暈船中的少男少女滿常JNOV的,對夢中情人的行為都用Summary judgment,標準都用Rational basis review,事後回想總是覺得自己很蠢,但仍然是不斷重演,根本stare decisis。
Judgment notwithstanding the verdict, also called judgment non obstante veredicto, or JNOV, is a type of judgment as a matter of law (JMOL) that is ordered at the conclusion of a jury trial.
不管了啦~ 我就是要用英美法梗 不懂去查啦!!!><
「stare decisis law」的推薦目錄:
stare decisis law 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
บทที่ 8 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มีสถานะสูงสุดของประเทศ การที่รัฐธรรมนูญมีสถานะสูงกว่ากฎหมายอื่นทั้งหลายย่อมไม่อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ เพื่อให้ความสูงสุดของรัฐธรรมนูญมีความศักดิ์สิทธิ์ในการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ไม่ถูกละเมิดหรือทำลายหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ จึงต้องมีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งในบทนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงแนวคิดและหลักการทั่วไปการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญว่ามีองค์กรใดบ้างในการควบคุมกฎหมาย มีวิธีการควบคุมอย่างไร ผลของการควบคุมกฎหมายหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไรและการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งของประเทศไทย
ซึ่งอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ (Power of Judicial Review) เมื่อใดที่รัฐธรรมนูญรับรองว่าตนเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หรือบัญญัติให้เห็นโดยอ้อมว่าตนเป็นกฎหมายสูงสุด ด้วยการห้ามบทบัญญัติกฎหมายอื่นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เมื่อนั้นย่อมเกิดอำนาจในการพิทักษ์รักษาความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญและอำนาจในการควบคุมมิให้กฎหมายอื่นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ โดยมีระบบการควบคุมหรือการตรวจสอบมิให้กฎหมายขัดหือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1.องค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
องค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แยกพิจารณาองค์กรที่ทำหน้าที่ดังกล่าวออกได้เป็น 2 ประเภท คือ องค์กรที่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการกับองค์กรที่ไม่มีสถานะเป็นองค์กรตุลาการหรือเรียกว่า “องค์กรทางการเมือง” ดังนี้
1.1 องค์กรที่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการ
องค์กรที่ถือว่าเป็นองค์กรตุลาการ ผู้เขียนขอแยกพิจารณาองค์กรที่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการกับประเภทขององค์กรตุลาการที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ดังต่อไปนี้
1.1.2 ลักษณะที่จะเป็นองค์กรตุลาการ
องค์กรที่ถือว่าเป็นองค์กรตุลาการได้นั้นหาใช่เพียงมีชื่อเรียกว่า “ตุลาการ” หรือ “ศาล”เท่านั้น แต่ยังต้องเป็นองค์กรที่มีลักษณะที่เป็นสาระสำคัญขององค์กรตุลาการครบถ้วนด้วยจึงถือว่าเป็นองค์กรตุลาการได้ในลักษณะต่างๆ เหล่านี้ คือ
1.1.1.1 ใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท
ต้องเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทในกรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีการกระทำละเมิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายในระหว่างเอกชน ระหว่างองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐ และระหว่างเอกชนกับองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งในกรณีหลังนี้คือ การพิจารณาตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำต่างๆขององค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อมีการกล่าวหาว่าการกระทำที่ก่อให้เกิดผลกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย
1.1.1.2 คำวินิจฉัยจะต้องถึงที่สุด
คำวินิจฉัยจะต้องถึงที่สุด เด็ดขาดและไม่อาจจะถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนได้โดยองค์กรเจ้าหน้าที่องค์กรใดอีก ซึ่งหมายความว่า เมื่อองค์กรเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจพิจารณาชี้ขาดข้อพิพาทได้ทำคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้ว คำวินิจฉัยนั้นจะต้องไม่อยู่ในสถานะที่จะถูกกลับหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้อีก ทั้งนี้ไม่ว่าจะโดยองค์กรเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำวินิจฉัยนั้นเองหรือองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐองค์กรอื่นใด เว้นแต่องค์กรตุลาการซึ่งอยู่ในระดับสูงขึ้นไปตามกระบวนการวิธีพิจารณาตามปกติของการอุทธรณ์ ฎีกา เท่านั้น และเมื่อมีคำวินิจฉัยขององค์กรตุลาการซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว คำวินิจฉัยขององค์กรนั้นจะต้องถือเป็นที่สุดไม่อาจโต้แย้งไปได้แม้จะมีความไม่เหมาะสมก็ตาม
1.1.1.3 กระบวนการพิจารณาโดยเปิดเผย
กระบวนการพิจารณาทำคำวินิจฉัยชี้ขาดจะต้องเป็นกระบวนการที่เปิดเผยต่อสาธารณชน เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าฟังได้ การพิจารณาลับจะกระทำได้เฉพาะที่มีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมทั่วไปหรือพิจารณาโดยเปิดเผยจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเท่านั้น และจะต้องเปิดโอกาสให้คู่กรณีสามารถนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ส่วนได้เสียของตนได้อย่างเต็มที่ ทั้งในกรณีที่เป็นการสนับสนุนข้ออ้างของตนและในกรณีที่เป็นการหักล้างข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงกันข้าม
1.1.1.4 ความเป็นอิสระในการวินิจฉัยข้อพิพาท
องค์กรนั้นจะต้องทำหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทอย่างเป็นอิสระ กล่าวคือ การวินิจฉัยขององค์กรดังกล่าวจะต้องไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลหรืออำนาจบังคับบัญชาจากองค์กรหนึ่งองค์กรใด ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการด้วยกันเองหรือจากกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆในสังคม ด้วยเหตุนี้ระบบการบังคับบัญชาตามลำดับชั้น (Hierarchical control) อย่างที่ใช้อยู่ในองค์กรของฝ่ายบริหารจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจนำมาใช้กับระบบงานขององค์กรตุลาการได้ เพราะในระบบซึ่งผู้บังคับบัญชามีอำนาจที่จะให้คุณให้โทษแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ เช่นนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำงานอย่างอิสระได้อย่างแท้จริง
เมื่อพิจารณาแล้วองค์กรตุลาการต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 4 ประการข้างต้น ถ้าขาดคุณสมบัติเพียงประการใดประการหนึ่งหรือหลายประการ ประกอบแต่ไม่ครบทั้ง 4 ประการ ก็ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นองค์กรตุลาการ
1.1.2 องค์กรตุลาการที่จะทำหน้าที่ควบคุมมิให้กฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
องค์กรตุลาการที่จะทำหน้าที่ควบคุมมิให้กฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญโดยทั่วไปที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก มีอยู่ 2 องค์กร คือ ศาลยุติธรรมกับศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1.1.2.1 ศาลยุติธรรม
ศาลยุติธรรม (Court of Justice) มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีโดยทั่วๆ ไปโดยส่วนมากถูกจัดตั้งขึ้นในประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายคอมอนลอว์ (Common Law) ซึ่งแยกพิจารณาออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. ศาลยุติธรรม ซึ่งพิจารณาคดีพิพาททางรัฐธรรมนูญร่วมกับคดีอื่นๆ โดยไม่มีการแบ่งแยกเจ้าหน้าที่ไว้เป็นการเฉพาะเจาะจง รัฐธรรมนูญบางประเทศมอบหมายอำนาจในการพิจารณาควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญให้ไว้แก่ศาลยุติธรรมอย่างชัดแจ้ง โดยส่วนใหญ่มักเปิดช่องว่าจะต้องมีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้ระบุว่าให้เป็นอำนาจขององค์กรใด ศาลยุติธรรมซึ่งมีอยู่เพียงเป็นองค์กรเดียวจึงอ้างว่าเป็นอำนาจของตนเอง โดยการตีความเอาจากตัวบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ได้เปิดช่องไว้นั้น
ตัวอย่างคดีต้นแบบของการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา คือ คดี Marbury v. Madison ผู้พิพากษา Jhon Marshall ในคดีนี้ก็ได้อ้างหลักตรรกวิทยาอย่างง่ายๆ ในการตีความกฎหมายว่า “...องค์กรตุลาการนั้นเป็นองค์กรที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีอำนาจและเป็นหน้าที่ที่จะต้องพิจารณาว่าอะไรบ้างที่มีฐานะเป็นกฎหมายอันจะนำมาใช้เป็นหลักในการทำคำวินิจฉัยและถ้ามีความขัดแย้งกันในระหว่างบทบัญญัติทั้งหลายที่ใช้ในเรื่องเดียวกันแล้ว ตุลาการก็จะต้องมีอำนาจเป็นผู้ตัดสินว่าจะใช้บทกฎหมายใดบังคับ และในกรณีที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในระหว่างรัฐบัญญัติซึ่งจะต้องใช้บังคับในกรณีเดียวกันแล้ว ศาลก็จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเอาทางใดทางหนึ่งระหว่างการที่จะต้องตัดสินตามรัฐบัญญัติโดยไม่คำนึงถึงรัฐธรรมนูญหรือยึดถือไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญละเลยต่อรัฐบัญญัติ..” จากเหตุผลดังกล่าว Marshall ได้สรุปว่า เพราะประเทศสหรัฐอเมริกายึดถือรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มีค่าบังคับสูงสุด ดังนั้นกฎหมายใดก็ตามที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจึงไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมายที่ศาลจะต้องนำมาใช้ตัดสินคดีและหลังจากที่คดี Marbury v. Madison นี้ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ รัฐต่างๆทั้งในยุโรปและเอเชียต่างก็รับเอาระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรมเข้ามาใช้ในรัฐของตน ในทำนองเดียวกันกับที่ปรากฏอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
2.ศาลยุติธรรมเฉพาะ ซึ่งได้แยกเจ้าหน้าที่ไว้โดยเฉพาะเจาะจงในการพิจารณาข้อหานั้นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญต่างหากจากการพิจารณาคดีอื่นๆ ตามปกติ เช่น ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ การพิจารณาคดีเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญจะถูกแยกไว้เป็นแผนกหนึ่งต่างหากจากคดีประเภทอื่นๆ ทำนองเดียวกันกับการจัดตั้งศาลเด็กหรือศาลแรงงานในประเทศไทยด้วยเหตุผลที่ว่า คดีรัฐธรรมนูญเป็นคดีที่มีความสำคัญมีความละเอียดอ่อนเกี่ยวพันทั้งผลประโยชน์ของเอกชนและของรัฐ ต้องอาศัยความรู้ความสามารถเฉพาะด้านค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางกฎหมายมหาชนซึ่งมีวิธีคิด วิธีตีความแตกต่างไปจากเอกชน หากปล่อยให้เป็นอำนาจขององค์กรของรัฐที่ทำหน้าที่ชุดเดียวกับที่พิจารณาคดีแพ่งและคดีอาญาตามปกติ องค์กรเจ้าหน้าที่นั้นก็อาจจะมองข้ามความสำคัญหรือนำเอาวิธีคิดวิธีตีความที่ใช้อยู่กับคดีเหล่านั้นมาใช้ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่สมควรขึ้นได้ สมควรที่จะจัดให้มีองค์กรเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความชำนาญในทางกฎหมายมหาชนเป็นผู้ทำหน้าที่ดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีการจัดตั้งแผนกพิเศษไว้ก็ตามแต่ก็เป็นเพียงในศาลชั้นต้นเท่านั้น ส่วนในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาก็ยังเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามปกติอยู่จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นศาลเฉพาะที่แยกต่างหากจากศาลยุติธรรมตามปกติศาล
ซึ่งประเทศที่ใช้องค์กรศาล คือ ศาลยุติธรรมเข้ามาควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศเอสโทเนีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศอิหร่าน ประเทศโบลิเวีย ประเทศเจแปน ประเทศนอร์เวย์ ประเทศสวีเดน ประเทศฟิจิ ประเทศอิสราเอล ประเทศเม็กซิโก ประเทศเนปาล ประเทศเคนยา ประเทศมาเลย์เซีย ประเทศอินเดีย เป็นต้น
1.1.2.2 ศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลที่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาให้มีเขตอำนาจจำกัดอยู่แต่เพียงการพิจารณาข้อพิพาทเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ มีอำนาจพิจารณาและทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ ศาลเฉพาะหรือที่เรียกว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” (Constitution Court) ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญของประเทศออสเตรีย ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1920 โดยคำเสนอแนะของ ฮันส์ เคลเซน (Hans Kelsen) นักรัฐธรรมนูญผู้มีชื่อเสียงของออสเตรีย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดจากการรับเอาระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรมตามระบบของประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้ในประเทศออสเตรียและประเทศเยอรมนีนำมาใช้จนเป็นที่ได้รับความนิยมต่อมาทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประเทศที่ใช้ศาลรัฐธรรมนูญควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ได้แก่ ประเทศออสเตรีย ประเทศเยอรมนี ประเทศเบลเยี่ยม ประเทศตุรกี ประเทศไซปรัส ประเทศศรีลังกา ประเทศโปแลนด์ ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศโครเอเชีย ประเทศโรมาเนีย ประเทศอัฟริกาใต้ ประเทศชิลี ประเทศสเปน ประเทศไทย เป็นต้น
1.2 องค์กรที่ไม่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการ
องค์กรที่ไม่มีลักษณะครบที่จะเป็นองค์กรตุลาการก็ต้องถือว่าไม่ใช่องค์กรตุลาการทั้งสิ้น ซึ่งเป็นองค์กรที่มีสมาชิกดำรงตำแหน่งโดยวิถีทางการเมืองอยู่ด้วย แบ่งออกได้ 2 รูปแบบดังนี้
1.2.1 คณะกรรมการตุลาการรัฐธรรมนูญ
องค์กรที่ไม่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการ ที่เรียกว่า “คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ” (Committee on the Constitution) หรือ “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ” (The jury is unconstitutional) ที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ องค์กรที่ไม่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการ ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น ประเทศฝรั่งเศสประเทศแอลจีเรีย ประเทศโมร๊อคโค ประเทศโมซัมบิค เป็นต้น
1.2.2 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ
แนวคิดที่ให้รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นจากการอ้างเหตุผลว่า รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้แทนของประชาชนและมีหน้าที่จัดทำหรือบัญญัติกฎหมายย่อมทราบได้ดีว่ากฎหมายฉบับใดมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ บางประเทศที่ให้รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เช่น ประเทศจีน ประเทศลาว ประเทศเวียดนาม ประเทศคิวบา ประเทศเกาหลีเหนือ ประเทศเอธิโอเปีย ประเทศฟิลแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศบาเรนห์ ประเทศซิมบับเว ประเทศโอมาน ประเทศตูนิเซีย เป็นต้น
2. วิธีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
วิธีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนี้ จะกล่าวถึงระบบการควบคุมกฎหมาย ช่วงเวลาการควบคุมกฎหมายและผลของการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ดังนี้
2.1 ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเท่าที่มีอยู่ในรัฐต่างๆ ในปัจจุบันนี้มีอยู่ 2 ระบบด้วยกัน โดยพิจารณาจากวิธีการในการควบคุมเป็นหลัก คือ ระบบการควบคุมแบบรูปธรรม (Concrete control) และการควบคุมแบบนามธรรม (Abstract control) ดังนี้
2.1.1 ระบบการควบคุมแบบรูปธรรม
การควบคุมกฎหมายไม่ให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแบบรูปธรรม (Concrete control) หรือเรียกว่า “วิธีการต่อสู้ป้องกัน” ปัญหากับกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างที่มีการพิจารณาพิพากษาซึ่งฟ้องร้องกันอยู่ในศาลตามปกติทุกศาล ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง คดีอาญา คดีปกครอง คดีแรงงาน คดีภาษีอากรหรือคดีอื่นๆ ในทำนองเดียวกันนี้ ในแง่ของกระบวนวิธีพิจารณาความ ปัญหากฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญก็เป็นเพียงประเด็นซึ่งถูกเสนอเข้าประกอบกับประเด็นหลักซึ่งฟ้องร้องกันอยู่ โดยคู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างเกี่ยวกับการปฏิเสธความรับผิดหรือภาระหน้าที่ของตนตามกฎหมายฉบับหลังๆหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ปฏิเสธอำนาจของศาลที่จะบังคับใช้กฎหมายฉบับนั้นให้เป็นผลร้ายแก่คดีของเขา เพราะกฎหมายฉบับนั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ดังนี้การที่ศาลจะทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี คือ ประเด็นที่ว่าคู่ความมีสิทธิหน้าที่หรือความรับผิดชอบต่อกันอย่างไร ศาลจะต้องวินิจฉัยในชั้นต้นเสียก่อนว่ากฎหมายที่จะนำมาใช้บังคับแก่คดีนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญดังที่คู่ความกล่าวอ้างหรือไม่ ถ้าศาลเห็นว่าไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญก็จะนำมาใช้ชี้ขาดประเด็นหลักของคดีต่อไป แต่ถ้าศาลเห็นว่าไม่ชอบก็จะไม่นำเอากฎหมายฉบับนั้นมาใช้บังคับ ทั้งนี้แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดกล่าวอ้างปัญหากฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญอันเป็นข้อต่อสู้ ศาลก็อาจหยิบยกข้อพิจารณาเองได้ เพราะเป็นขั้นตอนหลังของการนำเอาตัวบทกฎหมายมาปรับใช้แก่คดีนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อาจนำเสนอกฎหมายฉบับอื่นๆ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคดีของตนขึ้นมาให้ศาลพิจารณาและในทางตรงกันข้ามศาลเองก็ไม่สามารถหยิบยกเอากฎหมายฉบับอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่กฎหมายฉบับที่จะต้องนำมาใช้บังคับแก่คดีนั้นๆขึ้นมาวินิจฉัยถึงปัญหากฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้
รัฐต่างๆซึ่งใช้วิธีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแบบรูปธรรม ที่ให้อำนาจแก่ศาลไว้โดยชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญ เช่น ประเทศญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาหลายรัฐ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกรณีที่ศาลอ้างอำนาจจากการทบทวนกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเองโดยการตีความจากตัวบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่เปิดช่องว่างไว้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศเดนมาร์ก ประเทศนอร์เวย์และประเทศอาเจนตินา เป็นต้น แต่ทั้งนี้ในกรณีที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกรณีที่ศาลตีความเอาเอง ศาลซึ่งมีอำนาจวินิจฉัยก็คือ ศาลตามปกติทุกศาล ดังนั้นเมื่อพิจารณาในแง่ขององค์กรที่ทำหน้าที่แล้วจึงมีผู้เรียกกระบวนการควบคุมแบบรูปธรรมนี้ว่า “ระบบกระจายอำนาจศาล” เพราะอำนาจในการพิจารณากระจายอยู่กับศาลทุกศาลโดยเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นระดับศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาก็ตาม
ในเมื่อเป็นการพิจารณาพิพากษาคดีตามปกติคำวินิจฉัยของศาลในแต่ละคดีย่อมมีผลแต่เฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้น ผลของคำวินิจฉัยของศาลที่ว่ากฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ จึงไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของกฎหมายฉบับนั้น กฎหมายยังมีผลบังคับใช้อยู่ตามปกติจนกว่าจะถูกยกเลิกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) ตามกระบวนในการยกเลิกกฎหมาย และในทำนองเดียวกันถ้าศาลเห็นว่ากฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญก็ไม่ผูกพันศาลอื่น องค์กรเจ้าหน้าที่องค์กรอื่นหรือเอกชนอื่นๆให้ต้องถือตามกฎหมายฉบับนั้นอาจถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาว่ากฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้อีกในภายหลังๆ ต่อมาและอาจถูกวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญก็ได้เช่นกัน
2.1.2 ระบบการควบคุมแบบนามธรรม
ในแง่ของกระบวนการวิธีพิจารณา ระบบควบคุมแบบนามธรรม (Abstract control)
ก็คือ ระบบที่ตรงกันข้ามกับระบบการควบคุมแบบรูปธรรมนั่นเอง เพราะเป็นระบบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆที่เกิดขึ้นจากการนำวิธีการแบบรูปธรรมมาใช้กับรัฐบางรัฐ ดังนั้นในวิธีการควบคุมแบบนามธรรมนี้แทนที่จะต้องรอให้มีคดีพิพาทในเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นสู่ศาลเสียก่อน คู่ความผู้เสียหายจากการนำเอากฎหมายฉบับนั้นมาปรับใช้กับคดีจึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลซึ่งกำลังพิจารณาคดีนั้นอยู่ว่ากฎหมายฉบับนั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้ ปัญหากฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญสามารถจะถูกนำเสนอเข้ามาเป็นประเด็นหลักให้องค์กรผู้มีอำนาจชี้ขาดวินิจฉัยได้โดยตรง ไม่ต้องอ้างข้อกฎหมายประกอบกับคดีพิพาทอื่นใด เมื่อพิจารณาในแง่นี้วิธีการควบคุมแบบนามธรรมจึงเป็นวิธีการที่มีลักษณะเป็นพิเศษและอยู่นอกเหนือกระบวนการในการพิจารณาความปกติ ดังเช่น วิธีการควบคุมแบบรูปธรรมจึงจำเป็นอยู่เองที่รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดรายละเอียดไว้โดยชัดแจ้งเสมอ ทั้งนี้ในเรื่ององค์กรผู้มีอำนาจชี้ขาด ผู้มีสิทธินำเสนอปัญหาและผลของคำวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวด้วย
โดยที่วิธีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแบบนามธรรมนี้ ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยความมุ่งหมายที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการนำวิธีการแบบรูปธรรมมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องความไม่เป็นเอกภาพของคำวินิจฉัยว่ากฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้นตามหลักเหตุผลในตัวมันเอง แล้วคำวินิจฉัยขององค์กรผู้มีอำนาจชี้ขาดในกรณีการควบคุมแบบนามธรรมนี้ย่อมจะต้องมีผลผูกพันเป็นการทั่วไปเสมอ เพราะหากว่ายังคงให้มีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีแล้วการจัดให้มีการควบคุมแบบนามธรรมก็คงเป็นสิ่งที่สูญเปล่าและไม่มีผลดีอะไรมากไปกว่าการรับเอาระบบการควบคุมแบบรูปธรรมเข้ามาใช้นั่นเอง ที่ว่าคำวินิจฉัยมีผลผูกพัน หมายความว่า เมื่อองค์กรผู้มีอำนาจชี้ขาดได้วินิจฉัยและชี้ขาดมาแล้วว่ากฎหมายฉบับใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ คำวินิจฉัยเช่นนั้นย่อมผูกพันให้องค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกองค์กรและเอกชนทั้งหลายต้องยึดถือปฏิบัติ ทำนองเดียวกันหากองค์กรชี้ขาดวินิจฉัยว่ากฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ทั้งองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชนก็ย่อมไม่อาจอ้างอำนาจหรือสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายฉบับดังกล่าวได้อีก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ กฎหมายฉบับนั้นซึ่งอาจจะเป็นทั้งฉบับหรือแต่เฉพาะบางส่วนที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ถูกยกเลิกไปโดยผลคำวินิจฉัยว่ากฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญขององค์กรผู้มีอำนาจชี้ขาดโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องรอให้องค์กรนิติบัญญัติออกกฎหมายฉบับใหม่มายกเลิกซ้ำอีกนั่นเอง
องค์กรผู้มีอำนาจพิจารณาปัญหาการควบคุมกฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแบบนามธรรมนี้ อาจมีได้ทั้งองค์กรที่มีลักษณะตุลาการและองค์กรที่ไม่มีลักษณะเป็นตุลาการ แล้วแต่รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้เป็นอำนาจขององค์กรใด เช่น ศาลรัฐธรรมนูญของประเทศออสเตรีย ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนี ศาลรัฐธรรมนูญประเทศอิตาลี เป็นต้น และในทำนองเดียวกันผู้มีสิทธินำเสนอปัญหานี้อาจแยกออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มที่มีฐานะเป็นองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีได้ทั้งสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ
2.กลุ่มที่มีฐานะเป็นเอกชนซึ่งอาจเป็นกลุ่มบุคคลหรือในบางกรณีปัจเจกชนก็อาจนำเสนอให้มีการพิจารณาปัญหานี้ได้
ข้อสังเกต การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเชิงนามธรรมจะเป็นได้ทั้งเป็นการตรวจสอบก่อนและการตรวจสอบหลังกฎหมายที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็ได้
2.2 ช่วงเวลาในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนี้หากพิจารณาในแง่ของช่วงเวลาแล้ว อาจแยกออกได้ 2 ช่วงคือ การควบคุมก่อนที่กฎหมายฉบับนั้นจะมีผลเป็นกฎหมายใช้บังคับกับเอกชนและการควบคุมแล้วจากที่กฎหมายได้มีผลบังคับใช้กับเอกชนแล้ว
ข้อสังเกต ในการตรากฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งขึ้นมาใช้บังคับในรัฐนั้น โดยทั่วไปแล้วมักจะต้องผ่านกระบวนการที่สำคัญอยู่ 4 ขั้นตอน คือ
(1) การเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติ
(2) การพิจารณาร่างกฎหมายโดยสภานิติบัญญัติ
(3) การตรากฎหมายโดยประมุขของรัฐ
(4) การประกาศโฆษณากฎหมายที่ตราแล้วต่อสาธารณะ
จากขั้นตอนการตรากฎหมายนี้มีข้อพิจารณา อยู่ 2 ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ร่างกฎหมายที่ถูกเสนอเข้ามาให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณานั้นมีฐานะเป็นกฎหมายขึ้นมาได้ก็จะต้องมีการตราขึ้นเป็นกฎหมายเสียก่อน ซึ่งได้แก่ การที่ประมุขของรัฐได้ลงนามในร่างกฎหมาย เพื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมาย ร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาจากฝ่ายนิติบัญญัติแล้วย่อมไม่มีฐานะเป็นกฎหมาย หากไม่มีการลงนามประกาศใช้หรือตราขึ้นเป็นกฎหมายโดยประมุขของรัฐอาจจะเป็นกษัตริย์ หรือประธานาธิบดีแล้วแต่กรณี
ประการที่สอง ร่างกฎหมายที่ถูกตราขึ้นเป็นกฎหมายแล้วนี้จะมีผลบังคับกับเอกชนก็ต่อเมื่อมีการประกาศโฆษณากฎหมายฉบับนั้นแล้วเท่านั้น หากยังไม่มีการประกาศโฆษณาต่อสาธารณะองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเอกชนคณะใดคณะหนึ่งย่อมไม่อาจนำเอากฎหมายฉบับนั้นมาใช้บังคับใช้ให้เป็นผลเสียกับบุคคลอื่นๆได้
การควบคุมกฎหมายไม่ให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่กล่าวถึงในเรื่องนี้ย่อมหมายถึง การควบคุมตั้งแต่ร่างกฎหมายได้ถูกตราขึ้นเป็นกฎหมายแล้วเท่านั้น ส่วนในช่วงที่ยังไม่มีการประกาศใช้เป็นกฎหมายนั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนิติบัญญัติและไม่รวมอยู่ในบางข้อที่กำลังศึกษาอยู่นี้และที่ว่าเป็นการควบคุมก่อนหรือหลังส่วนนี้ก็คือ ก่อนหรือหลังการประกาศโฆษณากฎหมายที่ตราแล้วต่อสาธารณะชน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จะทำให้กฎหมายตราขึ้นแล้วมีผลบังคับใช้กับบุคคล
2.2.1 การควบคุมก่อนที่จะมีการประกาศโฆษณา
การควบคุมก่อนที่จะมีการประกาศโฆษณา ก็คือ การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ในช่วงตั้งแต่ประมุขของรัฐจะได้ลงนามประกาศใช้กฎหมายจนกระทั่งได้มีการประกาศโฆษณากฎหมายฉบับนั้น ด้วยเหตุผลในช่วงเวลานี้กฎหมายยังไม่มีผลบังคับใช้กับบุคคลหนึ่งบุคคลใด ดังนั้น การควบคุมแบบรูปธรรมจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะการควบคุมแบบรูปธรรมนั้นจะมีได้ก็ต่อเมื่อบุคคลผู้เสียหายจากการบังคับใช้กฎหมายนำเสนอปัญหากฎหมายนั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญให้ศาลซึ่งทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดในคดีนั้นพิจารณาก่อนจะทำคำพิพากษาชี้ขาด การควบคุมในช่วงเวลาก่อนที่จะมีการประกาศโฆษณากฎหมายนี้จะมีได้ก็แต่การควบคุมแบบนามธรรม โดยองค์กรเจ้าหน้าที่ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจไว้เฉพาะและโดยการนำเสนอขององค์กรเจ้าหน้าที่ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น และหากว่าองค์กรผู้มีอำนาจชี้ขาดได้ชี้ขาดว่ากฎหมายฉบับนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ก็ย่อมมีผลให้ไม่อาจประกาศโฆษณากฎหมายฉบับนั้นให้มีผลบังคับกับบุคคลได้อีก แม้จะได้ตราเป็นกฎหมายออกมาแล้วก็ตาม เท่ากับไม่เคยมีการตรากฎหมายฉบับนั้นขึ้นมาใช้บังคับเลย ในทางตรงกันข้ามหากว่าองค์กรผู้มีอำนาจชี้ขาดว่ากฎหมายฉบับนั้นไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญกฎหมายก็ย่อมจะต้องถูกประกาศโฆษณาและใช้บังคับต่อไปซึ่งแม้ว่าในภายหลังจะได้มีคดีเฉพาะเรื่องที่ทำให้เห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญก็ไม่อาจมีการรื้อฟื้นพิจารณาได้อีก และกฎหมายก็ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าจะถูกยกเลิกโดยกระบวนการตามปกติ
2.2.2 การควบคุมหลังจากที่มีการประกาศโฆษณากฎหมายแล้ว
การควบคุมหลังจากที่มีการประกาศโฆษณากฎหมายแล้ว ก็คือ การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจะกระทำเมื่อได้มีการประกาศโฆษณาใช้บังคับกฎหมายอย่างเป็นทางการและกฎหมายมีผลบังคับใช้กันทั้งองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชนอย่างสมบูรณ์แล้ว การควบคุมในช่วงเวลานี้จึงสามารถจะทำได้ในขอบเขตที่กว้างกว่า กล่าวคือ อาจจะมีได้คือ การควบคุมแบบนามธรรมและการควบคุมแบบรูปธรรม
นอกจากนี้คำวินิจฉัยขององค์กรผู้มีอำนาจชี้ขาดก็ดูจะส่งผลกระทบที่กว้างกว่าการควบคุมก่อนที่จะมีการประกาศโฆษณาต่อสาธารณะชน คือ ในขณะที่คำวินิจฉัยขององค์กรผู้มีอำนาจที่ว่ากฎหมายขัดต่อในการควบคุมก่อนแม้จะเป็นการยกเลิกกฎหมายแต่ก็เป็นการยกเลิกก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ยังไม่มีผลกระทบกับสิทธิและหน้าที่ของประชาชนตามที่กฎหมายฉบับนั้นบัญญัติไว้ แต่ผลของคำวินิจฉัยเช่นนี้ในการควบคุมหลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับเป็นการยกเลิกกฎหมายที่มีผลบังคับกับสิทธิหน้าที่ของประชาชนไปแล้ว ผลที่เกิดขึ้นย่อมไม่ต่างกับการที่ฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายฉบับใหม่ขึ้นมายกเลิกกฎหมายฉบับเก่าซึ่งใช้บังคับอยู่
2.3ผลของการวินิจฉัยในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
ผลของการวินิจฉัยในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แยกอธิบายได้คือ มีผลต่อกฎหมาย มีผลต่อรูปคดีและมีผลต่อบุคคล ดังนี้
2.3.1 การวินิจฉัยในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญที่มีผลต่อกฎหมาย
การวินิจฉัยในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญที่มีผลต่อกฎหมาย อาจแยกอธิบายได้ 3 ลักษณะดังนี้
1.ในบางประเทศถือว่า กฎหมายที่มีคำวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญใช้บังคับไม่ได้ และให้มีผลย้อนหลังไปกระทบถึงตั้งแต่ต้น (retrospective) ผู้ที่ต้องโทษตามกฎหมายย่อมเป็นอันพ้นโทษ
2.ในบางประเทศถือว่าให้มีผลในคดีนั้นและต่อไปภายหน้า (prospective) เท่านั้น คือไม่นำกฎหมายในส่วนนั้นมาใช้อีก แต่ที่ผ่านไปแล้วไม่ถูกกระทบกระเทือนแต่อย่างใด
3.ในบางประเทศ เช่น ประเทศอิตาลี ประเทศตุรกี กำหนดให้ผลต่อกฎหมายที่แตกต่างไป คือ ยอมให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำวินิจฉัยของศาลยังไม่มีผลในขณะนี้ แต่จะทิ้งช่วงเวลา เช่น 6 - 12 เดือน จึงมีผลใช้บังคับว่ากฎหมายนั้นใช้บังคับมิได้เพื่อว่าในระหว่างนี้จะได้แก้กฎหมายทัน เรียกว่า “การวินิจฉัยรอบังคับในอนาคต” (pro futuro)
ข้อสังเกต โดยทั่วไปแล้วมักถือว่ากฎหมายส่วนที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและใช้บังคับไม่ได้ สามารถแยกออกจากส่วนที่สมบูรณ์ได้ การโมฆะ เสียเปล่า ไร้ผล จึงต้องดูเป็นมาตราๆและไม่กระทบถึงตัวบทกฎหมายนั้นทั้งฉบับ
2.3.2 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญที่มีผลต่อรูปคดี
ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเจ้าตำรับที่ใช้ระบบกระจายอำนาจทางศาล คือ ศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยหรือควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญกว้างขวางมาก เช่น วินิจฉัยว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญก็ได้ ด้วยเหตุนี้ในการวินิจฉัยศาลมีคำสั่งให้มีผลในทำนองว่ากฎหมายมาตรานั้นๆหรือฉบับนั้นๆขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและใช้บังคับมิได้ หลังจากที่เปรียบเทียบตัวบทกฎหมายที่เป็นปัญหากับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแล้ว กรณีนี้เรียกว่า “ใช้บังคับบทบัญญัตินั้นไม่ได้” (void on the of the law) แต่ศาลของประเทศสหรัฐอเมริกาอาจตรวจสอบกฎหมายเทียบเคียงกับรัฐธรรมนูญแล้ววินิจฉัยว่า กฎหมายนั้นใช้ได้ไม่มีถ้อยคำหรือข้อความใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพียงแต่เมื่อนำมาใช้กับจำเลยในคดีนั้นแล้วเป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงใช้บังคับไม่ได้ (void as applied to the defendant) ซึ่งเป็นวิธีสั่งคดีหรือหรือวินิจฉัยที่แปลก เพราะในประเทศอื่นๆจะไม่วินิจฉัยเช่นนั้น เนื่องจากสามารถใช้วิธีตีความกฎหมายแล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เข้าข่ายตามกฎหมายจึงไม่จำเป็นความผิดแทนที่จะวินิจฉัย กฎหมายมาตรานั้นๆขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหากนำมาใช้กับจำเลยจึงใช้บังคับไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายก็ยังอยู่ดั่งเดิมและใช้ได้กับคดีอื่นๆ
2.3.3 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญที่มีผลต่อบุคคล
ในระบบรวมศูนย์อำนาจทางศาล ผลของคำวินิจฉัยมักกระทบถึงบุคคลทั่วไปไม่จำกัดแต่เพียงคู่ความ ส่วนที่ว่าจะย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลังหรือไม่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่ในระบบกระจายอำนาจทางศาลของประเทศสหรัฐอเมริกา ผลของคำวินิจฉัยจะกระทบแต่เฉพาะคู่ความในคดี (interpartes) เท่านั้น โดยไม่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก แม้ศาลจะวินิจฉัยว่าใช้บทบัญญัตินั้นไม่ได้ (void on the face of the law) ก็ตาม เมื่อคดีเกิดขึ้นใหม่ในศาลเดิมหรือศาลใหม่ ศาลอาจวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นอีกก็ได้ แต่คำวินิจฉัยจะไม่ออกนอกลู่นอกทางกลับหน้ามือเป็นหลังมือเท่าไหร่นัก เพราะหลักบรรทัดฐานแห่งคดี (stare decisis) จะควบคุมอยู่
3. การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของประเทศไทย
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของประเทศไทยนี้จะอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญกับการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ดังนี้
3.1 ประวัติความเป็นมาของการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของประเทศไทย
ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของประเทศไทยเริ่มต้นในลักษณะคล้ายๆกับระบบของการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวคือ มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 ว่าบทกฎหมายใดมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้น บทกฎหมายดังกล่าวย่อมเป็นโมฆะ แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทิ้งปัญหาค้างไว้ว่า ใครจะเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัย ซึ่งจะอธิบายความเป็นมาได้ดังนี้
3.1.1 ศาลฎีกาเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญในประเทศไทยเริ่มต้นจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 เพื่อลงโทษผู้นำ หรือหัวหน้ารัฐบาล ที่ร่วมก่อให้เกิดสงคราม ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นฝ่ายปราชัยในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหากรัฐบาลไม่ตราพระราชบัญญัตินี้ ฝ่ายสัมพันธมิตรก็จะนำผู้ต้องหา ไปดำเนินคดีในต่างประเทศในฐานะ “อาชญากรสงคราม” เมื่อได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติอาชญากรสงครามแล้ว ได้มีการจับกุมบุคคลหลายคน และฟ้องร้องขอให้ลงโทษตามกฎหมายนี้ ศาลฎีกาได้ตัดสินว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 เฉพาะที่บัญญัติลงโทษการกระทำก่อนวันใช้กฎหมายนี้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและเป็นโมฆะ เหตุผลในคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีอาชญากรสงครามที่ 1/2489 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2489 มีว่าแม้รัฐธรรมนูญมิได้กล่าวว่าใครจะเป็นผู้มีอำนาจ แสดงว่ากฎหมายอันขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะได้ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าศาลมีอำนาจดังกล่าว ด้วยเหตุผล 3 ประการ ดังนี้
1.ศาลเป็นผู้ใช้กฎหมาย ฉะนั้นการที่ดูว่าอะไรเป็นกฎหมายหรือเป็นกฎหมายที่ใช้ได้หรือไม่ ย่อมเป็นอำนาจของศาล เพราะถ้าศาลไม่มีอำนาจ ศาลย่อมไม่รู่ว่าอะไรเป็นกฎหมายหรือไม่เป็น และศาลจะดำเนินการพิจารณาพิพากษาคดีตามกฎหมายได้อย่างไร
2.การปกครองระบอบรัฐธรรมนูญของประเทศไทยแบ่งแยกการใช้อำนาจเป็น 3 ประเภท คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ แต่ละอำนาจมีอำนาจยับยั้งและกำกับเป็นการควบคุมกันอยู่ ซึ่งเป็นหลักประกันในความมั่นคง เมื่อสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอำนาจนิติบัญญัติออกกฎหมายมาแล้ว ศาลซึ่งมีอำนาจทางฝ่ายตุลาการต้องปฏิบัติ ไม่ว่าศาลจะเห็นว่ากฎหมายนั้นสมควรหรือไม่ก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันถ้าสภาผู้แทนราษฎรออกกฎหมายมาไม่ถูกต้องกับรัฐธรรมนูญขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ศาลก็มีอำนาจแสดงความไม่ถูกต้องนั้นได้
3.จำเป็นจะต้องมีผู้มีอำนาจชี้ขาดว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ มิฉะนั้นข้อที่ว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดนี้จะไม่มีผล กฎหมายนั้นสภาผู้แทนราษฎรออกมาเอง จะกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรชี้ขาดว่าเป็นกฎหมายหรือไม่อย่างไร จะว่าทางฝ่ายบริหารมีอำนาจชี้ขาดก็ไม่ได้ เพราะการวินิจฉัยกฎหมายไม่ใช่เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารเช่นนี้ใครเล่าจะมีอำนาจนอกจากศาล ศาลเป็นหน่วยที่จัดตั้งขึ้นไว้สำหรับให้ความยุติธรรม เป็นการบำบัดทุกข์ร้อนให้แก่ประชาชน บุคคลทั้งหลายย่อมหวังในความยุติธรรมของศาลเป็นที่ตั้ง และเมื่อมีบทกฎหมายอันออกมาตัดสิทธิเสรีภาพและขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เช่นนี้จะไม่ให้ศาลมีอำนาจแสดงเพื่อความยุติธรรมแก่บุคคลผู้เกี่ยวข้องหรือ แม้ศาลไม่ประสงค์จะเข้าไปวินิจฉัยกิจการของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ก็ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้ในกรณีเช่นนี้
จากเหตุผล 3 ประการดังกล่าว ศาลฎีกาจึงได้พร้อมกันพิพากษาชี้ขาดว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ.2488 เฉพาะที่บัญญัติลงโทษกระทำก่อนใช้พระราชบัญญัติขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและเป็นโมฆะ การกระทำที่โจทย์ฟ้องจำเลยในคดีนี้เป็นการกระทำก่อนวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2488 อันเป็นวันใช้พระราชบัญญัตินี้ทั้งสิ้น จึงถือว่าเป็นกฎหมายอาญาที่มีผลย้อนหลังซึ่งต้องห้ามรัฐธรรมนูญ และจำเลยจะมีความผิดตามกฎหมายอื่นใดบ้างหรือไม่ ไม่สำคัญสำหรับคดีนี้ เพราะคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ.2488 เท่านั้น เมื่อบทบัญญัติอันโจทก์ฟ้องขอให้เอาผิดกับจำเลยเป็นโมฆะเสียแล้วก็ไม่มีทางจะลงโทษจำเลยได้ จึงให้ยกฟ้องโจทก์เสียปล่อยจำเลยพ้นข้อหา
ข้อสังเกต การให้เหตุผลในคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีอาชญากรที่ 1/2489 นี้มีส่วนคล้ายคลึงกับเหตุผลของสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกาในคดี Mabury v. Madison อยู่ไม่น้อย
3.1.2 รัฐสภาเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
จากคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีอาชญากรสงครามที่ 1/2489 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2489นี้ ได้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในสภาผู้แทนราษฎรในยุคนั้น ต่างเห็นว่าการที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเป็นโมฆะ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ เป็นการล่วงล้ำหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีหน้าที่ว่าควรให้มีกฎหมายหรือไม่ จึงมีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่ง มี 7 คน เพื่อพิจารณาญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่าศาลมีอำนาจวินิจฉัยความสมบูรณ์ของพระราชบัญญัติหรือไม่ คณะกรรมาธิการมีความเห็นเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ว่า เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม 2475 มาตรา 62 เห็นว่า อำนาจการตีความรัฐธรรมนูญอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร ศาลจะอ้างอำนาจอื่นใดมาโต้แย้งไม่ได้ สภาผู้แทนราษฎรลงมติรับรองรายงานของคณะกรรมาธิการ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาก็ถือว่าแล้วกันไป แต่สภาต้องหาทางออกป้องกันมิให้เกิดปัญหานี้
3.1.3 ตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
จากรายงานของคณะกรรมาธิการดังกล่าว จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดคณะตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้นแทนศาล เพื่อขจัดปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายตุลาการตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 มาตรา 88 กำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นผู้ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้บัญญัติยอมรับอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญของรัฐสภาไว้อย่างกว้างขวาง โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 86 วรรคหนึ่งว่า “ภายใต้มาตรา 88 รัฐสภาทรงไว้ซึ่งสิทธิเด็ดขาดในการตีความรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งมีความหมายว่า รัฐสภามีอำนาจตีความรัฐธรรมนูญได้ในทุกกรณี รวมทั้งกรณีการตีความกฎหมายธรรมดา ที่มีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญด้วย ทั้งนี้ เว้นแต่ในกรณีที่ศาลได้ส่งเรื่องมาให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วตามมาตรา 88 เท่านั้น ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 มาตรา 177 ได้ลดบาทบาทการตีความรัฐธรรมนูญของรัฐสภาลงโดยจำกัดอำนาจการตีความรัฐธรรมนูญของรัฐสภาไว้เฉพาะประเด็นปัญหาอยู่ในวงงานของรัฐสภาเท่านั้น ส่วนการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดกับรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลักการดังกล่าวก็ได้รับรองในรัฐธรรมนูญในฉบับต่อๆมา ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชาณาจักรไทย ที่บัญญัติให้มีคณะกรรมการตุลาการรัฐธรรมนูญ พบว่า มีอยู่ 8 ฉบับ ด้วยกัน คือ รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2489, รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2492 ,รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ. 2475, รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2511, รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2517, รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2521, รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2534, และรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2549
3.1.4 ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
ต่อมาเมื่อเข้าสู่กระแสการปฏิรูปการเมืองและจุดเปลี่ยนกฎหมายมหาชนไทย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเอือมระอาในกฎหมายมหาชนกับอำนาจนิยม ทั้งในระดับรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครองทั้งปวง นำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง จนกระทั่งมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาและจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 สถาปนาองค์กรที่สำคัญซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ (Constitution Court) ซึ่งเปลี่ยนจากคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีลักษณะเป็นองค์กรทางการเมืองให้เป็นศาล และได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ฉบับปัจจุบัน
3.2 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญโดยศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญโดยศาลรัฐธรรมนูญ (Constitution Court) ในปัจจุบันตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 นั้นสามารถอธิบายวิธีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและผลของกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้หลายวิธีด้วยกัน ดังนี้
3.2.1 ช่วงเวลาของการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
หากพิจารณาในแง่ช่วงเวลาของการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 แล้วอาจแยกช่วงเวลาการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญก่อนประกาศใช้กับการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหลังประกาศใช้ ดังนี้
3.2.1.1 การควบคุมร่างกฎหมายก่อนประกาศใช้
การควบคุมร่างกฎหมายก่อนประกาศใช้เพื่อมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการควบคุมตรวจสอบแบบนามธรรม สามารถควบคุมได้ทั้งด้านเนื้อหาและด้านกระบวนการตราของกฎหมาย ดังนี้
1. การควบคุมร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ คือ
1) เมื่อรัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว ก่อนที่นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงพระปรมาภิไธย ให้ประธานรัฐสภายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญซึ่งต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง
2) ผลของการที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ คือ
(1) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นอันตกไป (เป็นการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญด้านเนื้อของกฎหมาย) ซึ่งในประเด็นนี้มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่น่าสนใจ เช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2551 เรื่อง ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ... มีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 141 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เป็นต้น
(2) ในกรณีที่วินิจฉัยว่าข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป และให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นกลับคืนสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาตามลำดับ (เป็นการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญในลักษณะของกระบวนการตรากฎหมาย) ซึ่งในประเด็นนี้มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่น่าสนใจ เช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 2/2551 เรื่อง ประธานสภานิติบัญญัติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ...ซึ่งมีวิธีกระบวนการตราไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 141 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เป็นต้น
2. การควบคุมร่างพระราชบัญญัติมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ คือ ร่างพระราชบัญญัติใดที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วก่อนที่นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย สามารถควบคุมร่างพระราชบัญญัติที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและผลของร่างพระราชบัญญัติขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1) ผู้มีสิทธิเสนอว่าร่างพระราชบัญญัติขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ คือ
(1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร และให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า
(2) สมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานวุฒิสภาและให้ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า
(3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานรัฐสภาและให้ประธานรัฐสภาส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า
(4) นายกรัฐมนตรี เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีมีสิทธิส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้โดยตรง และแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักช้า
ซึ่งในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ให้นายกรัฐมนตรีระงับการดำเนินการเพื่อประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
2) ผลของร่างพระราชบัญญัติที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ (เป็นการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญด้านเนื้อของกฎหมาย) หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ (เป็นการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญด้านกระบวนการตรากฎหมาย) และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป ซึ่งมีตัวอย่างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัย ดังนี้
(1) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญด้านเนื้อของกฎหมาย ที่วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติตามคำร้องมีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 11/2549 การที่มาตรา 20 ของร่างพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่) พ.ศ. ... ที่ให้เพิ่มความเป็นมาตรา 46/1 แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 บัญญัติห้าม “มิให้ผู้ใดชุมนุมกันในเขตทางหลวงในลักษณะที่เป็นการกีดขวางจราจรหรืออาจเป็นอันตรายหรือเสียหายแก่ยานพาหนะหรือผู้ใช้ทางหลวง เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้อำนวยการทางหลวงหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการทางหลวงหรือเป็นการเดินแถวขบวนแห่หรือชุมนุมกันตามประเพณีหรือวัฒนธรรมหรือเป็นกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือยู่ในเขตที่ได้รับการยกเว้นเขตทางหลวง” ซึ่งมีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญที่เป็นการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเกินความจำเป็นและกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ เป็นต้น
(2) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญด้านกระบวนการตรากฎหมาย ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติที่ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 8/2551 องค์ประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 126 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดให้การประชุมของสภาต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา จึงจะเป็นองค์ประชุม ส่วนข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2549 ข้อ 18 วรรคสองที่กำหนดว่าเมื่อมีสมาชิกลงชื่อมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุมนั้น เป็นเพียงบทบัญญัติเกี่ยวกับการเปิดประชุมว่าการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติสามารถดำเนินการได้ เมื่อมีสมาชิกลงชื่อมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ภายหลังเปิดประชุมแล้วในขั้นตอนของการลงมติเรื่องใดๆซึ่งเป็นผลจากการประชุมปรึกษาหารือของที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ องค์ประชุมจะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 126 แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าการออกเสียงลงคะแนนของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติสำนักงานเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. … มีจำนวนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ลงชื่อมาประชุม 199 คน จากจำนวนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มีอยู่จริงในขณะนั้น 241 คน แต่ปรากฏในเวลาที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้มีสมาชิกเข้าประชุมเพียง 50 คน ซึ่งไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนั้น คือ 121 คน จึงมีจำนวนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่ครบองค์ประชุมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 126 วรรคหนึ่ง ดังนั้นร่างพระราชบัญญัติสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. …. จึงตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 126 วรรคหนึ่ง อันมีผลให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ตกไปทั้งฉบับ เป็นต้น
3. การควบคุมร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันที่ตั้งยับยั้งไว้
1) ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้หรือไม่ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือประธานวุฒิสภาส่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันกับหลักการพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้
2) ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติ ให้ร่างร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป
3.2.1.2 การควบคุมหลังกฎหมายประกาศใช้
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหลังประกาศใช้กฎหมายไปแล้ว จะเป็นลักษณะของการควบคุมกฎหมายที่มีเนื้อหามิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเท่านั้น จะมีวิธีการควบคุมและผลของกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1. การควบคุมหลังกฎหมายประกาศใช้ มีผู้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มีหลายวิธีด้วยกันต่อไปนี้
1) ในกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการวินิจฉัยนั้น ศาลสามารถดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ข้อสังเกต คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว
2) ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญและให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า
3) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นคดีที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบบัญญัติแห่งกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
4) บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้
2. ผลของการที่กฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กำหนดว่า กฎหมายอื่นใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญจะใช้บังคับไม่ได้ แสดงว่ากฎหมายฉบับนั้นหรือบทบัญญัติมาตราใดในกฎหมายฉบับนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญจะต้องมีการยกเลิกกฎหมายนั้นทั้งฉบับหรือยกเลิกบางบทบัญญัติบางมาตราของกฎหมายฉบับนั้นที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
3.2.2 ลักษณะของการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
หากพิจารณาลักษณะของการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 อาจแยกการตรวจสอบออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแบบนามธรรมกับการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแบบรูปธรรม ดังนี้
3.2.2.1 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแบบนามธรรม
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแบบนามธรรม มีได้ทั้งในกรณีที่เป็นการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญก่อนประกาศและหลังประกาศใช้โดยมีการควบคุมการตรวจสอบได้ทั้งเนื้อหาและกระบวนการตรากฎหมาย ซึ่งปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้แก่ มาตรา 141 ที่ว่าด้วยการควบคุมร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ที่ว่าด้วยการควบคุมร่างพระราชบัญญัติ มาตรา 185 ที่ว่าด้วยการตรวจสอบเงื่อนไขการตราพระราชกำหนด และมาตรา 245 (1) ที่ว่าด้วยการควบคุมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวกับการขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญที่เสนอเรื่องโดยผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ทั้งนี้เฉพาะกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นเองโดยมิได้มีผู้ร้องเรียน
3.2.2.2 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแบบรูปธรรม
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแบบรูปธรรม มีได้เฉพาะในกรณีที่เป็นการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหลังประกาศใช้เท่านั้นและจะเป็นการควบคุมการตรวจสอบด้านเนื้อหาของกฎหมายว่ามีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้แก่ มาตรา 211 ที่ว่าด้วยการควบคุมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะบังคับใช้แก่คดี มาตรา 212 ที่ว่าด้วยการควบคุมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เสนอเรื่องโดยบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ มาตรา 245 (1) ที่ว่าด้วยการควบคุมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เสนอเรื่องโดยผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ทั้งนี้เฉพาะกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นชอบตามที่ผู้ร้อง และมาตรา 257 (2) ที่ว่าด้วยการควบคุมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เสนอเรื่องโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
3.2.3 ขอบเขตแห่งการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
หากพิจารณาขอบเขตแห่งการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 อาจแยกการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของเนื้อหากฎหมายกับการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของกระบวนการตรากฎหมาย ดังนี้
3.2.3.1 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของเนื้อหากฎหมาย
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของเนื้อหากฎหมาย เป็นการควบคุมร่างกฎหมายหรือกฎหมายที่มีผลประกาศใช้บังคับแล้ว ว่ามีข้อความขัดหรือแย้งหรือรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญด้านเนื้อหากฎหมายได้ทั้งในกรณีที่เป็นการควบคุมก่อนประกาศใช้และการควบคุมหลังประกาศใช้หรือเป็นการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้ทั้งแบบนามธรรมและรูปธรรม
3.2.3.2 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของกระบวนการตรากฎหมาย
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของกระบวนการตรากฎหมาย แยกอธิบาย คือ การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของกระบวนการตรากฎหมายกับการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญในเงื่อนไขการตราพระราชกำหนด
1. การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของกระบวนการตรากฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 8/2551 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของกระบวนการตรากฎหมายก่อนประกาศใช้ ตามมาตรา 141 ที่ว่าด้วยการควบคุมร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญกับ มาตรา 144 ที่ว่าด้วยการควบคุมของร่างพระราชบัญญัติ ได้เท่านั้น
2. การควบคุมเงื่อนไขการตราพระราชกำหนดมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญสามารถควบคุมพระราชกำหนดในเรื่องเงื่อนไขการตราพระราชกำหนดตามมาตรา 185 ดังนี้
1) การควบคุมพระราชกำหนดมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่พระราชกำหนดนั้นได้ประกาศใช้ตามมาตรา 184 แล้ว ในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป ให้คณะรัฐมนตรีเสนอพระราชกำหนดนั้นต่อสภาเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้าเพื่อพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนด ซึ่งก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาได้อนุมัติพระราชกำหนดสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าพระราชกำหนดนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา 184 ให้ประธานแห่งสภานั้นส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับความเห็นเพื่อวินิจฉัย
ข้อสังเกต จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญควบคุมว่าการตราพระราชกำหนดในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ ตามมาตรา 184วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง เช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 11/2552 เป็นต้น ซึ่งแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่ไม่ได้ให้อำนาจดังกล่าวแก่ศาลรัฐธรรมนูญ ดังเห็นได้จากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 1/2541 คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 14/2546 และ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 29-30/2547
2) ผลของการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าพระราชกำหนดใดไม่เป็นไปตาม มาตรา 184 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้พระราชกำหนดนั้นไม่มีผลบังคับมาแต่ต้น ซึ่งต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า สองในสามของจำนวนตุการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด
หนังสือและเอกสารอ่านประกอบเพิ่มเติม
วิจิตรา ฟุ้งลัดดา “ระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ” วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,2523
วิษณุ เครืองาม “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์นิติบรรณการ,2530
stare decisis law 在 Stare Decisis Definition - Investopedia 的相關結果
Stare decisis is a legal doctrine that obligates courts to follow historical cases when making a ruling on a similar case. Stare decisis ensures that cases ... ... <看更多>
stare decisis law 在 stare decisis | law | Britannica 的相關結果
stare decisis, (Latin: “let the decision stand”), in Anglo-American law, principle that a question once considered by a court and answered must elicit the ... ... <看更多>
stare decisis law 在 Stare decisis | Wex | US Law | LII / Legal Information Institute 的相關結果
Stare decisis is the · When a court faces a legal argument, if a previous court has ruled on the same or a closely related issue, then the court will make their ... ... <看更多>