ทำไม อิตาลี จึงเป็นประเทศแห่ง แฟชั่นและดีไซน์? / โดย ลงทุนแมน
รสนิยมด้านศิลปะของอิตาลีคือความเป็นเลิศ
ทั้งความสง่างาม เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ และเต็มไปด้วยทักษะในงานฝีมือ
ทั้งหมดล้วนถ่ายทอดผ่านแบรนด์เครื่องแต่งกายอิตาลีที่คนทั้งโลกรู้จัก
Giorgio Armani คือนิยามของความเรียบหรูที่มีสไตล์
Prada เป็นต้นตำรับของคำว่า “น้อยแต่มาก”
ส่วนความฉูดฉาด และเซ็กซี่คือเสน่ห์อมตะของ Versace
แต่เอกลักษณ์ที่ทุกแบรนด์อิตาลีล้วนมีเหมือนกัน
ก็คือ การทำให้จินตนาการสามารถนำมาสวมใส่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
ชาวอิตาลีมีความพิถีพิถันในการแต่งกายอยู่ในสายเลือด
ฟลอเรนซ์เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมการแต่งกายของโลกตะวันตกในยุคเรอแนซองซ์
และปัจจุบัน มิลานคือ 1 ใน 4 เมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดของวงการแฟชั่นระดับโลก
อะไรที่ทำให้งานออกแบบของอิตาลีอยู่ในระดับแถวหน้าของโลกแห่งเครื่องแต่งกาย?
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม อิตาลี จึงเป็นประเทศแห่ง แฟชั่นและดีไซน์?
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ. 2019
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
แฟชั่นอิตาลีถือกำเนิดก่อนที่อิตาลีจะก่อตั้งเป็นประเทศ..
ในยุคเรอแนซองซ์ นครรัฐฟลอเรนซ์ที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางคาบสมุทรอิตาลี
ทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการค้าขนสัตว์ของยุโรป
Arte della Lana หรือสมาคมค้าขนสัตว์แห่งฟลอเรนซ์ถูกก่อตั้งในศตวรรษที่ 15 ซึ่งก่อให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก ผลักดันให้เมืองแห่งนี้เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกตะวันตก
ภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูลเมดิชี ฟลอเรนซ์รุ่งเรืองจนพ่วงตำแหน่งศูนย์กลางศิลปะ เป็นแหล่งรวมช่างฝีมือสาขาต่างๆ ทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรม รวมไปถึงเครื่องแต่งกาย
มีช่างเทคนิคที่เชี่ยวชาญการผสมสีและทอผ้าเฉพาะตัว ไปจนถึงเทคนิคการฟอกหนังที่ไม่เหมือนใคร และขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในโลก
แคทเทอรีน เดอ เมดิชี ชาวฟลอเรนซ์ที่ต่อมากลายมาเป็นราชินีของฝรั่งเศส เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวดีที่สุดในยุคเรอแนซองซ์
แต่แฟชั่นคือกิจการของชนชั้นสูง เมื่อนครรัฐบนคาบสมุทรอิตาลีเริ่มเสื่อมถอย และความเจริญเคลื่อนย้ายไปยังยุโรปเหนือ แฟชั่นของอิตาลีก็ค่อยๆ เลือนหายไป โดยมีแฟชั่นฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในโลกตะวันตกแทน
เวลาผ่านไปจนเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 นครรัฐน้อยใหญ่บนคาบสมุทรอิตาลีก็รวมประเทศสำเร็จในปี ค.ศ. 1861 พร้อมรับอิทธิพลการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป โดยมีเขตอุตสาหกรรมหนาแน่นในที่ราบตอนเหนือ
แต่ผลของการรวมประเทศ กลับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
รัฐทางภาคเหนือของอิตาลี ซึ่งมีเมืองใหญ่อย่าง มิลานและตูริน
ที่ร่ำรวยจากการเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ต่อเรือ สิ่งทอ และผลิตอาหาร
ในขณะที่รัฐทางภาคใต้ ยังคงเป็นเขตเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่จึงยังคงมีฐานะยากจน
ซ้ำยังต้องเสียภาษีเพื่อนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตภาคเหนือ
ความเหลื่อมล้ำนี้ ทำให้ในช่วงปี ค.ศ. 1890 - ค.ศ. 1910 ชาวอิตาลีหลายล้านคน ที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ ตัดสินใจอพยพหนีความแร้นแค้นไปตั้งถิ่นฐานยังสหรัฐอเมริกา
แต่การรวมชาติก็ทำให้เกิดค่านิยมในการต่อต้านสินค้าแฟชั่นจากฝรั่งเศส และหันมาใช้เสื้อผ้าที่ผลิตภายในอิตาลีมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่อิตาลีเข้าสู่การปกครองในระบอบเผด็จการฟาสซิสต์
เหล่านักออกแบบของอิตาลีจึงเริ่มสร้างสรรค์ “แบรนด์” เป็นของตัวเอง
โดยมีเวทีแห่งแรกก็คือ ฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องหนังและการฟอกหนังมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15
Gucci
หลังจากทำงานที่โรงแรมในกรุงลอนดอน และได้สัมผัสกระเป๋าของนักเดินทางมากมาย Guccio Gucci ได้กลับมาเปิดร้านเครื่องหนังที่ฟลอเรนซ์บ้านเกิดในปี ค.ศ. 1921 โดยมีสินค้าหลักคือกระเป๋าหนัง
ด้วยคุณภาพของเครื่องหนัง Gucci จึงสามารถตั้งราคาให้สูงขึ้น และวางตำแหน่งให้กลายเป็นสินค้าสำหรับชนชั้นสูง ก่อนจะขยายสินค้าไปทำถุงมือ เข็มขัด และเครื่องหนังสำหรับการขี่ม้าในเวลาต่อมา
Salvatore Ferragamo
นอกจากกระเป๋า อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ใช้เครื่องหนัง ก็คือ “รองเท้า”
หลังจากเรียนกายวิภาคศาสตร์และใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลานับสิบปี ช่างทำรองเท้า Salvatore Ferragamo ก็ได้กลับมาเปิดร้านรองเท้าของตัวเองที่ฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1927
และเป็นผู้ริเริ่มการออกแบบรองเท้าส้นเตารีด
หลายร้อยปีหลังจากยุคเรอแนซองซ์ ฟลอเรนซ์ก็ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของอิตาลีอีกครั้ง และยังเป็นศูนย์กลางของห้องเสื้อชั้นสูงของอิตาลี หรือเรียกในภาษาอิตาลีว่า Alta Moda
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ห่างไกลจากเขตอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของประเทศ ทำให้การคมนาคมขนส่งไม่สะดวกเท่าที่ควร อีกทั้งยังห่างไกลจากลูกค้านักธุรกิจ ทำให้บรรดาดีไซเนอร์ต่างเริ่มย้ายโชว์รูมแฟชั่นไปตั้งยังเมืองทางตอนเหนือ คือ “มิลาน”
มิลาน ตั้งอยู่ใจกลางที่ราบกว้างใหญ่ทางตอนเหนือของอิตาลี รายล้อมด้วยเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของประเทศ มีระบบโครงข่าย ทั้งรถไฟ ถนน และแม่น้ำ และที่สำคัญ มิลาน เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์แห่งเดียวของอิตาลี สำนักของสื่อมวลชน และสถาบันการเงินมากมาย
มิลานยังเป็นที่ตั้งของสถาบันศิลปะและการออกแบบมากมาย ที่ถ่ายทอดความสามารถด้านศิลปะสืบต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ทั้ง Brera Academy สถาบันศิลปะที่มีอายุมากกว่า 200 ปี
Domus Academy มีชื่อเสียงในด้านการออกแบบแฟชั่น
และ University of Milan มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในมิลาน ซึ่งมีศิษย์เก่าคือ Giorgio Armani และ Miuccia Prada
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้อิตาลีจะบอบช้ำจากสงคราม แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐอเมริกาผ่านแผนการมาร์แชลล์ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจอิตาลีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1950s-1970s
เมื่อมีทั้งเงิน ลูกค้า และสถาบันการออกแบบ เศรษฐกิจของมิลานก็โตวันโตคืน
อุตสาหกรรมที่ถูกวางให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอิตาลีก็คือ “อุตสาหกรรมแฟชั่น”
โดยหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญ ก็คือ ชาวอิตาลีที่อพยพไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาหลายล้านคน..
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่อพยพจากอิตาลีไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาก็เติบโตเป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจ
อุปนิสัยที่โดดเด่นของชาวอิตาลี ก็คือการคงความสัมพันธ์กับเครือญาติอย่างแน่นแฟ้น
ถึงแม้จะมาเป็นผู้อพยพในทวีปใหม่ ก็ยังคงไปมาหาสู่ ให้ความช่วยเหลือญาติในบ้านเกิดอยู่เสมอ และพร้อมสนับสนุนสินค้าจากอิตาลี บ้านเกิดของตนเองอย่างเต็มที่
ในฟลอเรนซ์ มีการจัดงานแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าชั้นสูงในระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1951
ส่วนในมิลาน ความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจยุคหลังสงคราม ดึงดูดให้เหล่าดีไซเนอร์พากันมาเปิดโชว์รูมแห่งแรกของแบรนด์ที่นี่ นำมาสู่การจัดตั้งหอการค้าแฟชั่นแห่งชาติอิตาลี หรือ Camera Nazionale della Moda Italiana ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้เกิด Milan Fashion Week เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958
ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น
ไม่นาน มิลานก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดเทรนด์แฟชั่นโลกในช่วงทศวรรษ 1970s
ด้วยการนำเสนอเสื้อผ้าสำเร็จรูป (Ready-to-wear) หรือศัพท์ในวงการแฟชั่นว่า Prêt-à-porter ที่มีความสวยงาม สะดวก ราคาถูกลง แต่ยังคงความโก้หรู นับเป็นการปฏิวัติวงการแฟชั่นครั้งสำคัญ และแจ้งเกิดแบรนด์เนมอิตาลีชื่อดัง
Giorgio Armani
หลังจากเป็นดีไซเนอร์ฟรีแลนซ์มาหลายปี Giorgio Armani ได้ตัดสินใจขายรถเพื่อก่อตั้งแบรนด์ของตัวเองในปี ค.ศ. 1975
ด้วยสไตล์ที่เรียบง่าย แต่ชัดเจน
เลือกใช้สีกลางๆ แต่ทำให้เสื้อผ้างามสง่า
เมื่อได้ถูกเผยแพร่มายังสหรัฐอเมริกา ผ่านการออกแบบเสื้อผ้าให้ดาราฮอลลีวูดอย่าง Richard Gere แบรนด์ Giorgio Armani ก็ได้รับความนิยมอย่างสูง และก้าวสู่จุดสูงสุดด้วยชุด “Power Suit” ในช่วงทศวรรษ 1980s
Versace
นักออกแบบจากอิตาลีตอนใต้ Gianni Versace ก่อตั้งแบรนด์ตัวเองในปี ค.ศ. 1978
โดยมีการนำสีสันที่อบอุ่นจากตอนใต้ และการใช้คู่สีที่สะดุดตามาผสมผสานในงานออกแบบเสื้อผ้า ทำให้ได้เสื้อผ้าที่ฉูดฉาดและเซ็กซี่
Prada
จุดเริ่มต้นของ Prada ย้อนไปไกลถึงปี ค.ศ. 1913 จากการก่อตั้งโรงงานเครื่องหนังของ Mario Prada แต่ผู้ที่ทำให้ Prada โด่งดังไปทั่วโลก คือหลานสาว Miuccia Prada
Miuccia Prada เป็นผู้ที่เลือกผ้าไนลอนมาทำเป็นกระเป๋าถือแทนการใช้หนังสัตว์ จนทำให้กระเป๋าสีดำ Black Nylon Backpack โด่งดังไปทั่วโลกในช่วงปี ค.ศ. 1985 และเปลี่ยนโฉมหน้าของ Prada ให้มีสินค้าอื่นๆ นอกจากกระเป๋า ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ ซึ่งภายหลัง Miuccia ก็ได้ตั้งแบรนด์ลูกขึ้นมาภายใต้ชื่อ “Miu Miu”
ด้วยความสามารถในการออกแบบของดีไซเนอร์อิตาลี
นอกจากเสื้อผ้าแล้ว เหล่าแบรนด์เนมต่างก็ต่อยอดไปสู่สินค้าและบริการอื่นๆ
ทั้ง Giorgio Armani ที่มีกิจการร้านอาหารและโรงแรมหรู
ส่วน Versace มีกิจการโรงแรม เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในครัวเรือน
อิตาลี คือดินแดนแห่งอารยธรรมล้ำค่า นับตั้งแต่จักรวรรดิโรมัน นครรัฐในยุคเรอแนซองซ์ มาจนถึงยุครวมชาติอิตาลี
ถึงแม้อารยธรรมจะรุ่งเรืองและเสื่อมสลาย
แต่สิ่งที่ผ่านกาลเวลามาได้คือศิลปะและความคิดสร้างสรรค์
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร กลับไม่สามารถทำลายคุณค่าของดีไซน์อิตาลี
แม้เหล่าสินค้าแฟชั่นจะเจอความท้าทายจาก Fast Fashion
แต่ด้วยการออกแบบที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยม และคุณภาพที่สั่งสมมานาน
แฟชั่นของอิตาลีจึงยังคงครองใจผู้คนทั้งโลก อย่างที่สินค้าเทคโนโลยีล้ำสมัยก็ทำอะไรไม่ได้
เทคโนโลยีผ่านเข้ามาและผ่านไป แต่ดีไซน์อิตาลีก็น่าจะยังคงยืนหยัดตั้งตระหง่าน ไม่แพ้เสาโรมัน ที่เห็นทันทีก็รู้ว่า ต้นแบบแห่งการดีไซน์ ได้ถือกำเนิดขึ้น ที่ดินแดนแห่งนี้..
อ่านซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ในตอนก่อนหน้าทั้งหมดได้ที่แอป Blockdit blockdit.com/download
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ. 2019
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-Fashionary, The Live of 50 Fashion Legends
-https://www.researchgate.net/profile/Simona_Segre_Reinach/publication/318591733_The_meaning_of_%27Made_in_Italy%27_in_fashion/links/59fadce7458515d20c7d962b/The-meaning-of-Made-in-Italy-in-fashion.pdf?origin=publication_detail
-https://www.crfashionbook.com/fashion/a26330899/history-of-italian-fashion-designers/
-https://www.metmuseum.org/toah/hd/itfa/hd_itfa.htm
-https://fashionweekweb.com/milan-fashion-week
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「references meaning」的推薦目錄:
- 關於references meaning 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於references meaning 在 2how Facebook 的精選貼文
- 關於references meaning 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於references meaning 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳解答
- 關於references meaning 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
- 關於references meaning 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
- 關於references meaning 在 Meaning of reference - YouTube 的評價
- 關於references meaning 在 Meaning of "referencing" and "dereferencing" in C - Stack ... 的評價
references meaning 在 2how Facebook 的精選貼文
DIMPY BHALOTIA
Poche, pochissime erano le foto in casa di Henri Cartier-Bresson; una, forse due. Una, per cui il grande fotografo aveva una vera e propria ammirazione, era “Three Boys at Lake Tanganika” di Martin Munkácsi. Tre ragazzini immortalati di spalle che sprigionano un’incontenibile vitalità mentre corrono verso le acque del lago. Perché Cartier-Bresson amava quella fotografia? Perché, come ha detto lui stesso: “Ho capito improvvisamente che la fotografia può fissare l’eternità in un momento”. Osservando la fotografia “Flying Boys” di Dimpy Bhalotia, e con la quale si è aggiudicato il Female in Focus Award 2020 del British Journal of Photography, sembra che i tre ragazzini di Munkácsi siano tornati dopo un viaggio lungo novant’anni. Di più, pare che siano tornati per spiccare il volo e catturati nel preciso momento in cui occhio, cuore e mente del fotografo sono perfettamente allineati come una costellazione lontana. C’è, nelle fotografie della giovane indiana di Londra, qualcosa che arriva da una precisa tradizione fotografica e che àncora saldamente la composizione a quelle tre fondamentali componenti cui si faceva cenno, orientandola verso la ricerca del momento in cui un episodio umano – e non solo – ha la capacità di espletare il suo senso. Irripetibilmente. I riferimenti non mancano, e sono segno di una solida cultura visiva. Quanto guardiamo nelle fotografie di Dimpy Bhalotia sembra fuoriuscire da un racconto riscritto con nuove parole, nuovi cenni ma fermamente determinato a essere interpretato attraverso un lessico che costringe a sostare nello spazio citazionista giusto il tempo che occorre prima di assumere una vita propria. E questa sottile e aggraziata visione delle cose che plana sugli avvenimenti, ha quel respiro che sta dentro in una visione poetica della vita, perché per scattare fotografie che sappiano restituire la bellezza d’un gesto occorre amare la vita e i suoi interpreti. Ecco che uomini e animali, colti singolarmente o al crocevia della reciproca interazione, ci appaiono come soggetti appena involontariamente dialoganti ma che, a ben guardare, sono catturati nell’esatto momento di un dialogo segreto. La forza delle fotografie di Dimpy Bhalotia viene da lontano e dunque è ben strutturata. E si vede soprattutto nell’azzardo di forme, nella scommessa formale giocata sul corpo dei soggetti animali, da cui, in altre circostanze, cogliamo una felice traccia surrealista, un terreno ideale nel quale risolvere talune spericolatezze compositive. Il lavoro di Dimpy Bhalotia sosta alla confluenza di due differenti correnti fotografiche: l’umanesimo e il surrealismo (lo stesso Cartier-Bresson sperimentò un delicatissimo surrealismo prima di fondare la Magnum), maneggiati entrambi con disinvoltura e sicurezza. La sua è una voce limpidissima, minimale. Le composizioni obbediscono al comandamento d’essere rigidamente impostate su un registro essenziale, al limite del calligrafico, ma la sobrietà ci convince del risultato. Il solco della tradizione è tracciato, ma seguirne il percorso senza aggiungere le proprie impronte è come non averci camminato. La fotografia è un libro che non finisce mai di essere scritto, a patto d’avere qualcosa da dire. Come in questo caso.
Giuseppe Cicozzetti
foto Dimpy Bhalotia
https://www.dimpybhalotia.com/
DIMPY BHALOTIA
Few, very few were the photos in Henri Cartier-Bresson's house; one, maybe two. One, for which the great photographer had a real admiration, was Martin Munkácsi's “Three Boys at Lake Tanganika”. Three kids immortalized from behind who release an irrepressible vitality as they run towards the waters of the lake. Why did Cartier-Bresson love that photograph? Because, as he himself said: "I suddenly understood that photography can fix eternity in a moment". Looking at Dimpy Bhalotia's “Flying Boys” photograph, and with which she won the British Journal of Photography's Female in Focus Award 2020, it seems that the three kids from Munkácsi are back after a 90-year journey. What's more, they seem to have returned to take flight and captured at the precise moment when the photographer's eye, heart and mind are perfectly aligned like a distant constellation. There is, in the photographs of the young Indian woman based in London, something that comes from a precise photographic tradition and that firmly anchors the composition to those three fundamental components mentioned, orienting it towards the search for the moment in which a human episode - and not alone - has the ability to carry out its meaning. Unrepeatable. There’s no shortage of references, and they are a sign of a solid visual culture. What we look at in Dimpy Bhalotia's photographs seems to come out of a story rewritten with new words, new hints but firmly determined to be interpreted through a lexicon that forces us to pause in the quotationist space just the time it takes before taking on a life of its own. And this subtle and graceful vision of things that hovers over events, has that breath that lies within a poetic vision of life, because to take photographs that are able to restore the beauty of a gesture, you need to love life and its interpreters. Here men and animals, caught individually or at the crossroads of mutual interaction, appear to us as subjects that are barely involuntary in dialogue but who, on closer inspection, are captured in the exact moment of a secret dialogue. The strength of Dimpy Bhalotia's photographs comes from afar and therefore is well structured. And it is seen above all in the balancing of forms, in the formal bet played on the body of animal subjects, from which, in other circumstances, we grasp a happy surrealist trace, an ideal terrain in which to resolve certain compositional recklessness. Dimpy Bhalotia's work stops at the confluence of two different photographic currents: humanism and surrealism (Cartier-Bresson himself experienced a very delicate surrealism before founding Magnum), both handled with ease and confidence. Her is a very clear, minimal voice. The compositions obey the commandment to be rigidly set on an essential register, bordering on calligraphic, but the sobriety convinces us of the result. The groove of tradition is traced, but following its path without adding one's footprints is like not having walked through it. Photography is a book that never stops being written, as long as you have something to say. As in this case.
Giuseppe Cicozzetti
ph. Dimpy Bhalotia
https://www.dimpybhalotia.com/
references meaning 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
รู้จัก EECi เมืองนวัตกรรมแห่งใหม่ของประเทศไทย / โดย ลงทุนแมน
สหรัฐอเมริกามี ซิลิคอนวัลเลย์ เป็นเมืองเทคโนโลยี
จีนมี เซินเจิ้น ที่เปลี่ยนตัวเองจากอาณาจักรก๊อบปี้ มาเป็นดินแดนนวัตกรรมล้ำสมัย
ทีนี้หลายคนคงถามแล้วเมืองไทย สถานที่นี้อยู่ที่ไหน? ...
Continue ReadingKnow EECi, Thailand's innovative city / by investman
USA has Silicon Valley as a tech city
China has Shenzhen that transforms itself from a photoby approach to a modern innovation land.
Many people may ask now. Where is Thailand?
We must have heard EEC or EC economic development area in the development of 3 provinces in the East, Chonburi, Rayong and Chachoengsao.
Which is one of the Mega projects under Thailand policy 4.0
With a total infrastructure investment of 1.5 trillion baht.
To have both high speed trains, double rail trains, airport and harbor.
To connect travel conveniently and uplift the Thai industry compared to world class.
Which 1 in 3 provinces will exist. One area that is raised to be a city of innovation.
EECi or Eastern Economic Economic Corridor of Innovation is located in Wang Moon Valley, Rayong province.
Area up to 3,454 Rai
How much time does EECi have to be a Silicon Valley of Thailand?
Invest man will tell you about it.
╔═══════════╗
Blockdit is a platform of source of thinkers.
Help to update the situation in video article format.
Including podcasts to listen to on the go.
Try it out at Blockdit.com/download
╚═══════════╝
EECi aims Thailand to move forward to innovative new industries.
To add economic value to long term countries
When it's like this, it's impossible to guess that EECi must be a source of scientists and good engineers.
Let's combine research materials to top up new industries with advanced technologies.
By this innovative city, there are ′′ 6 target industry ′′ that serves differently.
1. Modern agriculture that will change old agriculture completely.
Because you know that Thailand has 6.8 million farming households.
But it's only 8 % income from the total GDP value of 1.68 trillion baht.
From such information, it means indirect meaning that Thai farmers will have less income than other industrial sector. When it's like this, it's a result. The new generation doesn't want to be farmers.
EECi has another mission to innovate modern agriculture research. Modern Farming
To solve this problem by making productivity more but using less people but more quality.
With infrastructure such as Plant Factory (Plant Factory)
It's a technology to help new generation farmers to produce effectiveness.
Because it's a planting system. Shut up or semi-shut system can control the environment
Such as lighting, temperatures and food elements are suitable for plant growth.
Phenomics Greenhouse Technology Farmhouse (Phenomenics Greenhouse) will have equipment to measure the physical characteristics of plants.
Growing in various conditions of how high and growth is.
Then, gather as a database to help select strong plant species.
2. biofuels and biological chemicals
When the produce is much, it has to be sold more expensively.
This area will also serve advanced technology to privatize agricultural produce to increase in value.
One of them is Biorefinery. Biorefinery. A prototype to privatize agricultural produce.
Go to high value products
Which is Dr. Jane Kritthaya, Director EECi from National Science and Technology Development Office of the National Science and Technology Development Office (NCO) ) As the EECi regulatory agency says, ′′ EECi will help make more value for raw materials in the country to go to the world market. From the same time that Thailand sells ′′ tons of rice ′′ can be sold from rice to ′′ gram ′′ at the same time. More value added than ′′
By this prototype biological refinery starts from design, experimenting, agricultural produce.
Comes to the fermentation process, then separates the produce into 2 parts.
It's Non-GMP to produce fuel and biological materials.
And GMP will produce food, cosmetics and supplements.
3. high performance battery and modern transportation
Many people may not know that our country is the world's number 11 big car manufacturer.
But today. Car technology runs further than we think.
The trend of the world will surely occur, is that the combustion engine will gradually go extinct.
And will be replaced by BEV Car
And if we don't want to lose a huge income that will happen in the future.
It has to be Thailand as part of the manufacturing base of electric cars and future cars.
By one of the key structures is ′′ high performance battery production
For that reason, EECi will be a space to mobilize engineers and specialists in public and private sector. Think of how to make Thailand a top largest battery production base of Asia to develop unmanned automotive technology.
4. Automation, Robotics and Smart Electronics
We may have heard often that technology will replace human labor.
To keep industrial costs cheaper and more quality products.
EECi is not overlooked by the creation of robotics and intelligent industrial mechanical machines so that they can support and test the prototype development process, manufacturing products for entrepreneurs.
Make the innovation center sustainable or sustainable Manufacturing Center (SMC) develops people with knowledge.
So far, production line samples so that both small and medium produce sector have experimented with semi-automatic and automatic production processes. Make it suitable for your business or not. To bring information before making a real investment in your business.
5. Aviation and Space
Many people may question whether our country can actually do this?
But the government sector is considered in Thailand
World top manufacturing base and automotive parts
We should also be able to develop future aircraft and aircraft parts too.
When it's like this, EECi will be a gathering of good engineers to develop the aviation industry.
Unmanned aircraft to satellite
6. Medical Devices
From the facts of Thailand, we produce rubber gloves and condoms to the top of the world.
But.. another angle is a weakness.
Each year we import high tech medical devices, 7-8 billion baht per year.
Which if Thailand is a Medical Hub in the eyes of the world.
It's necessary to decrease imports and turn to manufacturers of advanced medical devices, technology.
Which would make EECi have a team to innovate to produce various medical instruments in the area.
Also, in the EECI area, there will be a 3 GeV Energy Level sin Light Generator
Which produces a million times brighter than the daylight.
With this brightness is like a special microscope.
Where we can see all kinds of material molecules on Earth thoroughly.
Interesting is this beam is an important science infrastructure.
Continuing research and development in various industries.
When looking at EECi, the side round must say this could be another turning point of the country.
We're doing all the way to build a higher business and new industries.
To add value to the Thai economic system.
Because if we don't hurry up to do it today.. in the future, we may be a country left behind.
It's hard to run a world that is changing so fast.
In the past, Thai research results invented at laboratory level, there are still limited to developing manufacturing processes to forward to useful users. We have weaknesses that are not invested in infrastructure and mechanism to expand research. And another side can't take much advantage of foreign advanced technology. Because of lack of infrastructure and mechanism to support technology adaptation to Thai context.
In the future, EECi would be an important infrastructure and mechanism of the country to shut down the weaknesses in this matter..
╔═══════════╗
Blockdit is a platform of source of thinkers.
Help to update the situation in video article format.
Including podcasts to listen to on the go.
Try it out at Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Follow up to invest manly at
Website - longtunman.com
Blockdit-blockdit.com/longtunman
Facebook-@[113397052526245:274: lngthun mæn]
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram-instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
- www.eeci.or.th/th/home
- Fact Sheet EECi DocumentTranslated
references meaning 在 Meaning of reference - YouTube 的推薦與評價
... <看更多>