน ว่ามนุษย์สามารถรวมตัวกันแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ
-----------------------
สถานการณ์: [Unknown] รู้ว่าเป็นปัญหา แต่ยังไม่สามารถกำหนดขอบเขตที่เกินขีดอันตรายไปได้
- 2 ข้อนี้ คือตัวแปรที่นักวิทยาศาสตร์เห็นตรงกันว่าจะมีผลกระทบกับระบบนิเวศของโลกอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ว่ายังหาคำตอบไม่ได้ว่าขีดอันตรายอยู่ที่จุดไหน
8. Particle Pollution [Atmospheric aerosol loading] สารแขวนลอยในชั้นบรรยากาศ : สถานการณ์ (ไม่รู้)
- ง่ายๆก็คือพวก pm10/ pm2.5 นั่นแหล่ะครับ + สารเคมีต่างๆที่มนุษย์ปล่อยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะมีผลกับสุขภาพของมนุษย์แล้ว คือมีผลกับอุณหภูมิของโลกด้วย
- ในขณะที่ก๊าซเรือนกระจก ทำให้โลกร้อนขึ้น สารแขวนลอยและมลพิษในอากาศ มีผลกระทบในการสะท้อนแสงอาทิตย์ออกนอกชั้นบรรยากาศ พูดง่ายๆยิ่งอากาศขุ่นมัวมาก อุณหภูมิก็ยิ่งลดลง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะต้องแลกมากับคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่มากๆ เป็นผลกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
- นอกจากนั้น สารแขวนลอยเหล่านี้ยังสามารถจับตัวกับไอน้ำ มีผลกับการจับตัวของก้อนเมฆและการเปลี่ยนแปลงของอากาศอีกด้วย
- ซึ่งผลกระทบตรงนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเพิ่มเติม ทำให้ยังไม่สามารถทราบผลกระทบทั้งหมดได้
9. Chemical Pollution การปนเปื้อนของสารสังเคราะห์ : สถานการณ์ (ไม่รู้)
- มนุษย์เราสร้างสารสังเคราะห์ชนิดใหม่ขึ้นมากว่า 100,000 ชนิด ซึ่งมีทั้งโลหะหนักต่างๆ สารกัมมันตภาพรังสี ไมโครพลาสติก ฯลฯ ซึ่งผ่านอุตสาหกรรมและกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ สารเหล่านี้ก็ถูกปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ โดยที่เรายังไม่เข้าใจผลกระทบที่พวกมันมีต่อสัตว์ พืช และระบบนิเวศเลย รวมไปถึงผลกระทบที่มันมีต่อคนด้วย [ยกตัวอย่าง จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ ว่าการกินไมโครพลาสติกเข้าไป มีผลอะไรกับร่างกายคนบ้าง]
- ทำให้การกำหนดขอบเขตในเรื่องนี้ เป็นไปได้ยากมาก แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เห็นพ้องกันว่า เป็นตัวแปรที่มีผลต่อระบบนิเวศของโลกแน่นอน
-----------------------
นอกจาก 9 ข้อนี้ ขอฝากคำศัพท์ไว้อีกคำ คือคำว่า [Antropocene]=แอนโทรโพซีน คือชื่ออย่างไม่เป็นทางการของโลกยุคปัจจุบัน โดยยุคก่อนหน้านี้คือยุค Holocene [โฮโลซีน] ที่เริ่มต้นประมาณ 11,700 ปีที่แล้ว หลังยุคน้ำแข็งรอบสุดท้ายจบลง เป็นยุคที่อุณหภูมิของโลกเริ่มคงที่ ทำให้สภาวะที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสังคมมนุษย์เกิดขึ้นได้ เป็นสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
แต่มาตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์บอกว่ายุค Antropocene ได้มาถึงแล้ว มาจากคำว่า Anthropo ที่แปลว่า "คน" ในภาษากรีก ซึ่งอธิบายง่ายๆก็คือ นี่คือยุคที่มนุษย์กลายเป็นตัวแปรหลักในการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศและระบบนิเวศของโลก จากที่ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีสปีชีส์ไหนทำแบบนี้ได้มาก่อน สัตว์ทุกชนิดต้องยอมรับสภาวะที่โลกหยิบยื่นให้ มีเราเป็นสปีชีส์แรกที่สามารถเปลี่ยนระบบของโลกได้ด้วยการกระทำของเรา
ขึ้นอยู่กับว่าจะเปลี่ยนไปทางไหนเท่านั้นเอง
Ref
http://www.salforest.com/blog/planetary-boundary
https://en.wikipedia.org/wiki/Planetary_boundaries#/media/File:Planetary_Boundaries.png
https://www.stockholmresilience.org/research/planetary-boundaries/the-nine-planetary-boundaries.html
https://www.nationalgeographic.org/encyclopedia/anthropocene/
https://www.imdb.com/title/tt14539726/
university of paris 在 Ghost Island Media 鬼島之音 Youtube 的最佳貼文
Taiwan’s next referendum will soon vote on activating the nation’s fourth nuclear plant, as well as constructing a natural gas plant on an algal reef that's critical for Taiwan’s biodiversity. These decisions come as governments around the world are scrambling to meet the demands of the Paris Agreement, and as environmental activists fight for a more sustainable planet.
Green Parties propose an alternative voice in politics to tackle our environmental ruin. All over the world, there are 91 Green Parties that believe in committing our governments to environmental stewardship, through electing green movement leaders into office. In Asia, Taiwan is home to the region’s oldest Green Party, which won a National Assembly seat in 1996 - their very first election campaign.
Our guest today is Professor Dafydd Fell, a political scientist at SOAS University of London, and Director of the Centre of Taiwan Studies. Dafydd Fell is author of the new book: “Taiwan’s Green Parties: Alternative Politics in Taiwan”, published in March 2021 by Routledge.
Today’s episode is hosted by Nate Maynard - Senior Consultant at Reset Carbon, and host of Waste Not Why Not. You can check out his show for more insights on the world’s ocean, energy, and waste issues.
Waste Not Why Not Podcast: https://ghostisland.media/#wnwn
“Taiwan’s Green Parties: Alternative Politics in Taiwan”: https://www.amazon.com/Taiwans-Green-Parties-Alternative-Routledge/dp/0367650312
Routledge: https://www.routledge.com/Taiwans-Green-Parties-Alternative-Politics-in-Taiwan/Fell/p/book/9780367650315
Support us on Patreon:
http://patreon.com/taiwan
Follow us on Twitter:
https://twitter.com/taiwan
A Ghost Island Media production
https://twitter.com/ghostislandme
www.ghostisland.media
MB01WN2YRLRZWYO
university of paris 在 Ghost Island Media 鬼島之音 Youtube 的最佳解答
Today’s show is done in collaboration with The Taiwan Take. Subscribe to that show for more Taiwanese perspectives on global issues.
Taiwan’s next referendum will soon vote on activating the nation’s fourth nuclear plant, as well as constructing a natural gas plant on an algal reef that's critical for Taiwan’s biodiversity. These decisions come as governments around the world are scrambling to meet the demands of the Paris Agreement, and as environmental activists fight for a more sustainable planet.
Green Parties propose an alternative voice in politics to tackle our environmental ruin. All over the world, there are 91 Green Parties that believe in committing our governments to environmental stewardship, through electing green movement leaders into office. In Asia, Taiwan is home to the region’s oldest Green Party, which won a National Assembly seat in 1996 - their very first election campaign.
Our guest today is Professor Dafydd Fell, a political scientist at SOAS University of London, and Director of the Centre of Taiwan Studies. Dafydd Fell is author of the new book: “Taiwan’s Green Parties: Alternative Politics in Taiwan”, published in March 2021 by Routledge.
Taiwan’s Green Parties: Alternative Politics in Taiwan:https://www.amazon.com/Taiwans-Green-Parties-Alternative-Routledge/dp/0367650312
Routledge: https://www.routledge.com/Taiwans-Green-Parties-Alternative-Politics-in-Taiwan/Fell/p/book/9780367650315
Subscribe to The Taiwan Take for more Taiwanese perspectives on global issues:
http://www.ghostisland.media/#ttt
Support “Waste Not Why Not” on Patreon. Follow us on Twitter @wastenotpod. Send questions to ask@wastenotwhynot.com. Subscribe to “Waste Not a Newsletter" on Substack.
Support us on Patreon:
http://patreon.com/wastenotwhynot
Subscribe to our newsletter:
https://wastenotwhynot.substack.com/
Follow us on Twitter:
https://twitter.com/wastenotpod
Send your questions to:
ask@wastenotwhynot.com
SHOW CREDIT
Emily Y. Wu (Executive Producer)
https://twitter.com/emilyywu
Nate Maynard (Producer / Host)
https://twitter.com/N8MAY
Yu-Chen Lai (Producer / Editing)
https://twitter.com/aGuavaEmoji
Ghost Island Media (Production Company)
https://twitter.com/ghostislandme
www.ghostisland.media
MB01LZL94UQ1ZX6
university of paris 在 Ignatius My Youtube 的最佳貼文
Music by Ikson - New day
Nov 7-13 2018 Autumn Trip.
It was a great experience wandering around from the city of jeju to seoul during this beautiful autumn season!
Itinerary for this trip:
Day 1
- Air asia KUL-ICN
- Took pocket wifi (Play wifi) at Terminal 1 incheon airport
- Incheon airport to Gimpo airport
- Jeju air GMP-CJU
- Check in On the Stone Guest House, Seogwipo Jeju
- GS 25 convenient store for late dinner
Day 2
- Breakfast at paris baguette cafe
- Seongsan Ilchulbang (Hiking to sunrise peak)
- Check out on the stone guest house
- Store luggages at Jeju airport
- Took Jeju tour bus
- Dongmun traditional market (tangerine season)
- Check in Maro Hostel, jeju city
- Dinner at bada janchi restaurant
Day 3
- Check out Maro hostel
- GS25 convenient store airport for breakfast
- Easter jet CJU-GMP
- Check in Bong backpackers hostel, jongro seoul
- Kwangjang market (local foods)
- Cheongyechon stream (seoul lantern festival)
- Dongdaemun gate
Day 4
- Breakfast at hostel
- Nami island (whole day)
- Lunch at asian family restaurant, nami island
- Rent bicycle at nami island
- Gapyeong top land bungee jump (didn’t join, not an adrenaline rush person?)
- Myeongdong shopping street by evening (skincare & street foods)
Day 5
- Breakfast at hostel
- Bukchon hanok village
- Gyeongbokgung palace
- Gwanghamun square
- Lunch at itaewon (makan halal korean restaurant)
- Doota duty free dongdaemun (souvenirs)
- Myeongdong shopping street
- Dinner at yoogane chicken dakgalbi restaurant
Day 6
- Breakfast at hostel
- Namsan tower (using cable car return ticket)
- Seoul skygarden park
- Starfield coexmall & library
- Ewha women’s university
- Ewha shopping district (skincare, souvenirs)
- Paik’s coffee cafe
- Dinner at MCD
Day 7
- Breakfast at hostel
- Check out Bongz backpackers hostel
- Air asia ICN-KUL
*Transportation at Jeju mostly using public bus and taxi due to problem with our car rental while in Seoul was all public transport like bus and train, which is way efficient and no regret! '
*Using T-money travel card, filled up a survey on KTO MY website before our trip and managed to get the card for free. Just need to top up once in korea.
*Navigation app that we used in seoul was Naver mapp app which is more accurate and convenient.
*All accommodations were backpackers style but still clean and affordable. Stayed in mixed room at bong hostel in seoul while only male room at on the stone guest house and maro hostel, jeju.
university of paris 在 The American University of Paris - Home | Facebook 的推薦與評價
The American University of Paris is a private, independent, and accredited liberal arts university... 5 boulevard de La Tour-Maubourg, 75007 Paris, France. ... <看更多>