1 ปีกับปารีส
“If you are lucky enough
to have lived in Paris as a young man,
then wherever you go
for the rest of your life it stays with you,
for Paris is a moveable feast.”
— Ernest Hemingway.
หากคุณโชคดีพอที่จะได้เดินทางไปยังปารีส
ในวัยหนุ่มสาว รสชาติความศิวิไลของเมืองที่ล้นไปด้วยเสน่ห์นี้
จะตราตรึงอยู่ในหัวใจของคุณไปชั่วชีวิต
ดั่งเช่นงานเลี้ยงที่ไม่มีวันเลิกรา
นั่นคือคำพูดของนักประพันธ์คนโปรดของเรา
ทุกอย่างจริงดั่งที่เฮมมิ่งเวย์ว่าไว้ ไม่ผิดเลย
เราไม่แปลกใจหากปารีสจะเป็นเมืองในฝันของเราทุกคน จริงๆ เราตกหลุมรักที่นี่ตั้งแต่ได้เห็นภาพถ่าย
ตกหลุมรักผ่านฝีแปรงของ Van Gogh
ตกหลุมรักผ่านหนังเรื่อง Midnight in Paris
ตกหลุมรักทั้งๆ ที่ไม่เคยมาเยือน
และการมาครั้งนี้ แม้เราจะได้ใช้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ
ได้มาเติมพลังงานให้ตัวเองเล็กๆ น้อยๆ
ก่อนที่จะเริ่มเปิดในเทอมของคอร์สสั้นๆ
ที่เราตัดสินใจลงเรียนไป
การเดินเรื่อยๆ เปื่อยๆ เดินไปดูประตูบ้านสีน้ำเงินของ Van Gogh
ที่ทำได้เพียงมองจากข้างนอก
ได้ไป Louvre พิพิธภัณฑ์ที่เด็กเรียนศิลปะคนไหนต่างก็ใฝ่ฝันว่าต้องมาสักครั้ง
ทุกก้าวเหมือนเดินไปบนทุ่งดอกไม้ ดวงตาเราแวววาวเป็นประกายตลอดทางเดินของห้องโถง ภาพของศิลปินต่างๆ ที่เรารู้จักและไม่รู้จัก ถูกติดวางเรียงกันบนผนังสีสวย ที่จัดหมวดหมู่ไปตามยุคสมัย
แค่ได้เดินเพียงสองชั่วโมงนิดๆแต่การได้มาเห็นผลงานศิลปะชั้นครูที่เราเคยได้แต่มองผ่านหนังสือ ได้มาพบกับผู้หญิงชื่อดังของโลกอย่างโมนาลิซา กับตาตัวเอง มันสุดจะคุ้มค่า ถึงจะเจือปนไปด้วยผู้คนและไม้เซลฟี่ก็ตาม
การเดินทางครั้งนี้ไม่มีแพลน หลายภาพที่เราไม่ได้ยกกล้องขึ้นมาถ่าย
แต่ปารีสก็ยังเป็นปารีส เหมือนหญิงสาวที่สวยและมีเสน่ห์
แม้เราจะไม่ได้ตั้งใจมองก็ตาม
Avec Amour,
De Mars
Paris, France 2018
#ABOVETHEMARS
hemingway midnight in paris 在 ABOVE THE MARS Facebook 的最佳貼文
“If you are lucky enough
to have lived in Paris as a young man,
then wherever you go
for the rest of your life it stays with you,
for Paris is a moveable feast.”
— Ernest Hemingway.
หากคุณโชคดีพอที่จะได้เดินทางไปยังปารีส
ในวัยหนุ่มสาว รสชาติความศิวิไลของเมืองที่ล้นไปด้วยเสน่ห์นี้
จะตราตรึงอยู่ในหัวใจของคุณไปชั่วชีวิต
ดั่งเช่นงานเลี้ยงที่ไม่มีวันเลิกรา
นั่นคือคำพูดของนักประพันธ์คนโปรดของเรา
ทุกอย่างจริงดั่งที่เฮมมิ่งเวย์ว่าไว้ ไม่ผิดเลย
เราไม่แปลกใจหากปารีสจะเป็นเมืองในฝันของเราทุกคน จริงๆ เราตกหลุมรักที่นี่ตั้งแต่ได้เห็นภาพถ่าย
ตกหลุมรักผ่านฝีแปรงของ Van Gogh
ตกหลุมรักผ่านหนังเรื่อง Midnight in Paris
ตกหลุมรักทั้งๆ ที่ไม่เคยมาเยือน
และการมาครั้งนี้ แม้เราจะได้ใช้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ
ได้มาเติมพลังงานให้ตัวเองเล็กๆ น้อยๆ
ก่อนที่จะเริ่มเปิดในเทอมของคอร์สสั้นๆ
ที่เราตัดสินใจลงเรียนไป
การเดินเรื่อยๆ เปื่อยๆ เดินไปดูประตูบ้านสีน้ำเงินของ Van Gogh
ที่ทำได้เพียงมองจากข้างนอก
ได้ไป Louvre พิพิธภัณฑ์ที่เด็กเรียนศิลปะคนไหนต่างก็ใฝ่ฝันว่าต้องมาสักครั้ง
ทุกก้าวเหมือนเดินไปบนทุ่งดอกไม้ ดวงตาเราแวววาวเป็นประกายตลอดทางเดินของห้องโถง ภาพของศิลปินต่างๆ ที่เรารู้จักและไม่รู้จัก ถูกติดวางเรียงกันบนผนังสีสวย ที่จัดหมวดหมู่ไปตามยุคสมัย
แค่ได้เดินเพียงสองชั่วโมงนิดๆแต่การได้มาเห็นผลงานศิลปะชั้นครูที่เราเคยได้แต่มองผ่านหนังสือ ได้มาพบกับผู้หญิงชื่อดังของโลกอย่างโมนาลิซา กับตาตัวเอง มันสุดจะคุ้มค่า ถึงจะเจือปนไปด้วยผู้คนและไม้เซลฟี่ก็ตาม
การเดินทางครั้งนี้ไม่มีแพลน หลายภาพที่เราไม่ได้ยกกล้องขึ้นมาถ่าย
แต่ปารีสก็ยังเป็นปารีส เหมือนหญิงสาวที่สวยและมีเสน่ห์
แม้เราจะไม่ได้ตั้งใจมองก็ตาม
Avec Amour,
De Mars
Paris, France 2018
#ABOVETHEMARS
hemingway midnight in paris 在 冯以量 Facebook 的最佳解答
《什么年代才是你的黄金年代?》
Midnight in Paris 是一部 Woody Allen 在 2011年执导的一部电影。(接下来都是剧透。如果你想看这部电影的话,就请你在此打住。)
故事很有趣:活在 2010年住在美国身为作家的男主角和女朋友及女友父母一同去巴黎旅游。他向往着 1920年代的巴黎。那个年代有着非常多迷人的艺术家、作家、画家,如:Salvador Dali、Ernest Hemingway、Pablo Picasso 等等等。
一个阴阳差错的凌晨12am,他坐上了一辆1920年代的车辆,穿越了时空,走入了 1920年代。认识了一个又一个他非常欣赏的作家。能和 Ernest Hemingway交谈,他目瞪口呆地看着海明威。
自此之后,他每晚凌晨12am 都等着车辆的到来,展开他在巴黎深夜的“黄金时光”,这是他最向往的“golden age”(黄金时代)。
他也在这些深夜里认识了一个活在 1920年代的女子。他们彼此吸引、对彼此都有好感。他们拥有共同的想法:「他们俩人都对过去那个不曾去过的年代非常向往。他们都觉得自己活在一个很快速的世界、文化很肤浅、无法让自己融入的一个年代。」
有一个晚上,1890年代的马车来到他们的前面,又穿越了时空,去到更早的1890年代。走入了另一个“黄金时代”,认识了Picasso 的偶像Henri Lautrec、还有Paul Gauguin。高更还说:“最好的年代是在文艺复兴的年代。”
那就是更早的年代,十四世纪开始到十七世紀。那个时候有 Da Vinci、Michaelangelo 等更令人著迷的時代人物。
活在 1920年代的那位女子告訴男主角說:「我不要回到未來。這裏才是我的黃金時代。」
男主角告訴她:「可是你說的未來就是我最嚮往的年代啊。」
說到這裡的時候,男主角突然有所領悟:「這不是我的現在。」
他其實是在逃避著他的「現在」,就像女子逃避著她的「現在」一樣。逃避他活著需要面對的政治、人們的浮誇、女友父母給予的壓力等等等。而人類逃避「現在」的最方便方式,就是把一個自己嚮往的年代當成是「黃金時代」,緬懷過去的經典,把自己放在那個年代,假設自己要是活在那個年代,自己就會融入那個年代了。
男主角突然發現,沒有一個「現在」是完美的。每一個年代,都會有它的不完美。每一個年代都有它需要面對的挑戰。太多的緬懷,確實讓人沒有「活在現在」的現實感。
戲中,在1920年代著名的藝術生意人 Gertrude Stein對男主角說的一句話,我特別喜歡。她說:「我们都惧怕死亡,并质疑在宇宙中我们身处何方。艺术家的使命,不是向绝望屈服,而是找到一方解药来对抗存在的虚无。你有着清晰而生动的思绪,别表现得像个彻底的失败主义者。」
這部電影,我很愛。三年內,看了三次。如此的懷舊過去、卻又要我們面對現實。
男主角好像有所得著後,不再期待深夜12am的到來、也不再期待車輛的接送。繼續走在巴黎的街道上。
以量
20/11/2017
#我们现在活着的年代即便有多不好
#在未来的年代还是会有人去缅怀的