รีโพสต์
เพราะมีสมาชิกใหม่เข้ามาหลายท่าน
โพสต์นี้ คือตัวตน และแนวคิดของเพจนี้ค่ะ
#หนึ่งตัวอย่าง_สำคัญกว่าหมื่นคำสอน
หมอศรัทธาเรื่องการปลูกฝังให้ลูกรักการอ่านอย่างมาก
ถึงสร้างเพจนี้ขึ้นมา
เพราะอะไร..ถึงเชื่อ?
.
หมอมีประสบการณ์ของเด็กคนหนึ่ง
จะเล่าให้ฟัง...ซึ่งคือตัวหมอเองค่ะ
.
หมอเติบโตมาจากครอบครัวที่มีแม่เลี้ยงเดี่ยว
พ่อเป็นข้าราชการ
แต่เสียชีวิตตั้งแต่หมออายุ 8 ปี พี่ชายอายุ 10 ปี
จากครอบครัวข้าราชการ
แม่ก็เป็นช่างเสริมสวยเปิดร้านเล็กๆของตัวเอง
ไม่ได้ลำบากอะไร...พอพ่อเสียชีวิต
ทุกคนคงพอเดาได้..
.
แม่ต้องทำงานหนักมาก
จากที่เปิดร้านเสริมสวยอย่างเดียว
แม่ต้องทำสวนไปด้วย
เพราะรายได้จากร้านเสริมสวยอย่างเดียว
ไม่พอสำหรับส่งลูกสองคนเรียนหนังสือ
ตี 2 แม่จะออกจากบ้านไปตัดยางพารา
(ยังโชคดีอยู่บ้าง..ที่บ้านมีที่ดินสวนยางพารา)
ตัดยางเสร็จประมาณ 6 โมงเช้า
มาทำอาหารเช้าให้ลูกไปโรงเรียน
หลังจากลูกไปโรงเรียน
กลับไปเก็บน้ำยางพารา เอาน้ำยางไปขาย
เสร็จแล้ว ราวๆ 8-9 โมงเช้า กลับมาเปิดร้านเสริมสวย
ร้านจะปิดได้เมื่อลูกค้าหมด...ก็ราวๆ 2-3 ทุ่ม
กว่าแม่จะได้เข้านอน ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน
แม่ทำงานแบบนี้โดยเคยบ่น ไม่เคยโอดครวญ
.
หมอจำ moment ที่ได้อ่านหนังสือกับแม่ไม่ได้เลย
หมอไม่เคยมี moment ว่าแม่สอนการบ้าน
หมอไม่เคยมี moment ว่าแม่จัดตารางสอนให้
ไม่ค่อยมีความทรงจำว่าแม่จ้ำจี้จำไชในการเรียน
.
แต่สิ่งที่ “ประทับ ติด ในใจ” ของหมอคือ
.
เรา เป็น คน ที่ แม่ ไว้ใจ
.
“จิตใจของเด็ก”ที่แม่ให้เกียรติ
แม่ให้อำนาจในการใช้ชีวิต
โดยมีกรอบของความดี
และมีแม่เป็นต้นแบบของขยันหมั่นเพียร
ความมุมานะพยายาม
มันมีความภูมิใจมากนะคะ
ยิ่งเวลาเห็นแม่ดีใจ...เวลาเราทำอะไรสำเร็จ
ยิ่งอยากพยายามทำความดียิ่งขึ้นๆ
.
แม่ทำให้เราสองคนพี่น้องรู้สึกเสมอคือ
เราเป็นทีมเดียวกัน
หากเรามีปัญหา เราก็แก้ไปด้วยกัน
.
ท่านอาจนึกภาพไม่ออก
ว่าเด็กคนหนึ่ง ป.2 (ตัวหมอตอนนั้น) และพี่ชาย ป.4
เราต้องซักรีดเสื้อผ้า และชุดนักเรียนเอง
ซักถุงเท้า ซักรองเท้าผ้าใบเอง
ช่วยแม่ หุงข้าว ล้างจาน บางวันที่แม่ไม่ว่างทำกับข้าว
สองคนพี่น้องก็ทำกับข้าวง่ายๆกินเองได้
วันเสาร์ อาทิตย์ ช่วยแม่ทำสวน และงานที่ร้าน
.
..และด้วยความเป็นเด็ก
แม้จะมีอะไรผิดพลาดไปบ้าง
เราก็ได้เรียนรู้ ผลของการกระทำของตัวเอง
เช่น เคยลืมซักถุงเท้าไปโรงเรียน
เรียนวิชาพุทศาสนา ต้องถอดรองเท้าไปนั่งในห้อง
ถุงเท้าเหม็น...เป็นที่รังเกียจของเพื่อนๆ
ก็ได้บทเรียนว่าต่อไปต้องซักถุงเท้า
.
ที่บ้าน ไม่ได้มีเงิน ซื้อหนังสือ
ซื้อของเล่นเสริมพัฒนาการ
ร้านเสริมสวย ก็จะรับหนังสือ หญิงไทย สกุลไทย
ให้ลูกค้าอ่าน
หมอก็ชอบอ่านนิทานที่อยู่ท้ายเล่ม...เรียกว่ารอคอยเลยค่ะ
พอรู้ว่าลูกชอบอ่านหนังสือ
แม่ก็ไปยืมนิทาน หนังสือเด็ก
จากห้องสมุดชุมชนมาให้
.
เพราะหมอได้ค้นพบว่า
#การอ่านทำให้เราได้พบกับสิ่งที่เราอาจจะไม่มีโอกาสได้พบได้เจอเลยในชีวิตของเรา
.
แต่ในโลกของการอ่าน
(หรือก็คือจินตนาการของเรานั่นแหละ)
เราสามารถเป็นเจ้าหญิง..เราเป็นผู้วิเศษ
เราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ
เหมือนที่ตัวเอกในนิทานได้รับรู้
และการที่เราอ่านหนังสือ....เป็นความสนุกที่เกิดขึ้นภายในใจ
โดยที่เราไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น...เพราะเราอ่านหนังสือได้เอง
ที่สำคัญ พออ่านหนังสือ แม่ก็ไม่ค่อยเรียกใช้งาน
(นี่เป็นความลับเลยค่ะ ความคิดแบบเด็กๆ
พออ่านหนังสือตั้งใจ แม่ก็ไม่เรียกใช้ เพราะแม่อยากให้ลูกเก่ง 555)
นั่นแหละค่ะ...หมอเป็นหนอนหนังสือเต็มตัวตั้งแต่ประถม
.
หมอโชคดีที่สุด..ที่แม่มีวิสัยทัศน์ในการให้การศึกษาลูก
.
แม้เราจะเป็นชนชั้นกลาง ค่อนไปทางยากจน
แต่แม่ต้องการให้ลูกมีการศึกษาที่ดีที่สุด
ตอนประถมศึกษา แม่เล็งเห็นว่า โรงเรียนประถมใกล้บ้าน
ครูที่สอน...ก็คือครูที่เคยสอนแม่ (เมื่อ 20 ปีก่อน)
ห้องเรียน สิ่งแวดล้อม ไม่ได้พัฒนาไปจากสมัยที่แม่เรียนเลย
แม่ก็กระเสือกกระสน...พาลูกไปฝากเข้าเรียน
โรงเรียนประถมชื่อดังในอำเภอเมือง
เพื่อให้ลูกได้สิ่งแวดล้อมในการเรียนที่ดีกว่า...ที่แม่เคยได้
คนรอบข้าง...มีแต่คนหัวเราะเยาะนะคะ
แค่โรงเรียนประถม
เป็นแม่หม้าย ฐานะไม่ได้ร่ำรวย
ทำไมต้องส่งลูกไปเรียนในเมืองให้สิ้นเปลือง
.
ทุกวันนี้ พิสูจน์แล้ว...ว่าแม่คิดถูก
เพราะเราอยู่ในประเทศ
ที่ยังไม่สามารถทำให้คุณภาพโรงเรียนเท่าเทียมกันได้
การเลือกโรงเรียนให้ลูก...
ก็คือ เลือกสิ่งแวดล้อม กว่า 6-8ชม./วันให้เด็ก
.
ตอนนั่งรถเมล์กลับบ้าน ใช้เวลาราวๆ 40 นาที เช้าเย็น
ก็นั่งอ่านหนังสือนอกเวลา ที่ยืมจากห้องสมุด
ไม่ได้ไปเรียนพิเศษ..เพราะเป็นเด็กต่างอำเภอ
ขืนเรียน รถเมล์หมด...อดกลับบ้านกันพอดี
โชคดีที่ประถมที่เรียน เป็นโรงเรียนเครือเทศบาล (จ.นครศรีธรรมราช)
โรงเรียนมีการจัดสอบแข่งขันระหว่างโรงเรียนในเครือ
เดือนละครั้ง ครูที่โรงเรียน ก็สอนแนวติวข้อสอบตลอด
ทำให้สอบเข้า ม.1โรงเรียนชื่อดังได้โดยไม่ต้องไปติวที่ไหนเพิ่ม
.
ตอนเรียนมัธยม
มีเพื่อนที่เรียนเก่ง ถือว่าเป็นที่ 1 ของชั้นประถมที่เคยเรียนด้วยกัน
ไปเรียนในโรงเรียนเดียวกัน
เพื่อนคนนั้น...ตอนประถม
ทั้งเรียนพิเศษ ทั้งขยันอ่านหนังสือเรียน
และพ่อแม่ก็คาดหวังมาก
.
ต่างกับหมอ..แม่ไว้ใจมาก (+แม่ไม่มีเวลา)
ไม่ค่อยได้ทบทวนหนังสือเรียน
ตอนประถม เรียนแบบชิวๆมาก
เอาเป็นว่า ไม่ทำให้แม่ผิดหวังเป็นพอ
คือ สอบเข้าโรงเรียนดีๆได้
ไม่ต้องให้แม่เสียเงินฝากเรียน
.
พอมัธยม
หมอก็ค้นพบว่า การเรียน แล้วตั้งเป้าหมาย
ช่างเป็นเรื่องที่สนุกมาก
และการอ่านหนังสือนอกเวลาตอนเด็กๆ
ไม่ใช่เรื่องเสียเปล่า
บางอย่างมันจุดประกายให้เราคิด
บางอย่าง เราได้เรียนรู้ ก่อนที่เราจะเรียนแล้วด้วยซ้ำ
ที่สำคัญ เราอ่านหนังสือ และจับประเด็นได้ดี
โดยไม่ต้องท่องจำ
.
นี่สินะ...อาวุธของการอ่าน
.
หมอเริ่มรู้ตัว...ว่าตัวเองค่อยๆเปล่งแสงมากขึ้นๆ
แต่เพื่อนคนเก่งสมัยประถม แสงค่อยๆมัวลงๆ
คนที่เราคิดว่าโดดเด่นมากๆ..ทำไมพอเรียนมัธยมแล้ว
เพื่อนกลับเรียนอ่อนกว่าเรามาก....
.
ตอนม.ปลาย โดยที่ไม่ทันสังเกต
ตัวเองก็ตีตื้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำของโรงเรียน
ตอนม.5 ม.6 เรียกว่า สอบแข่งขันที่ไหน
ถ้าเป็น ชีววิทยา เคมี ระดับภาค จะต้องได้รางวัล
มีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ
โดยที่เราไม่ได้รู้สึกว่าการเรียนมันยากลำบาก
เพราะเป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่าย
อ่านหนังสือแล้วจับใจความได้ดี
.
จนในที่สุด ก็สอบตรงเข้าคณะแพทย์ ได้แบบสบายๆ
คงไม่ต้องบอกว่าแม่ภูมิใจขนาดไหน
มันคุ้มกับ “ความไว้ใจ”ที่แม่มอบให้
.
เรื่องประสบการณ์ตรงของเด็กคนนี้
จะชี้ให้เพื่อนๆเห็น 3 ประเด็น
.
ประเด็นแรก
ตอนที่ลูกเป็นเด็ก...อย่าดูถูกศักยภาพของเค้า
ถ้าเรามั่นใจว่าเราเป็นต้นแบบแห่งความดีของลูกได้จริง
สอนด้วยปาก....ให้น้อยกว่าเป็นตัวอย่างให้ดู
เหมือนที่หมอ เห็นแม่เป็นฮีโร่เสมอ
แม่อดทน แม่พากเพียร
แม่เป็นคนมีวิสัยทัศน์ที่ดีมากเรื่องการศึกษา
แม่ไม่มีอุปกรณ์เสริมทักษะ เหมือนที่หมอใช้กับลูก
แต่แม่มีทักษะชีวิตจริงๆให้ลูกฝึก
การ “ไม่มี” บางทีมันก็คือ “มีมาก"
ตอนเด็กๆ...หมอไม่มีหนังสือให้อ่านมากนัก
แต่หมอเห็นคุณค่าของการอ่านมากๆ
ตอนเด็กๆ...หมอไม่ได้มีของเล่น...
แต่หมอมีงานบ้าน งานสวนที่ฝึกแล้วได้ทักษะอาชีพติดตัวด้วย
ประเด็นที่ 2
ไม่มีใคร สามารถบังคับใครให้ ”เรียน” ได้หรอก
กระบวนการเรียนรู้ (Learning) จนเกิดทักษะ (skill)
ขั้นตอน คือ การอ่านข้อมูล-->ประมวลผลว่าข้อมูลใดมีประโยชน์
-->เอาสิ่งที่รู้ไปปฏิบัติ ทำซ้ำ ก็จะเกิดเป็นความรู้ถาวร
เราเรียกว่า”ทักษะ”
.
ความรู้ที่เป็นความจำ เอาไปสอบแล้วทิ้งนั้น
เป็นสิ่งที่เปลืองเนื้อที่ของสมองจริงๆค่ะ
.
ในศตวรรษที่ 21 เด็กไม่ต้อง ”จำเรื่องที่ไม่จำเป็น” อีกต่อไป
เพราะแค่กดหาใน internet ข้อมูลก็อยู่ตรงหน้ามหาศาล
ถ้าจะเรียน ก็ต้องให้เค้าเรียนว่า “จะวิเคราะห์” ข้อมูล
(critical thinking)
และนำไปใช้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง
.
การบังคับให้ลูกอ่านหนังสือเรียน
เราบังคับเค้าได้แค่ขั้นแรก
คือบังคับให้ลูก”นั่งมอง” ตัวหนังสือ
กระบวนการต่อจากนั้น....เราบังคับไม่ได้เลย
.
เด็กที่ ติวเยอะๆๆ ไม่มีเวลาได้สำรวจตัวเอง
เรียนเหมือนเป็นหุ่นยนต์เรียน
ท้ายที่สุด...สมองก็จะเหนื่อยล้า
ได้รับแต่ข้อมูล แต่ขาดกระบวนการคิด
มีให้เห็นตั้งมากมายค่ะ
ก็นักเรียนที่หมอสอน...ซึ่งนักเรียนที่ยังไม่ค้นพบ
ว่าตัวเองมาเรียนเพื่ออะไร..ก็จะมีปัญหาในชั้นคลินิก
เพราะมันต้องแปลงความรู้ให้เกิดเป็น”ทักษะ”ให้ได้
.
ประเด็นที่ 3
การอ่าน
เทียบได้กับอาวุธ
ที่ลูก “ต้อง” มีติดตัว
ไม่ใช่เพื่อการแข่งขันกับคนอื่น
แต่เพื่อให้ลูกได้เป็นคนที่มีความคิดกว้างไกล
ต่อสู้กับข้อมูลที่จะถาโถมมาใส่เค้าในวันข้างหน้า
ซึ่งมีทั้งทางดี และไม่ดี
การอ่านหนังสือกับลูก
ก็คือการแชร์ความคิดกับลูกตั้งแต่เล็ก
เป็นการปลูกฝัง ให้ลูก คิดดี คิดชอบ
ต่อไปข้างหน้า ไม่ว่าข้อมูลที่มันหลุดนอกกรอบความคิดที่อยู่ในฝั่งดี
ก็จะทำร้ายเค้าไม่ได้
.
ศตวรรษที่ 21 ระบบการเรียนการสอนแบบเดิม
จะล่มสลาย แน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว
แต่เด็กที่รักการอ่าน หมายถึง รักการเรียนรู้ รักการหาคำตอบ
จะเป็นผู้ที่ปรับตัว...และดำรงอยู่อย่างปกติสุขได้
.
ลองย้อนกลับไปอ่านข้างต้น
ตอนนี้ใครที่บอกว่าเลี้ยงลูกมันลำบาก?
ท่านเข้านอนเกือบเที่ยงคืน ตื่นตี 2 อยู่รึเปล่า
ท่านรับภาระเลี้ยงลูก 2 คน ด้วยตัวคนเดียว
กับวุฒิ ป.7 อยู่รึเปล่า
ถ้าใช่?
ท่านไม่ต้องกังวลว่าลูกจะล้มเหลวเพียงเพราะท่านไม่ได้มีเวลา
เล่นกับลูกเหมือนคนที่เค้าเพียบพร้อมทางการเงิน
แค่ให้ความรักแก่เค้า
เป็นตัวอย่างของความดี ความมุมานะ ให้ลูกเห็น
ลูกท่าน ไม่ว่าเค้าจะโตมาทำอาชีพอะไร
จะทำให้เค้ามีสัมมาอาชีพแน่นอน
ถ้าไม่ใช่?
แล้วจะมีอะไรที่ทำให้เราเลี้ยงลูกให้ดีไม่ได้ล่ะ?
ท่านมีแต้มต่อกว่าคนอีกตั้งมากมาย
.
อ่านมาถึงตรงนี้
ก็ขอขอบคุณที่ติดตามเพจนี้นะคะ
หมอไม่ใช่คนดีกรีสูง..หรือประสบความสำเร็จอะไรมากมาย
หมอเป็นอดีตเด็กที่ชีวิตไม่ได้พรั่งพร้อมเรื่องฐานะ
แต่หมอเป็นตัวอย่างที่ดี ของเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมา
โดยได้รับความไว้วางใจจากแม่...
และหมอคิดว่า อาวุธที่ทำให้หมอ
สามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นว่า generation พ่อแม่
คือ การอ่าน (อย่างเข้าใจ)
.
และที่สำคัญ ประสบการณ์ของหมอ
คงเป็นหนึ่งตัวอย่างที่ดี ที่ให้มากกว่าหมื่นบทความ
ที่จะบอกว่า การปลูกฝังให้ลูกรักการอ่าน ดียังไงนะคะ
หมอแพม
ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจและการติดตามนะคะ
ใครอ่านมาถึงตรงนี้
แปลว่าท่านอ่านเกินค่าเฉลี่ยของคนไทยแล้วค่ะ ^-^
「ทักษะ skill หมายถึง」的推薦目錄:
- 關於ทักษะ skill หมายถึง 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的最佳解答
- 關於ทักษะ skill หมายถึง 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的最佳解答
- 關於ทักษะ skill หมายถึง 在 Soft Skill & Hard Skill สำคัญอย่างไรในการทำงาน กับ ทักษะที่ต้องมี ... 的評價
- 關於ทักษะ skill หมายถึง 在 Talent ต่างกับคำว่า Skill มั้ยน้าา Talent (N.) หมายถึง ความสามารถ ... 的評價
ทักษะ skill หมายถึง 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的最佳解答
#เรื่องเล่าหนอนหนังสือ 6
.
ตอนนี้การเรียนรู้ด้านภาษาของเด็กที่บ้านเดินทางมา
จนกระทั่ง อยากเรียนรู้ภาษาเขียนแล้วค่ะ
.
หมอจะเริ่มบันทึกการสอนภาษาให้ลูก
เผื่อว่าแม่คนไหนอยากจะมาแชร์กันนะคะ
วันนี้จะเป็นบทแรก...ยาวนิดนะคะ
.
การเรียนรู้ภาษาของเด็ก(ของมนุษย์ทุกคนแหละค่ะ)
ต้องเริ่ม
1) ฟังและเห็น: เริ่มตั้งแต่ก่อนลูกเกิด เด็กจำเสียงแม่ได้ตั้งแต่ก่อนคลอดซะอีก พอเกิดมา การที่แม่พูดกับเค้า เค้าได้สบตา
ฟังเสียง อ่านริมฝีปาก และเรียนรู้ศัพท์ ผ่านทางน้ำเสียง ท่าทาง
น้ำเสียงแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ คำๆนี้ แปลว่าดี
ถ้าน้ำเสียงแบบนี้ มาคู่กับคำๆนี้ คือ ห้าม ทำไม่ได้ เป็นต้น
สิ่งนี้ ช่วยกระตุ้นให้การเรียนรู้ภาษาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งได้ฟังนิทาน ได้ฟังรูปประโยค และเรียนรู้คำศัพท์ ที่หลากหลาย ยิ่งทำให้การเรียนรู้ภาษาดียิ่งขึ้น...จึงมีโครงการนิทาน 1000 เล่มก่อน 6 ปีไงคะ เพราะสมองที่เร็วกับการเรียนรู้ภาษาคือก่อน 6 ขวบ
.
2) พูด: พอเริ่ม พูดได้ เด็กๆจะยิ่งเห็นความสำคัญของภาษา
เค้าจะรับรู้เลยว่า การพูดได้ ทำให้ตัวเองทรงพลังมากขึ้น(อย่างน้อยก็ในบ้าน😂) บอกความต้องการได้ บอกปฏิเสธได้
เค้ารู้สึกราวกับเค้าเป็นผู้ใหญ่...จังหวะนี้ล่ะค่ะ
ยิ่งต้องใกล้ชิด เพราะเราสามารถสื่อสารกับลูกได้เข้าใจ
ว่าสิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร เราสอนทุกเรื่องได้โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ
และในช่วงนี้เด็กจะมีความกระตือรือร้น
ถาม แล้วมีคนตอบคำถาม
พูดแล้วมีคนฟัง
และตอบสนองสิ่งที่ต้องการ เป็นสิ่งที่วิเศษจริงๆ
(เด็กๆคงคิดแบบนี้)
.
3) อ่าน เมื่อเค้าได้"ฟัง" และ "พูด" แล้วมีคนตอบสนองมากพอ
พอเด็กฟังนิทาน เค้ารู้ว่าแม่อ่านตัวอักษร
เค้าจะเรียนรู้ว่า ตัวอักษรเหล่านั้น คือสัญลักษณ์ ที่แทนเสียง
และความหมาย
.
แม่อ่าน นิทานเรื่องนี้ก็เนื้อเรื่องเหมือนกับ ที่พ่ออ่าน ที่ยายอ่าน
ใครๆอ่าน ก็ได้เนื้เรื่องที่สนุกเหมือนกัน
แล้วถ้าเค้าอ่านได้เองล่ะ?
.
นี่ล่ะค่ะ...ความกระตือรือร้นของการเรียนรู้ ภาษาเขียนถึงเกิด
4) เขียน ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง การเขียนคัดลายมือตามรอยประ
แต่การเขียน หมายถึง การบันทึกความคิดลงบนกระดาษ
ซึ่งจะถึงขั้นนี้ได้ คงต้องผ่านกระบวนการ 1-3 มาอย่างสม่ำเสมอ
.
ตอนนี้เด็กที่บ้าน ส่งสัญญาณว่า
ต้องการจะเข้าใจภาษาเขียน
.
แน่นอนค่ะ การเข้าใจภาษาเขียน
เค้าต้องรู้จักสัญลักษณ์ แทนเสียงก่อน"
Know(รู้จัก) -->Knowledge(ความรู้)-->skill (ทักษะ)-->innovation(คิดค้นสิ่งใหม่)
.
ดังนั้นขั้นแรกต้องจำตัวอักษร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนเสียงก่อน
แน่นอน การจำอักษร ไม่ใช่การท่อง อาขยาน
"ก เอ๋ย ก ไก่...ฮ.นกฮูกตาโต"
แต่คือ เห็นปุ๊บ แล้วจำได้เลย ว่า ตัวอักษรนี้แทนเสียงอะไร
แม้ว่าจะเห็นตรงไหน และลำดับอย่างไร
.
หมอเลยเริ่มที่ ให้ทำความรู้จักตัวอักษร
โดยใช้เกมส์ต่างๆ เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆค่ะ
เลือกตัวอักษร 5-6 ตัว
เกมส์วันนี้ "เอาตัวอักษรกลับบ้าน"
อุปกรณ์
👉กล่องพลาสติก ซื้อจากร้านทุกอย่าง 20 บาท (ตกกล่องละ 5 บาท ซื้อสัก 8 กล่องก็พอค่ะ เล่นวนตัวอักษรไป ต้องเว้นจังหวะเปลี่ยนเกมส์อื่นด้วย เด็กๆไม่ชอบอะไรซ้ำๆ)
👉โปสเตอร์ ก-ฮ 20 บาท เอามาตัดรูป เพื่อติดฝากล่อง (เก็บไว้ใช้ได้หลายเกมส์)
👉ตัวอักษร..จะทำเอง หรือ ของที่บ้านเป็นตัวอักษร ร้อยเชือก
(เอาไว้เล่นหลายเกมส์เหมือนกัน)
.
ลองดูค่ะ
ถ้าเพื่อนๆมีเกมส์อะไรสนุกๆมาแชร์กันนะคะ
.
หมอแพม
ผู้คิดว่า การสอนภาษาที่ดีที่สุด เริ่มจากที่บ้าน
ทักษะ skill หมายถึง 在 Talent ต่างกับคำว่า Skill มั้ยน้าา Talent (N.) หมายถึง ความสามารถ ... 的推薦與評價
Skill (N.) หมายถึง ทักษะ ความสามารถ ที่ต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง . แต่บางครั้ง Skill ในบางกรณีอาจเป็น Talent ได้ด้วยเช่นกัน ... <看更多>
ทักษะ skill หมายถึง 在 Soft Skill & Hard Skill สำคัญอย่างไรในการทำงาน กับ ทักษะที่ต้องมี ... 的推薦與評價
Soft Skills เป็นปัจจัยภายใน เป็น ทักษะ ทางอารมณ์ที่เป็นพื้นฐานในการใช้ชีวิต ... WI - Manual คู่มือ คือ อะไร Manual (คู่มือ) คือ อะไร Work Manual ... ... <看更多>