มหาอำนาจโลก เปลี่ยนจากยุโรป สู่สหรัฐฯ และกำลังจะไป จีน /โดย ลงทุนแมน
ถ้าเราย้อนเวลากลับไปเมื่อ 500 ปีที่แล้ว
เราจะยืนอยู่ท่ามกลางยุคล่าอาณานิคม
ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธว่า มหาอำนาจของโลกในตอนนั้น คือประเทศจากทวีปยุโรป
แต่ 400 ปี ต่อมา หลังเกิดสงครามโลกขึ้นสองหน
ก็เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก จากยุโรป ไปยังสหรัฐอเมริกา เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ในอนาคตอันใกล้ เรากำลังเห็นแล้วว่า
ขั้วมหาอำนาจของโลก อาจกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
มายัง “จีน” ประเทศยักษ์ใหญ่แห่งซีกโลกตะวันออก
เรื่องราวการผลัดเปลี่ยนกันเป็นมหาอำนาจของโลกที่ผ่านมา และอนาคตจะเป็นอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ยุคล่าอาณานิคมที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16
เกิดขึ้นจากแนวความคิดและอุดมการณ์ของประเทศในยุโรป
ที่ต้องการออกเดินเพื่อยึดครองทรัพยากรในดินแดนอื่นๆ มาเป็นของตนเอง
โดยประเทศที่เริ่มต้นแนวคิด คือ โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ ตามมาด้วย อังกฤษ และฝรั่งเศส
ประเทศเหล่านี้ เริ่มออกเดินทางด้วยเรือ
ข้ามมหาสมุทรอันกว้างไกล เพื่อค้นพบทวีปใหม่ๆ แล้วเข้ายึดครองเป็นอาณานิคมของตนเอง
หนึ่งในดินแดนที่ถูกล่าอาณานิคมจากเหล่าประเทศจากยุโรป คือดินแดนที่ถูกเรียกว่า “สหรัฐอเมริกา”
การเข้ามาตั้งอาณานิคมภายในดินแดนอเมริกาของประเทศจากยุโรป ได้นำมาซึ่งองค์ความรู้ต่างๆ ทั้งด้านการทำเกษตรกรรม ระบบการศึกษาที่นำโดยมิชชันนารีจากยุโรป
สิ่งเหล่านั้นทำให้ชนพื้นเมืองบนแผ่นดินอเมริกา ได้รับองค์ความรู้ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบคนยุโรป และกลายเป็นรากฐานสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา
ช่วงเวลานั้น ยุโรปยังเป็นมหาอำนาจของโลกทั้งทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจ ในขณะที่สหรัฐอเมริกาก็กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ที่เริ่มมีการเปลี่ยนโครงสร้างการเติบโตจากภาคเกษตรกรรม มาสู่ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมตามประเทศในทวีปยุโรป ที่นำโดย อังกฤษ
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
มีการคิดค้นวิธีผลิตสินค้าครั้งละมากๆ (Mass production) ซึ่งทำให้เกิดการ “ประหยัดต่อขนาด” คือยิ่งผลิตมากต้นทุนยิ่งลดลง โดยเริ่มขยายจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ
ผลผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายธุรกิจมีกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตามมาด้วยการจ้างงานและการลงทุนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ยังได้รับอานิสงส์มาจากสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20
เนื่องจากสงครามโลก ทำให้หลายประเทศในยุโรป รวมถึงเอเชีย สูญเสียทรัพยากรทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ซึ่งตามมาด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจ
เมื่อเทียบกันแล้ว สหรัฐอเมริกา ถือว่ารับความบอบช้ำจากสงครามน้อยกว่าประเทศในยุโรปและเอเชียมาก ทำให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
และเมื่อรวมกับการที่สหรัฐอเมริกาสะสมความมั่งคั่งจากการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศมาก่อนหน้านี้ ทำให้สุดท้ายสหรัฐอเมริกาสามารถก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 แทนที่อังกฤษที่ครองตำแหน่งอยู่ก่อนหน้านั้นได้แบบเต็มตัว
รู้ไหมว่า ในปี 1820 เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนเพียง 2% ของเศรษฐกิจโลก
แต่ในปี 2020 สัดส่วนดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็น 24%
ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน
ตลอดเวลามากกว่าครึ่งศตวรรษ ที่สหรัฐอเมริกาครองบัลลังก์มหาอำนาจของโลก
มาวันนี้ ดูเหมือนว่าขั้วอำนาจทางด้านเศรษฐกิจที่สหรัฐอเมริกาถือครอง กำลังถูกทำให้สั่นคลอน และถูกท้าทายด้วย “ดาวรุ่งพุ่งแรง”
ซึ่งดาวรุ่งที่ว่า ก็คือ “ประเทศจีน”
จุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจจีนเกิดขึ้นในปี 1978 ภายใต้การนำของอดีตผู้นำประเทศที่ชื่อว่า “เติ้ง เสี่ยวผิง”
ในตอนนั้น จีน เริ่มมีการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และเปิดประเทศเพื่อรับการลงทุนจากต่างระเทศ โดยมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสำหรับการลงทุนของต่างชาติที่ เชินเจิ้น, จูไห่, เซี่ยเหมิน และซัวเถา
การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนในครั้งนั้น ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากหน้ามือเป็นหลังมือ
โดยก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงระหว่างปี 1950-1973 GDP ของจีนเติบโตเฉลี่ยปีละ 2.9%
แต่หลังการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงระหว่างปี 1978-2013 GDP ของจีนเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ 9.5%
จีน เร่งการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี โดยการดูแบบอย่างประเทศอื่นๆ ที่มีการพัฒนามาก่อนแล้วอย่างยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ญี่ปุ่น
เศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ชนชั้นกลางของจีน จำนวนมากสามารถยกระดับความเป็นอยู่ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนอีกหลายร้อยล้านคนได้หลุดพ้นจากความยากจน ทำให้ความต้องการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ในปี 1960 เศรษฐกิจของจีนมีสัดส่วนเพียง 4% ของเศรษฐกิจโลก
แต่ในปี 2020 สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 17%
ทำให้จีนกลายมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ในโลก แซงหน้าญี่ปุ่นไปตั้งแต่ปี 2010 และไล่ตามสหรัฐอเมริกา เบอร์หนึ่งของโลกด้านเศรษฐกิจได้มากขึ้นทุกที
ปัจจุบัน มูลค่า GDP ของจีนอยู่ที่ประมาณ 447 ล้านล้านบาท
ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 624 ล้านล้านบาท
ซึ่งถ้าเราให้เศรษฐกิจจีนเติบโตปีละ 5.5% และสหรัฐอเมริกาเติบโตปีละ 2%
ในปี 2030 เศรษฐกิจจีนจะมีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
และจะขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
นอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว อีกเรื่องที่น่าจับตาคือ
จีน ยังกำลังก้าวขึ้นมาท้าทายสหรัฐอเมริกาในเรื่องเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน
สหรัฐอเมริกามี Amazon บริษัทเทคโนโลยีและเจ้าของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ชื่อดังระดับโลก
ปี 2019 Amazon มีรายได้ 8.4 ล้านล้านบาท กำไร 348,000 ล้านบาท
จีนก็มี Alibaba Group บริษัทเทคโนโลยีและเจ้าของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ชื่อดังระดับโลกเช่นกัน
ปี 2019 Alibaba Group มีรายได้ 2.2 ล้านล้านบาท กำไร 594,000 ล้านบาท
สหรัฐอเมริกามี ซิลิคอนแวลลีย์ ศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีสุดล้ำ และนวัตกรรมของโลก ทั้งยังเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเช่น Apple, Microsoft, Google
จีนก็มี เชินเจิ้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับอีกแห่งโลก ถึงขนาดมีชื่อว่า ซิลิคอนแวลลีย์ของจีน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีที่ระดับโลกเช่น Huawei, Tencent, Baidu
ดูเหมือนว่าวันนี้หลายอย่างที่สหรัฐอเมริกาทำได้ จีนก็ทำได้
จากที่เมื่อก่อนที่เราเคยตั้งคำถามกันว่า
จีน จะสามารถแซง สหรัฐอเมริกา ขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจของโลกได้หรือไม่
ในวันนี้ เราอาจต้องเปลี่ยนคำถามใหม่
เป็นถามว่า จีน จะขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก ในอีกกี่ปีข้างหน้า? ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_GDP_(nominal)
-https://en.wikipedia.org/wiki/Colonialism
-https://en.wikipedia.org/wiki/Chinese_economic_reform
-http://www.tcdc.or.th/articles/business-industrial/20275/#Mass-Production
-https://knoema.com/mhrzolg/historical-gdp-by-country-statistics-from-the-world-bank-1960-2018?country=China
-https://www.macrotrends.net/countries/WLD/world/gdp-gross-domestic-product
-https://www.bbc.com/news/business-12427321#:~:text=China%20has%20overtaken%20Japan%20as,trillion%20in%20the%20same%20period.
-https://www.imf.org/external/datamapper/NGDP_RPCH@WEO/OEMDC/ADVEC/WEOWORLD/USA/CHN
-https://www.vox.com/2015/5/20/8615345/america-global-power-maps
-https://en.wikipedia.org/wiki/Amazon_(company)
-https://en.wikipedia.org/wiki/Alibaba_Group
「maps baidu」的推薦目錄:
- 關於maps baidu 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於maps baidu 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最讚貼文
- 關於maps baidu 在 อ้ายจง Facebook 的最佳解答
- 關於maps baidu 在 Baidu Maps for Angular. - GitHub 的評價
- 關於maps baidu 在 Baidu Maps Lane Level Navigation | Accuracy to Within Less ... 的評價
- 關於maps baidu 在 no static method "Lvi/com/gdi/bgl/android/java/EnvDrawText 的評價
- 關於maps baidu 在 Powered by HERE Venue Maps, Baidu will... - Facebook 的評價
- 關於maps baidu 在 Vue Baidu Map 的評價
- 關於maps baidu 在 Distance and Travel Time Between Two Points from Baidu Maps 的評價
maps baidu 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最讚貼文
ปักกิ่งมีแล้ว! “Apollo Go” แท็กซี่ไร้คนขับ วิ่งรับส่งคนด้วยตัวเอง ครอบคลุมเส้นทาง 700 กม. ทั่วกรุงปักกิ่ง
.
เมื่อไม่นานมานี้ Baidu ยักษ์ใหญ่ของวงการอินเทอร์เน็ตจากจีน ได้พัฒนานวัตกรรมล้ำสมัย เปิดตัวรถแท็กซี่อัจฉริยะไร้คนขับ “Apollo Go” ณ กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีนขับเคลื่อนด้วยตัวเองอัตโนมัติ แต่จะมีคนขับนั่งเฝ้าระวังอยู่หลังพวงมาลัย เนื่องจากยังติดข้อบังคับทางกฎหมาย
.
โดยเริ่มทดลองให้บริการ จำนวนทั้งสิ้น 40 คัน มีสถานีที่เป็นจุดรับ-ส่งผู้โดยสารกว่า 100 สถานี ครอบคลุมเส้นทางทั่วกรุงปักกิ่ง 700 กิโลเมตร เน้นย่านชุมชนและธุรกิจขนาดใหญ่ในเขตอี้จวง ไห่เตี้ยน และซุ่นอี้
.
ซึ่ง Baidu ได้เริ่มทำการทดสอบเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในกรุงปักกิ่งตั้งแต่เดือน ธ.ค.2019 ตลอดช่วง 8 เดือน Apollo Go วิ่งทดสอบเป็นระยะทางรวมกว่า 519,000 กิโลเมตร และด้วยความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทำให้ภาครัฐอนุญาตให้ Apollo Go สามารถเปิดให้บริการแก่สาธารณะในกรุงปักกิ่งได้ ภายใต้กฎและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดสำหรับการทดสอบการขับขี่ด้วยตนเองเพื่อรองรับความปลอดภัยของประชาชน
.
สำหรับชาวปักกิ่งที่อยากใช้บริการ Apollo Go สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ Apollo หรือ Baidu Maps แต่ทาง Baidu ก็ยังไม่ได้มีการประกาศว่าจะเริ่มลงทะเบียนได้วันไหน และมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ แต่ก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดทดลองให้บริการฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายที่เมืองชาวโจว ก่อนจะขยายสู่ใจกลางของประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม การเปิดให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับนี้ นอกจากเป็นนวัตกรรมเพื่อประชาชนแล้ว ยังเป็นการช่วยให้บริษัท Baidu สามารถจัดเก็บข้อมูลของผู้โดยสาร ซึ่งนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีของระบบขับขี่อัตโนมัติที่ล้ำสมัยในอนาคตได้มากขึ้น โดยเชื่อว่าอีกไม่นาน เราจะได้เห็นรถแท็กซี่ไร้คนขับ ออกมาให้บริการแก่สาธารณะโดยไม่จำเป็นต้องมีคนขับคอยนั่งควบคุมอยู่หลังพวงมาลัย ซึ่งดีไม่ดี ในอนาคตเราอาจเห็นรถแท็กซี่แบบนี้ วิ่งอยู่บนถนนในประเทศไทยด้วยก็ได้
.
ที่มา : https://m.futurecar.com/4141/Baidu-Launches-its-Apollo-Go-Robotaxi-Service-in-Chinas-Capital-City-of-Beijing
https://www.dailygizmo.tv/2020/09/11/apollo-go-robotaxi/
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#ApolloGo #Baidu #แท็กซี่ไร้คนขับ #กรุงปักกิ่ง
maps baidu 在 อ้ายจง Facebook 的最佳解答
เจาะลึก “Mafengwo” คู่มือท่องเที่ยวสำหรับคนจีนยุคใหม่
เมื่อคนจีนเลิกง้อทัวร์ “อ่าน-จอง-เที่ยว”ด้วยตัวเอง ธุรกิจไทยจึงต้องปรับตัว
-----
ในช่วงที่ผ่านมาสองสามปีนี้ เราจะเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของนักท่องเที่ยวจีน จากกรุ๊ปทัวร์ลุงๆป้าๆ ที่มากับรถบัส เป็นหนุ่มสาวหน้าใส พร้อมไม้เซลฟี บ้างก็มากับแฟน บ้างก็มากับครอบครัวเป็นกลุ่มเล็ก ๆ
.
สอดคล้องกับสถิติของ Mafengwo แพลตฟอร์มท่องเที่ยวแบบFIT (เที่ยวด้วยตนเอง)ชื่อดังของจีน ซึ่งระบุว่า ในปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 70% วางแผนการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง โดยไม่พึ่งบริษัททัวร์ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เรียกว่า FIT หรือ Free and Independent Travelers เป็นกลุ่มที่ไม่นิยมทัวร์ราคาประหยัด แต่ยินดีจ่ายเพื่อความสะดวกสบายและประสบการณ์ใหม่ ๆ
.
อย่างที่อ้ายจงได้เคยเล่าไปแล้วว่า ตอนนี้อ้ายจงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับ Digilink Thailand (https://facebook.com/DigilinkThailand/) ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ Mafengwo และสื่อโซเชียลชั้นนำในจีน เพื่อจัดทำข้อมูลด้านธุรกิจและตลาดจีนแบบ Insight
.
ทำให้ได้ข้อมูลInsightมาว่า “ปี2019 นักท่องเที่ยว FIT ชาวจีน ใช้เวลาในเมืองไทยนานขึ้นจากปีก่อนหน้า”
โดยกว่า 57% ใช้เวลา 5-7 วันต่อทริป และอีก 20% เที่ยวยาวไปถึง 7-15 วัน รูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ทำให้กว่า 95% ใส่ใจกับการวางแผนการท่องเที่ยวอย่างละเอียด
.
คอนเทนต์รีวิวบนโลกออนไลน์จีน ถือว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเป็นอันดับสองรองจากคำแนะนำของคนใกล้ชิด
ดังนั้น แพลตฟอร์มที่เป็นแหล่งรีวิวและให้ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว-แหล่งกิน-แหล่งช้อปต่างๆ จึงกลายมาเป็นที่พึ่งช่วยในการวางแผนการท่องเที่ยว และได้รับความนิยมอย่างมาก ปัจจุบันมีหลายแพลตฟอร์ม เช่น Mafengwo, Qyer, Baidu Maps, Trip Advisor
แต่เจ้าที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ FIT คือ แพลตฟอร์ม Mafengwo (马蜂窝) สาเหตุที่ Mafengwo ประสบความสำเร็จสูงสุด คือ การสร้างความแข็งแกร่งของคอมมิวนิตี้โดย 61% ของผู้ใช้มีการกลับมารีวิวบนแพลตฟอร์ม ทำให้เนื้อหามีความหลากหลาย และน่าชื่อถือ
.
ถ้าจะให้เห็นภาพของ Mafengwo มากขึ้น อ้ายจงขอเปรียบ แพลตฟอร์ม Mafengwo เป็นเหมือน คู่มือการเดินทางแบบออนไลน์ โดยมีนักท่องเที่ยวที่ออกไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆมาร่วมกันให้ข้อมูลในคู่มือเล่มนี้ ก็เหมือนกับ Trip advisor, Lonely Planet และ Facebook รวมกันอยู่ในแพลตฟอร์มเดียว
ปัจจุบัน แพลตฟอร์มนี้ มีสมาชิกกว่า 130 ล้านคน และมีผู้ใช้งานกว่า 8 ล้านคนต่อวัน โดยผู้ใช้ Mafengwo กว่า 85% คือคนหนุ่มสาว FIT จากเมือง Tier 1 และ 2 ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีชั้นนำของจีน เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว เรียกได้ว่า เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงและชอบมองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ
-----
"ทำไมนักท่องเที่ยวจีนถึงนิยมใช้ Mafengwo? "
เมื่อ Mafengwo – เปรียบดั่ง “รัง” ของรีวิวคุณภาพ
จากประสบการณ์ใช้ชีวิตในจีนของอ้ายจง และคุยกับเพื่อนๆชาวจีน ทำให้ทราบว่า คนจีนจำนวนไม่น้อยมอง Mafengwo เสมือน “รัง” ของรีวิวคุณภาพ ตรงตามชื่อภาษาจีน 马蜂窝Mafengwo ที่แปลว่า “รังต่อ”
โดยสื่อถึงการรวมกันของ “นักท่องเที่ยว” ที่พร้อมจะออกไปท่องเที่ยวพร้อมกันนับแสน นับล้าน คนพร้อมกัน แล้วนำรีวิวโดยผู้ใช้จริง (User Generated Content) อันมีค่ากลับมารวมกันที่แพลตฟอร์ม ทำให้เว็บ Mafengwo เป็นเว็บที่มีข้อมูลแน่น และเข้าใจ FIT
.
เมื่อการท่องเที่ยวเป็นเรื่องง่ายขึ้น “ อ่าน - จอง - เที่ยว” จบในคอนเทนต์เดียว
อีกหนึ่ง ฟีเจอร์บน Mafengwo ที่น่าสนใจ และผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเจาะตลาดออนไลน์จีน สามารถใช้ประโยชน์ได้มากก็คือ
"POI หรือ point of interest" ฟีเจอร์เด่นของ Mafengwo ซึ่งทำหน้าที่คล้าย Google My Business ที่ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวไปปรากฎบนแผนที่ของนักท่องเที่ยวจีน
แต่ที่พิเศษกว่าคือ นอกจากจะให้คะแนน POI ได้แล้ว สถานที่ท่องเที่ยว-ร้านค้า-ผู้ประกอบการเจ้าของPOI ยังสามารถเสนอดีล และทำ Q&A บน POI ได้ เสมือนได้เปิดแผงขายตั๋วบนโลกออนไลน์
โดยอัลกอริทึมของ Mafengwo จะทำให้ POI จะปรากฏขึ้นให้ผู้อ่านดูหลังจากอ่านคอนเทนต์จบ ทำให้สามารถโพสต์ถามคำถามกับสถานที่ท่องเที่ยว หรือเข้าไปเรทติ้งได้ทันที นอกจากนี้ยังซื้อโฆษณาให้ POI ได้อีกด้วย
-----
หากใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติมของ Mafengwo รวมถึงสื่ออื่นๆในการเจาะตลาดจีน สามารถสอบถามเข้ามาได้เลยนะครับ ยินดีให้คำปรึกษา :-D
อ้ายจงอ้างอิงจาก
• Mafengwo.cn
• Mckinsy and Company
#อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน #การตลาดจีน #นักท่องเที่ยวจีน #FIT #Mafengwo
maps baidu 在 Baidu Maps for Angular. - GitHub 的推薦與評價
默认自动异步加载js 类库,所以只需要在NgModule 提供api key 就可以立即使用了。 options 等同百度地图 new BMap.Map(mapContainer, options) 。 ... <看更多>