Pride and Prejudice
Buku novel ini dicetak pada tahun 1813. Saya ulang sekali lagi 1813.
Buku ini sedang dibaca oleh anak saya. Saya sempat membaca dua tiga chapters. Menarik bahasa dan minda novel ini.
Nanti boleh cari masa membaca novel ini secara lebih serius. Sudah pasti dapat banyak mutiara ilmu, bahasa, tamadun dan psiki manusia di England di awal kurun 19 masihi. Di waktu itu, industri revolusi 1.0 baru sahaja berlaku hampir 20 tahun. Sekarang di tahun 2020 kita berada di era I.R. 4.0.
Inilah kehebatan buku. Ia boleh membawa anda ke zaman lepas tanpa anda perlu berjalan dan menjelajah.
Kalau buku kita boleh bertahan selama 200 tahun, mungkin masyarakat manusia di masa depan akan faham juga bahasa, minda, tamadun dan psiki kita.
MDB
pride and prejudice novel 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳貼文
Little Women (2019) เข้าฉาย 9 มกราคมนี้
• ชอบที่หนังกระจายเรื่องราวของทั้ง 4 พี่น้อง ถึงน้ำหนักจะเทมาทางโจ มาร์ช ในฐานะคนเล่าเรื่องมากสุด แต่หนังก็ยังแบ่งไปเล่าอีก 3 คนในระดับที่เพียงพอจะทำให้แต่ละคนมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง
• ด้วยความที่นิยายเป็นกึ่ง ๆ ชีวประวัติ เลยคิดว่าการเขียนนิยายเป็นแฟนซีปลอบประโลมความเจ็บปวด ซึ่งทำให้หนังดูอบอุ่นเหลือเกิน
• ขณะเดียวกันหนังก็เชิดชูความเป็นตัวเองของผู้หญิงทั้ง 4 คน(หรือ 3 คน) ที่สามารถเลือกเส้นทางชีวิตตัวเองตามหัวใจเรียกร้อง
• ชอบการใส่บรรณาธิการนิตยสารเข้ามา กลายเป็นการหยอกล้อกับองค์ประกอบว่านิยาย/หนังจะฮิตได้ ต้องชิงรักหักสวาทและมีตอนจบที่สุขสันต์
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-
ยังไม่เคยดูเวอร์ชั่นอื่นแต่จะบอกว่าเกรต้า เกอร์วิก ทำฉบับของเธอได้สนุกเหลือเกิน เวลาสองชั่วโมงผ่านไปเร็วมาก ไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย หนังอบอุ่นและเล่าได้มีชีวิตชีวามาก ภายใต้ความเป็นหนังโรแมนติกที่หุ้มเอาไว้ ข้างในมันยังบอกเล่าความรักระหว่างพี่น้องและสิ่งที่พวกเธอต้องตัดสินใจในยุคที่เพศหญิงถูกปลูกฝังว่าพอโตเป็นสาวต้องแต่งงานกับผู้ชายฐานะดี สิ่งที่ตลกร้ายคือกระทั่งในวรรณกรรมยังต้องให้ตัวละครหญิงแต่งงานเพราะไม่มีใครอยากอ่านเรื่องราวของนางเอกขึ้นคาน ทุกคนมองหาตอนจบที่สุขสันต์เพื่อจะพาตัวเองล่องลอยหลุดพ้นความเป็นจริงเพียงชั่วคราว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนิยายแนวแสวงหารักแท้ถึงขายดี
.
'โจ มาร์ช' (Saoirse Ronan) คือหญิงสาวที่ติดกับดักค่านิยมการแต่งงานในสมัยนั้นจนมองชีวิตหลังแต่งงานออกมาได้เพียงด้านเดียว ในขณะที่หญิงสาวหลายคนเชื่อว่าการแต่งงานคือการเลื่อนชั้นทางสังคมของตัวเอง ปัญหาทางการเงินของครอบครัวแก้ได้ด้วยการแต่งงานกับผู้ชายฐานะร่ำรวย แต่โจมองว่าการแต่งงานคือชนักติดหลังที่จะทำให้ความฝันและแรงปรารถนาของเธอมอดหมดไป เธอตั้งกำแพงว่าความรักเป็นอุปสรรคและพยายามต่อต้านไม่ทำตามค่านิยมของยุคสมัย ทั้งที่เธอก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มีหัวใจ และมีสิทธิ์จะได้รับความรักพร้อมกับสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการไปพร้อมกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอจะต้องให้เวลาช่วยหาคำตอบ หนังเลยเห็นพัฒนาการของตัวละครที่ค่อย ๆ ค้นหาตัวเองจนเจอ
.
เพราะสุดท้ายความเป็นเฟมินิสต์จริง ๆ คือการที่ผู้หญิงสามารถทำอะไรตามที่หัวใจปรารถนาโดยไม่ต้องไปติดอยู่ในกรอบที่สังคมชายเป็นใหญ่กำหนดขึ้นมา 'เม็ก' (Emma Watson) สามารถฝันว่าจะแต่งงานมีครอบครัว มีคุณค่าในตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องมีผลงานให้ได้รับการยอมรับเหมือนน้องสาว เธอสามารถเลือกทางเดินชีวิตที่จะทำให้ตัวเองมีความสุข ซึ่งเป้าหมายอาจไม่ใช่การแต่งงานกับชนชั้นสูงที่เจอะเจอในงานสังคม แต่เป็นชายหนุ่มทำงานทำการที่พร้อมจะสร้างเนื้อสร้างตัวเคียงข้างกัน, เช่นเดียวกับ 'เอมี่' (Florence Pugh) ก็มีสิทธิ์จะเลือกมองหาผู้ชายรวยโดยไม่ต้องไปแคร์ว่าใครจะมองเธอเกาะผู้ชายกิน หรือลดคุณค่าเธอเพียงเพราะไม่ร่วมดิ้นรนกับผู้ชายฐานะเท่าเทียมกัน เป็นอิสระของเธอที่จะเลือกแบบไหนก็ตามที่ทำให้เธอพอใจ ยิ่งในยุคที่ผู้หญิงถูกจำกัดความก้าวหน้าในอาชีพ จนเหลือเพียงการแต่งงานที่จะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีได้
.
นี่คงจะเป็นเหตุผลสำคัญทำให้เราตกหลุมรัก Little Women ที่บอกเล่าเรื่องราวของ 4 ดรุณีได้อบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
ป.ล. การแสดงของ เซียร์ชา โรแนน คู่ควรจะมีชื่อในสายรางวัลเหมือนกัน ฉาก Women, they have minds and they have souls as well as just hearts. กับฉากปฏิเสธ 'ลอรี่' (Timothee Chalamet) คือดีมากจริง
Directors: Greta Gerwig (ผู้กำกับ Lady Bird)
novel: Louisa May Alcott
screenplay: Greta Gerwig
Genre: romance, drama
8/10
#หนังโปรดของข้าพเจ้า
#ดูอะไรต่อดี
Sense and Sensibility (1995) / Pride & Prejudice (2005)
pride and prejudice novel 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳解答
Little Women (2019) เข้าฉาย 9 มกราคมนี้
• ชอบที่หนังกระจายเรื่องราวของทั้ง 4 พี่น้อง ถึงน้ำหนักจะเทมาทางโจ มาร์ช ในฐานะคนเล่าเรื่องมากสุด แต่หนังก็ยังแบ่งไปเล่าอีก 3 คนในระดับที่เพียงพอจะทำให้แต่ละคนมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง
• ด้วยความที่นิยายเป็นกึ่ง ๆ ชีวประวัติ เลยคิดว่าการเขียนนิยายเป็นแฟนซีปลอบประโลมความเจ็บปวด ซึ่งทำให้หนังดูอบอุ่นเหลือเกิน
• ขณะเดียวกันหนังก็เชิดชูความเป็นตัวเองของผู้หญิงทั้ง 4 คน(หรือ 3 คน) ที่สามารถเลือกเส้นทางชีวิตตัวเองตามหัวใจเรียกร้อง
• ชอบการใส่บรรณาธิการนิตยสารเข้ามา กลายเป็นการหยอกล้อกับองค์ประกอบว่านิยาย/หนังจะฮิตได้ ต้องชิงรักหักสวาทและมีตอนจบที่สุขสันต์
-------------------------------------
ยังไม่เคยดูเวอร์ชั่นอื่นแต่จะบอกว่าเกรต้า เกอร์วิก ทำฉบับของเธอได้สนุกเหลือเกิน เวลาสองชั่วโมงผ่านไปเร็วมาก ไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย หนังอบอุ่นและเล่าได้มีชีวิตชีวามาก ภายใต้ความเป็นหนังโรแมนติกที่หุ้มเอาไว้ ข้างในมันยังบอกเล่าความรักระหว่างพี่น้องและสิ่งที่พวกเธอต้องตัดสินใจในยุคที่เพศหญิงถูกปลูกฝังว่าพอโตเป็นสาวต้องแต่งงานกับผู้ชายฐานะดี สิ่งที่ตลกร้ายคือกระทั่งในวรรณกรรมยังต้องให้ตัวละครหญิงแต่งงานเพราะไม่มีใครอยากอ่านเรื่องราวของนางเอกขึ้นคาน ทุกคนมองหาตอนจบที่สุขสันต์เพื่อจะพาตัวเองล่องลอยหลุดพ้นความเป็นจริงเพียงชั่วคราว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนิยายแนวแสวงหารักแท้ถึงขายดี
.
'โจ มาร์ช' (Saoirse Ronan) คือหญิงสาวที่ติดกับดักค่านิยมการแต่งงานในสมัยนั้นจนมองชีวิตหลังแต่งงานออกมาได้เพียงด้านเดียว ในขณะที่หญิงสาวหลายคนเชื่อว่าการแต่งงานคือการเลื่อนชั้นทางสังคมของตัวเอง ปัญหาทางการเงินของครอบครัวแก้ได้ด้วยการแต่งงานกับผู้ชายฐานะร่ำรวย แต่โจมองว่าการแต่งงานคือชนักติดหลังที่จะทำให้ความฝันและแรงปรารถนาของเธอมอดหมดไป เธอตั้งกำแพงว่าความรักเป็นอุปสรรคและพยายามต่อต้านไม่ทำตามค่านิยมของยุคสมัย ทั้งที่เธอก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มีหัวใจ และมีสิทธิ์จะได้รับความรักพร้อมกับสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการไปพร้อมกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอจะต้องให้เวลาช่วยหาคำตอบ หนังเลยเห็นพัฒนาการของตัวละครที่ค่อย ๆ ค้นหาตัวเองจนเจอ
.
เพราะสุดท้ายความเป็นเฟมินิสต์จริง ๆ คือการที่ผู้หญิงสามารถทำอะไรตามที่หัวใจปรารถนาโดยไม่ต้องไปติดอยู่ในกรอบที่สังคมชายเป็นใหญ่กำหนดขึ้นมา 'เม็ก' (Emma Watson) สามารถฝันว่าจะแต่งงานมีครอบครัว มีคุณค่าในตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องมีผลงานให้ได้รับการยอมรับเหมือนน้องสาว เธอสามารถเลือกทางเดินชีวิตที่จะทำให้ตัวเองมีความสุข ซึ่งเป้าหมายอาจไม่ใช่การแต่งงานกับชนชั้นสูงที่เจอะเจอในงานสังคม แต่เป็นชายหนุ่มทำงานทำการที่พร้อมจะสร้างเนื้อสร้างตัวเคียงข้างกัน, เช่นเดียวกับ 'เอมี่' (Florence Pugh) ก็มีสิทธิ์จะเลือกมองหาผู้ชายรวยโดยไม่ต้องไปแคร์ว่าใครจะมองเธอเกาะผู้ชายกิน หรือลดคุณค่าเธอเพียงเพราะไม่ร่วมดิ้นรนกับผู้ชายฐานะเท่าเทียมกัน เป็นอิสระของเธอที่จะเลือกแบบไหนก็ตามที่ทำให้เธอพอใจ ยิ่งในยุคที่ผู้หญิงถูกจำกัดความก้าวหน้าในอาชีพ จนเหลือเพียงการแต่งงานที่จะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีได้
.
นี่คงจะเป็นเหตุผลสำคัญทำให้เราตกหลุมรัก Little Women ที่บอกเล่าเรื่องราวของ 4 ดรุณีได้อบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
ป.ล. การแสดงของ เซียร์ชา โรแนน คู่ควรจะมีชื่อในสายรางวัลเหมือนกัน ฉาก Women, they have minds and they have souls as well as just hearts. กับฉากปฏิเสธ 'ลอรี่' (Timothee Chalamet) คือดีมากจริง
Directors: Greta Gerwig (ผู้กำกับ Lady Bird)
novel: Louisa May Alcott
screenplay: Greta Gerwig
Genre: romance, drama
8/10
#หนังโปรดของข้าพเจ้า
#ดูอะไรต่อดี
Sense and Sensibility (1995) / Pride & Prejudice (2005)