Please Stand with Hong Kongers. 🙏🙏🙏🙏
#Repost @nytimes with @get_repost
・・・
Chanting slogans like “Liberate Hong Kong,” thousands of people in Hong Kong flouted a police ban on Thursday as they gathered to memorialize the Tiananmen Square massacre, a striking display of defiance against Beijing’s tightening grip on the territory.
The public displays of anger and grief took on greater meaning this year amid a push by China to impose broad new security measures that take direct aim at the semiautonomous territory’s antigovernment demonstrations. In what critics see as the government’s latest attempt to curb dissent, Hong Kong on Thursday passed a law making it a crime to mock China’s national anthem.
On every June 4 since 1990, huge crowds in Hong Kong have joined in a vigil to remember the loss of lives, and the loss of ideals, in Tiananmen Square in 1989, when Chinese tanks and soldiers crushed a monthslong protest in Beijing calling for democratic changes to China’s one-party rule.
This year, for the first time, Hong Kong officials banned the annual vigil, in an effort, they said, to curb the spread of the coronavirus.
Tap the link in our bio to read the latest in this developing story. Photo by @lamyikfei.
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「take measures meaning」的推薦目錄:
- 關於take measures meaning 在 黃耀明 Anthony Wong Facebook 的最讚貼文
- 關於take measures meaning 在 Patchai Pakdeesusuk Facebook 的精選貼文
- 關於take measures meaning 在 葉漢浩 Alex Ip Facebook 的最讚貼文
- 關於take measures meaning 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
- 關於take measures meaning 在 大象中醫 Youtube 的最佳貼文
- 關於take measures meaning 在 大象中醫 Youtube 的最佳貼文
- 關於take measures meaning 在 take measures中文的評價和優惠,YOUTUBE和商品老實說的 ... 的評價
take measures meaning 在 Patchai Pakdeesusuk Facebook 的精選貼文
ประชาชนที่รัก
โคโรน่าไวรัสได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปอย่างมาก ความเข้าใจในสภาวะปกติของชีวิตประจำวัน ของการอยู่ร่วมกันในสังคม กำลังถูกทดสอบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พวกท่านนับล้านคนไปทำงานไมไ่ด้ ลูกหลานไปโรงเรียนหรือสถานอนุบาลไม่ได้ โรงภาพยนตร์ โรงละคร และร้านค้าต่างปิดตัวไป และสิ่งที่อาจจะลำบากยากเย็นที่สุดคือ เราจะไม่ได้พบหน้ากันอย่างที่ควรจะเป็นตามปกติ
แน่นอนว่า ในสถานการณ์แบบนี้ เราทุกคนล้วนกังวลสงสัยว่า "จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป"
ข้าพเจ้าจึงได้มาพบกับทุกท่านในวันนี้ เพราะข้าพเจ้าประสงค์จะบอกกล่าวต่อท่านว่า
ในฐานะสมุหนายก และเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าทุกคนในรัฐบาลสหพันธรัฐ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้
นี่คือส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยที่เปิดกว้างของเรา
ที่เราจะทำให้การตัดสินใจทางการเมืองโปร่งใส และอธิบายต่อประชาชน
ว่าเราจะสร้างการสื่อสารการลงมือทำของเราให้ดีที่สุดสุดกำลังของเรา
ให้ทุกท่านได้เป็นส่วนหนึ่ง มีความสัมพันธ์ร่วมกัน
ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างหนักแน่นว่า เราจะจัดการงานครั้งนี้ได้สำเร็จ
หากประชาชนทุกคน มองว่าเป็นหน้าที่ร่วมกันของพวกเรา
ดังนั้น ขอให้ข้าพเจ้ากล่าวย้ำอีกครั้งว่า
"นี่เป็นเรื่องจริงจัง โปรดได้เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้เช่นกัน"
นับแต่การรวมชาติเยอรมัน ไม่สิ นับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
ไม่เคยมีความท้าทายใดจะคุกคามประเทศของเราได้มากขนาดนี้
ซึ่งทำให้เราต้องร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง
ข้าพเจ้าขออธิบายสถานการณ์ของโรคระบาดในประเทศของเราในปัจจุบัน
และสิ่งที่รัฐบาลสหพันธ์และรัฐบาลแห่งแคว้นได้กำลังลงมือทำอยู่
เพื่อปกป้องทุกคนในชุมชนของเรา
เพื่อลดความเสียหายที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
แต่ข้าพเจ้าก็ยังอยากจะบอกต่อท่านถึงเหตุผล ว่าทำไมความช่วยเหลือของท่านจึงจำเป็น และบอกถึงสิ่งที่ทุกคนสามารถช่วยเหลือกันได้ในยามโรคระบาดเช่นนี้
ข้อมูลของข้าพเจ้าได้มาจากคำปรึกษาของรัฐบาลกลาง ร่วมกับสถาบันโรแบร์ต คอช นักวิทยาศาสตร์และนักไวรัสวิทยา
การวิจัยอย่างเข้มข้นกำลังดำเนินไปทั่วโลก แต่ในตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษาหรือวัคซีนที่จะต่อสู้กับโคโรน่าไวรัสนี้ได้ ดังนั้น ตราบที่ยังเป็นอย่างนี้ สิ่งเดียวที่ทำได้ และเป็นแนวทางปฏิบัติของพวกเราทั้งหมด คือ
"การชะลอการระบาดของไวรัส"
เพื่อถ่วงเวลาให้ยาวนานข้ามวันเดือน และเอาชนะด้วยเวลา
เวลาที่วิทยาศาสตร์จะพัฒนายาและวัคซีน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลา
เวลาที่จะให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและหายดีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เยอรมนีมีระบบการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม อาจจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดในโลก
ซึ่งนำความเชื่อมั่นมาให้เรา
แต่เมื่อโรงพยาบาลของเราเต็มล้น
หากในระยะเวลาอันสั้น ผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลมากเกินไป
ผู้ป่วยที่ติดเชื้ออย่างรุนแรง
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขสถิติ
แต่คือคุณพ่อ คุณปู่ คุณตา
คุณแม่ คุณย่า คุณยาย
คนรักของเรา
พวกเขาคือผู้คน
และเราคือชุมชนที่อยู่ร่วมกัน
ซึ่งทุกชีวิต ทุกคน มีคุณค่า มีความหมาย
ในโอกาสนี้ อันดับแรก ข้าพเจ้าอยากจะขอกล่าวถึง
เหล่าแพทย์ พยาบาล ผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลและบุคลากรที่ทำงานสาธารณสุขทุกท่าน ผู้ยืนอยู่ในแนวหน้า พวกท่านได้พบกับผู้ป่วย พบความรุนแรงของการติดเชื้อ และเช้าวันรุ่งขึ้น พวกท่านก็ยังต้องไปทำงานอีก
สำหรับผู้คนแล้ว สิ่งที่ท่านทำนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ข้าำเจ้าขอขอบพระคุณจากใจจริง
เป้าหมายของเราคือ การถ่วงเวลาที่ไวรัสจะแพร่กระจายไปทั่วเยอรมนี
เราจึงจำเป็นต้องลดการใช้ชีวิตนอกบ้านให้มากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล ให้ประเทศของเราดำเนินงานต่อไปได้
ทรัพยากรในการดำรงชีพ ต้องรับประกันว่าจะมีเพียงพอ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเป็นไปตามปกติให้มากที่สุด
แต่สิ่งใดที่จะเป็นภัยต่อผู้คนจำนวนมาก สิ่งที่จะก่อความเสียหายต่อบุคคลหรือชุมชน เราต้องลดลงตั้งแต่บัดนี้ เราต้องลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้ผู้อื่นให้เหลือน้อยที่สุด
ข้าพเจ้าทราบดีว่า มาตรการนี้ยากลำบากเพียงใด ไม่มีงานกิจกรรม ไม่มีงานออกร้านค้าขาย ไม่มีคอนเสิร์ต และในตอนนี้ ไม่มีการไปโรงเรียน ไม่มีการไปมหาวิทยาลัย ไม่มีการไปสถานอนุบาล ไม่มีการละเล่นในสนามเด็กเล่น ข้าพเจ้าทราบว่าการปิดทุกอย่างดังกล่าวมา ซึ่งรัฐบาลกลางและรัฐบาลแคว้นเห็นพ้องต้องกัน นั้นได้แทรกแซงชีวิตและความเป็นประชาธิปไตยของเรา
เป็นการจำกัดเสรีภาพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในสาธารณรัฐของเรา
แต่ข้าพเจ้าขอยืนยันกับท่านทั้งหลายว่า
สำหรับข้าพเจ้าที่ได้ต่อสู้อย่างหนักหน่วงมายาวนาน เพื่อให้ได้เสรีภาพในการเดินทางและเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่
การจำกัดสิทธินี้เป็นเพียงมาตรการในสถานการณ์จำเพาะอย่างยิ่ง
ในระบอบประชาธิปไตยที่เราไม่พึงกระทำการตามอำเภอใจ
และจะเป็นเพียงระยะเวลาชั่วคราวเท่านั้น
เพราะในเวลานี้ เป็นวิธีที่ขาดไม่ได้ในการรักษาชีวิตคน
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ การตรวจคนเข้าเมืองบริเวณพรมแดนและการจำกัดการเข้าเมืองจะมีผลบังคับใช้
สำหรับทางด้านเศรษฐกิจ บริษัทใหญ่และเล็ก ร้านค้า ร้านอาหาร คนทำงานอิสระ เป็นเรื่องยากลำบากที่จะดำเนินการต่อไป และในสัปดาห์หน้า จะยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าขอรับรองว่า รัฐบาลของเราจะทำงานอย่างสุดกำลังเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรักษาตำแหน่งงาน
เราสามารถและจะใช้ทุกสิ่งที่มีเพื่อช่วยเหลือธุรกิจและคนทำงานในการทดสอบที่ยากลำบากนี้ และทุกคนจะมีอาหารอย่างเพียงพอในทุกเวลา หากชั้นวางสินค้าว่างเปล่าลง จะถูกเติมให้เต็ม
สำหรับผู้ที่กำลังซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า การเก็บตุนเสบียงเป็นเรื่องสำคัญ แต่การกักตุนไว้เป็นจำนวนมากนั้นไม่พึงเกิดขึ้น การกักตุนเกินต้องการนั้นไร้ประโยชน์ และเป็นสิ่งแสดงถึงการขาดจิตสำนึกร่วมอย่างร้ายแรง
และข้าพเจ้าขอขอบพระคุณ เหล่าบุคคลที่ได้รับคำขอบคุณน้อยครั้งนัก
เหล่าผู้ที่นั่งอยู่หลังเครื่องเก็บเงินของร้านค้า
เหล่าผู้ที่เติมสินค้าให้ชั้นวางของ
พวกท่านได้ทำงานที่สำคัญและยากลำบากที่สุดงานหนึ่งในเวลานี้
ขอขอบพระคุณประชาชนทุกท่านที่ทำงานให้ร้านค้าทั้งหลายยังเปิดอยู่ได้
ต่อจากนี้เป็นเรื่องด่วนที่สุดสำหรับข้าพเจ้า
มาตรการทั้งหมดที่รัฐบาลดำเนินการ ล้วนมีจุดประสงค์
หากเราไม่ใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัส คือพวกเราทุกคน
เราทุกคนสามารถติดเชื้อไวรัสได้อย่างเท่าเทียมไม่แตกต่างกัน
ดังนั้นเราต้องช่วยกัน
อันดับแรก เราจึงต้องจริงจัง แต่ไม่ตื่นตระหนก
ไม่โทษกันเองว่าไม่ทำตามบทบาท เพราะทุกคนนั้นขาดไปไม่ได้
ทุกคนล้วนสำคัญ ต้องอาศัยความพยายามของพวกเราทุกคนไปพร้อมกัน
โรคระบาดครั้งนี้ทำให้เราเห็นว่า เราอ่อนแอเปราะบางแค่ไหน
เราต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นมากเพียงใด
แต่ก็เป็นโอกาสให้เราป้องกันตัวเองและคุ้มครองผู้อื่น สร้างความเข้มแข็งร่วมกัน ทุกคนมีความสำคัญ
เราต้องไม่ถูกประณามว่ารับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างเฉื่อยชา เรามีวิธีแก้ไขรักษา แม้เราจะต้องเว้นระยะห่างระหว่างกัน
ข้อแนะนำของนักไวรัสวิทยานั้นชัดเจน
ไม่จับมือ
ล้างทำความสะอาดมืออย่างสม่ำเสมอ
อยู่ห่างกันอย่างน้อย 1.5 เมตร
งดเว้นการติดต่อกับผู้อาวุโส เพราะพวกท่านมีความเสี่ยงสูงสุด
ข้าพเจ้าทราบดีว่ามาตรการดังกล่าวนั้นยากลำบากยิ่งนัก
โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่กดดน เรายิ่งอยากอยู่ร่วมกันใกล้ชิด
อยากดูแลกันอย่างชิดใกล้
แต่ในเวลานี้ น่าเสียดายที่การทำตรงกันข้ามเป็นสิ่งที่ถูกต้องกว่า
เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า ตอนนี้ การห่างไกลกันคือการแสดงความห่วงใย
การเยี่ยมเยือน การเดินทางที่ไม่จำเป็น ล้วนแล้วแต่อาจทำให้ติดเชื้อได้
และไม่ควรเกิดขึ้นในเวลานี้
และนี่คือเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า
ปู่ย่าตายายและหลานๆ ยังไม่ควรเจอกัน
ผู้ที่หลีกเลี่ยงการพบปะโดยไม่จำเป็น จะช่วยเหล่าผู้คนที่ยังทำงานในโรงพยาบาล ที่กำลังดูแลผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทุกวัน นี่คือวิธีที่เราจะช่วยรักษาชีวิตคนได้
เป็นเรื่องยาก ที่จะไม่ทิ้งใครให้อยู่เพียงลำพัง ที่จะดูแลคนที่ต้องการความเอาใจใส่ดูแล ในฐานะครอบครัวและสังคม เราจะหาทางร่วมมือกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ในตอนนี้ได้มีวิธีการมากมายที่สร้างสรรค์ เพื่อต่อสู้กับไวรัสและผลกระทบทางสังคม
มีเหล่าหลานๆ ที่บันทึกพ็อดแคสต์ส่งให้ปู่ย่าตายายของพวกเขาได้ฟัง ให้รู้ว่าพวกท่านไม่ได้อยู่ตามลำพัง
เราทุกคน จะหาทางแสดงความรักและมิตรภาพ สไกป์ โทรศัพท์ อีเมล หรือแม้แต่กลับมาเขียนจดหมายกันอีกครั้ง
จดหมายไปรษณีย์ทั้งหมดจะได้รับการส่งถึงอย่างแน่นอน
มีข่าวเล่าถึงการช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่สูงอายุ ซึ่งไม่สามารถออกไปซื้อของได้ด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าแน่ใจว่าจะมีมากยิ่งไปกว่านี้อีก!
เราจะแสดงให้เห็นว่า ในความเป็นสังคม เราจะไม่ทิ้งให้ใครอยู่เพียงลำพังคนเดียว
ข้าพเจ้าร้องขอต่อท่านว่า โปรดจงได้เคารพกฎที่กำลังจะออกมาต่อจากนี้
เรา ในฐานะรัฐบาล จะตรวจสอบแก้ไขอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเราจะทบทวนตอบสนองมาตรการต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้ในทุกเวลา และแน่นอนว่า เราจะอธิบายให้ทุกท่านรับทราบในทันที
ด้วยเหตุฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงขอย้ำต่อท่านว่า "อย่าหลงเชื่อข่าวลือใดๆ!"
นอกจากข่าวสารจากทางการ ซึ่งเราจะแปลออกเป็นหลายภาษา
เราเป็นชาติประชาธิปไตย
เราไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างถูกบังคับ
แต่อยู่ได้โดยการแบ่งปันข้อมูลความรู้และความร่วมมือกัน
นี่คืองานชิ้นประวัติศาสตร์
และจะสำเร็จลงได้ด้วยการร่วมมือกัน
ข้าพเจ้ามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า
เราจะข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้
แต่ด้วยผู้เสียหายจำนวนเท่าใด?
เราต้องเสียคนที่เรารักไปมากเท่าใด?
คำตอบนั้นอยู่ที่สองมือของเราลงมือทำ
ในตอนนี้ เราจะร่วมคิด ร่วมทำ ไปร่วมกัน
เราสามารถยินยอมรับข้อจำกัดต่างๆ แล้วเผชิญหน้าไปพร้อมกัน
สถานการณ์ตอนนี้หนักหนา แต่ก็ยังเปิดกว้าง
หมายความว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวินัยของทุกคนที่จะปฏิบัติตามกฎและดำเนินการให้สอดคล้องกัน
แม้ว่าเรายังไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่เราจะกระทำอย่างจริงใจและมีเหตุผล เพื่อที่จะรักษาชีวิตผู้คนไว้
โดยไม่มีข้อยกเว้น ขึ้นอยู่กับเราแต่ละคน และเราทุกๆ คน
ได้โปรดดูแลตัวเองและคนที่ท่านรัก
ข้าพเจ้าขอขอบคุณ
- อังเกลา แมร์เคิล, สมุหนายกแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
แถลงข่าวทางโทรทัศน์ต่อสาธารณชนเยอรมัน 19 มีนาคม 2020
ธีรภัทร เจริญสุข แปลจาก https://youtu.be/F9ei40nxKDc
Beloved people.
Coronavirus has dramatically transformed our lives. Understanding the normal condition of everyday life of social coexistence is being tested like never before.
Millions of you go to work. We can't go to school or kindergarten. Cinemas, theatre and stores are closed. And the thing that may be the hardest thing is that we won't see each other as usual.
Of course, in this situation, we all worry, wondering ′′ what will happen next
I have come to meet with all of you today because I want to tell you that
As the Prime Minister and all my colleagues in the federation government amid this situation.
This is part of our open-minded democracy.
That we will make transparent political decisions and explain to the public.
That we will build our communication, action to the best of our strength.
Let everyone be part of the relationship together.
I am confident that we will manage this job successfully.
If all citizens considered our shared duty.
So let me repeat again that
′′ This is serious, please take this seriously too ′′
Since German unification, no, but WWII.
Never had a challenge to threaten our country so much
Which makes us strong together.
I would like to explain the plague of our current plague in our country.
And what the Federal and Regional Government are doing.
To protect everyone in our community
To reduce the damage to economic, social and cultural.
But I want to tell you why your help is needed and tell you how everyone can help each other in this plague.
My data is obtained from federal consultations with Robert Cosh Institute, scientists and virusist.
Intense research is going around the world, but currently there is no cure or vaccine to fight this coronavirus, so as long as this is the only thing that can and is our guideline.
′′ Slow down the viral outbreak ′′
To delay long over the days, months and overcome with time.
Time for science to develop medicine and vaccines.
And especially time
Time to get the patients treated and recover as well as they can.
Germany has an excellent medical system, probably one of the best countries in the world.
Which brings us faith.
But when our hospital is overflowing
If in a short period of time, too many patients admitted to hospital.
Patient with severely infected.
These are not just statistic numbers.
It's father, grandfather, grandfather, grandfather.
Mother, grandmother, grandmother.
Our lover.
They are the people
And we are a community together
Every life has a value for meaning.
On this occasion, I would like to mention.
Doctors, nurses, hospital practitioners and public health workers standing in the front line. They meet patients, facing the brunt of the infection and the next morning you go to work.
For people, what you do is immense.
I thank you sincerely.
Our goal is to delay the virus will spread across Germany.
We therefore need to reduce outside living. It must be reasonable for our country to carry on.
Livelihood resources must guarantee that there will be enough and economic activity will be most normal.
But what's a threat to many people, what's going to damage our individual or community must be reduced. From now on, we have to minimize the risk of infections to others.
I know how tough this measure is. No events, no stores, no concerts, and no school, no university, no kindergarten, no play in the playground. I know that all of these closures come to the government. Central and the government of the Agreement has interrupted our lives and democracy.
Limiting freedom like never before in our republic
But I assure you all,
For me, I have fought hard for a long time to obtain freedom of travel and move my habitat.
Limiting this right is just a measure in a very specific situation.
In a democracy we don't have to act on a whim.
And will only be a temporary period of time
Because at the moment, this is an indispensable way to save a person's
For this reason, from the beginning of the week, border immigration and urban restrictions are mandatory.
For economics, big and small companies, shops, restaurants, independent workers are hard to carry on and next week will be even harder.
I assure you that our government will work hard to relieve economic impact, especially to maintain job title.
We can and will use everything we have to help businesses and people working on this tough test. And everyone will have enough food anytime if the shelf is empty.
For those who are buying products in supermarkets, I confirm that keeping supplies is important. But a lot of hoarding is not happening. Hoarding over need is useless and represents a strong lack of conscience.
And I would like to thank those who received little thanks.
Those who sit behind store cashiers
Those who fill up the shelf
You have done the most important and difficult job at this time.
Thank you to all the people who work for the stores still open.
From now on, it's most urgent for me.
All measures the government implemented have a purpose
If we don't take the most effective measures to stop the viral epidemic, we all are.
We can all be infected with the virus equally. No difference.
So we need to help each other
Firstly, we must be serious but not panic.
I don't blame each other for not following the role because everyone is absent.
Everyone is important. We all have to put our efforts together.
This plague shows us how vulnerable we are.
How much do we rely on others
But it's an opportunity for us to protect ourselves and protect others. Build strength together. Everyone is important.
We must not be condemned for dealing with the epidemic of the virus. We have a cure even if we have to distance ourselves.
Viralist advice is clear.
Not holding hands.
Wash, clean hands regularly.
At least 1.5 meters apart
Refrain from contacting elders because you are at highest risk.
I know that the measures are tough.
Especially in the times that we push on, we want to be together closer.
I want to take care of each other very close.
But at this time, unfortunately doing the opposite is more accurate.
We need to understand that far away from each other is showing concern.
An unnecessary visit to travel can cause an infection.
And shouldn't be happening at this time
And this is why experts say
Grandparents and grandkids still shouldn't meet
Those who avoid unnecessary meeting help those working in hospitals who are taking care of patients everyday. Here's how we can save lives.
It's difficult not to leave anyone alone to take care of those who need care. As a family and society we will find a way to help each other.
Now there are many creative ways to fight viruses and social impacts.
There are nephews who recorded podcasts sending to their grandparents. Let's know you're not alone.
We will all find a way to show love and friendship. Skype, phone, email or even back to write letters again.
All postal letters will definitely be delivered.
News of helping an elderly neighbor who can't afford to go shopping on their own. I'm sure there will be more!
We will show that in society we will never leave alone alone
I say to you, please respect the rules that are coming out.
We, as a government, will continually investigate and resolve to keep up with the rapidly changing events and we will review the measures to work anytime and of course, we will explain to you all immediately.
For this reason, I repeat to you, ′′ Do not believe any rumors!"
Apart from official news we translate into multiple languages
We are a democratic nation.
We don't live life forced.
But live by sharing information, knowledge and cooperation.
This is a historic piece.
And it will be done by collaboration.
I'm very confident that
We will cross through this crisis.
But with how many victims?
How much do we have to lose someone we love?
The answer is at two hands. Take action.
Now we will think, join together.
We can consent to the limitations and confront them together.
Current situation is heavy but still wide open
It means everything depends on everyone's discipline to follow the rules and act accordingly.
Although we haven't experienced this before, we will act sincere and reasonably to save people's lives.
Without exception, it's up to each and every one of us.
Please take care of yourself and your loved ones
I thank you.
- Angle Merkel, Prime Minister of Federal Republic of Germany
Press conference on television on German public 19 March 2020
Theiraphat Charoen Suk translates from https://youtu.be/F9ei40nxKDcTranslated
take measures meaning 在 葉漢浩 Alex Ip Facebook 的最讚貼文
戴耀廷的結案陳詞
公民抗命的精神
首先,這是一宗公民抗命的案子。
我站在這裏,就是為了公民抗命。陳健民教授、朱耀明牧師與我一起發起的「讓愛與和平佔領中環運動」,是一場公民抗命的運動。在以前,少有香港人聽過公民抗命,但現在公民抗命這意念在香港已是家傳戶曉。
終審法院在律政司對黃之鋒案Secretary for Justice v Wong Chi Fung (2018) 21 HKCFAR 35採納了約翰羅爾斯在《正義論》中為公民抗命所下的定義。公民抗命是「一項公開、非暴力、真誠的政治行為,通常是爲了導致法律上或社會上的改變,所作出的違法行爲。」
在律政司對黃之鋒案,賀輔明勳爵是終審法院的非常任法官。在此案,終審法院引述了賀輔明勳爵在R v Jones (Margaret) [2007] 1 AC 136的說法:「出於真誠理由的公民抗命在這國家有源遠流長及光榮的歷史。」終審法院認同公民抗命的概念是同樣適用於其他尊重個人權利的法制如香港。但為何公民抗命是光榮和文明呢?終審法院沒有進一步解釋。
約翰羅爾斯的定義大體只能說出公民抗命的行為部分。 在馬丁路德金博士非常有名關於公民抗命的著作《從伯明罕市監獄發出的信》中,他道出更多公民抗命的意圖部分或公民抗命的精神。這信函是他在 1963年4 月16日,因在亞拉巴馬州伯明罕市參與示威爭取民權後被判入獄時寫的。
在信函中他說:「一個人若不遵守不公義的法律,必須要公開,充滿愛心和願意接受懲罰。個人因為其良心指出某法律是不公義的,而且甘心接受懲處,是要喚起社會的良知,關注到那中間的不公義,這樣其實是對法律表達了最大的敬意。」
馬丁路德金博士認為有時法律在表面上是公義的,但實行時卻變得不公義。他說:「我未得准許而遊行,並因而被捕,現在的確有一條法例,要求遊行須得准許,但這條法例如果是用了來…否定公民運用和平集會和抗議的權利,則會變成不公義。」
他還說:「 面對一個經常拒絕談判的社區,非暴力的直接行動正是為了營造一次危機,以及加強一種具創造力的張力,逼使對方面對問題,也使問題戲劇地呈現出來,讓其不能再被忽略。」
馬丁路德金博士對我啟發良多,我們也把這精神栽種在「讓愛與和平佔領中環運動」中。緊隨馬丁路德金博士在公民抗命之路的腳步,我們努力去開啟人心中那份自我犧牲的愛及平靜安穩,而非煽惑憤怒與仇恨。
終審法院在律政司對黃之鋒案進一步引述賀輔明勳爵在R v Jones (Margaret) 的說法:「違法者與執法者都有一些規則要遵守。示威者的行為要合乎比例,並不會導致過量的破壞或不便。以証明他們的真誠信念,他們應接受法律的懲處。」
雖然終審法院在律政司對黃之鋒案沒有引述這部分,賀輔明勳爵在R v Jones (Margaret) 還說:「另一方面,警察與檢控官的行為也要有所節制,並法官在判刑時應考慮示威者的真誠動機。」這些有關公民抗命的規則應也適用,終審法院應不會反對。
公民抗命的目的並不是要妨擾公眾,而是要喚起公眾關注社會的不公義,並贏取人們認同社會運動的目標。若一個人被確立了是在進行公民抗命,那他就不可能會意圖造成不合理的阻礙,因那是與公民抗命背道而馳,即使最後因他的行動造成的阻礙是超出了他所能預見的。
非暴力是「讓愛與和平佔領中環運動」的指導原則。公民抗命的行為,就是佔領中環,是運動的最後一步。進行公民抗命時,示威者會坐在馬路上,手扣手,等候警察拘捕,不作反抗。我們計劃及希望達到的佔領程度是合乎比例的。我們相信所會造成的阻礙是合理的。
我相信我們已做了公民抗命中違法者所當做的,我們期望其他人也會做得到他們所當做的。
追求民主
在一宗公民抗命的案件,公民抗命的方法是否合乎比例,不能抽空地談,必須考慮進行那行動的目的。
這是一宗關乎一群深愛香港的香港人的案件,他們相信只有透過引入真普選,才能開啟化解香港深層次矛盾之門。
我就是他們其中一人。與那些一起追尋同一民主夢的人,為了我們的憲法權利,我們已等了超過三十年。當我還在大學讀法律時,我已參與香港的民主運動。現在,我的兒子也剛大學畢業了,香港還未有民主。
馬丁路德金博士在信函中還說:「壓迫者從不自願施予自由,自由是被壓迫者爭取得來的。…如同我們出色的法學家所說,延誤公義,就是否定公義。」我們在追求公義,但對當權者來說,我們計劃的行動誠然是妨擾。
《基本法》第45 條規定行政長官的產生辦法最終達至由一個有廣泛代表性的提名委員會按民主程序提名後普選產生的目標。《公民及政治權利國際公約》第 25 條規定:「凡屬公民,無分第二條所列之任何區別,不受無理限制,均應有權利及機會:…(乙)在真正、定期之選舉中投票及被選。選舉權必須普及而平等,選舉應以無記名投票法行之,以保證選民意志之自由表現 …」
聯合國人權委員會在《第25號一般性意見》,為《公民及政治權利國際公約》第 25 (乙) 條中的 「普及而平等」,提供了它的理解和要求。第15段說:「有效落實競選擔任經選舉產生的職位的權利和機會有助於確保享有投票權的人自由挑選候選人。」第17段說:「不得以政治見解為由剝奪任何人參加競選的權利。」
全國人民代表大會常務委員會在2004年就《基本法》附件一及附件二作出的解釋,實質改變了修改行政長官選舉辦法的憲法程序。在行政長官向立法會提出修改產生辦法的法案前,額外加了兩步。行政長官就是否需要進行修改,須向全國人民代表大會常務委員會提出報告。全國人民代表大會常務委員會根據香港特別行政區的實際情況和循序漸進的原則作出確定。相關法案須經立法會全體議員三分之二多數 通過,行政長官同意,並報全國人民代表大會常務委員會批准或者備案。
在2014年8月31日,全國人民代表大會常務委員會完成了憲法修改程序的第二步,作出了有關行政長官產生辦法的決定。全國人民代表大會常務委員會除決定行政長官可由普選產生外,就普選行政長官的產生辦法設下了具體及嚴厲的規定。
提名委員會的人數、構成和委員產生辦法都得按照第四任行政長官選舉委員會的人數、構成和委員產生辦法而規定。提名委員會按民主程序只可提名產生二至三名行政長官候選人。每名候選人均須獲得提名委員會全體委員半數以上的支持。
按著全國人民代表大會常務委員會自行設定的程序,全國人民代表大會常務委員會應只有權決定是否批准或不批准行政長官提交的報告,而不能就提名委員會的組成及提名程序,設下詳細的規定。全國人民代表大會常務委員會連自己設定的程序也沒有遵守。
若按著全國人民代表大會常務委員會設下的嚴厲條件去選舉產生行政長官,香港的選民就候選人不會有真正的選擇,因所有不受歡迎的人都會被篩選掉。這與普選的意思是不相符的。
這些香港人進行公民抗命,是要喚起香港社會及世界的關注,中國政府不公義地違背了憲法的承諾,也破壞了它的憲法責任。我們所作的,是為了維護我們及所有香港人的憲法權利,包括了反對我們的行動的人;是為了要我們的主權國履行承諾;是為了爭取香港憲制進行根本改革;及為香港的未來帶來更多公義。
和平示威的權利
這案件是關乎和平示威自由及言論自由的權利。
根據「讓愛與和平佔領中環運動」的原先計劃,舉行公眾集會的地方是遮打道行人專用區、遮打花園及皇后像廣場,時間是由2014年 10月1 日下午三時正開始,最長也不會超過2014年 10月5 日。我們期望會有三類人來到。
第一類人已決定了會參與公民抗命。他們會在過了合法的時限後,繼續坐在遮打道上。他們是那些在「讓愛與和平佔領中環運動」意向書上選了第二或第三個選項的人。第二類人決定不會參與公民抗命,而只是來支援第一類人。過了合法的時限後,他們會離開遮打道,去到遮打花園或皇后像廣場。他們是那些在「讓愛與和平佔領中環運動」意向書上選了第一個選項的人。第三類人還未決定是否參與公民抗命的行動。他們可以到合法時限快要過去的最後一刻,才決定是否留在遮打道上。
我們相信警方會有足夠時間把所有參與佔領中環公民抗命的示威者移走。估計會有數千人參與。我們要求參與者要嚴守非暴力的紀律。我們採用了詳細的方法去確保大部分即使不是所有參與者都會跟從。
我們是在行使受《基本法》第27 條保障的和平示威自由的憲法權利。這也與同受《基本法》第27 條保障的言論自由有緊密關係。透過《基本法》第39條,言論自由、表達自由、和平集會的自由受《香港人權法》第16 及17條的憲法保障,而這些條文與《公民及政治權利國際公約》第19 及21是一樣的,是《公民及政治權利國際公約》適用於香港的部分。
若原訂計劃真的執行,那可能會觸犯《公安條例》一些關於組織未經批准集結的規定,但我們相信那會舉行的公眾集會是不會對公眾構成不合理的阻礙的。會被佔領的空間,包括了馬路,是公眾在公眾假期可自由使用的。計劃佔領的時期,首兩天是公眾假期,最後兩天是周末。
當公眾集會的地方轉到政府總部外的添美路、立法會道及龍匯道的行人路及馬路的範圍(下稱「示威區域」),雖然集會的主題、領導、組織及參加者的組成已改變了,但精神卻沒有。在2014年9 月27 和 28日,人們是被邀請來示威區域參加集會的。這仍然是公民在行使和平示威自由及言論自由的權利。
相類似的公眾集會也曾在2012年9 月3至 8日,在反國民教育運動中在示威區域內舉行。除卻公民在那時候還可以進入公民廣場(政府總部東翼前地),在2012年9月在反國民教育運動的佔領空間,與示威者在2014年9 月27 和 28日在警方封鎖所有通往示威區域通道前所佔領的空間是很相近的。
自2012年的反國民教育運動後,這示威區域已被普遍認同,是可以用來組織有大量公眾參與,反對香港特別行政區政府的大型公眾集會的公共空間。換句話說,公眾都認知示威區域是一個重要場地,讓香港公民聚集去一起行使和平示威自由的權利。
根據此我們也抱有的公眾認知,當我在2014年9 月28日凌晨宣布提前佔領中環的時候,我們只可能意圖叫人來到示威區域而不會是任何其他地方。要佔領示威區域以外的地方,沒可能是當時我們所能想到的。沒有人會如此想的。
在梁國雄對香港特別行政區案Leung Kwok-hung v. HKSAR (2005) 8 HKCFAR 229, 終審法院指出: 「和平集會權利涉及一項政府(即行政當局)所須承擔的積極責任,那就是採取合理和適當的措施,使合法的集會能夠和平地進行。然而,這並非一項絕對責任,因為政府不能保證合法的集會定會和平地進行,而政府在選擇採取何等措施方面享有廣泛的酌情權。至於甚麼是合理和適當的措施,則須視乎個別個案中的所有情況而定。」
如控方証人黃基偉高級警司 (PW2) 在作供時所說,當有太多的示威者聚集在鄰接的行人路,警方為了示威者的安全,就會封鎖示威區域內的馬路。能有一個公共空間讓反對政府的人士和平集會以宣洩他們對香港特別行政區政府的不滿,對香港社會來說,那是一項公共利益。即使在示威區域長期舉行集會是違反《公安條例》,但這不會對公眾構成共同傷害。受影響的部分公眾只是很少,而造成的不便相對來說也是輕微。
終審法院常任法官包致金在楊美雲對香港特別行政區案Yeung May-wan v. HKSAR (2005) 8 HKCFAR 137中說:「《基本法》第二十七條下的保障,不會純粹因為集會、遊行或示威對公路上的自由通行造成某種干擾而被撤回。本席認為,除非所造成的干擾屬不合理,即超出可合理地預期公眾可容忍的程度,否則集會、遊行或示威不會失去這項保障。關於這一點,本席認為,大型甚或大規模集會、遊行或示威的參加者往往有理由指出,只有如此大規模的活動才能協助有效地表達他們的意見。除此之外,本席認為最明顯的相關考慮因素是干擾的嚴重程度和干擾為時多久。不過,也可能有其他的相關考慮因素,本席認為包括以下一項:在有關的干擾發生之前,是否有人曾一度或數度作出一項或多項干擾行為?可合理地預期公眾能容許甚麼,乃屬事實和程度的問題,但在回答這個問題時,法庭務須謹記,毫無保留地保存相關自由,正是合理性的定義,而非僅是用作決定是否合理的因素之一。」
參與示威區域的公眾集會的示威者並不能構成阻礙,因示威區域的馬路是由警方封鎖的。警方封鎖示威區域的馬路是為了保障示威者的安全 ,讓他們可以安全地及和平地行使和平集會的權利。就算在示威區域是造成了一定程度的阻礙,考慮到示威者是在行使他們的和平示威自由的憲法權利,那阻礙也不能是不合理的。
即使當示威者在2014年9 月28日走到分域碼頭街及夏慤道,人們只是被邀請來到示威區域而不是留在那些道路上。警方被要求開放通向示威區域的通路,好讓人們能去到示威區域與示威者們一起。若非通往示威區域的通路被警方封鎖了,大部份人即使不是所有人,應都會進入示威區域,而那些道路就不會被佔領。催淚彈也就沒有需要發放。
警方應有責任去促使公民能在示威區域舉行公眾集會,但警方卻把示威區域封鎖了,阻礙人們來到示威區域參與公眾集會。示威區域內的示威者不可能意圖或造成任何在示威區域以外所出現的阻礙,因他們只是邀請人們來到示威區域與他們一起。
當警方見到已有大量人群在示威區域外意圖進入示威區域,警方仍不負責任地拒絕開放通向示威區域的通路。警方必須為示威區域外所造成的阻礙及之後發生的所有事負上責任。
在警方發放87催淚彈及使用過度武力後,一切都改變了。如此發放催淚彈是沒有人能預見的,事情再不是我們所能掌控。到了那時候,我們覺得最重要的事,就是帶領參加運動的人平安回家。
在發放催淚彈後的無數個日與夜,我們竭力用不同方法去盡快結束佔領。我們幫助促使學生領袖與政府主要官員對話。我們與各方商討能否接受以變相公投為退場機制。我們籌組了廣場投票。即使我們這些工作的大部分最後都沒有成效,但我們真的是盡了力及用盡能想到的方法去達到這目標。最後,我們在2014年12 月3日向警方自首。金鐘範圍的佔領在2014年12 月11日也結束了。
不恰當檢控
這是關乎不恰當地以公眾妨擾罪作為罪名起訴的案件。
如賀輔明勳爵in R v Jones (Margaret) 所指出,檢控官也有公民抗命的規則要遵守的,他們的行為要有所節制。
在 “Public Nuisance – A Critical Examination,” Cambridge Law Journal 48(1), March 1989, pp. 55-84, 一文,J. R. Spencer 看到:「近年差不多所有以公眾妨擾罪來起訴的案件,都出現以下兩種情況的其中一個: 一、當被告人的行為是觸犯了成文法律,通常懲罰是輕微的,檢控官想要以一支更大或額外的棒子去打他; 二、當被告人的行為看來是明顯完全不涉及刑事責任的,檢控官找不到其他罪名可控訴他。」兵咸勳爵在 R v Rimmington [2006] 1 AC 469 採納了J. R. Spencer 對檢控官在控訴公眾妨擾罪時暗藏的動機的批評。
若有一適當的成文罪行能涵蓋一宗公民抗命案件中的違法行為,我們可以合理地質問為何要以公眾妨擾罪來起訴?即使這不構成濫用程序,但這案件的檢控官一定已違反了賀輔明勳爵在 R v Jones (Margaret) 所指出適用於他的公民抗命的規則,因他並沒有節制行為。
這是關乎不恰當地以串謀及煽惑人煽惑為罪名起訴的案件。
同樣地,在一宗公民抗命的案件及一宗涉及和平示威自由的權利的案件,以串謀及煽惑人煽惑為罪名起訴,那是過度的。在串謀的控罪,控方提出的証據是我們的公開發言。按定義,公民抗命一定是一項公開的行為。若這些公開發言可以用於檢控,那會把所有的公民抗命都扼殺於萌芽階段。那麼說公民抗命是一些光榮之事就變得毫無意義,因公民抗命根本就不可能出現。更惡劣的後果是,社會出現寒蟬效應,很多合理的言論都會被噤聲。對言論自由的限制必然是不合乎比例。
在香港普通法是否有煽惑人煽惑這罪名仍存爭議,但即使真有這罪行,在一宗公民抗命的案件及一宗涉及和平示威自由的權利的案件,以串謀及煽惑人煽惑為罪名起訴,那是過度地、不合理地及不必要地擴展過失責任。
因主罪行是那惹人猜疑的公眾妨擾罪,以煽惑人煽惑去構成公眾妨擾罪來起訴,那更會把過失責任擴展至明顯不合理的程度。若檢控官的行為不是那麼過度和不合理,起訴的罪名是恰當的,我們是不會抗辯的。無論如何,當控罪相信是過度及不合理,我們提出抗辯不應被視為拒絕接受法律的懲處,違反了違法者的公民抗命規則。
有些問題是我這位置難以解答的。若檢控官違反了賀輔明勳爵在 R v Jones (Margaret) 所指出的公民抗命的規則,那會有甚麼後果呢?由誰來糾正這錯誤呢?
守護法治
歸根究底,這是一宗關乎香港法治與高度自治的案件。
作為香港法治及憲法的學者,我相信單純依靠司法獨立是不足以維護香港的法治。 缺乏一個真正的民主制度,政府權力會被濫用,公民的基利不會得到充分的保障。沒有民主,要抵抗越來越厲害對「一國兩制」下香港的高度自由的侵害,會是困難的。在「雨傘運動」後,還有很長的路才能到達香港民主之旅的終點。
終審法院常任法官鄧國楨在退休前法庭儀式上致辭說:「雖然法官決意維護法治,讓其在香港的價值及運用恒久不變,但關鍵在於社會對法官予以由衷的支持。那應是何等形式的支持?我認為,應是全面而徹底的支持。如果法官受到不公的抨擊,請緊守立場並支持他們。可是,不要只因爲某些事件才對他們表示支持。那並不足夠,也可能已經太遲。大家應致力在社會上培養有利於法治的氛圍。我們在香港擁有新聞自由及選舉自由,必須努力發聲,讓你的選票發揮作用。請相信我,自由的代價是要時刻保持警覺。更重要的是,永遠不要放棄或低估自己的力量。如果我們整體社會堅持維護法治,無人可以輕易把它奪走。千萬不要讓此事變得輕而易舉。」
我們都有責任去守護香港的法治和高度自治。我在這裹,是因我用了生命中很多的年月,直至此時此刻,去守護香港的法治,那亦是香港的高度自治不可或缺的部份。我永不會放棄,也必會繼續爭取香港的民主。
我相信法治能為公民抗命提供理據。公民抗命與法治有共同的目標,就是追求公義。公民抗命是有效的方法去確保這共同目標能達成,至少從長遠來說,公民抗命能創造一個氛圍,讓其他方法可被用來達成那目標。
若我們真是有罪,那麼我們的罪名就是在香港這艱難的時刻仍敢於去散播希望。入獄,我不懼怕,也不羞愧。若這苦杯是不能挪開,我會無悔地飲下。
DCCC 480/2017
Closing Submission of Tai Yiu-ting (D1)
1. First, this is a case of civil disobedience.
2. Here, I am standing up for civil disobedience.
3. The Occupy Central with Love and Peace Movement, initiated by Professor Chan Kin-man, Reverend Chu Yiu-ming and I, was a movement of civil disobedience.
4. Civil disobedience, known little by Hong Kong people in the past, is now a household idea in Hong Kong.
5. The Court of Final Appeal in Secretary for Justice v Wong Chi Fung (2018) 21 HKCFAR 35 at paragraph 70 endorsed the definition of civil disobedience put forward by John Rawls in A Theory of Justice (Revised Edition, 1999) at p. 320.
6. Civil disobedience is “a public, nonviolent, conscientious yet political act contrary to law usually done with the aim of bringing about a change in the law or policies of the government.”
7. In Secretary for Justice v Wong Chi Fung, the Court of Final Appeal with Lord Hoffmann as the non-permanent judge repeated at paragraph 72 what Lord Hoffmann had said in R v Jones (Margaret) [2007] 1 AC 136 at paragraph 89, “civil disobedience on conscientious grounds has a long and honourable history in this country.” The Court of Final Appeal accepted that the concept of civil disobedience is equally recognisable in a jurisdiction respecting individual rights, like Hong Kong.
8. However, it was not explained why civil disobedience is honourable and civilised.
9. John Rawls’ definition spells out more the actus reus of civil disobedience.
10. In his very famous work on civil disobedience, Letter from a Birmingham Jail reproduced in The Journal of Negro History, Vol. 71, No. 1/4 (Winter - Autumn, 1986), pp. 38-44, Dr Martin Luther King Jr. provided more the mens rea of civil disobedience or the spirit of civil disobedience. The Letter was written by him on 16 April 1963 while in jail serving a sentence for participating in civil rights demonstration in Birmingham, Alabama.
11. He said (p. 41), “One who breaks an unjust law must do so openly, lovingly, and with a willingness to accept the penalty. I submit that an individual who breaks a law that conscience tells him is unjust, and willingly accepts the penalty by staying in jail to arouse the conscience of the community over its injustice, is in reality expressing the very highest respect for law.”
12. To Dr King, a law could be just on its face but unjust in its application. He said in the Letter (p. 40-41), “I was arrested…on a charge of parading without a permit. Now there is nothing wrong with an ordinance which requires a permit for a parade, but when the ordinance is used to …deny citizens the First Amendment privilege of peaceful assembly and peaceful protest, then it becomes unjust.”
13. He also said (p. 39), “Nonviolent direct action seeks to create such a crisis and establish such creative tension that a community that has constantly refused to negotiate is forced to confront the issue. It seeks so to dramatise the issue that it can no longer be ignored.”
14. I was inspired very much by Dr King, and this is the same spirit we have implanted in the Occupy Central with Love and Peace Movement. Following Dr King’s steps closely in the path of civil disobedience, we strive to inspire self-sacrificing love and peacefulness but not to incite anger and hatred.
15. The Court of Final Appeal in Secretary for Justice v Wong Chi Fung further cited what Lord Hoffmann had said in R v Jones (Margaret), “[T]here are conventions which are generally accepted by the law-breakers on one side and the law-enforcers on the other. The protesters behave with a sense of proportion and do not cause excessive damage or inconvenience. And they vouch the sincerity of their beliefs by accepting the penalties imposed by the law.”
16. Though the Court of Final Appeal did not quote this part of the judgment in Secretary for Justice v Wong Chi Fung, Lord Hoffmann in R v Jones (Margaret) also said, “The police and prosecutors, on the other hand, behave with restraint and the magistrates impose sentences which take the conscientious motives of the protesters into account.” These other conventions of civil disobedience should also apply, and it is not likely that the Court of Final Appeal would object.
17. The purpose of civil disobedience is not to obstruct the public but to arouse public concern to the injustice in society and to win sympathy from the public on the cause of the social movement.
18. If it is found that a person is committing an act of civil disobedience, he could not have intended to cause unreasonable obstruction as it will defeat the whole purpose of civil disobedience itself even if his action might at the end have caused a degree of obstruction more than he could have known.
19. Non-violence was the overarching principle of the Occupy Central with Love and Peace Movement. The act of civil disobedience, i.e. occupy Central, was the last resort of the movement. The manner of civil disobedience by the protesters was to sit down together on the street with arms locked and wait to be arrested by the police without struggling. The scale of occupation was planned and intended to be proportionate. We believe that the obstruction must be reasonable.
20. I believe we have done our part as the law-breaker in civil disobedience. We expect the others will do their parts.
21. In a case of civil disobedience, whether the means of civil disobedience is proportionate; contextually, the end must be considered.
22. This is a case about some Hong Kong people who love Hong Kong very much and believe that only through the introduction of genuine universal suffrage could a door be opened to resolving the deep-seated conflicts in Hong Kong.
23. I am one of those Hong Kong people. With all people who share the same democratic dream, we have waited for more than thirty years for our constitutional rights. Since the time I was a law student at the University, I had been involved in Hong Kong’s Democratic Movement. Now, my son has just graduated from the University, democracy is still nowhere in Hong Kong.
24. Also said by Dr King in the Letter (p. 292), “…freedom is never voluntarily given by the oppressor; it must be demanded by the oppressed…We must come to see with the distinguished jurist of yesterday that ‘justice too long delayed is justice denied.’”
25. In seeking for justice, our planned action in the eyes of the powerholders may indeed be a nuisance.
26. According to Article 45 of the Basic Law the ultimate aim of the selection of the Chief Executive (“CE”) is by universal suffrage upon nomination by a broadly representative nominating committee in accordance with democratic procedures.
27. Article 25 of the International Covenant on Civil and Political Rights (“ICCPR”) provides that, “Every citizen shall have the right and the opportunity, without any of the distinctions mentioned in article 2 and without unreasonable restrictions: … (b) To vote and to be elected at genuine periodic elections which shall be by universal and equal suffrage and shall be held by secret ballot, guaranteeing the free expression of the will of the electors…”
28. The United Nations Human Rights Committee gave its understanding and requirements of universal and equal suffrage under Article 25 of the ICCPR in its General Comment No. 25 adopted on 12 July 1996. (CCPR/C/21/Rev.1/Add.7).
29. Paragraph 15 provides that, “The effective implementation of the right and the opportunity to stand for elective office ensures that persons entitled to vote have a free choice of candidates.”
30. Paragraph 17 provides that, “political opinion may not be used as a ground to deprive any person of the right to stand for election.”
31. Through its Interpretation of Annex I and Annex II of the Basic Law in 2004, the Standing Committee of the National People’s Congress (“NPCSC”) in effect changed the constitutional procedures to amend the election methods of the CE.
32. Before the CE can put forward bills on the amendments to the election methods to the Legislative Council (“LegCo”), two more steps are added. The CE is required to make a report to the NPCSC as regards whether there is a need to make an amendment and the NPCSC must make a determination in the light of the actual situation in the Hong Kong Special Administrative Region (“HKSAR”) and in accordance with the principle of gradual and orderly progress. Such bills need to have the endorsement of a two-thirds majority of all the members of the LegCo and the consent of the CE, and they shall be reported to the NPCSC.
33. On 31 August 2014, the NPCSC completed the second step of the constitutional reform process by issuing a decision on the election method of the CE. The NPCSC laid down specific and stringent requirements on the election method of the CE by universal suffrage in addition to the determination that starting from 2017 the selection of the CE may be implemented by the method of universal suffrage.
34. The number of members, composition and formation of the Nomination Committee (“NC”) have to be made in accordance with the number of members, composition and formation method of the Election Committee for the 4th CE. The NC can only nominate two to three candidates for the office of CE in accordance with democratic procedures. Each candidate must have the endorsement of more than half of all the members of the nominating committee.
35. In accordance with the procedure added by itself, the NPCSC should only have the power to make a determination of approving or not approving the CE’s report but not providing detailed requirements on the composition and nomination procedures of the NC. The NPCSC has failed to follow the procedures set by itself.
36. If the requirements set by the NPCSC on the election method of the CE were to be followed, electors in Hong Kong would not have a genuine choice of candidates in the election as all unwelcome candidates would be screened out. This is not compatible with the meaning of universal suffrage.
37. These Hong Kong people resorted to civil disobedience to arouse more concern in the community and the world that the Chinese Government had unjustly broken its constitutional promise and breached its constitutional obligation.
38. We did all we had done to protect our constitutional rights and the constitutional rights of all Hong Kong people including those who disagreed with our action, to demand a constitutional promise to be honored by our sovereign, to strive for a fundamental reform in the constitutional system of Hong Kong, and to bring more justice to the future of Hong Kong.
39. This is also a case of the right to freedom of peaceful demonstration and the right to freedom of speech.
40. According to the original plan of the Occupy Central with Love and Peace Movement, the public meeting to be organised was to be held at the Chater Road Pedestrian Precinct, the Chater Garden, and the Statue Square, from 3:00 pm on 1 October 2014 to the latest on 5 October 2014.
41. We expected that there would be three groups of people coming. The first group of people decided to commit the act of civil disobedience. They would continue to sit on the Chater Road after the notified time expired. They would be the people who had chosen the second or the third option in the letter of intent of the Occupy Central with Love and Peace Movement.
42. The second group of people decided not to commit the act of civil disobedience but just came to support the first group of people. They would leave the Chater Road after the notified time expired and move to the Chater Garden or the Statue Square. They would be the people who had chosen the first option in the letter of intent of the Occupy Central with Love and Peace Movement.
43. The third group of people might not have made up their mind yet on whether they would join the action of civil disobedience. They could decide at the very last moment when the notified time expired by choosing where to stay.
44. We believed that the police would have sufficient time to remove all the protesters joining the act of civil disobedience of occupy Central; estimated to be a few thousands.
45. We asked all participants to observe the discipline of non-violence strictly. We adopted specific measures to ensure most if not all participants would follow.
46. We were exercising our constitutional right to the freedom of peaceful demonstration protected by Article 27 of the Basic Law. It is also closely associated with the right to freedom of speech also protected by Article 27 of the Basic Law. By Article 39 of the Basic Law, constitutional protection is also given to freedom of opinion, of expression and of peaceful assembly as provided for in Articles 16 and 17 of the Hong Kong Bill of Rights, those articles being the equivalents of Articles 19 and 21 of the ICCPR and representing part of the ICCPR as applied to Hong Kong.
47. If the original plan were to be carried out, it might breach some requirements under the Public Order Ordinance concerning the organisation of unauthorised assembly. However, we believed that the public meeting to be held would not cause unreasonable obstruction to the public.
48. The space to be occupied, including the carriageway, can be freely used by every citizen on public holidays.
49. The first two days of the planned occupation were public holidays and the last two days were the weekend.
50. When the venue of the public meeting was moved to the area outside the Central Government Offices including the pavements and carriageways at Tim Mei Avenue, Legislative Council Road and Lung Hui Road (“the Demonstration Area”), though the public meeting’s themes, leadership, organization and composition of participants had changed, the spirit had not.
51. People were asked to join the public meeting in the Demonstration Area on 27 and 28 September 2014. It was still an exercise of their constitutional right to freedom of peaceful demonstration and freedom of speech by Hong Kong citizens.
52. Similar public meetings had been held in the Demonstration Area during the Anti-national Curriculum Campaign from 3-9 September 2012. Citizens at that time could have access to the Civic Square, i.e. the East Wing Forecourt of the Central Government Offices. Other than that, the space being occupied by protesters during the Anti-national Curriculum Campaign in September 2012 was very similar to the space that was being occupied by protesters on 27 and 28 September 2014 before the police cordoned all access to the Demonstration Area.
53. Since the Anti-national Curriculum Campaign in 2012, the Demonstration Area has been generally recognised to be the public space that can be used for organising big public meetings with a large number of people participating to protest against the Government of the HKSAR. In another word, the Demonstration Area is known to the public to be an important venue for citizens of Hong Kong to gather and to exercise their right to peaceful demonstration together.
54. On the basis of this public knowledge that we share, at the time when I announced the early beginning of the Occupy Central in the small hours on 28 September 2014, we could only be intending to ask people to come to the Demonstration Area but no other place. Occupying places outside the Demonstration Area could not have been in the thought of us at that time. No one could have intended that.
55. The Court of Final Appeal in Leung Kwok-hung v. HKSAR (2005) 8 HKCFAR 229 at paragraph 22 pointed out that, “…the right of peaceful assembly involves a positive duty on the part of the Government, that is the executive authorities, to take reasonable and appropriate measures to enable lawful assemblies to take place peacefully.”
56. As senior superintendent Wong Key-wai (PW2) said in his evidence, the police closed the carriageways in the Demonstration Area for the safety of the protesters when there were too many protesters on the adjacent pavements.
57. Having a public space for the public opposing the Government of the HKSAR to gather and vent their dissatisfaction against the Government peacefully is a public benefit to the society of Hong Kong. No common injury to the public can be caused even if a public meeting is being held in the Demonstration Area in contravention with the Public Order Ordinance for a prolonged period. The section of the public that will be affected is very small and the inconvenience caused is comparatively insignificant.
58. Mr Justice Bokhary PJ said in Yeung May-wan v. HKSAR (2005) 8 HKCFAR 137 at paragraph 144, “The mere fact that an assembly, a procession or a demonstration causes some interference with free passage along a highway does not take away its protection under art. 27 of the Basic Law. In my view, it would not lose such protection unless the interference caused is unreasonable in the sense of exceeding what the public can reasonably be expected to tolerate. As to that, I think that the participants in a large or even massive assembly, procession or demonstration will often be able to say with justification that their point could not be nearly as effectively made by anything on a smaller scale. Subject to this, the most obviously relevant considerations are, I think, how substantial the interference is and how long it lasts. But other considerations can be relevant, too. These include, I think, whether the interference concerned had been recently preceded by another act or other acts of interference on another occasion or other occasions. What the public can reasonably be expected to tolerate is a question of fact and degree. But when answering this question, a court must always remember that preservation of the freedom in full measure defines reasonableness and is not merely a factor in deciding what is reasonable.”
59. No obstruction can be caused by the protesters participating in a public meeting in the Demonstration Area as all carriageways in the Demonstration Area were closed by the police. The police closed the carriageways in the Demonstration Area to ensure the protesters there can exercise their right to freedom of peaceful assembly safely and peacefully. Even if there were to be some degree of obstruction in the Demonstration Area, the obstruction could not be unreasonable in light of the constitutional right to freedom of peaceful demonstration of the protesters.
60. Even after protesters walked into the carriageways of Fenwick Pier Street and Harcourt Road on 28 September 2014, people were continuing to be asked to come to the Demonstration Area but not to stay on those roads. The police were demanded to reopen the access to the Demonstration Area so that people could come and join the protesters in the Demonstration Area. If the access to the Demonstration Area were not blocked by the police, most if not all of the people out there would have entered the Demonstration Area and those roads would not have been occupied. No tear gas would need to be fired.
61. It should be the duty of the police to facilitate the holding of a public meeting in the Demonstration Area by citizens. However, the police had cordoned the Demonstration Area and prevented people from joining the public meeting in the Demonstration Area. Any obstruction outside the Demonstration Area could not be intended or caused by the protesters gathering in the Demonstration Area who were just inviting other people to join them in the Demonstration Area.
62. The police irresponsibly refused to reopen the access to the Demonstration Area even after the police saw that a large number of people were gathering outside the Demonstration Area intending to enter the Demonstration Area. The police must be responsible for the obstruction outside the Demonstration Area and what happened afterwards.
63. Everything changed after the firing of the 87 canisters of tear gas and excessive force had been used by the police.
64. The firing of tear gas in such a way was something that no one could have known. Matters were no longer in our control. By then, the most important thing we wanted to do was to bring everyone home safe.
65. In the many days and nights following the firing of the tear gas, we had tried to use different methods to bring an earlier end of the occupation. We helped arrange a dialogue between the student leaders and senior government officials. We tried to convince others to accept an arrangement of de facto referendum as a mechanism to retreat. We organised a plaza voting. Even though most of the things we had done came to be futile, we did work very hard and exhausted all methods we could think of to achieve this goal. In the end, we surrendered to the police on 3 December 2014. The occupation at the Admiralty area ended on 11 December 2014.
66. This is a case about the improperness of laying charges relating to public nuisance.
67. As asserted by Lord Hoffmann in R v Jones (Margaret), prosecutors also have conventions to follow in a case of civil disobedience. They should behave with restraint.
68. In “Public Nuisance – A Critical Examination,” Cambridge Law Journal 48(1), March 1989, pp. 55-84, at p. 77, J. R. Spencer observed that, “...almost all the prosecutions for public nuisance in recent years seem to have taken place in one of two situations: first, where the defendant’s behaviour amounted to a statutory offence, typically punishable with a small penalty, and the prosecutor wanted a bigger or extra stick to beat him with, and secondly, where the defendant’s behaviour was not obviously criminal at all and the prosecutor could think of nothing else to charge him with.”
69. Lord Bingham in R v Rimmington [2006] 1 AC 469 at paragraph 37 endorsed the criticisms of J. R. Spencer concerning the ulterior motive of a prosecutor laying a charge of public nuisance.
70. If there is an appropriate statutory offence to cover the unlawful act in a case of civil disobedience, one would rightly ask why laying the charges of public nuisance? Even though it might not be an abuse of process, the prosecutor in this case must have breached the convention of civil disobedience applicable to him as asserted by Lord Hoffmann in R v Jones (Margaret) for failing to behave with restraint.
71. This is a case about the improperness of laying charges of conspiracy and incitement to incite.
72. Similarly, laying charges of conspiracy and incitement to incite is excessive in a case of civil disobedience and a case of the right to freedom of peaceful demonstration.
73. Pieces of evidence relied upon by the prosecution in the conspiracy charge were public statements made by us. Civil disobedience by definition must be a public act. If these public statements can be used to support the prosecution, all civil disobedience at its formation stage will be suppressed. It is meaningless to talk about civil disobedience as something honourable as no civil disobedience would have happened. Even worse, a chilling effect will be generated in society, and many legitimate speeches will be silenced. The restriction on the right to freedom of speech must be disproportionate.
74. Whether there can be an offence of incitement to incite under the Hong Kong common law is still disputable. Even if there is such an offence, laying charges of incitement to incite in a case of civil disobedience and a case of the right to freedom of peaceful demonstration must have extended culpability excessively, unreasonably and unnecessarily.
75. Since the substantial offence is the questionable offence of public nuisance, laying a charge of incitement to incite public nuisance must have extended culpability to even a manifestly unreasonable degree.
76. If the prosecutor has not acted in such an excessive and unreasonable manner and proper charges were laid, we would not have filed a defence.
77. Nonetheless, filing a defence against charges believed to be excessive and unreasonable should not be considered to be failing to comply with the conventions of civil disobedience on the part of the law-breakers as not accepting the penalties imposed by the law.
78. There are some questions that I am not in the position to answer. If the prosecutor fails to comply with the convention of civil disobedience asserted by Lord Hoffmann in R v Jones (Margaret), what will be the consequence? Who is responsible for rectifying the wrongs?
79. At the end, this is a case about Hong Kong’s rule of law and high degree of autonomy.
80. As a scholar of the rule of law and the constitutional law of Hong Kong, I believe that merely having judicial independence is not sufficient to maintain the rule of law in Hong Kong.
81. Without a genuinely democratic system, powers of the government can still be exercised arbitrarily, and the fundamental rights of citizens will not be adequately protected. Also, without democracy, it will be difficult to withstand the more and more severe encroachment on Hong Kong’s high degree of autonomy under the policy of “One Country Two Systems”. After the Umbrella Movement, there is still a long way before we can reach the destination of Hong Kong’s journey to democracy.
82. Mr Justice Tang, PJ at his Farewell Sitting (2018) 21 HKCFAR 530 at paragraphs 17-19 said, “…although judges are prepared to uphold the rule of law as it has always been understood and applied in Hong Kong, the community must be willing to support them. In what form the support should take? I think the support should be all-embracing. If the judiciary is unfairly attacked, you should hold firm and stand up for them. But, support should not only be events driven. That is not enough. It may be too late. You should endeavour to nurture an atmosphere friendly to the rule of law. We have a free press and free elections in Hong Kong. Make your voice heard and your vote count. Believe me, the price of freedom is indeed eternal vigilance. Above all else, do not give up or underestimate your strength. If we as a community insist on the rule of law, it cannot be taken from us easily. Do not make it easy.”
83. We all have our duty to defend the rule of law and the high degree of autonomy in Hong Kong.
84. I am here because I have used many years of my life and up to this very moment to defend the rule of law of Hong Kong, an integral part of Hong Kong’s high degree of autonomy. I will also never give up on striving for Hong Kong’s democracy.
85. I believe that civil disobedience can be justified by the rule of law. Civil disobedience and the rule of law share the same goal in pursuing justice. Civil disobedience is an effective way of securing the attainment of this common goal at least in the long run by creating the climate within which other means can be used to achieve that goal. (See Benny Yiu-ting Tai, “Civil Disobedience and the Rule of Law,” in Ng, M. H. (Ed.), Wong, J. D. (Ed.). (2017). Civil Unrest and Governance in Hong Kong. London: Routledge. At pp. 141-162.)
86. If we were to be guilty, we will be guilty for daring to share hope at this difficult time in Hong Kong.
87. I am not afraid or ashamed of going to prison. If this is the cup I must take, I will drink with no regret.
List of Authorities
1. Secretary for Justice v Wong Chi Fung (2018) 21 HKCFAR 35, paragraphs 70 and 72.
2. John Rawls, A Theory of Justice (Revised Edition, 1999), p. 320.
3. Martin Luther King Jr. “Letter from a Birmingham Jail,” The Journal of Negro History, Vol. 71, No. 1/4 (Winter - Autumn, 1986), pp. 38-44.
4. R v Jones (Margaret) [2007] 1 AC 136, paragraph 89.
5. UN Human Rights Committee, General Comment No 25 adopted on 12 July 1996 (on Article 25 of the International Covenant on Civil and Political Rights), CCPR/C/21/Rev.1/Add.7, paragraph 15 and 17.
6. Leung Kwok-hung v HKSAR (2005) 8 HKCFAR 229, paragraph 22.
7. Yeung May-wan v HKSAR (2005) 8 HKCFAR 137, paragraph 144.
8. J. R. Spencer, “Public Nuisance – A Critical Examination,” Cambridge Law Journal 48(1), March 1989, pp. 55-84, p. 77.
9. R v Rimmington [2006] 1 AC 469, paragraph 37.
10. Farewell Sitting for the Honourable Mr Justice Tang PJ (2018) 21 HKCFAR 530, Tang PJ, paragraphs 17-19.
11. Benny Yiu-ting Tai, “Civil Disobedience and the Rule of Law” in Ng, M. H. (Ed.), Wong, J. D. (Ed.). (2017). Civil Unrest and Governance in Hong Kong. London: Routledge. At pp. 141-162.