เรื่อง "ศาลฎีกาประเทศสหรัฐอเมริกาสั่งยกเลิกการฉีดวัคซีน covid" เป็นข่าวปลอมนะครับ !
อันนี้ก็เป็นอีกอัน ที่มีคนชอบส่งมาถามอยู่เรื่อยเลย ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ? ที่มีการอ้างชื่อนักการเมืองสหรัฐอเมริกาคนหนึ่ง ระบุว่าศาลฎีกาของประเทศสหรัฐอเมริกาตัดสินแล้วให้การฉีดวัคซีน covid นั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ให้ยกเลิก !?
แต่มันเป็นข่าวปลอมนะครับ !
1. มีการแชร์ข้อความว่า ศาลฎีกา (Supreme Court) ได้ยกเลิกการฉีดวัคซีนทุกชนิด (universal vaccination) แล้ว และมีรัฐต่างๆมากกว่า 40 ล้านที่จะออกกฎหมายห้ามไม่ให้บังคับฉีดวัคซีนโรค covid-19
- แต่เรื่องนี้เป็นข่าวปลอมที่เก่าแล้ว และยังวนเวียนกลับมาแชร์กันอยู่ในโลกโซเชียลอยู่เรื่อย
- ดังเช่น ภาพที่แชร์กันใน Instagram เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2021 ที่บอกว่า "บิล เกตส์ Bill Gates, ดร. แอนโทนี่ เฟาซี่ หัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคติดเชื้อของสหรัฐอเมริกา Dr. Anthony Fauci, และบริษัทผลิตยา ยักษ์ใหญ่ ได้แพ้คดีในศาลฎีกาสหรัฐอเมริกา การที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนของพวกเขาทั้งหมดในช่วงเวลา 32 ปีที่ผ่านมานั้น ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน" ตามภาพที่แชร์กันนี้อ้างว่า คดีดังกล่าวเป็นการฟ้องร้องของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ที่นำโดยวุฒิสมาชิกเคเนดี้
- ภาพดังกล่าวนี้ อ้างอิงไปถึงบทความเรื่องยาว ต่อต้านการฉีดวัคซีนโรคโควิด เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม จากเว็บไซต์ของประเทศไนจีเรีย ชื่อว่า Inspirer Radio
- ส่วนวุฒิสมาชิกที่บทความพูดถึงนั้น หมายถึง โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี้ จูเนียร์ Robert F. Kennedy Jr. ซึ่งเป็นนักรณรงค์ต่อต้านวัคซีน และเป็นหลานของอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้
2. แต่ศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ตัดสินคดีห้ามการบังคับฉีดวัคซีน อย่างที่มีการแชร์กัน
- CEO บริษัทที่ทำเว็บไซด์ Inspirer Radio ได้ยอมรับกับหนังสือพิมพ์ USA TODAY เขาไม่ได้มีหลักฐานที่แข็งแรงพอจะยืนยันบทความที่ตีพิมพ์นั้นได้ และได้ระบุไปบนเว็บไซต์ของเขาแล้วเมื่อวันที่ 26 พ.ค. ว่าบทความนั้นไม่ถูกต้อง (แต่กว่า Inspirer Radio จะลบบทความทิ้ง ก็เมื่อวันที่ 28 พ.ค.)
- จากการตรวจสอบแฟ้มคดีต่างๆ ที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน ของศาลฎีกา สหรัฐอเมริกา ไม่พบคดีดังกล่าว รวมทั้งไม่พบคดีที่อ้างว่า มีบิล เกตส์ และ ดร.เฟาซี่ เป็นจำเลยร่วม
3. รัฐบาลกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ก็ไม่ได้บังคับให้มีการฉีดวัคซีนทั้งประเทศด้วย
- ไม่มีกฎหมายจากรัฐบาลกลางที่บังคับให้ฉีดวัคซีนกับประชาชนทุกคน แต่กลับกัน คือ เปิดโอกาสให้รัฐต่างๆมีสิทธิ์ที่จะจัดการฉีดวัคซีนตามที่ต้องการ
- ตัวอย่างเช่น ทั้ง 50 รัฐ ต้องการฉีดวัคซีนให้กับเด็กๆ ที่เข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐ
ยกเว้นให้กับเด็กที่พิการ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับศาสนา ปรัชญา หรือข้อจำกัดของการแพทย์
- จนปัจจุบันนี้ (ตามข้อมูลอ้างอิง คือ 29 พ.ค. 2021) ไม่มีรัฐไหนที่ผ่านกฎหมายบังคับให้ฉีดวัคซีน covid 19 รวมทั้งประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก็พูดเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีก่อน ว่าเขาจะไม่ออกกฎบังคับให้ฉีดวัคซีนโรคโควิด
4. ข้ออ้างเกี่ยวกับเรื่อง การตัดสินใจของศาลฎีกากับการฉีดวัคซีนทุกชนิด .. จริงๆ มาจากการฟ้องศาลแขวง ในรัฐนิวยอร์ก ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องการออกกฎหมายห้ามฉีดวัคซีนทุกชนิด อย่างที่อ้าง
- คดีดังกล่าวมาจากการฟ้องร้องตามสิทธิเสรีภาพในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร เมื่อปี 2018 โดยกลุ่มต่อต้านวัคซีนชื่อว่า Informed Consent Action Network ซึ่งสนับสนุนโดย วุฒิสมาชิก เคนเนดี้ ที่ฟ้องร้องหน่วยงาน Department of Health and Human Services ให้เปิดเผยรายงานเรื่องผลข้างเคียงต่างๆ ของวัคซีน
#สรุปว่า ที่แชร์กันว่า "ศาลฎีกาประเทศสหรัฐอเมริกาได้สั่งยกเลิกการฉีดวัคซีน" แล้วนั้น เป็นข่าวปลอม ! แล้วเป็นเรื่องแชร์มั่วเก่าๆ ที่ถูกตรวจสอบว่าเป็นของปลอม มาหลายทีแล้ว
ข้อมูล จาก https://www.usatoday.com/story/news/factcheck/2021/05/29/fact-check-supreme-court-didnt-cancel-universal-vaccination/7473627002/
「ปรัชญา หมายถึง」的推薦目錄:
- 關於ปรัชญา หมายถึง 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的精選貼文
- 關於ปรัชญา หมายถึง 在 Pop Siwapat Facebook 的最佳貼文
- 關於ปรัชญา หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
- 關於ปรัชญา หมายถึง 在 ปรัชญาตะวันตก ตอนที่ 1 (ปรัชญาคืออะไร) Philosophy หรือในภาษา ... 的評價
- 關於ปรัชญา หมายถึง 在 ปรัชญาภาษาคืออะไร สำคัญอย่างไร สมภาร พรมทา - YouTube 的評價
- 關於ปรัชญา หมายถึง 在 ปรัชญาคืออะไร #5 Hello Sophy - YouTube 的評價
- 關於ปรัชญา หมายถึง 在 อิคิไก ปรัชญาญี่ปุ่นเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย - YouTube 的評價
- 關於ปรัชญา หมายถึง 在 ความหมายการศึกษา และปรัชญาการศึกษา - YouTube 的評價
ปรัชญา หมายถึง 在 Pop Siwapat Facebook 的最佳貼文
:: อยากเลิกกันมาทางนี้ ::
นี่คือ 5 เคล็ดที่ทำให้เลิกกันได้ไวสุด ๆ
1. ยุ่งเรื่องเขาให้มาก บ่นเยอะ ๆ จับผิดบ่อย
การยุ่งเรื่องคนรัก การบ่น การวิจารณ์ในทางจิตวิทยาสะท้อนการไม่พอใจในตัวเอง การอยากเป็นคนสำคัญ (Significance) เพราะไม่สามารถให้ความสำคัญตัวเองได้ จึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องคนอื่น นานไปคนรักคุณจะรู้สึกว่า "คุณไม่สำคัญ" แล้วใครที่ไหนมันจะอยากคบกับคนที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองสำคัญ?
2. ห้ามโน่นห้ามนี่
การห้ามในทางจิตวิทยาสะท้อนความ "ต้องการความแน่นอน" (Certainty) หมายถึง ต้องการควบคุม ต้องการให้ทุกสิ่งเป็นดั่งใจ เกิดขึ้นกับคนที่ความแน่นอนในตัวเองต่ำ นั่นแปลว่า ชีวิตสั่นคลอนตลอดเวลา และไม่สามารถรับมือสิ่งที่เหนือความคาดหมายได้ หากทำแบบนี้ต่อไป คนรักของคุณจะรู้สึกได้ว่า "อ๋อ มึงไม่มีความแน่นอนอะไรเลยถึงโหยหาความแน่นอนแบบนี้"
ยิ่งพวกที่ห้ามแฟนตัวเองคบเพื่อนคนนั้นคนนี้ยิ่งเป็นการตีตราว่า "หล่อนคงกลัวจนขี้ขึ้นสมองว่าจะหมดความสำคัญ" ท้ายที่สุดจะไม่มีใครทนคุณได้เอง
3. ช่างเปรียบเทียบ
พวกที่ชอบเอาแฟนไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้มันสะท้อนถึง "การช่างตัดสิน" (Judgement) และหลักหนึ่งที่ธรรมะกับจิตวิทยาเห็นตรงกันคือ "เราตัดสินใครแบบไหนเราก็เป็นแบบนั้น" ทุกครั้งที่คุณไม่พอใจอะไรในตัวแฟนคุณ ลึก ๆ คุณก็ไม่พอใจตัวเองแบบนั้น ยิ่งทำบ่อย ๆ แฟนคุณจะรู้สึกได้ว่า "อ๋อ ที่แท้หล่อนก็ไม่พอใจตัวเอง" เดี๋ยวเขาก็เขี่ยคุณเอง
4. ยึดพื้นที่ส่วนตัว
ประเภทขอรู้รหัสเฟสแฟน ตัวต้องติดกันตลอด หรือก้าวก่ายการตัดสินใจของเขา พฤติกรรมนี้สะท้อนว่า "เธอไม่มีพื้นที่ของตัวเอง เธอเก่งเรื่องการรุกรานสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่น" มันจะทำให้เกิดแรงต้านลึก ๆ ในใจอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว สร้างความไม่ไว้ใจ นาน ๆ ไปเดี๋ยวก็จบ
5. อยากเป็นคนสำคัญในชีวิตเขาจนตัวสั่น
อารมณ์ว่า "ฉันต้องเป็นที่หนึ่งในใจเธอเท่านั้น" ฉันต้องมาก่อนพ่อแม่ พี่น้อง ครอบครัว หรือเพื่อนเธอ นี่คือความคิดของคนที่ความภาคภูมิใจในตัวเองต่ำมาก เพราะไม่ภูมิใจอะไรในตัวเอง เลยอยากเป็นที่หนึ่ง เป็นคนที่อยากถูกคิดถึงเสมอ เขาไม่โทรหา ไม่ส่งข้อความหา ไปไหนไม่ชวน หรือเจอเพื่อนใหม่ก็จะเป็นจะตาย เพราะจิตใจสั่นคลอนกลัวเสียความรักไป มันฟ้องการขาดความแน่นอน ความสำคัญ และความรักความผูกพันโดยสิ้นเชิง แถมยังพ่วงนิสัย "ไม่รู้จักเป็นผู้ให้" เข้าไปอีก เอาง่าย ๆ คือมันสะท้อนให้อีกฝ่ายรู้ชัดว่า "เธอมันเห็นแก่ตัว" เป็นคุณจะอยากอยู่กับคนแบบนี้ไหมล่ะ? ไม่หรอก
นี่คือ 5 นิสัยที่อ้างอิงจากจิตวิทยา ธรรมะ ปรัชญา และวิทยาศาสตร์พฤติกรรมมนุษย์
หลายคนมีนิสัยเหล่านี้เพราะ "กลัว"
กลัวจะเสียเขาไป กลัวเขาจะเปลี่ยนไป กลัวเขาจะไม่ได้ดั่งใจ ประเด็นคือไม่มีใครเกิดมาเพื่อดั่งใจใคร ทุกคนเกิดมาเพื่อมีอิสระและรู้ภูมิใจในความเป็นตัวเอง
จงเป็นคนรักที่ทำให้คนรักภูมิในตัวเอง
อย่าอ้างคำว่า "หวังดี" แบบผิด ๆ เพื่อปกปิดการหวังดีกับตัวเองไว้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ตามใจ ลองไปถามคนที่เคยเลิกกับแฟนจะตกใจว่าส่วนใหญ้มีนิสัยแบบนี้อย่างน้อยก็ 1 ข้อ แต่ถ้าอ่านแล้วจึกกับตัวเอง อย่าได้ต่อต้าน จงดีใจที่มันเป็นสัญญาณให้เรายอมรับตัวเองเพื่อแก้ไข แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะคนส่วนหนึ่งจะอ่านบทความนี้แล้วรู้สึกบางอย่างแต่ก็ปฏิบัติว่า "ไม่ใช่หรอก นี่ไม่ใช่ฉัน" ก็แล้วแต่ ชีวิตใครชีวิตมัน
จำไว้ "คนจะรักกันนานคือรู้จักตัวเองว่ามีดีอะไรและไม่ดีอะไร คนที่จะพังรักได้ไวคือโกหกตัวเองว่าดีทุกอย่าง แล้วจะเสียทุกอย่างเอง"
บรัย
#DrPop #NLP #Coach #ไปใช้ชีวิตซะ
Line : @drpop
Youtube : drpopworld
ปรัชญา หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
การศึกษาปรัชญากฎหมายไทย
สิทธิกร ศักดิ์แสง
รองศาสตราจารย์จรัญ โฆษณานันท์ ได้กล่าวถึง การศึกษาปรัชญากฎหมายไทย คือ กำหนดขึ้นโดยดำริพื้นฐานที่สร้างความสมบูรณ์ให้กับองค์ความรู้ในวิชานิติปรัชญาของไทย แทนที่การเรียนหรือการรับรู้แต่ปรัชญาตะวันตกอย่างเดียว ความรู้ความเข้าใจในปรัชญากฎหมายไทย นับเป็นการอุดช่องว่างและสร้างความสมดุลในการศึกษาที่มิให้ภูมิปัญญาตะวันตกครอบงำ การรับรู้โดยสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตาม เราคงไม่ได้หมายความว่า เรากำลังลดคุณค่าของปรัชญากฎหมายตะวันตกพอ ๆ กับมิใช่ความหมายในการชักนำ “กระแสนิยม ความเป็นไทยขึ้นแบบกึ่งงมงายหรืออาจเรียกว่า “อนุรักษ์ความเป็นไทยอย่างสุดขั้ว”
เมื่อเราศึกษาปรัชญาตะวันตกก็เหมือนกับการมองออกไปภายนอกตัวเองหรือศึกษาหรือสิ่งรอบข้างว่าเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างที่ดีหรือไม่ดี ดังนั้นเราก็สมควรที่จะหันย้อนมาดูตัวเองหรือหันมาสนใจกฎหมายไทย เพื่อจะคิดหรือตัดสินใจปัญหาใด ๆ ด้วยความรอบคอบ
เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว นักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ของตะวันตก คือ โสเกรติส พยายามที่สอนให้คนเรา “จงรู้จักตัวเอง” (Know thyself) แม้นัยความหมายอาจไม่ตรงทีเดียวนักกับสิ่งที่เรากำลังค้นหาในปรัชญากฎหมายไทย แต่เราน่าจะพูดได้เช่นกันว่า “การแสวงหาตัวตน” แห่งปรัชญากฎหมายในสังคมไทย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในทางวิชาการแล้วยังเป็นการเชื่อมโยงไปสู่การค้นหาทำความ “รู้จักตนเอง” ที่เป็นปัจเจกของแต่ละคน
แท้จริงแล้ว แก่นสารของปรัชญากฎหมายไทยมุ่งสู่การเน้นความสัมพันธ์ ระหว่างกฎหมายกับศีลธรรมหรือความยุติธรรม อย่างสูงสุดอันเป็นอุดมคติทางกฎหมายแต่ดั้งเดิม ซึ่งเวลาเดียวกันผสมผสานภาพเชิงซ้อนของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอุดมคติทางกฎหมายที่เป็นจริงในสังคมไทยแต่ละยุคสมัย รายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมาย ปรัชญากฎหมายกับอำนาจรัฐไทยอันยาวนาน น่าจะนำไปสู่บทวินิจฉัยเชิงอนุมานของผู้ศึกษาแต่ละคนต่อเรื่อง “ธรรมชาติของกฎหมาย” ได้ดีที่สุดในบั้นปลาย จริงอยู่การฉายภาพเชิงซ้อนระหว่างปรัชญากฎหมายไทยเชิงอุดมคติกับสถานการณ์ที่ดูขัดแย้งกับข้างต้น การศึกษาปรัชญากฎหมายจึงค่อนข้างเข็มของ “เรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์หรือการเมืองไทย” เพื่อที่จะต้องการขยายรายละเอียดต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังความเป็นไปของปรัชญากฎหมายไทย บริบททางสังคมด้านต่างๆ ไม่ว่าในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมหรือการเมืองล้วนเป็นแหล่งอิทธิพลต่อชีวิตที่เป็นจริงของปรัชญากฎหมายไทย ความสำคัญในเชิงวิเคราะห์และวิจารณ์แหล่งอิทธิพลเหล่านั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หรืออาจจะมากกว่าการอธิบายหรือพูดพร่ำถึงหลักการเชิงนามธรรมของปรัชญากฎหมายไทยด้วยซ้ำ
การให้รายละเอียดเกี่ยวกับบริบททางสังคมด้านต่าง ๆ เบื้องหลังปรัชญากฎหมายไทย เพื่อนักศึกษาเข้าถึงภาพรวมแห่งความเป็นจริงต่าง ๆได้สมบูรณ์มากขึ้น แน่นอนในโลกแห่งความเป็นจริง (ของชีวิตและสังคม) ย่อมผสมผสานทั้งสีขาวและสีดำอยู่ในตัว โลกแห่งวิชาการบริสุทธิ์จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นในการอธิบายวิเคราะห์ตีความกระทั่งวิจารณ์ความเป็นจริงส่วนต่างๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ พ้นจากนี้กระบวนการทางวิชาการดังกล่าวหาใช่เป็นภารกิจที่หลุดลอย/แยกขาดออกจากความเป็นไปแห่งตัวผู้กระทำไม่ หากลึกๆ ยังสัมพันธ์กับระดับแห่งความเป็นมนุษย์ในตัวผู้กระทำอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วการศึกษาปรัชญากฎหมายไทยเราต้องจำลองภาพอุดมคติและความเป็นจริงแห่งปรัชญากฎหมายไทยให้เป็นระบบมากที่สุด เรียกอีกประเภทหนึ่งว่า “ความรู้” หากเรายอมรับว่า “โดยธรรมชาติแล้ว ความรู้กับความเป็นจริงท่าใช่เป็นสิ่งเดียวกันที่เดียวและความรู้ทุกชนิดมีระดับความเป็นจริงที่ไม่สมบูรณ์เสมอเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง” ความจำกัดในธรรมชาติ ความรู้ที่ถ่ายทอดออกมาย่อมเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาพึงต้องตระหนักไว้อย่างมั่นคงควบคู่กับการตระหนักถึงความจำกัดบกพร่อง ภูมิปัญหาหรือภูมิจิตที่ดำรงอยู่เป็นวิสัยปกติของผู้บรรยายวิชานี้
ดังนั้นการศึกษาปรัชญากฎหมายไทย ที่ผ่านมาจะมีปัญหาในเรื่องการศึกษา เพราะนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมายังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง การศึกษาในสมัยโบราณนั้นมักจะถูกปิดกั้น โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมาย ราษฎรจะถูกหวงกั้นไม่ให้รู้กฎหมาย เพราะผู้มีอำนาจเห็นว่าถ้าราษฎรมีความรู้มากจะทำให้ปกครองลำบาก ความคิดทวงกั้นมิให้ราษฎรรู้กฎหมายนี้แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ยังมีอยู่ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีการเผาหนังสือของ นายโหมด อมาตยกุล ซึ่งได้พยายามพิมพ์หนังสือกฎหมายตราสามดวง
ดังนั้น เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วจะเห็นว่า สภาพการรับรู้เรื่องกฎหมายของไทยเลือนลางอย่างยิ่ง โดเยเฉพาะ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า “เป็นการขาดการศึกษา อนุญาตให้เรียนได้แต่วิชาที่เป็นประโยชน์ต่อศักดินาโดยมีจุดมุ่งหมาย กดให้คนโง่”
การปิดกั้นเรื่องการศึกษากฎหมายในสมัยโบราณดังกล่าว คงดำเนินมาหลายร้อยปีจนถึงยุคปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื่องมาจากอิทธิพลและบทบาทตะวันตก ในปี พ.ศ. 2416 หมอบรัดเลย์ ชาวอเมริกาได้พิมพ์กฎหมายตรา 3 ดวง ออกเผยแพร่ ซึ่งไทยเองก็ไม่พอใจนักแต่ก็จำต้องปล่อยเลยผ่านไม่กล้าขัดขวาง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เนื่องจาก หมอ บรัดเลย์ เป็นชาวต่างประเทศ หลังจากนั้นการศึกษากฎหมายก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีโรงเรียนหรือสถาบันสอนกฎหมายกันอย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2440 รัฐบาลได้จ้าง มิสเตอร์ โรแลง ยัคคะมินส์ ชาวเบลเยี่ยม มารับราชการเป็นที่ปรึกษาทั่วไปได้ถวายความเห็นต่อรัชกาลที่ 5 ในการตั้งโรงเรียนสอนกฎหมายขึ้น เนื่องจากเห็นว่าการเล่าเรียนกฎหมายขณะนั้นยังอยู่ในวงแคบไม่มีโรงเรียนสอนวิชานี้โดยตรง ทั้งการศาลยุติธรรมยังล้าหลัง สิ่งเหล่านี้เป็นข้ออ้างให้มหาอำนาจตะวันตกที่เข้ามาแทรกแซงไทย ขณะนั้นเป็นเหตุในการตั้งศาลกงศุล อันนำมาซึ่งความลำบากใจแก่ฝ่ายไทยอย่างมากในการถูกหลู่อำนาจอธิปไตยทางการศาลหรืออาจเรียกว่า “การสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางศาล” ข้อเสนอของ ยัคคะมินส์ ดังกล่าวได้รับการเห็นพ้องจากองค์พระประมุข คือ รัชกาลที่ 5 จนกระทั้งกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระโอรสสำเร็จการศึกษาจากอ๊อกฟอร์ดและมาเป็นผู้ดำเนินการตั้งโรงเรียนสอนกฎหมายดังกล่าว
นับจากการก่อตั้งโรงเรียนสอนกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2440 เป็นต้นมา พัฒนาการของการเรียนการสอนกฎหมายเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื้อหาวิชาที่เปิดสอนหรือสอบในช่วงแรกๆ ยังเน้นหนักที่กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง กฎหมายวิธีการพิจารณาความและกฎหมายต่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 ก็มีการแก้ไขหลักสูตรของโรงเรียนสอนกฎหมายเพิ่มเติมวิชา “ธรรมศาสตร์” และ “พงศาวดารกฎหมาย” ขึ้นมา โดยเนื้อหาบางส่วนของกฎหมายธรรมศาสตร์พาดพิงเรื่องนิติปรัชญา ในเวลาเดียวกัน “หัวข้อเล็กเชอร์ธรรมศาสตร์” ของพระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ ก็พิมพ์เผยแพร่ โดยมีคำอธิบายเนื้อด้านนิติปรัชญา (แบบตะวันตก) แทรกประกอบด้วยเช่นกัน
ข้อสังเกต ธรรมศาสตร์นั้นมีคำอธิบายปรัชญาแบบตะวันตกเข้ามาแทรกโดยเฉพาะแนวความคิดของ แบนเธม กับ จอห์น ออสติน ซึ่งเป็นปรัชญากฎหมายปฏิฐานนิยม ทำให้แนวคิดปฏิฐานนิยมมีบทบาทมากในการเรียนการสอนกฎหมายของไทยในขณะนั้น มาผสมผสานกับปรัชญากฎหมายไทยที่มีอยู่ในอดีตคือเรื่อง “ธรรมะ”
อย่างไรก็ตาม วิชานิติปรัชญาหรือปรัชญากฎหมายนั้นห่างไกลความสำคัญอยู่มาก คือ ไม่ค่อยมีใครค่อยให้ความสำคัญนักในขณะนั้น
ความพยายามผลักดันให้เกิดวิชานิติปรัชญาหรือปรัชญากฎหมายนั้น เริ่มต้นจาก ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย ได้พยายามให้มีการเรียนการสอนวิชาดังกล่าว ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 15 ปี กว่าจะบรรลุผลสำเร็จ การสอนวิชานิติปรัชญาโดยตรงปรากฏขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2515 โดย ศ.ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ เป็นผู้ผลักดันคนสำคัญและริเริ่มสอนวิชานิติปรัชญาและต่อมาวิชานิติปรัชญาเริ่มกลายเป็นวิชาที่ได้รับการยอมรับและให้ความสำคัญหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิต ที่มีการปรับปรุงแก้ไขหรือเขียนขึ้นใหม่ตามสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ต่างได้บรรจุวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรทั้งสิ้น
ข้อสังเกต เมื่อย้อนหลังที่ผ่านมาปรัชญากฎหมายไทยโดยเฉพาะ แม้การยอมรับในวิชานิติปรัชญาจะเป็นไปอย่างแพร่หลายดังกล่าว หากทว่าวิชานิติปรัชญาที่ประสบความสำเร็จเช่นว่า มีลักษณะเป็นวิชานิติปรัชญาตะวันตกเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ เพราะเอกสารหรือตำราที่พิมพ์ออกมานั้นจะเป็นนิติปรัชญาตะวันตกเกือบทั้งหมด
ดังนั้นเราจำเป็นต้องศึกษาปรัชญากฎหมายไทย เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในภูมิปัญญาไทยหรือสามารถโยงเปรียบเทียบกับปรัชญากฎหมายตะวันตกสำหรับความเข้าใจซาบซึ้งต่อจุดดีจุดด้อยของภูมิปัญญาแต่ละฝ่าย ถึงที่สุดแล้วคงเป็น “มรรควิถี” สำคัญที่จะนำไปสู่กิจกรรมอื่น ๆ เชิงปฏิบัติการทางด้านกฎหมายที่รอบคอบและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดโลกทรรศน์ของตัวเองเกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นธรรม การวินิจฉัยเชิงคุณค่าด้านความยุติธรรมต่าง ๆ ทั้งในระดับเอกชนหรือสังคมหรือแม้การแก้ไขปัญหารากฐานทางความคิดเพื่อจะปฏิรูปกฎหมายต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพ แห่งบริบททางด้านสังคมด้านต่าง ๆ ของไทย ที่เรียกว่า “นิติวิธีทางกฎหมาย” (Juristic Medthod)
การศึกษาปรัชญากฎหมายไทย จะในยุคต่าง ๆ ศึกษาปรัชญากฎหมายไทย ได้แก่ ยุคสุโขทัย ยุคอยุธยา ยุคธนบุรี ยุครัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะความคิดปรัชญาทางกฎหมายของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์และปรัชญากฎหมายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475และแนวคิดปรัชญากฎหมายตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน(2540)
จากปรัชญาตะวันตกสู่ปรัชญากฎหมายไทย ความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาตะวันตกและปรัชญาตะวันออก
ปรัชญาในความหมายทั่วไปอาจจะหมายถึง วิชาที่ว่าด้วยหลักความรู้จริงซึ่งแปลมาจาก คำว่า “Philosophy” แต่คำในภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นต้นกำเนิดปรัชญา แปลว่า “เป็นความรู้อันประเสริฐ” ซึ่งคำว่าปรัชญานี้ถ้าใช้เป็นภาษาบาลีจะตรงกับ คำว่า “ปัญญา” ซึ่งหมายถึง ความรู้แจ้ง ความรอบรู้ความฉลาด ต่อมาประมาณ 8 – 9 ปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จึงได้มีผู้นำเอาคำ “ปรัชญา” นี้มาใช้เป็นศัพท์บรรจุในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หากแปลความหมายเป็นแบบคำภาษาอังกฤษ (Philosophy ) หมายถึง “วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง”
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้มีความคิดเห็นแตกต่างของขีดขั้นการบรรลุถึงความรู้สัจจะ ในแง่นี้จึงมีการอธิบายความหมาย คำว่า ปรัชญาของอินเดีย (สันสกฤต) คือ ความรู้หรือปัญญาที่ถึงที่สุดเด็ดขาดไปแล้ว (ความรู้ภายหลังเมื่อสิ้นความสงสัยแล้ว) ส่วนคำว่า Philosophy นั้นยังไม่เด็ดขาด ยังค้นหาอยู่หรือยังคลำอยู่ ยังไม่มีจุดจบหรือจุดสุดท้าย อันเป็นเรื่องการคิดคำนวณหรือการตั้งสมมุติฐานด้วยเหตุผลที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งน่าจะแปลว่า Philosophy ส่วนความหมายของ “คณิตสัจจะ” หรือสัจจะแห่งการคำนวณมากกว่า อันมีความหมายคล้าย คำว่า “ทรศน” “ทรรศนะ”
ปรัชญาอินเดียมีเป้าหมายที่ชัดเจน กล่าวคือ การหาคำตอบทางศาสนาและศีลธรรม มิใช่การขบคิดปัญหาในเชิงตรรกศาสตร์ เพื่อรู้อย่างปรัชญาตะวันตกที่เป็นความรู้ เป็นไปเพื่อความรู้ แต่ในขณะเดียวกัน ปรัชญาอินเดียก็มิใช่จะไม่มีลักษณะของการคิดหาเหตุผลอย่างปรัชญาตะวันตกมีอยู่ ปรัชญาอินเดียมิใช่เป็นตัวแทนของปรัชญาตะวันออกที่เน้นการแสวงหาคำตอบ ปรัชญาจีน ก็เน้นความสำคัญทางด้านจริยธรรมมากกว่าความสามารถด้านสติปัญญา สนใจปัญหาที่เป็นรูปธรรมมากกว่าปัญหาในเชิงนามธรรม โดยทั่วไปนักปรัชญาจีนตั้งปัญหาข้อคิดว่า “จะทำอย่างไร” มากกว่าที่จะคิดค้นว่า “ทำไมมันจึงเป็น” จุดเน้นด้านจริยธรรมส่วนนี้ของปรัชญาจีนยังดำเนินควบคู่กับวิธีการศึกษาที่เน้นการแสวงหาความรู้ทางจิตวิญญาณ หรือความรู้ที่ได้จากความเข้าใจที่เกิดขึ้นในจิตอย่างฉับพลัน รวมทั้งการภาวนาและวิธีการฝึกฝนอบรมตัวเอง ในขณะที่ปรัชญาตะวันตกมีการแบ่งแยกสาขาออกไปต่าง ๆ อาทิเช่น อภิปรัชญา ตรรกวิทยา ญาณวิทยาหรือสุนทรีศาสตร์ ซึ่งปรัชญาจีนแทบไม่มีการแยกคนออกจากความต้องการทางจริยธรรมและปฏิบัติในชีวิตของบุคคลเลย ประเด็นถกเถียงทั้งหมดของปรัชญาจีนอยู่ที่ว่า จะอบรมฝึกฝนตนให้ดีอย่างไร และจะช่วยสังคมให้เรียบร้อยด้วยวิธีการแบบไหน อันเป็นลักษณะ “มนุษยภาพนิยม” ที่หนักไปทางด้านจริยธรรมบวกกับการเมือง และที่สำคัญอย่างยิ่งในหัวใจของปรัชญาจีนยังเน้นเรื่องความกลมกลืนประสานการสืบเนื่องกับของสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายในโลก ดังที่เห็นในเรื่องปรัชญาเอกภาพของสวรรค์และมนุษย์ของขงจื๊อ ภาวะแห่งดุลยธรรมของสรรพสิ่งทั้งปวงตามคำสอนของ จวงจื๊อ หรือเอกภาพแห่งหยินและหยางในลัทธิเต๋า
สรุป ข้อถกเถียงปรัชญาตะวันตกและปรัชญาตะวันออกนั้นน่าจะเป็นประเด็นให้ได้พบกับคำตอบถึงความมีหรือไม่มีคุณค่าในการถกเถียงอย่างไม่รู้จบเกี่ยวกับ การแยกหรือไม่แยกปรัชญาออกจากเรื่องของเหตุผลบริสุทธิ์ ศาสนาหรือวิทยาศาสตร์และอะไรคือประเด็นหลักที่ควรไตร่ตรองอย่างแท้จริง มากกว่าประเด็นถกเถียงเอาแพ้ชนะกันว่า “ปรัชญาตะวันออกและปรัชญาตะวันตก ฝ่ายใดเป็นปรัชญาที่แท้จริงหรือความเป็นปรัชญามากกว่ากัน”
ข้อสังเกต เบื้องต้นเกี่ยวกับการพิจารณาเปรียบเทียบปรัชญากฎหมายตะวันตกกับกฎหมายไทยซึ่งปรัชญากฎหมายไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญากฎหมายตะวันออก ดังนั้น ปรัชญากฎหมายไทยจึงผูกพันกับคำสอนในทางศาสนาและความเชื่อในทางศาสนาที่ยึดถือกันอยู่ในสังคมไทย
แต่อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของสัมพันธ์ภาพระหว่างปรัชญากับศาสนาที่มีระดับการเปลี่ยนแปลงไปได้ตามยุคสมัย รวมทั้งปัญหาเรื่องผลกระทบของขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นสังคมสมัยใหม่จากการถูกบีบจากประเทศอาณานิคมตะวันตก ทำให้ไทยใช้ปรัชญาประยุกต์ กล่าวคือ ปรัชญากฎหมายหรือนิติปรัชญาเป็นการศึกษาในเรื่องดังต่อไปนี้ คือ
1.การศึกษาถึงภาพรวมของกฎหมายในเชิงปรัชญาโดยเฉพาะ เรื่องธรรมชาติของกฎหมายหรือประเด็นความสัมพันธ์ของกฎหมายกับจริยธรรมหรือความยุติธรรม อันเป็นการศึกษาเพื่อให้เข้าถึงสิ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นวิญญาณของกฎหมาย ลักษณะสำคัญของปรัชญากฎหมายจึงเป็นการศึกษากฎหมายในความหมายที่กว้างที่สุดอย่างเป็นนามธรรมรวม ๆ ว่ามีธรรมชาติอันแท้จริงอย่างไร มีจุดมุ่งหมายอย่างไร
2.ศึกษาถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับมนุษย์ ปัญหาเรื่องการเคารพเชื่อฟังกฎหมาย การดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน รวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับเรื่องบทบาททางสังคมของกฎหมายในด้านต่าง ๆ
เมื่อพิจารณาถึงปรัชญากฎหมายไทย ภายใต้อิทธิพลประเทศตะวันตะวันตกที่ได้รับปรัชญาตะวันตกเข้ามาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่าที่ผ่านมาในอดีตเราไม่อาจปฏิเสธปรัชญากฎหมายไทยทั้งในยุคโบราณจวบจนสมัยปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากสมมุติว่าเรายอมรับว่าคนไทยก็มีปรัชญา คนไทยมีการใช้กฎหมายเป็นประเพณีการปกครองบ้านเมืองมาแต่ยุคโบราณแล้ว เรื่องโลกทรรศนะของคนไทยที่มีต่อธรรมชาติของกฎหมายหรือกฎหมายในความหมายทั่วไปย่อมดำรงอยู่โดยมิพักต้องสงสัย แม่จะไม่ไม่มีการแยกแยะเป็นสำนักคิดต่าง ๆ แข่งขันกันเองแบบตะวันตกก็ตาม
ปรัชญากฎหมายไทยก่อนยุคที่ อิทธิพลความคิดตะวันตกจะเข้ามามีอิทธิพล (นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 )ลงมา) จะวางรากฐานอยู่บนความคิดทั่วไปของปรัชญาตะวันออกที่ผนวกปรัชญากับศาสนาเข้ากันอย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะอิทธิพลความคิดในศาสนาพุทธ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมอธิบายภาพรวมของกฎหมายจากฐานอุดมคติทางศาสนาที่เน้นศีลธรรมเรื่องธรรมะ มิใช่เป็นเรื่องของการใช้อำนาจล้วน ๆ ของฆาราวาส (ผู้ใหญ่บ้านในแผ่นดิน) ความเชื่อมโยงปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมกับศาสนา (นั้นเป็นที่สังเกตว่าละมายคล้ายคลึงกับปรัชญากฎหมายตะวันตก กล่าวคือ ปรัชญาสำนักกฎหมายธรรมชาติ) อิทธิพลความสัมพันธ์พุทธศาสนากับปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม ได้สื่อผ่านทางความคิดหรือคำสอนทางพุทธศาสนาต่างๆ สู่ประชาชนระดับล่างที่ผ่านมาต่างก็แฝงด้วยความคิดเกี่ยวกับการใช้อำนาจของผู้ปกครองตามไปด้วย คติ เรื่อง ทศพิศราชธรรมหรือธรรมราชา ไตรภูมิพระร่วงหรือวรรณคดีทางศาสนาและการเมืองที่สำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัย ซึ่งได้มีการเขียนเรื่องดังกล่าว ความรู้สึกหรือความเชื่อในจิตสำนึกคนไทยโบราณต่อสิ่งคู่กันระหว่างอำนาจและธรรมะ จึงน่าจะดำรงอยู่มาช้านานแล้ว
ข้อสรุปนี้ จึงน่าจะโยงกลับมาหาคำตอบเกี่ยวกับความเข้าใจต่อปรัชญากฎหมายของคนไทยในอดีตได้หากมองเห็นถึงธรรมชาติแห่งการใช้อำนาจที่ปรากฏอยู่เป็นข้อเท็จจริงภายนอกของกฎหมาย ในอีกแง่มุมหนึ่งเมื่อจากอิทธิพลของภาษาที่มีต่อความเข้าใจหรือจิตสำนึกของคน ซึ่งในโบราณคนไทย ใช้คำว่า “ธรรมะ” แทนคำว่า “กฎหมาย” ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน พร้อมกับเรียกกฎหมายแม่บทสำคัญว่า “พระธรรมศาสตร์” ดังปรากฏถ้อยคำในศิลาจารึก (หลักที่ 38)
ซึ่งในส่วนปรัชญากฎหมายไทยนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงปรัชญากฎหมายไทย สมัยสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรีถึงสมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 สมัยหลังการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 และปรัชญากฎหมายที่มีอิทธิพลในการจัดทำรัฐธรรมนูญไทย
ปรัชญา หมายถึง 在 ปรัชญาภาษาคืออะไร สำคัญอย่างไร สมภาร พรมทา - YouTube 的推薦與評價
บรรยายแก่นิสิตบัณฑิตศึกษา สาขา ปรัชญา ที่ลงทะเบียนเรียนวิชา ปรัชญา ภาษา มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดย ศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา ๙ พฤศจิกายน ... ... <看更多>
ปรัชญา หมายถึง 在 ปรัชญาคืออะไร #5 Hello Sophy - YouTube 的推薦與評價
ปรัชญา คืออะไร #5 Hello Sophyตามพจนานุกรมราชบัณฑิตติยสถานแปลความ หมาย ของคำว่า ปรัชญา แปลว่าวิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริงตรงกับคำว่า ... ... <看更多>
ปรัชญา หมายถึง 在 ปรัชญาตะวันตก ตอนที่ 1 (ปรัชญาคืออะไร) Philosophy หรือในภาษา ... 的推薦與評價
Philo ซึ่งแปลว่า ความรัก กับคำว่า Sophia หมายถึง wisdom หรือความรู้ รวมกันจึงหมายถึงความรักในความรู้นั่นเอง นิยามนี้ ผู้ที่ให้คือนักปรัชญาคนแรกๆของโลกนั่นก็คือ ... ... <看更多>